ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าฎีกาของจำเลยเป็นข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218,219 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ได้โต้แย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจได้ควบคุมตัวจำเลยไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เท่ากับไม่มีอำนาจสอบสวนเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 33)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 12(1),18 วรรคสอง,62,81และ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2526) มาตรา 4 ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91เรียงกระทงลงโทษ รับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งฐานเข้ามาในราชอาณาจักร โดยผิดกฎหมายจำคุก 1 เดือน ปรับ 1,400 บาทฐานอยู่ในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 เดือนปรับ 1,400 บาท รวมจำคุก 2 เดือนปรับ 2,800 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับกักขังแทน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 30)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 31)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้แย้งว่าจำเลยถูกจับกุม และควบคุมตัววันใด ซึ่งตามฟ้องโจทก์ว่าจำเลยถูกจับกุมวันที่ 9 พฤศจิกายน 2535 แต่จำเลยฎีกาว่าวันที่25 ตุลาคม 2535 จึงเป็น ปัญหาข้อเท็จจริงอันนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ที่ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าฎีกาของจำเลยเป็นข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218,219 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ได้โต้แย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจได้ควบคุมตัวจำเลยไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เท่ากับไม่มีอำนาจสอบสวนเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 33)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 12(1),18 วรรคสอง,62,81และ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2526) มาตรา 4 ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91เรียงกระทงลงโทษ รับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งฐานเข้ามาในราชอาณาจักร โดยผิดกฎหมายจำคุก 1 เดือน ปรับ 1,400 บาทฐานอยู่ในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 เดือนปรับ 1,400 บาท รวมจำคุก 2 เดือนปรับ 2,800 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับกักขังแทน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 30)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 31)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้แย้งว่าจำเลยถูกจับกุม และควบคุมตัววันใด ซึ่งตามฟ้องโจทก์ว่าจำเลยถูกจับกุมวันที่ 9 พฤศจิกายน 2535 แต่จำเลยฎีกาว่าวันที่25 ตุลาคม 2535 จึงเป็น ปัญหาข้อเท็จจริงอันนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ที่ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็น ปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยมีเหตุอันควรให้ศาลฎีกาได้วินิจฉัย เกี่ยวกับการที่จำเลยได้มียาเสพติดชนิดวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 2 คือ เมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง เป็นปริมาณเพียงเล็กน้อย จะมีเหตุอันควรบรรเทาโทษหรือไม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้เพื่อ พิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยในสถานเบาโดยโทษจำคุกให้เป็นรอการลงโทษไว้ โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4,6,62,106 ที่แก้ไขแล้วให้จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุสมควร รอการลงโทษจำคุกให้จำเลย
