ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1มีคำสั่งยกคำร้องขอแก้ไขอุทธรณ์ของโจทก์ คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคแรกไม่รับฎีกาของโจทก์ และโจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาเกินกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234ประกอบด้วยมาตรา 247 ยกคำร้องของโจทก์
โจทก์เห็นว่า การที่โจทก์ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา อำนาจที่จะพิจารณาในการมีคำสั่งเป็นอำนาจของศาลฎีกา ที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินด้านทิศเหนือของโฉนดเลขที่ 12811 ตำบลถนนหัก อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ (บริเวณภายในเส้นสีแดงรูปโฉนดแผนที่ดินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1) เนื้อที่ดินประมาณ 1 งาน 7 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอย่างเด็ดขาด และให้จำเลยไปทำการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเปลี่ยนชื่อ ในโฉนดเป็นชื่อโจทก์ โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดหากจำเลยไม่ไปขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้วอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 จึงไม่รับ(อันดับ 65)
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ ฉบับลงวันที่7 มิถุนายน 2536 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ภายหลังครบกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์แล้ว จึงไม่รับ โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น (อันดับ 67)
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในวันที่ 21 เมษายน 2536 และมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2536 จึงไม่มีอุทธรณ์เหลืออยู่ โจทก์ยื่นคำร้องแก้ไขอุทธรณ์ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2536 จึงถือเป็นอุทธรณ์เกินระยะเวลาอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ศาลชั้นต้นสั่งชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของ โจทก์ (อันดับ 84)
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ (อันดับ 85)
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์ (อันดับ 88)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 91)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2536 โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2537 จึงเกินกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง คำร้องของ โจทก์จึงไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 และศาลชั้นต้นยกคำร้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นการปฏิเสธไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์เพื่อดำเนินการต่อไปนั้น คำปฏิเสธของศาลชั้นต้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1มีคำสั่งยกคำร้องขอแก้ไขอุทธรณ์ของโจทก์ คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคแรกไม่รับฎีกาของโจทก์ และโจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาเกินกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234ประกอบด้วยมาตรา 247 ยกคำร้องของโจทก์
โจทก์เห็นว่า การที่โจทก์ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา อำนาจที่จะพิจารณาในการมีคำสั่งเป็นอำนาจของศาลฎีกา ที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินด้านทิศเหนือของโฉนดเลขที่ 12811 ตำบลถนนหัก อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ (บริเวณภายในเส้นสีแดงรูปโฉนดแผนที่ดินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1) เนื้อที่ดินประมาณ 1 งาน 7 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอย่างเด็ดขาด และให้จำเลยไปทำการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเปลี่ยนชื่อ ในโฉนดเป็นชื่อโจทก์ โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดหากจำเลยไม่ไปขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้วอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 จึงไม่รับ(อันดับ 65)
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ ฉบับลงวันที่7 มิถุนายน 2536 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ภายหลังครบกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์แล้ว จึงไม่รับ โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น (อันดับ 67)
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในวันที่ 21 เมษายน 2536 และมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2536 จึงไม่มีอุทธรณ์เหลืออยู่ โจทก์ยื่นคำร้องแก้ไขอุทธรณ์ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2536 จึงถือเป็นอุทธรณ์เกินระยะเวลาอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ศาลชั้นต้นสั่งชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของ โจทก์ (อันดับ 84)
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ (อันดับ 85)
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์ (อันดับ 88)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 91)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2536 โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2537 จึงเกินกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง คำร้องของ โจทก์จึงไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 และศาลชั้นต้นยกคำร้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นการปฏิเสธไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์เพื่อดำเนินการต่อไปนั้น คำปฏิเสธของศาลชั้นต้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54จึงไม่รับอุทธรณ์
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายอีกทั้งเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับข้อบังคับและระเบียบของจำเลย ซึ่งปฏิบัติกับโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎระเบียบข้อบังคับ และโจทก์ไม่ได้รับการพิจารณาคดีตามคำฟ้อง โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 55)
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยและสั่งให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งและหน้าที่สุดท้ายตามเดิม ในอัตราค่าจ้างสุดท้ายและขึ้นเงินเดือนให้แก่โจทก์ ให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายอันเนื่องมาจากขาดรายได้นับตั้งแต่วันที่จำเลยเลิกจ้างจนถึงวันที่โจทก์ฟ้อง(21 เมษายน 2536) เป็นเงิน 125,471.63 บาทและให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายในส่วนที่โจทก์ขาดรายได้ในอัตราเดือนละ 10,550 บาท นับจากวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จหากจำเลยไม่รับโจทก์กลับเข้าทำงาน ให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในส่วนของค่าตอบแทน ค่าจ้างเป็นเงิน4,260,200 บาท
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ในระหว่างที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกมลชัชวาล ได้รับชำระเงินค่าบริการการใช้โทรศัพท์จากผู้ใช้บริการรายหนึ่งเป็นเช็ค1 ฉบับ ซึ่งเป็นการชำระค่าบริการตามใบแจ้งหนี้ 5 ฉบับกับใบเตือน 1 ฉบับรวมกัน แต่โจทก์คืนใบเตือนให้ผู้ใช้บริการและมิได้ออกหลักฐานการชำระเงินส่วนนั้นให้แก่ผู้ใช้บริการเมื่อมีการส่งมอบเช็คและเงินสดให้แก่นายเวรรับฝากเงินสดจำนวน1,199.30 บาท ตามใบเตือนได้ขาดหายไป และฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้นำเงินไปส่งให้แก่นายภาณุพงศ์ รวมธรรม ในการส่งเงินโจทก์มิได้ลงบัญชีสมุดรับส่งเงินการที่เงินจำนวน1,199.30 บาท หายไปจึงเกิดจากความบกพร่องในการทำงานของโจทก์ การกระทำของโจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเสียชื่อเสียง ผู้ใช้บริการถูกตัดการใช้โทรศัพท์ คณะกรรมการจำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงาน เพราะมีพฤติการณ์ไม่น่าไว้วางใจการเลิกจ้างเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์(อันดับ 52)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 53)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว การที่โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานในสำนวนฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้นำเงินสดและเช็คไปส่งมอบให้แก่นายภาณุพงศ์ และโจทก์มิได้รับชำระเงินจำนวนที่ขาดหายไปเป็นเงินสดดังที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยแต่ได้รับเป็นเช็คและมอบเช็คให้จำเลยแล้วนั้นและโจทก์มิได้ทำให้จำเลยเสียหายหรือเสียชื่อเสียงล้วนเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ส่วนอุทธรณ์ข้อที่ว่า การที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานโดยผลย้อนหลังไปถึงวันที่มีคำสั่งไล่ออกเป็นการไม่ชอบหากศาลฎีกาฟังว่าเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างในส่วนที่โจทก์ได้รับย้อนหลังด้วยนั้น เห็นว่าคดีมีประเด็นเฉพาะข้อที่ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลางที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54จึงไม่รับอุทธรณ์