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 22)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 27)
คำสั่ง
คดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี ฎีกาของจำเลยที่ว่าพฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุ สมควรลงโทษจำเลยสถานเบา ขอให้รอการลงโทษ แก่จำเลยนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็น ปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยมีเหตุอันควรให้ศาลฎีกาได้วินิจฉัย เกี่ยวกับการที่จำเลยได้มียาเสพติดชนิดวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 2 คือ เมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง เป็นปริมาณเพียงเล็กน้อย จะมีเหตุอันควรบรรเทาโทษหรือไม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้เพื่อ พิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยในสถานเบาโดยโทษจำคุกให้เป็นรอการลงโทษไว้ โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4,6,62,106 ที่แก้ไขแล้วให้จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุสมควร รอการลงโทษจำคุกให้จำเลย
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 22)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 27)
คำสั่ง
คดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี ฎีกาของจำเลยที่ว่าพฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุ สมควรลงโทษจำเลยสถานเบา ขอให้รอการลงโทษ แก่จำเลยนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาว่า วางเงินก่อน แล้วจึงจะสั่ง และสั่งคำร้องว่า นับจากวันอ่านคำพิพากษาจนถึงวันนี้เป็นเวลานานพอสมควรแล้ว จึงไม่อนุญาต ยกคำร้อง
โจทก์เห็นว่า โจทก์ได้ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาออกไป 30 วัน แต่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายเวลาเพียง20 วัน และโจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีการวมทั้งสิ้น ไม่ต่ำกว่า 41,586 บาท ซึ่งมีจำนวนเกินไปกว่าที่คาดหมายไว้ เป็นเหตุให้โจทก์หาเงินค่าขึ้นศาลได้ไม่ครบภายในเวลาที่ศาล กำหนดไว้ขอ ศาลฎีกาโปรดมีคำสั่งให้โจทก์ได้ขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาล ชั้นฎีกาออกไป 10 วัน ด้วย โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 และจำเลยที่ 10 ถึงที่ 22แถลง คัดค้าน (อันดับ 156)
คดีทั้งยี่สิบสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษา รวมกันโดยให้เรียกจำเลยตามลำดับสำนวนว่า จำเลยที่ 1 ถึง ที่ 22ตามลำดับ
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่าย ค่าบำเหน็จจำนวน 65,408 บาท จำเลยที่ 2จำนวน 60,592 บาท จำเลยที่ 3 จำนวน 13,024 บาท จำเลยที่ 4จำนวน 27,448 บาท จำเลยที่ 5 จำนวน 70,808 บาท จำเลยที่ 6จำนวน 90,068 บาท จำเลยที่ 7 จำนวน 56,064 บาท จำเลยที่ 8จำนวน 66,430 บาท จำเลยที่ 9 จำนวน 72,416 บาท จำเลยที่ 10จำนวน 135,415 บาทจำเลยที่ 11 จำนวน 70,080 บาท จำเลยที่ 12จำนวน 103,806 บาท จำเลยที่ 13 จำนวน 68,620 บาท จำเลยที่ 14 จำนวน 53,436 บาท จำเลยที่ 15 จำนวน 69,932 บาท จำเลยที่ 16 จำนวน 89,936 บาท จำเลยที่ 17 จำนวน 15,695 บาท จำเลยที่ 18 จำนวน 5,256 บาท จำเลยที่ 19 จำนวน 31,111 บาท จำเลยที่ 20จำนวน 69,932 บาท จำเลยที่ 21 จำนวน 76,942 บาท จำเลยที่ 22 จำนวน 20,440 บาท พร้อมดอกเบี้ย
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 9ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายเวลาการวางเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 154/1,153)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 154)
คำสั่ง
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของโจทก์ซึ่งขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา ไม่ใช่คำสั่งไม่รับฎีกา โจทก์ชอบที่จะอุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์จะยื่นเป็นฎีกาคำสั่งต่อศาลฎีกาไม่ได้ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาว่า วางเงินก่อน แล้วจึงจะสั่ง และสั่งคำร้องว่า นับจากวันอ่านคำพิพากษาจนถึงวันนี้เป็นเวลานานพอสมควรแล้ว จึงไม่อนุญาต ยกคำร้อง
โจทก์เห็นว่า โจทก์ได้ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาออกไป 30 วัน แต่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายเวลาเพียง20 วัน และโจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีการวมทั้งสิ้น ไม่ต่ำกว่า 41,586 บาท ซึ่งมีจำนวนเกินไปกว่าที่คาดหมายไว้ เป็นเหตุให้โจทก์หาเงินค่าขึ้นศาลได้ไม่ครบภายในเวลาที่ศาล กำหนดไว้ขอ ศาลฎีกาโปรดมีคำสั่งให้โจทก์ได้ขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาล ชั้นฎีกาออกไป 10 วัน ด้วย โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 และจำเลยที่ 10 ถึงที่ 22แถลง คัดค้าน (อันดับ 156)
คดีทั้งยี่สิบสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษา รวมกันโดยให้เรียกจำเลยตามลำดับสำนวนว่า จำเลยที่ 1 ถึง ที่ 22ตามลำดับ
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่าย ค่าบำเหน็จจำนวน 65,408 บาท จำเลยที่ 2จำนวน 60,592 บาท จำเลยที่ 3 จำนวน 13,024 บาท จำเลยที่ 4จำนวน 27,448 บาท จำเลยที่ 5 จำนวน 70,808 บาท จำเลยที่ 6จำนวน 90,068 บาท จำเลยที่ 7 จำนวน 56,064 บาท จำเลยที่ 8จำนวน 66,430 บาท จำเลยที่ 9 จำนวน 72,416 บาท จำเลยที่ 10จำนวน 135,415 บาทจำเลยที่ 11 จำนวน 70,080 บาท จำเลยที่ 12จำนวน 103,806 บาท จำเลยที่ 13 จำนวน 68,620 บาท จำเลยที่ 14 จำนวน 53,436 บาท จำเลยที่ 15 จำนวน 69,932 บาท จำเลยที่ 16 จำนวน 89,936 บาท จำเลยที่ 17 จำนวน 15,695 บาท จำเลยที่ 18 จำนวน 5,256 บาท จำเลยที่ 19 จำนวน 31,111 บาท จำเลยที่ 20จำนวน 69,932 บาท จำเลยที่ 21 จำนวน 76,942 บาท จำเลยที่ 22 จำนวน 20,440 บาท พร้อมดอกเบี้ย
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 9ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายเวลาการวางเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 154/1,153)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 154)
คำสั่ง
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของโจทก์ซึ่งขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา ไม่ใช่คำสั่งไม่รับฎีกา โจทก์ชอบที่จะอุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์จะยื่นเป็นฎีกาคำสั่งต่อศาลฎีกาไม่ได้ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 54ไม่รับอุทธรณ์
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ข้อ 1. ที่ว่า จำเลยไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะยกข้อต่อสู้ใด ๆ มากล่าวอ้างเพื่อที่จะไม่จ่ายเงินโบนัสประจำปี พ.ศ. 2534 ให้แก่โจทก์และอุทธรณ์ข้อ 2. ที่ว่า การที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกเอาข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายขึ้นมาวินิจฉัยจึงเป็นการ ไม่ชอบต่อกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้ด้วย
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 60)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ให้แก่โจทก์ 259,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 55)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 56)
คำสั่ง