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายอีกทั้งเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับข้อบังคับและระเบียบของจำเลย ซึ่งปฏิบัติกับโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎระเบียบข้อบังคับ และโจทก์ไม่ได้รับการพิจารณาคดีตามคำฟ้อง โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 55)
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยและสั่งให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งและหน้าที่สุดท้ายตามเดิม ในอัตราค่าจ้างสุดท้ายและขึ้นเงินเดือนให้แก่โจทก์ ให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายอันเนื่องมาจากขาดรายได้นับตั้งแต่วันที่จำเลยเลิกจ้างจนถึงวันที่โจทก์ฟ้อง(21 เมษายน 2536) เป็นเงิน 125,471.63 บาทและให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายในส่วนที่โจทก์ขาดรายได้ในอัตราเดือนละ 10,550 บาท นับจากวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จหากจำเลยไม่รับโจทก์กลับเข้าทำงาน ให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในส่วนของค่าตอบแทน ค่าจ้างเป็นเงิน4,260,200 บาท
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ในระหว่างที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกมลชัชวาล ได้รับชำระเงินค่าบริการการใช้โทรศัพท์จากผู้ใช้บริการรายหนึ่งเป็นเช็ค1 ฉบับ ซึ่งเป็นการชำระค่าบริการตามใบแจ้งหนี้ 5 ฉบับกับใบเตือน 1 ฉบับรวมกัน แต่โจทก์คืนใบเตือนให้ผู้ใช้บริการและมิได้ออกหลักฐานการชำระเงินส่วนนั้นให้แก่ผู้ใช้บริการเมื่อมีการส่งมอบเช็คและเงินสดให้แก่นายเวรรับฝากเงินสดจำนวน1,199.30 บาท ตามใบเตือนได้ขาดหายไป และฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้นำเงินไปส่งให้แก่นายภาณุพงศ์ รวมธรรม ในการส่งเงินโจทก์มิได้ลงบัญชีสมุดรับส่งเงินการที่เงินจำนวน1,199.30 บาท หายไปจึงเกิดจากความบกพร่องในการทำงานของโจทก์ การกระทำของโจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเสียชื่อเสียง ผู้ใช้บริการถูกตัดการใช้โทรศัพท์ คณะกรรมการจำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงาน เพราะมีพฤติการณ์ไม่น่าไว้วางใจการเลิกจ้างเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์(อันดับ 52)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 53)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว การที่โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานในสำนวนฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้นำเงินสดและเช็คไปส่งมอบให้แก่นายภาณุพงศ์ และโจทก์มิได้รับชำระเงินจำนวนที่ขาดหายไปเป็นเงินสดดังที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยแต่ได้รับเป็นเช็คและมอบเช็คให้จำเลยแล้วนั้นและโจทก์มิได้ทำให้จำเลยเสียหายหรือเสียชื่อเสียงล้วนเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ส่วนอุทธรณ์ข้อที่ว่า การที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานโดยผลย้อนหลังไปถึงวันที่มีคำสั่งไล่ออกเป็นการไม่ชอบหากศาลฎีกาฟังว่าเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างในส่วนที่โจทก์ได้รับย้อนหลังด้วยนั้น เห็นว่าคดีมีประเด็นเฉพาะข้อที่ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลางที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าอุทธรณ์โจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ข้อ 5.1 ที่ว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องโรคที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องจากการทำงาน ไม่ใช่กฎหมายที่ศาลรู้เอง คู่ความต้องนำสืบถึงความมีอยู่หรือไม่ของกฎหมายดังกล่าว และอุทธรณ์ข้อ 5.2 ถึง 5.5โจทก์อุทธรณ์ว่าข้อเท็จจริงที่ศาลรับฟังนั้นไม่มีอยู่จริงและไม่อยู่ในสำนวนการพิจารณาคดี เป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้นโปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 161)
คดีทั้งสามสำนวน ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของสำนักงานกองทุนเงินทดแทนและมติของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนที่วินิจฉัยและมีมติว่า ลูกจ้างของโจทก์ทั้งยี่สิบสามคนได้รับอันตรายหรือเจ็บป่วยด้วยโรคที่เกิดขึ้นเนื่องจากการทำงาน
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 98)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 99)
คำสั่ง
โจทก์อุทธรณ์ข้อ 5.1 ว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโรคบิสซิโนซิส เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการทำงานตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องโรคที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องจากการทำงาน โดยเป็นโรคของระบบทางเดินหายใจที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้แรงงานในโรงงานทอผ้าและสิ่งทอต่าง ๆ ซึ่งประกาศ ดังกล่าวไม่ใช่กฎหมายที่ศาลจะรู้เอง คู่ความต้องนำสืบถึงความมีอยู่หรือไม่ของกฎหมายดังกล่าว จึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวไม่ตรงตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาจึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริง และอุทธรณ์ข้อ 5.2 ถึงข้อ 5.5 โจทก์อุทธรณ์สรุปว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังไม่มีอยู่ในสำนวนนั้น ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยถึงคำพยานเบิกความของพยานจำเลย ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ตรวจ ลูกจ้างคนงานของโจทก์ฟังประกอบกับเอกสารเวชระเบียนของโรงพยาบาล ประวัติผู้ป่วยและใบรับรองแพทย์ และฟังว่าลูกจ้างของโจทก์ทั้งยี่สิบสามคนตามฟ้องป่วยเป็นโรคบิสซิโนซิส จึงเป็นการวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ที่ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์โจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าอุทธรณ์โจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ข้อ 5.1 ที่ว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องโรคที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องจากการทำงาน ไม่ใช่กฎหมายที่ศาลรู้เอง คู่ความต้องนำสืบถึงความมีอยู่หรือไม่ของกฎหมายดังกล่าว และอุทธรณ์ข้อ 5.2 ถึง 5.5โจทก์อุทธรณ์ว่าข้อเท็จจริงที่ศาลรับฟังนั้นไม่มีอยู่จริงและไม่อยู่ในสำนวนการพิจารณาคดี เป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้นโปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 161)
คดีทั้งสามสำนวน ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของสำนักงานกองทุนเงินทดแทนและมติของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนที่วินิจฉัยและมีมติว่า ลูกจ้างของโจทก์ทั้งยี่สิบสามคนได้รับอันตรายหรือเจ็บป่วยด้วยโรคที่เกิดขึ้นเนื่องจากการทำงาน
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 98)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 99)
คำสั่ง
โจทก์อุทธรณ์ข้อ 5.1 ว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโรคบิสซิโนซิส เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการทำงานตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องโรคที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องจากการทำงาน โดยเป็นโรคของระบบทางเดินหายใจที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้แรงงานในโรงงานทอผ้าและสิ่งทอต่าง ๆ ซึ่งประกาศ ดังกล่าวไม่ใช่กฎหมายที่ศาลจะรู้เอง คู่ความต้องนำสืบถึงความมีอยู่หรือไม่ของกฎหมายดังกล่าว จึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวไม่ตรงตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาจึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริง และอุทธรณ์ข้อ 5.2 ถึงข้อ 5.5 โจทก์อุทธรณ์สรุปว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังไม่มีอยู่ในสำนวนนั้น ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยถึงคำพยานเบิกความของพยานจำเลย ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ตรวจ ลูกจ้างคนงานของโจทก์ฟังประกอบกับเอกสารเวชระเบียนของโรงพยาบาล ประวัติผู้ป่วยและใบรับรองแพทย์ และฟังว่าลูกจ้างของโจทก์ทั้งยี่สิบสามคนตามฟ้องป่วยเป็นโรคบิสซิโนซิส จึงเป็นการวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ที่ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์โจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยให้การรับสารภาพชั้นพิจารณา ข้อความที่ตัดสินจึงไม่เป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลฎีกา จึงไม่อนุญาตให้ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งฎีกาจำเลยว่า เนื่องจากศาลไม่อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า คดีของจำเลยมีปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งหากศาลฎีกาได้พิจารณาแล้ว จำเลยอาจได้รับการลดหย่อนโทษ เนื่องจากจำเลยกระทำผิดฐานประมาทและได้บรรเทาผลจากการกระทำผิดจนเป็นที่พอใจแก่ผู้เสียหายแล้ว จึงมีเหตุอันควรที่ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดี นี้จะรับรองฎีกาให้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,300การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ฐานขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัสลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4),157 