โจทก์อุทธรณ์ข้อ 1. ว่า ตามเอกสารหมาย จ.3 แจ้งการย้าย โจทก์นั้นโจทก์จะได้รับสิทธิประโยชน์ในการทำงานเหมือนเดิม สิทธิประโยชน์ในการทำงานของโจทก์ที่ได้รับจากจำเลย เป็น ข้อตกลงของการจ้างทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติ หาใช่โดยจำเลย กำหนดเงื่อนไขการรับสิทธิประโยชน์เพียงฝ่ายเดียวไม่ จำเลย ไม่มีสิทธิไม่จ่ายโบนัสงวดสุดท้าย ในข้อนี้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์จะได้รับโบนัสงวดสุดท้ายตามระบบ ไอ.อาร์.เอส.หรือไม่ ต้องเป็นไปตามเงื่อนไข คือสามารถขายสินค้าและทำกำไร เข้าเป้าตามที่จำเลยกำหนด และมีความสามารถในการบริหาร ไม่ก่อปัญหาแก่บริษัท แต่ปี 2534 โจทก์ขายสินค้าไม่เข้าเป้า ทำให้จำเลยขาดทุนหลายแสนบาทถือได้ว่าโจทก์ไม่สามารถบริหารงาน ให้ลุล่วงไปด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้เป็นการโต้แย้งดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในปัญหา ข้อเท็จจริง ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ข้อ 2. ว่าจำเลยอ้าง เอกสารหมาย ล.4 แต่เป็นเอกสารที่ฝ่าฝืนกฎหมายคือเป็นสำเนา ภาพถ่ายมิใช่ต้นฉบับ ทั้งข้อความเป็นภาษาต่างประเทศ จำเลย มิได้แปลเป็นภาษาไทยยื่นต่อศาลจำเลยอ้างเอกสารดังกล่าว เป็นหลักต่อสู้คดีว่าโจทก์ขายสินค้าขาดทุนซึ่งรับฟังไม่ได้ ที่ศาลแรงงานกลางยกข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยจึงไม่ชอบ ปรากฏว่าในข้อนี้ศาลแรงงานกลางไม่ได้หยิบเอกสารหมาย ล.4 ดังที่ โจทก์กล่าวอ้างในอุทธรณ์ขึ้นมาเป็นเหตุผลรับฟังว่าโจทก์ ขายสินค้าขาดทุนเลย โจทก์กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย เป็นอุทธรณ์ในปัญหา ข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองข้อ ต้องห้าม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 54ไม่รับอุทธรณ์
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ข้อ 1. ที่ว่า จำเลยไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะยกข้อต่อสู้ใด ๆ มากล่าวอ้างเพื่อที่จะไม่จ่ายเงินโบนัสประจำปี พ.ศ. 2534 ให้แก่โจทก์และอุทธรณ์ข้อ 2. ที่ว่า การที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกเอาข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายขึ้นมาวินิจฉัยจึงเป็นการ ไม่ชอบต่อกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้ด้วย
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 60)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ให้แก่โจทก์ 259,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 55)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 56)
คำสั่ง
โจทก์อุทธรณ์ข้อ 1. ว่า ตามเอกสารหมาย จ.3 แจ้งการย้าย โจทก์นั้นโจทก์จะได้รับสิทธิประโยชน์ในการทำงานเหมือนเดิม สิทธิประโยชน์ในการทำงานของโจทก์ที่ได้รับจากจำเลย เป็น ข้อตกลงของการจ้างทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติ หาใช่โดยจำเลย กำหนดเงื่อนไขการรับสิทธิประโยชน์เพียงฝ่ายเดียวไม่ จำเลย ไม่มีสิทธิไม่จ่ายโบนัสงวดสุดท้าย ในข้อนี้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์จะได้รับโบนัสงวดสุดท้ายตามระบบ ไอ.อาร์.เอส.หรือไม่ ต้องเป็นไปตามเงื่อนไข คือสามารถขายสินค้าและทำกำไร เข้าเป้าตามที่จำเลยกำหนด และมีความสามารถในการบริหาร ไม่ก่อปัญหาแก่บริษัท แต่ปี 2534 โจทก์ขายสินค้าไม่เข้าเป้า ทำให้จำเลยขาดทุนหลายแสนบาทถือได้ว่าโจทก์ไม่สามารถบริหารงาน ให้ลุล่วงไปด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้เป็นการโต้แย้งดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในปัญหา ข้อเท็จจริง ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ข้อ 2. ว่าจำเลยอ้าง เอกสารหมาย ล.4 แต่เป็นเอกสารที่ฝ่าฝืนกฎหมายคือเป็นสำเนา ภาพถ่ายมิใช่ต้นฉบับ ทั้งข้อความเป็นภาษาต่างประเทศ จำเลย มิได้แปลเป็นภาษาไทยยื่นต่อศาลจำเลยอ้างเอกสารดังกล่าว เป็นหลักต่อสู้คดีว่าโจทก์ขายสินค้าขาดทุนซึ่งรับฟังไม่ได้ ที่ศาลแรงงานกลางยกข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยจึงไม่ชอบ ปรากฏว่าในข้อนี้ศาลแรงงานกลางไม่ได้หยิบเอกสารหมาย ล.4 ดังที่ โจทก์กล่าวอ้างในอุทธรณ์ขึ้นมาเป็นเหตุผลรับฟังว่าโจทก์ ขายสินค้าขาดทุนเลย โจทก์กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย เป็นอุทธรณ์ในปัญหา ข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองข้อ ต้องห้าม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์ข้อ 1. ว่าสิทธิประโยชน์ในการทำงานเป็นข้อตกลงของการจ้างจำเลยจะกำหนดเงื่อนไขการรับสิทธิประโยชน์ฝ่ายเดียวไม่ได้ซึ่งศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์จะได้รับโบนัสงวดสุดท้ายหรือไม่ ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขตามที่จำเลยกำหนด แต่โจทก์ไม่สามารถปฏิบัติได้ อุทธรณ์ข้อนี้เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงอุทธรณ์ข้อ 2. ว่าจำเลยอ้างเอกสารฝ่าฝืนกฎหมายเป็นหลักต่อสู้คดีว่าโจทก์ขายสินค้าขาดทุนจึงรับฟังไม่ได้ แต่ศาลแรงงานกลางมิได้หยิบยกเอกสารดังกล่าวขึ้นมาเป็นเหตุผลรับฟังว่าโจทก์ขายสินค้าขาดทุนเลยโจทก์กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ 259,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งว่า อุทธรณ์ข้อ 1. ที่ว่า จำเลยไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะยกข้อต่อสู้ใด ๆ มากล่าวอ้างเพื่อที่จะไม่จ่ายเงินโบนัสประจำปีพ.ศ. 2534 ให้แก่โจทก์ และอุทธรณ์ข้อ 2. ที่ว่า การที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกเอาข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายขึ้นมาวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบต่อกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "โจทก์อุทธรณ์ข้อ 1. ว่า ตามเอกสารหมาย จ.3แจ้งการย้ายโจทก์นั้น โจทก์จะได้รับสิทธิประโยชน์ในการทำงานเหมือนเดิม สิทธิประโยชน์ในการทำงานของโจทก์ที่ได้รับจากจำเลยเป็นข้อตกลงของการจ้าง ทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติ หาใช่จำเลยกำหนดเงื่อนไขการรับสิทธิประโยชน์เพียงฝ่ายเดียวไม่ จำเลยไม่มีสิทธิไม่จ่ายโบนัสงวดสุดท้าย ในข้อนี้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์จะได้รับโบนัสงวดสุดท้ายตามระบบ ไอ.อาร์.เอส หรือไม่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขคือสามารถขายสินค้าและทำกำไรเข้าเป้าตามที่จำเลยกำหนด และมีความสามารถในการบริหารไม่ก่อปัญหาแก่บริษัท แต่ปี 2534 โจทก์ขายสินค้าไม่เข้าเป้า ทำให้จำเลยขาดทุนหลายแสนบาท ถือได้ว่าโจทก์ไม่สามารถบริหารงานให้ลุล่วงไปด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ข้อ 2. ว่าจำเลยอ้างเอกสารหมาย ล.4 แต่เป็นเอกสารที่ฝ่าฝืนกฎหมายคือเป็นสำเนาภาพถ่ายมิใช่ต้นฉบับทั้งข้อความเป็นภาษาต่างประเทศ จำเลยมิได้แปลเป็นภาษาไทยยื่นต่อศาลจำเลยอ้างเอกสารดังกล่าวเป็นหลักต่อสู้คดีว่าโจทก์ขายสินค้าขาดทุนซึ่งรับฟังไม่ได้ ที่ศาลแรงงานกลางยกข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยจึงไม่ชอบ ปรากฏว่าในข้อนี้ศาลแรงงานกลางไม่ได้หยิบยกเอกสารหมาย ล.4 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในอุทธรณ์ขึ้นมาเป็นเหตุผลรับฟังว่าโจทก์ขายสินค้าขาดทุนเลย โจทก์กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่นำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองข้อต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง"