พิเคราะห์แล้วเห็นว่า บริษัทประกันภัยและนายจ้างของจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายและมารดาผู้ตายแล้ว จึงให้ลงโทษสถานเบาความผิดฐานทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บและถึงแก่ความตาย จำคุก 6 ปีความผิดฐานขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงโดยประมาทและแซงรถผู้อื่น ปรับ 800 บาท รวมจำคุก 6 ปีปรับ 800 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งคงจำคุก 3 ปี ปรับ 400 บาท เนื่องจากศาลลงโทษสถานเบาแล้ว จึงไม่รอการลงโทษให้ ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 30)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 35)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุก 3 ปี และปรับ 400 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 318 วรรคแรก การอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221เป็นอำนาจเฉพาะตัว เมื่อผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลฎีกาอีกไม่ได้ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยให้การรับสารภาพชั้นพิจารณา ข้อความที่ตัดสินจึงไม่เป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลฎีกา จึงไม่อนุญาตให้ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งฎีกาจำเลยว่า เนื่องจากศาลไม่อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า คดีของจำเลยมีปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งหากศาลฎีกาได้พิจารณาแล้ว จำเลยอาจได้รับการลดหย่อนโทษ เนื่องจากจำเลยกระทำผิดฐานประมาทและได้บรรเทาผลจากการกระทำผิดจนเป็นที่พอใจแก่ผู้เสียหายแล้ว จึงมีเหตุอันควรที่ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดี นี้จะรับรองฎีกาให้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,300การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ฐานขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัสลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4),157 พิเคราะห์แล้วเห็นว่า บริษัทประกันภัยและนายจ้างของจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายและมารดาผู้ตายแล้ว จึงให้ลงโทษสถานเบาความผิดฐานทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บและถึงแก่ความตาย จำคุก 6 ปีความผิดฐานขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงโดยประมาทและแซงรถผู้อื่น ปรับ 800 บาท รวมจำคุก 6 ปีปรับ 800 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งคงจำคุก 3 ปี ปรับ 400 บาท เนื่องจากศาลลงโทษสถานเบาแล้ว จึงไม่รอการลงโทษให้ ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 30)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 35)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุก 3 ปี และปรับ 400 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 318 วรรคแรก การอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221เป็นอำนาจเฉพาะตัว เมื่อผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลฎีกาอีกไม่ได้ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ยังไม่มีคำพิพากษา จึงไม่อาจจะฎีกาได้ไม่รับฎีกา และมีคำสั่งในคำร้องขอทุเลาการบังคับว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดแล้ว ไม่รับอุทธรณ์คำสั่ง(ที่ถูกไม่รับคำร้อง)
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันควรได้รับการพิจารณาวินิจฉัยจากศาลฎีกาที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ คำสั่ง (ที่ถูกไม่รับคำร้อง)และไม่รับฎีกาของจำเลย เป็นการไม่ชอบ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านเลขที่ 6/47 ถนนเลียบคลองภาษีเจริญฝั่งเหนือแขวงหนองแขม เขตหนองแขม กรุงเทพมหานครและส่งมอบบ้านที่เช่าให้กับโจทก์ในสภาพเรียบร้อย กับให้ชำระค่าเช่าค้างชำระเป็นเงิน 24,500 บาท พร้อมกับค่าเสียหายอีกเดือนละ 3,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องติดต่อกันไปจนกว่าจะส่งมอบบ้านเช่าให้แก่โจทก์เสร็จ
จำเลยอุทธรณ์ และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง (อันดับ 1)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา และไม่รับอุทธรณ์คำสั่ง(ที่ถูกไม่รับคำร้องขอทุเลาการบังคับ)(อันดับ 2,3)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 4)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คำสั่งของศาลในเรื่องทุเลาการบังคับเป็นอำนาจเฉพาะศาลเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในเรื่องทุเลาการบังคับอย่างใดแล้ว คู่ความจะฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์อีกไม่ได้ และคดีนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ดังนั้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาและขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาและไม่รับคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ยังไม่มีคำพิพากษา จึงไม่อาจจะฎีกาได้ไม่รับฎีกา และมีคำสั่งในคำร้องขอทุเลาการบังคับว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดแล้ว ไม่รับอุทธรณ์คำสั่ง(ที่ถูกไม่รับคำร้อง)
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันควรได้รับการพิจารณาวินิจฉัยจากศาลฎีกาที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ คำสั่ง (ที่ถูกไม่รับคำร้อง)และไม่รับฎีกาของจำเลย เป็นการไม่ชอบ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านเลขที่ 6/47 ถนนเลียบคลองภาษีเจริญฝั่งเหนือแขวงหนองแขม เขตหนองแขม กรุงเทพมหานครและส่งมอบบ้านที่เช่าให้กับโจทก์ในสภาพเรียบร้อย กับให้ชำระค่าเช่าค้างชำระเป็นเงิน 24,500 บาท พร้อมกับค่าเสียหายอีกเดือนละ 3,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องติดต่อกันไปจนกว่าจะส่งมอบบ้านเช่าให้แก่โจทก์เสร็จ
จำเลยอุทธรณ์ และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง (อันดับ 1)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา และไม่รับอุทธรณ์คำสั่ง(ที่ถูกไม่รับคำร้องขอทุเลาการบังคับ)(อันดับ 2,3)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 4)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คำสั่งของศาลในเรื่องทุเลาการบังคับเป็นอำนาจเฉพาะศาลเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในเรื่องทุเลาการบังคับอย่างใดแล้ว คู่ความจะฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์อีกไม่ได้ และคดีนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ดังนั้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาและขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาและไม่รับคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
คำสั่งของศาลในเรื่องทุเลาการบังคับเป็นอำนาจเฉพาะศาลเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในเรื่องทุเลาการบังคับอย่างใดแล้วคู่ความจะฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์อีกไม่ได้และคดีนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ดังนั้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาและขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านเลขที่ 6/47 ถนนเลียบคลองภาษีเจริญฝั่งเหนือแขวงหนองแขมเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร และส่งมอบบ้านที่เช่าให้กับโจทก์ในสภาพเรียบร้อยกับให้ชำระค่าเช่าค้างชำระเป็นเงิน 24,500 บาท พร้อมกับค่าเสียหายอีกเดือนละ 3,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องติดต่อกันไปจนกว่าจะส่งมอบบ้านเช่าให้แก่โจทก์เสร็จ
จำเลยอุทธรณ์ และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา และไม่รับอุทธรณ์คำสั่ง (ที่ถูกไม่รับคำร้องขอทุเลาการบังคับ)
จำเลยจึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งขอให้รับฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "คำสั่งของศาลในเรื่องทุเลาการบังคับเป็นอำนาจเฉพาะศาล เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในเรื่องทุเลาการบังคับอย่างใดแล้ว คู่ความจะฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์อีกไม่ได้ และคดีนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ดังนั้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาและขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกาที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาและไม่รับคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ"
คำสั่งของศาลในเรื่องทุเลาการบังคับเป็นอำนาจเฉพาะศาลเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในเรื่องทุเลาการบังคับอย่างใดแล้วคู่ความจะฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์อีกไม่ได้และคดีนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ดังนั้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาและขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านเลขที่ 6/47 ถนนเลียบคลองภาษีเจริญฝั่งเหนือแขวงหนองแขมเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร และส่งมอบบ้านที่เช่าให้กับโจทก์ในสภาพเรียบร้อยกับให้ชำระค่าเช่าค้างชำระเป็นเงิน 24,500 บาท พร้อมกับค่าเสียหายอีกเดือนละ 3,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องติดต่อกันไปจนกว่าจะส่งมอบบ้านเช่าให้แก่โจทก์เสร็จ
จำเลยอุทธรณ์ และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา และไม่รับอุทธรณ์คำสั่ง (ที่ถูกไม่รับคำร้องขอทุเลาการบังคับ)
จำเลยจึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งขอให้รับฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "คำสั่งของศาลในเรื่องทุเลาการบังคับเป็นอำนาจเฉพาะศาล เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในเรื่องทุเลาการบังคับอย่างใดแล้ว คู่ความจะฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์อีกไม่ได้ และคดีนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ดังนั้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาและขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกาที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาและไม่รับคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ"
ความว่า จำเลยขอให้ศาลปล่อยชั่วคราวในระหว่างฎีกาโดยผู้ขอประกันขอใช้หลักประกันเดิมที่วางไว้ในชั้นอุทธรณ์
หมายเหตุ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 4,13 ทวิ วรรคหนึ่ง,89 จำคุก 6 ปีคำให้การของจำเลยในชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 4 ปี
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้วางโทษจำคุก5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 3 ปี 4 เดือนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยยื่นคำร้องนี้ โดยมีคำร้องประกอบว่าจะยื่นฎีกาภายในกำหนดต่อไป
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวทั้งในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 โดยในชั้นอุทธรณ์ตีราคาประกัน 400,000 บาท
คำสั่ง
เป็นคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและจำเลยยังมิได้ยื่นฎีกา จึงยังไม่มีเหตุสมควรที่จะปล่อยชั่วคราว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยขอให้ศาลปล่อยชั่วคราวในระหว่างฎีกาโดยผู้ขอประกันขอใช้หลักประกันเดิมที่วางไว้ในชั้นอุทธรณ์
หมายเหตุ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 4,13 ทวิ วรรคหนึ่ง,89 จำคุก 6 ปีคำให้การของจำเลยในชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 4 ปี
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้วางโทษจำคุก5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 3 ปี 4 เดือนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยยื่นคำร้องนี้ โดยมีคำร้องประกอบว่าจะยื่นฎีกาภายในกำหนดต่อไป
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวทั้งในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 โดยในชั้นอุทธรณ์ตีราคาประกัน 400,000 บาท
คำสั่ง
เป็นคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและจำเลยยังมิได้ยื่นฎีกา จึงยังไม่มีเหตุสมควรที่จะปล่อยชั่วคราว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ข้อที่จำเลยที่ 1ฎีกาไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยในศาลฎีกาไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 เห็นว่า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าไม่ทราบวันนัดขายทอดตลาดทำให้ไม่สามารถปกป้องทรัพย์ของตนให้ขายได้ราคาสูงสุดนั้น สมควรได้รับการวินิจฉัยในศาลฎีกาอย่างยิ่ง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์และผู้ซื้อทรัพย์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
คดีสืบเนื่องมาจากเจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลชั้นต้นซึ่งบังคับคดีแทนศาลจังหวัดนครราชสีมา ได้ยึดที่ดินตามโฉนดเลขที่ 22072 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่นจังหวัดขอนแก่น พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นตึกแถว 4 ชั้น 3 คูหาเลขทะเบียน 728/4-6 ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 1เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์นำออกขายทอดตลาดและนายเจริญ วิชชุลดาเป็นผู้ซื้อได้ในราคา 4,000,000 บาท
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาดศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 92)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 94)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ไม่มีการสืบพยาน ที่จำเลยที่ 1ฎีกาว่าตามรายงานของเจ้าพนักงานที่ว่าได้ส่งประกาศแจ้งวันนัดให้แก่จำเลยที่ 1 โดยวิธีปิดหมาย ไม่เป็นความจริงและเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ในราคาต่ำไปนั้น เห็นว่า ฎีกาของจำเลย มิได้โต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ว่ามีการแจ้งวันขายทอดตลาด ให้จำเลยที่ 1 ทราบโดยชอบและราคาที่ขายเหมาะสมแล้วว่าไม่ถูกต้องอย่างไรจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ข้อที่จำเลยที่ 1ฎีกาไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยในศาลฎีกาไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 เห็นว่า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าไม่ทราบวันนัดขายทอดตลาดทำให้ไม่สามารถปกป้องทรัพย์ของตนให้ขายได้ราคาสูงสุดนั้น สมควรได้รับการวินิจฉัยในศาลฎีกาอย่างยิ่ง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์และผู้ซื้อทรัพย์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
คดีสืบเนื่องมาจากเจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลชั้นต้นซึ่งบังคับคดีแทนศาลจังหวัดนครราชสีมา ได้ยึดที่ดินตามโฉนดเลขที่ 22072 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่นจังหวัดขอนแก่น พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นตึกแถว 4 ชั้น 3 คูหาเลขทะเบียน 728/4-6 ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 1เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์นำออกขายทอดตลาดและนายเจริญ วิชชุลดาเป็นผู้ซื้อได้ในราคา 4,000,000 บาท
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาดศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 92)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 94)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ไม่มีการสืบพยาน ที่จำเลยที่ 1ฎีกาว่าตามรายงานของเจ้าพนักงานที่ว่าได้ส่งประกาศแจ้งวันนัดให้แก่จำเลยที่ 1 โดยวิธีปิดหมาย ไม่เป็นความจริงและเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ในราคาต่ำไปนั้น เห็นว่า ฎีกาของจำเลย มิได้โต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ว่ามีการแจ้งวันขายทอดตลาด ให้จำเลยที่ 1 ทราบโดยชอบและราคาที่ขายเหมาะสมแล้วว่าไม่ถูกต้องอย่างไรจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 56โปรดมีคำสั่งรับรอง ฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 58)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ที่แก้ไขแล้วจำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาบ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลย 2 ปี 8 เดือน ส่วนข้อหาอื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยหนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาบ้างลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี 9 เดือน 10 วันนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 57)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 58)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ไม่รอการลงโทษแก่จำเลย และฎีกาขอให้ศาลฎีการอการลงโทษเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 56โปรดมีคำสั่งรับรอง ฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 58)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ที่แก้ไขแล้วจำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาบ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลย 2 ปี 8 เดือน ส่วนข้อหาอื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยหนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาบ้างลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี 9 เดือน 10 วันนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 57)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 58)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ไม่รอการลงโทษแก่จำเลย และฎีกาขอให้ศาลฎีการอการลงโทษเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นไม่รับรองให้ฎีกา ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าฎีกาจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา จึงไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยเห็นว่า จำเลยไม่ทราบวันนัดฟังคำสั่งคำร้องขออนุญาตให้ฎีกาของจำเลย เนื่องจากศาลชั้นต้นได้ให้ศาลแขวงธนบุรีนำส่งหมายนัดวันฟังคำสั่งแก่จำเลยแต่สั่งไม่ได้เพราะไม่พบบ้านเลขที่ระบุในหมายซึ่งในคดีอื่นได้มีการส่งหมายให้จำเลยได้โดยการปิดหมาย ต่อมาจำเลยทราบคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา แต่ก็พ้นระยะเวลายื่นฎีกาหรือพ้นระยะเวลาที่จำเลยจะสามารถขอให้อัยการสูงสุดเป็นผู้รับรองฎีกาแก่จำเลยได้แล้วโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษา ต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 58)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ให้จำคุก 2 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 45,44)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 53)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจำเลยฎีกาขอรอการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกา เมื่อผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ฎีกา ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยจึงชอบแล้วส่วนที่จำเลยอ้างว่า ไม่ทราบคำสั่งของผู้พิพากษาที่ไม่อนุญาตให้ฎีกาทำให้จำเลยไม่สามารถขอให้อธิบดีกรมอัยการรับรองฎีกาให้แก่จำเลยนั้น เห็นว่าแม้อธิบดีกรมอัยการจะรับรองฎีกาให้แก่จำเลยก็คงไม่มีผลเพราะจะพ้นระยะเวลายื่นฎีกาเสียแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากจำเลยยื่นฎีกาในวันสุดท้าย ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นไม่รับรองให้ฎีกา ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าฎีกาจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา จึงไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยเห็นว่า จำเลยไม่ทราบวันนัดฟังคำสั่งคำร้องขออนุญาตให้ฎีกาของจำเลย เนื่องจากศาลชั้นต้นได้ให้ศาลแขวงธนบุรีนำส่งหมายนัดวันฟังคำสั่งแก่จำเลยแต่สั่งไม่ได้เพราะไม่พบบ้านเลขที่ระบุในหมายซึ่งในคดีอื่นได้มีการส่งหมายให้จำเลยได้โดยการปิดหมาย ต่อมาจำเลยทราบคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา แต่ก็พ้นระยะเวลายื่นฎีกาหรือพ้นระยะเวลาที่จำเลยจะสามารถขอให้อัยการสูงสุดเป็นผู้รับรองฎีกาแก่จำเลยได้แล้วโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษา ต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 58)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ให้จำคุก 2 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 45,44)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 53)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจำเลยฎีกาขอรอการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกา เมื่อผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ฎีกา ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยจึงชอบแล้วส่วนที่จำเลยอ้างว่า ไม่ทราบคำสั่งของผู้พิพากษาที่ไม่อนุญาตให้ฎีกาทำให้จำเลยไม่สามารถขอให้อธิบดีกรมอัยการรับรองฎีกาให้แก่จำเลยนั้น เห็นว่าแม้อธิบดีกรมอัยการจะรับรองฎีกาให้แก่จำเลยก็คงไม่มีผลเพราะจะพ้นระยะเวลายื่นฎีกาเสียแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากจำเลยยื่นฎีกาในวันสุดท้าย ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จึงไม่รับ
โจทก์เห็นว่า ฎีกาโจทก์ที่ว่า โจทก์ร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวนสำหรับเช็คตามเอกสารหมาย จ.1-จ.4 เพื่อประสงค์ให้ดำเนินคดีกับจำเลย คดีโจทก์ย่อมไม่ขาดอายุความ นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามฎีกา ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4(1),(2)และ(3)
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์มีมูลให้ประทับฟ้องในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2538 มาตรา 4(1)(2)และ(3) เฉพาะมูลความผิดเกี่ยวกับ เช็คตามเอกสารหมาย จ.4 พิพากษาให้ยกฟ้อง โจทก์ในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4(1)(2)และ(3) สำหรับมูลความผิดเกี่ยวกับ เช็คตามเอกสารหมาย จ.1-จ.4
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 53)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 54)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ที่แก้ไขแล้ว ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดี ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ เห็นได้ว่าเป็นการห้ามฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จึงไม่รับ
โจทก์เห็นว่า ฎีกาโจทก์ที่ว่า โจทก์ร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวนสำหรับเช็คตามเอกสารหมาย จ.1-จ.4 เพื่อประสงค์ให้ดำเนินคดีกับจำเลย คดีโจทก์ย่อมไม่ขาดอายุความ นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามฎีกา ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4(1),(2)และ(3)
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์มีมูลให้ประทับฟ้องในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2538 มาตรา 4(1)(2)และ(3) เฉพาะมูลความผิดเกี่ยวกับ เช็คตามเอกสารหมาย จ.4 พิพากษาให้ยกฟ้อง โจทก์ในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4(1)(2)และ(3) สำหรับมูลความผิดเกี่ยวกับ เช็คตามเอกสารหมาย จ.1-จ.4
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 53)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 54)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ที่แก้ไขแล้ว ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดี ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ เห็นได้ว่าเป็นการห้ามฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยล้วนแต่เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า การจดทะเบียนที่ดินแปลงพิพาทได้กระทำโดยไม่สุจริต จึงถือว่าเป็นการจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ได้นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงว่าทราบคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยแล้ว (อันดับ 124)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 230/2 ถนนราชวิถี ตำบลคลองกระแซงอำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี กับชดใช้ค่าเสียหาย ให้โจทก์เป็นเงิน 33,000 บาท (สามหมื่นสามพันบาทถ้วน) และ ค่าเสียหายอีกเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (14 พฤศจิกายน 2531)เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปส่วนที่โจทก์มีคำขอว่า หากจำเลยขัดขืนขอให้ออกหมายจับจำเลยและบริวารมาขังไว้จนกว่าจำเลยจะยอมออกไป เนื่องจากมีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2527 บัญญัติถึงวิธีการขับไล่จำเลยไว้แล้วคำขอส่วนนี้ให้ยกและให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 106)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 111)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าการซื้อขายบ้านพิพาทโดยการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยฎีกาว่า การจดทะเบียนไม่สุจริต ศาลอุทธรณ์ฟังเช่นนั้นไม่ชอบ เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาลอุทธรณ์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง คืนค่าคำร้อง 160 บาทส่วนที่เกินมาให้จำเลย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยล้วนแต่เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า การจดทะเบียนที่ดินแปลงพิพาทได้กระทำโดยไม่สุจริต จึงถือว่าเป็นการจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ได้นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงว่าทราบคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยแล้ว (อันดับ 124)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 230/2 ถนนราชวิถี ตำบลคลองกระแซงอำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี กับชดใช้ค่าเสียหาย ให้โจทก์เป็นเงิน 33,000 บาท (สามหมื่นสามพันบาทถ้วน) และ ค่าเสียหายอีกเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (14 พฤศจิกายน 2531)เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปส่วนที่โจทก์มีคำขอว่า หากจำเลยขัดขืนขอให้ออกหมายจับจำเลยและบริวารมาขังไว้จนกว่าจำเลยจะยอมออกไป เนื่องจากมีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2527 บัญญัติถึงวิธีการขับไล่จำเลยไว้แล้วคำขอส่วนนี้ให้ยกและให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 106)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 111)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าการซื้อขายบ้านพิพาทโดยการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยฎีกาว่า การจดทะเบียนไม่สุจริต ศาลอุทธรณ์ฟังเช่นนั้นไม่ชอบ เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาลอุทธรณ์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง คืนค่าคำร้อง 160 บาทส่วนที่เกินมาให้จำเลย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิเคราะห์ฎีกาจำเลยทั้งสามข้อแล้ว เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยฎีกา นอกจากนั้นยังโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษจำเลย ซึ่งล้วนแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมาเข้าข่ายที่จะต้องยกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 มาปรับ จำเลยอุทธรณ์ไว้แล้วแต่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัย กับข้อแตกต่างของพยานโจทก์เป็นข้อสำคัญที่จะพิพากษายกฟ้องได้เป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว ส่วนโจทก์ร่วมไม่ปรากฏว่าได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ (อันดับ 90)