โจทก์อุทธรณ์ข้อ 1. ว่าสิทธิประโยชน์ในการทำงานเป็นข้อตกลงของการจ้างจำเลยจะกำหนดเงื่อนไขการรับสิทธิประโยชน์ฝ่ายเดียวไม่ได้ซึ่งศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์จะได้รับโบนัสงวดสุดท้ายหรือไม่ ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขตามที่จำเลยกำหนด แต่โจทก์ไม่สามารถปฏิบัติได้ อุทธรณ์ข้อนี้เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงอุทธรณ์ข้อ 2. ว่าจำเลยอ้างเอกสารฝ่าฝืนกฎหมายเป็นหลักต่อสู้คดีว่าโจทก์ขายสินค้าขาดทุนจึงรับฟังไม่ได้ แต่ศาลแรงงานกลางมิได้หยิบยกเอกสารดังกล่าวขึ้นมาเป็นเหตุผลรับฟังว่าโจทก์ขายสินค้าขาดทุนเลยโจทก์กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ 259,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งว่า อุทธรณ์ข้อ 1. ที่ว่า จำเลยไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะยกข้อต่อสู้ใด ๆ มากล่าวอ้างเพื่อที่จะไม่จ่ายเงินโบนัสประจำปีพ.ศ. 2534 ให้แก่โจทก์ และอุทธรณ์ข้อ 2. ที่ว่า การที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกเอาข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายขึ้นมาวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบต่อกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "โจทก์อุทธรณ์ข้อ 1. ว่า ตามเอกสารหมาย จ.3แจ้งการย้ายโจทก์นั้น โจทก์จะได้รับสิทธิประโยชน์ในการทำงานเหมือนเดิม สิทธิประโยชน์ในการทำงานของโจทก์ที่ได้รับจากจำเลยเป็นข้อตกลงของการจ้าง ทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติ หาใช่จำเลยกำหนดเงื่อนไขการรับสิทธิประโยชน์เพียงฝ่ายเดียวไม่ จำเลยไม่มีสิทธิไม่จ่ายโบนัสงวดสุดท้าย ในข้อนี้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์จะได้รับโบนัสงวดสุดท้ายตามระบบ ไอ.อาร์.เอส หรือไม่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขคือสามารถขายสินค้าและทำกำไรเข้าเป้าตามที่จำเลยกำหนด และมีความสามารถในการบริหารไม่ก่อปัญหาแก่บริษัท แต่ปี 2534 โจทก์ขายสินค้าไม่เข้าเป้า ทำให้จำเลยขาดทุนหลายแสนบาท ถือได้ว่าโจทก์ไม่สามารถบริหารงานให้ลุล่วงไปด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ข้อ 2. ว่าจำเลยอ้างเอกสารหมาย ล.4 แต่เป็นเอกสารที่ฝ่าฝืนกฎหมายคือเป็นสำเนาภาพถ่ายมิใช่ต้นฉบับทั้งข้อความเป็นภาษาต่างประเทศ จำเลยมิได้แปลเป็นภาษาไทยยื่นต่อศาลจำเลยอ้างเอกสารดังกล่าวเป็นหลักต่อสู้คดีว่าโจทก์ขายสินค้าขาดทุนซึ่งรับฟังไม่ได้ ที่ศาลแรงงานกลางยกข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยจึงไม่ชอบ ปรากฏว่าในข้อนี้ศาลแรงงานกลางไม่ได้หยิบยกเอกสารหมาย ล.4 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในอุทธรณ์ขึ้นมาเป็นเหตุผลรับฟังว่าโจทก์ขายสินค้าขาดทุนเลย โจทก์กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่นำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองข้อต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง"
ความว่า ผู้ร้องอุทธรณ์ เนื่องจากผู้คัดค้านที่ 2 ได้ ลาออกจากการเป็นพนักงานของผู้ร้องแล้ว เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2536 ผู้ร้องจึงขอถอนอุทธรณ์เฉพาะผู้คัดค้านที่ 2 โปรดอนุญาต
หมายเหตุ ผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 32)
คดีทั้งห้าสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณากับคดีอีกหนึ่งสำนวน ซึ่งผู้ร้องขอถอนคำร้อง ในระหว่างพิจารณา โดยเรียกผู้คัดค้านทั้งห้าสำนวนเป็นผู้คัดค้านที่1ที่ 2และผู้คัดค้านที่ 4ถึงที่ 6 ตามลำดับ
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ด้วยการพักงานโดยไม่จ่ายค่าจ้าง มีกำหนดคนละ 7 วัน
ผู้ร้องอุทธรณ์และแก้ไขอุทธรณ์ (อันดับ 27,33)
ผู้ร้องยื่นคำร้องดังกล่าวโดยทนายผู้ร้องซึ่งมีอำนาจถอนฟ้องลงชื่อ ในคำร้อง (อันดับ 30,2)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้ผู้ร้องถอนอุทธรณ์สำหรับผู้คัดค้านที่ 2ได้ ให้จำหน่ายคดีเฉพาะผู้คัดค้านที่ 2 ออกเสียจากสารบบความศาลฎีกา
ความว่า ผู้ร้องอุทธรณ์ เนื่องจากผู้คัดค้านที่ 2 ได้ ลาออกจากการเป็นพนักงานของผู้ร้องแล้ว เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2536 ผู้ร้องจึงขอถอนอุทธรณ์เฉพาะผู้คัดค้านที่ 2 โปรดอนุญาต