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น นายเอี้ยซิมแซ่โหลผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ลงโทษจำคุก 1 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 84)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีคดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218วรรคแรก ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ในข้อที่จำเลยฎีกาว่า ข้อแตกต่างของพยานโจทก์ในคดีนี้ถือว่าเป็นข้อสำคัญในคดีนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง สำหรับข้อที่จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา ต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่จะยกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 มาปรับบทและข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเป็นการป้องกัน นั้น แม้ตามข้ออ้างดังกล่าวจะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ในเนื้อหาตามฎีกากลับเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงมีผลเท่ากับเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกันที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิเคราะห์ฎีกาจำเลยทั้งสามข้อแล้ว เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยฎีกา นอกจากนั้นยังโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษจำเลย ซึ่งล้วนแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมาเข้าข่ายที่จะต้องยกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 มาปรับ จำเลยอุทธรณ์ไว้แล้วแต่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัย กับข้อแตกต่างของพยานโจทก์เป็นข้อสำคัญที่จะพิพากษายกฟ้องได้เป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว ส่วนโจทก์ร่วมไม่ปรากฏว่าได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ (อันดับ 90)
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น นายเอี้ยซิมแซ่โหลผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ลงโทษจำคุก 1 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 84)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีคดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218วรรคแรก ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ในข้อที่จำเลยฎีกาว่า ข้อแตกต่างของพยานโจทก์ในคดีนี้ถือว่าเป็นข้อสำคัญในคดีนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง สำหรับข้อที่จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา ต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่จะยกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 มาปรับบทและข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเป็นการป้องกัน นั้น แม้ตามข้ออ้างดังกล่าวจะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ในเนื้อหาตามฎีกากลับเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงมีผลเท่ากับเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกันที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าฎีกาข้อ 2 ย่อหน้าแรกเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และฎีกาข้อ 2 ย่อหน้าสองเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ย่อหน้าแรก ที่ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นการกระทำผิดกฎหมาย และถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยว กับความสงบ แม้จำเลยที่ 2 มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันในชั้นอุทธรณ์ ก็ไม่ต้องห้ามฎีกา และคดีของจำเลยไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 90)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 141 ลงโทษจำเลยที่ 1 ปรับ 4,000 บาท จำเลยที่ 2 จำคุก 6 เดือน กระทงหนึ่ง ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 142 ลงโทษจำเลยที่ 1 ปรับ 6,000 บาทจำเลยที่ 2 จำคุก 6 เดือน กระทงหนึ่ง ผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ให้ปรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 รวมเป็นเงินสี่เท่าของราคาของรวมค่าอากรเข้าด้วยเป็นเงิน148,899,935.24 บาท และจำเลยที่ 2 จำคุก 1 ปีด้วย อีกกระทงหนึ่งลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91รวมปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 10,000 บาท ในสองกระทงแรกจำเลยที่ 2 ลงโทษทุกกรรมรวมจำคุก 2 ปี และรวมปรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในกระทงที่สามเป็นเงิน 148,899,935.24 บาท โทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 89แผ่นที่ 2)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 90)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 แต่ละกระทงไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกจำเลยที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยที่ 2เข้าจัดการหรือสั่งการเกี่ยวกับการกระทำความผิดตามฟ้องจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 77 เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าฎีกาข้อ 2 ย่อหน้าแรกเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และฎีกาข้อ 2 ย่อหน้าสองเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ย่อหน้าแรก ที่ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นการกระทำผิดกฎหมาย และถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยว กับความสงบ แม้จำเลยที่ 2 มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันในชั้นอุทธรณ์ ก็ไม่ต้องห้ามฎีกา และคดีของจำเลยไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 90)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 141 ลงโทษจำเลยที่ 1 ปรับ 4,000 บาท จำเลยที่ 2 จำคุก 6 เดือน กระทงหนึ่ง ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 142 ลงโทษจำเลยที่ 1 ปรับ 6,000 บาทจำเลยที่ 2 จำคุก 6 เดือน กระทงหนึ่ง ผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ให้ปรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 รวมเป็นเงินสี่เท่าของราคาของรวมค่าอากรเข้าด้วยเป็นเงิน148,899,935.24 บาท และจำเลยที่ 2 จำคุก 1 ปีด้วย อีกกระทงหนึ่งลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91รวมปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 10,000 บาท ในสองกระทงแรกจำเลยที่ 2 ลงโทษทุกกรรมรวมจำคุก 2 ปี และรวมปรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในกระทงที่สามเป็นเงิน 148,899,935.24 บาท โทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 89แผ่นที่ 2)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 90)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 แต่ละกระทงไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกจำเลยที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยที่ 2เข้าจัดการหรือสั่งการเกี่ยวกับการกระทำความผิดตามฟ้องจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 77 เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาและอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสองมีเหตุผลที่ศาลจะสั่งรับฎีกา ของจำเลย โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 17,633 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากอาคารพิพาทเลขที่ 131/21-22 และใช้ค่าเสียหายเดือนละ 6,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกไปจากอาคารพิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับ (อันดับ 223)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา และทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 234,232)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ โดยได้นำหลักทรัพย์มาวางประกันและได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 148,157)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ถ้าจำเลยทั้งสองหาประกันสำหรับจำนวนเงิน17,633 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับถึงวันฟังคำสั่งนี้และต่อไปอีก 2 ปี กับค่าเสียหายเดือนละ6,000 บาท เป็นเวลา 4 ปี มาให้เป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกามิฉะนั้นให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาและอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสองมีเหตุผลที่ศาลจะสั่งรับฎีกา ของจำเลย โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 17,633 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากอาคารพิพาทเลขที่ 131/21-22 และใช้ค่าเสียหายเดือนละ 6,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกไปจากอาคารพิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับ (อันดับ 223)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา และทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 234,232)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ โดยได้นำหลักทรัพย์มาวางประกันและได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 148,157)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ถ้าจำเลยทั้งสองหาประกันสำหรับจำนวนเงิน17,633 