หมายเหตุ ผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 32)
คดีทั้งห้าสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณากับคดีอีกหนึ่งสำนวน ซึ่งผู้ร้องขอถอนคำร้อง ในระหว่างพิจารณา โดยเรียกผู้คัดค้านทั้งห้าสำนวนเป็นผู้คัดค้านที่1ที่ 2และผู้คัดค้านที่ 4ถึงที่ 6 ตามลำดับ
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ด้วยการพักงานโดยไม่จ่ายค่าจ้าง มีกำหนดคนละ 7 วัน
ผู้ร้องอุทธรณ์และแก้ไขอุทธรณ์ (อันดับ 27,33)
ผู้ร้องยื่นคำร้องดังกล่าวโดยทนายผู้ร้องซึ่งมีอำนาจถอนฟ้องลงชื่อ ในคำร้อง (อันดับ 30,2)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้ผู้ร้องถอนอุทธรณ์สำหรับผู้คัดค้านที่ 2ได้ ให้จำหน่ายคดีเฉพาะผู้คัดค้านที่ 2 ออกเสียจากสารบบความศาลฎีกา
ความว่า เนื่องจากนายเฉลิม เชื้อเพ็ชร์ ผู้คัดค้านที่ 1ได้ถึงแก่กรรมลงเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2536 นางสมบุญ เชื้อเพ็ชร์ซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้คัดค้านที่ 1 มีความประสงค์ขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ ผู้คัดค้านที่ 1 ผู้มรณะโปรดอนุญาต
หมายเหตุ ผู้ร้องได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 121)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 13822 และ 13823ตำบลเขาสามยอด อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี เป็น กรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ ตาม กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดี ในศาลอุทธรณ์รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง (อันดับ 97,103)
นางสมบุญ เชื้อเพ็ชร์ ยื่นคำร้องดังกล่าว ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว (อันดับ 117 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้นางสมบุญ เชื้อเพ็ชร เข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้คัดค้านที่ 1 ผู้มรณะได้ตามคำร้อง
ความว่า เนื่องจากนายเฉลิม เชื้อเพ็ชร์ ผู้คัดค้านที่ 1ได้ถึงแก่กรรมลงเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2536 นางสมบุญ เชื้อเพ็ชร์ซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้คัดค้านที่ 1 มีความประสงค์ขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ ผู้คัดค้านที่ 1 ผู้มรณะโปรดอนุญาต
หมายเหตุ ผู้ร้องได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 121)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 13822 และ 13823ตำบลเขาสามยอด อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี เป็น กรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ ตาม กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดี ในศาลอุทธรณ์รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง (อันดับ 97,103)
นางสมบุญ เชื้อเพ็ชร์ ยื่นคำร้องดังกล่าว ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว (อันดับ 117 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้นางสมบุญ เชื้อเพ็ชร เข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้คัดค้านที่ 1 ผู้มรณะได้ตามคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้น มิได้รับรอง จึงไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า จำเลยครอบครองที่พิพาท โดยอาศัยที่ดินของโจทก์หรือไม่ และจำเลยขอออก น.ส.3 ทับที่ดินของโจทก์ได้อย่างไร เป็นปัญหาข้อเท็จจริง เกี่ยวพันกับปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกา ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 119)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินตาม น.