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับถึงวันฟังคำสั่งนี้และต่อไปอีก 2 ปี กับค่าเสียหายเดือนละ6,000 บาท เป็นเวลา 4 ปี มาให้เป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกามิฉะนั้นให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นสาระที่สมควรจะได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา และจำเลย ได้หาประกันสำหรับจำนวนเงินและค่าเสียหายตามคำพิพากษาของ ศาลชั้นต้น โดยนำหลักทรัพย์มาวางไว้ที่ศาลชั้นต้นแล้ว โปรดมี คำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 17,633 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้จำเลยทั้งสองและ บริวารออกไปจากอาคารพิพาทเลขที่ 131/21-22 และใช้ค่าเสียหายเดือนละ 6,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกไปจากอาคารพิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับ (อันดับ 223)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 234)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสอง ได้รู้และเข้าใจข้อความในสัญญาเอกสารหมาย จ.1 จ.2 ดีแล้วสัญญาจองอาคารพิพาท จึงไม่เป็นโมฆียะกรรมเพราะกลฉ้อฉลแต่อย่างใด การที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองไม่รู้และเข้าใจสัญญาจองเอกสารหมาย จ.1 จ.2 และโจทก์หลอกลวงจำเลยทั้งสอง สัญญาจองจึงเป็นโมฆียะกรรมเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมของโจทก์ชอบแล้วส่วนฎีกาของจำเลยทั้งสอง เกี่ยวกับฟ้องแย้งนั้น เห็นว่าฟ้องแย้งเป็นคดีฟ้องขอให้ ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ไม่ต้องห้าม ฎีกาในข้อเท็จจริง ให้รับฎีกาเกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง ไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นสาระที่สมควรจะได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา และจำเลย ได้หาประกันสำหรับจำนวนเงินและค่าเสียหายตามคำพิพากษาของ ศาลชั้นต้น โดยนำหลักทรัพย์มาวางไว้ที่ศาลชั้นต้นแล้ว โปรดมี คำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 17,633 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้จำเลยทั้งสองและ บริวารออกไปจากอาคารพิพาทเลขที่ 131/21-22 และใช้ค่าเสียหายเดือนละ 6,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกไปจากอาคารพิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับ (อันดับ 223)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 234)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสอง ได้รู้และเข้าใจข้อความในสัญญาเอกสารหมาย จ.1 จ.2 ดีแล้วสัญญาจองอาคารพิพาท จึงไม่เป็นโมฆียะกรรมเพราะกลฉ้อฉลแต่อย่างใด การที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองไม่รู้และเข้าใจสัญญาจองเอกสารหมาย จ.1 จ.2 และโจทก์หลอกลวงจำเลยทั้งสอง สัญญาจองจึงเป็นโมฆียะกรรมเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมของโจทก์ชอบแล้วส่วนฎีกาของจำเลยทั้งสอง เกี่ยวกับฟ้องแย้งนั้น เห็นว่าฟ้องแย้งเป็นคดีฟ้องขอให้ ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ไม่ต้องห้าม ฎีกาในข้อเท็จจริง ให้รับฎีกาเกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง ไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นการฎีกาคำสั่งของศาลที่ยกคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลย จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณา ต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
กรณีเป็นชั้นขอให้พิจารณาใหม่
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 44,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 20 เมษายน 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (23 กันยายน 2534) จะต้องไม่เกิน29,536.11 บาท ตามขอ
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีนี้ส่งคำบังคับให้จำเลยเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2535จำเลยมิได้ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับ และตามคำร้องไม่มีเหตุแห่งการที่ล่าช้าหรือพฤติการณ์นอกเหนือที่จำเลยไม่อาจยื่นคำขอได้ภายในเวลาที่กำหนด จึงไม่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 50)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ โดยมีคำแถลงประกอบว่า จำเลยยื่นฎีกาโดยได้เสียค่าขึ้นศาลครบถ้วนแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาโดยเสียค่าธรรมเนียมอุทธรณ์คำสั่งแล้ว ส่วนหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์ตามคำพิพากษา ได้มีการบังคับคดีโดยโจทก์ได้นำ เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์แล้วจึงเป็นหลักประกันเพียงพอจะชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา (อันดับ 52)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าภูมิลำเนาตามฟ้องเป็นภูมิลำเนาของจำเลย การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยจึงเป็นการส่งโดยชอบ และในการ พิจารณาสืบพยานโจทก์ เสมียนทนายจำเลยผู้รับมอบฉันทะจาก ทนายจำเลยได้เซ็นทราบวันนัดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา จึงถือ ว่าจำเลยทราบนัดโดยชอบกับได้ความว่าเจ้าพนักงานศาลได้นำ คำบังคับไปส่งให้บุตรชายจำเลยซึ่งมีอายุเกินยี่สิบปีและ อยู่บ้านเรือนเดียวกับจำเลยเป็นผู้รับแทน จึงถือว่าเป็นการส่งคำบังคับโดยถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว ที่จำเลย ฎีกาว่า การส่งคำบังคับให้จำเลยมีบุคคลอื่นซึ่งไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นบุตรของจำเลยรับไว้แทน จำเลยจึงไม่ทราบว่าจำเลย ถูกฟ้องและแพ้คดี ต้องชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ ต่อเมื่อโจทก์ นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการบังคับคดี จำเลยจึงทราบและมายื่นคำขอพิจารณาคดีใหม่ภายในกำหนดแล้ว เป็นฎีกาข้อเท็จจริงซึ่งการยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ต้องอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 เมื่อคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา ไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นการฎีกาคำสั่งของศาลที่ยกคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลย จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณา ต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
กรณีเป็นชั้นขอให้พิจารณาใหม่
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 44,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 20 เมษายน 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (23 กันยายน 2534) จะต้องไม่เกิน29,536.11 บาท ตามขอ
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีนี้ส่งคำบังคับให้จำเลยเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2535จำเลยมิได้ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับ และตามคำร้องไม่มีเหตุแห่งการที่ล่าช้าหรือพฤติการณ์นอกเหนือที่จำเลยไม่อาจยื่นคำขอได้ภายในเวลาที่กำหนด จึงไม่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 50)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ โดยมีคำแถลงประกอบว่า จำเลยยื่นฎีกาโดยได้เสียค่าขึ้นศาลครบถ้วนแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาโดยเสียค่าธรรมเนียมอุทธรณ์คำสั่งแล้ว ส่วนหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์ตามคำพิพากษา ได้มีการบังคับคดีโดยโจทก์ได้นำ เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์แล้วจึงเป็นหลักประกันเพียงพอจะชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา (อันดับ 52)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าภูมิลำเนาตามฟ้องเป็นภูมิลำเนาของจำเลย การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยจึงเป็นการส่งโดยชอบ และในการ พิจารณาสืบพยานโจทก์ เสมียนทนายจำเลยผู้รับมอบฉันทะจาก ทนายจำเลยได้เซ็นทราบวันนัดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา จึงถือ ว่าจำเลยทราบนัดโดยชอบกับได้ความว่าเจ้าพนักงานศาลได้นำ คำบังคับไปส่งให้บุตรชายจำเลยซึ่งมีอายุเกินยี่สิบปีและ อยู่บ้านเรือนเดียวกับจำเลยเป็นผู้รับแทน จึงถือว่าเป็นการส่งคำบังคับโดยถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว ที่จำเลย ฎีกาว่า การส่งคำบังคับให้จำเลยมีบุคคลอื่นซึ่งไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นบุตรของจำเลยรับไว้แทน จำเลยจึงไม่ทราบว่าจำเลย ถูกฟ้องและแพ้คดี ต้องชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ ต่อเมื่อโจทก์ นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการบังคับคดี จำเลยจึงทราบและมายื่นคำขอพิจารณาคดีใหม่ภายในกำหนดแล้ว เป็นฎีกาข้อเท็จจริงซึ่งการยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ต้องอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 เมื่อคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา ไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ซึ่งอุทธรณ์ของจำเลยมีทางชนะคดีการบังคับคดีจะทำให้จำเลยเสียหาย โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 41,42)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 72,900บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 19,440 บาท ค่าเสียหายเป็นเงิน 180,000 บาทและเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเงิน56,978.18 บาท แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์(อันดับ 33)
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ พร้อมกับคำร้องนี้ (อันดับ 36,37,39,40)
คำสั่ง
ศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยแล้ว จึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ซึ่งอุทธรณ์ของจำเลยมีทางชนะคดีการบังคับคดีจะทำให้จำเลยเสียหาย โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 41,42)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 72,900บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 19,440 บาท ค่าเสียหายเป็นเงิน 180,000 บาทและเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเงิน56,978.18 บาท แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์(อันดับ 33)
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ พร้อมกับคำร้องนี้ (อันดับ 36,37,39,40)
คำสั่ง
ศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยแล้ว จึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางไม่ได้แสดงเหตุผลในการวินิจฉัยให้แจ้งชัดแน่นอน ขัดต่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 51 ว่าใบผ่านคลังสินค้าตามใบกำกับสินค้าเอกสารหมาย ล.2 ได้ปลิวสูญหายไปเมื่อใด โดยวิธีการใด และ อุทธรณ์ที่ว่า คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางที่ว่าเอกสารหมาย ล.2 อาจจะปลิวสูญหายจากการดูแลของพนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ ย่อมถือได้ว่าโจทก์บกพร่องต่อหน้าที่และประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ล้วนเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 43)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 72,900 บาทสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 19,440 บาท ค่าเสียหายเป็นเงิน180,000 บาท และเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเงิน 56,978.18บาท แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 33)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า จำเลยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 จึงไม่รับต่อมาวันที่ 17 มกราคม 2537 จำเลยยื่นคำแถลงว่าจำเลยมีความประสงค์วางเงินต่อศาลเป็นจำนวนเงินตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำสั่งคำร้องหรือคำพิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่ารับไว้และมีคำสั่งในคำร้องนี้ว่า จำเลยนำเงินตามคำพิพากษา มาวางต่อศาลแล้ว จึงให้รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งนี้ ส่งศาลฎีกา พิจารณา (อันดับ 36,37)
คำสั่ง
จำเลยอุทธรณ์ว่า คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางที่ว่าใบผ่านคลังสินค้าตามใบกำกับสินค้า เอกสารหมาย ล.2"อาจจะปลิวสูญหาย" โดยไม่ชี้หรือระบุว่าปลิวสูญหายไปเมื่อใดวิธีการใด จึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่แน่นอน เพราะอาจจะแปลในทางกลับกันได้ว่า "ไม่แน่ว่าจะปลิวสูญหายในระหว่างการเก็บรักษาของพนักงานรักษาความปลอดภัย" จึงเป็นการวินิจฉัยที่ขัดต่อมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 นั้น เห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางไม่ได้แสดงเหตุผลในการวินิจฉัยให้แจ้งชัดแน่นอน ขัดต่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 51 ว่าใบผ่านคลังสินค้าตามใบกำกับสินค้าเอกสารหมาย ล.2 ได้ปลิวสูญหายไปเมื่อใด โดยวิธีการใด และ อุทธรณ์ที่ว่า คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางที่ว่าเอกสารหมาย ล.2 อาจจะปลิวสูญหายจากการดูแลของพนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ ย่อมถือได้ว่าโจทก์บกพร่องต่อหน้าที่และประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ล้วนเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 43)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 72,900 บาทสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 19,440 บาท ค่าเสียหายเป็นเงิน180,000 บาท และเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเงิน 56,978.18บาท แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 33)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า จำเลยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 จึงไม่รับต่อมาวันที่ 17 มกราคม 2537 จำเลยยื่นคำแถลงว่าจำเลยมีความประสงค์วางเงินต่อศาลเป็นจำนวนเงินตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำสั่งคำร้องหรือคำพิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่ารับไว้และมีคำสั่งในคำร้องนี้ว่า จำเลยนำเงินตามคำพิพากษา มาวางต่อศาลแล้ว จึงให้รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งนี้ ส่งศาลฎีกา พิจารณา (อันดับ 36,37)
คำสั่ง
จำเลยอุทธรณ์ว่า คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางที่ว่าใบผ่านคลังสินค้าตามใบกำกับสินค้า เอกสารหมาย ล.2"อาจจะปลิวสูญหาย" โดยไม่ชี้หรือระบุว่าปลิวสูญหายไปเมื่อใดวิธีการใด จึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่แน่นอน เพราะอาจจะแปลในทางกลับกันได้ว่า "ไม่แน่ว่าจะปลิวสูญหายในระหว่างการเก็บรักษาของพนักงานรักษาความปลอดภัย" จึงเป็นการวินิจฉัยที่ขัดต่อมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 นั้น เห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งว่าการจะอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้หรือไม่เป็นเรื่องของแต่ละศาล ที่พิจารณาคดีนั้น คดีอยู่ในชั้นศาลอุทธรณ์ จำเลยจึงไม่มีสิทธิ ฎีกาคำสั่งไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีของศาลอุทธรณ์ จึงไม่รับ ฎีกา
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 นั้น ไม่ปรากฏว่ามีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตราใดบัญญัติห้ามฎีกาคำสั่งหรือให้ถือว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นที่สุด และศาลอุทธรณ์มิได้ใช้ดุลพินิจ เพราะมิได้ให้เหตุผลในการไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกและบริวาร ออกจากบ้านพิพาท จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 อุทธรณ์ และยื่นคำร้อง ขอทุเลาการบังคับคดี ศาลอุทธรณ์สั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีว่า คดีไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้ทุเลาการบังคับ ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 3)
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จึงยื่นคำร้องนี้ (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 4)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว การขอทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 เป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดวิธีการไว้เป็นพิเศษ จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งการอุทธรณ์และฎีกาอย่างเรื่องอื่น ๆ คดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์สั่งไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์คู่ความจะฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์อีกไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งว่าการจะอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้หรือไม่เป็นเรื่องของแต่ละศาล ที่พิจารณาคดีนั้น คดีอยู่ในชั้นศาลอุทธรณ์ จำเลยจึงไม่มีสิทธิ ฎีกาคำสั่งไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีของศาลอุทธรณ์ จึงไม่รับ ฎีกา
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 นั้น ไม่ปรากฏว่ามีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตราใดบัญญัติห้ามฎีกาคำสั่งหรือให้ถือว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นที่สุด และศาลอุทธรณ์มิได้ใช้ดุลพินิจ เพราะมิได้ให้เหตุผลในการไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกและบริวาร ออกจากบ้านพิพาท จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 อุทธรณ์ และยื่นคำร้อง ขอทุเลาการบังคับคดี ศาลอุทธรณ์สั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีว่า คดีไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้ทุเลาการบังคับ ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 3)
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จึงยื่นคำร้องนี้ (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 4)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว การขอทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 เป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดวิธีการไว้เป็นพิเศษ จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งการอุทธรณ์และฎีกาอย่างเรื่องอื่น ๆ คดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์สั่งไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์คู่ความจะฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์อีกไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|