ส.3 เล่ม 2หน้า 177 สารบบเลขที่ 161 ตำบลหว้านใหญ่ อำเภอมุกดาหารจังหวัดนครพนม เป็นของโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศใต้ ขอให้จำเลยเพิกถอนน.ส.3 เล่ม 56 สารบบเลขที่ 275 เนื้อที่ 24 ไร่ 2 งาน ที่ออกทับที่ดินโจทก์ และ ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 10,000 บาทแก่โจทก์ และค่าเสียหายอีกปีละ 10,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกไปจาก ที่ดินโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 114)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 116)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกที่โจทก์ ฎีกาว่า โจทก์ให้จำเลย อาศัยปลูกอ้อยในที่ดินพิพาทเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง การรับฟังพยานหลักฐานของศาลที่ฟังว่า จำเลยครอบครอง ที่ดินพิพาทโดยไม่ได้อาศัยโจทก์จำเลยได้สิทธิครอบครอง ที่ดินพิพาทจึงเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม บทบัญญัติมาตรา ดังกล่าว ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยลักลอบออกน.ส.3ในที่ดินพิพาทเมื่อศาลฟังว่าจำเลยครอบครอบ ที่ดินพิพาทเพื่อตนไม่มีเหตุที่จะเพิกถอน น..3 ของจำเลย ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้าม ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกา ของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้น มิได้รับรอง จึงไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า จำเลยครอบครองที่พิพาท โดยอาศัยที่ดินของโจทก์หรือไม่ และจำเลยขอออก น.ส.3 ทับที่ดินของโจทก์ได้อย่างไร เป็นปัญหาข้อเท็จจริง เกี่ยวพันกับปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกา ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 119)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินตาม น.ส.3 เล่ม 2หน้า 177 สารบบเลขที่ 161 ตำบลหว้านใหญ่ อำเภอมุกดาหารจังหวัดนครพนม เป็นของโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศใต้ ขอให้จำเลยเพิกถอนน.ส.3 เล่ม 56 สารบบเลขที่ 275 เนื้อที่ 24 ไร่ 2 งาน ที่ออกทับที่ดินโจทก์ และ ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 10,000 บาทแก่โจทก์ และค่าเสียหายอีกปีละ 10,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกไปจาก ที่ดินโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 114)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 116)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกที่โจทก์ ฎีกาว่า โจทก์ให้จำเลย อาศัยปลูกอ้อยในที่ดินพิพาทเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง การรับฟังพยานหลักฐานของศาลที่ฟังว่า จำเลยครอบครอง ที่ดินพิพาทโดยไม่ได้อาศัยโจทก์จำเลยได้สิทธิครอบครอง ที่ดินพิพาทจึงเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม บทบัญญัติมาตรา ดังกล่าว ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยลักลอบออกน.ส.3ในที่ดินพิพาทเมื่อศาลฟังว่าจำเลยครอบครอบ ที่ดินพิพาทเพื่อตนไม่มีเหตุที่จะเพิกถอน น..3 ของจำเลย ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้าม ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกา ของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาข้อ 2.1ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเป็นการโอนลิขสิทธิ์ส่วนจำเลย เถียงว่าเป็นเพียงการขายให้สิทธิ ในการฉายโจทก์ร่วม จึงมิใช่ผู้เสียหายเป็นการเถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำมาสู่ปัญหาข้อกฎหมายฎีกาข้อนี้จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ส่วนฎีกาข้อ 2.3จำเลยเถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ รับฟังว่า นายหอมมีอำนาจมอบอำนาจช่วงให้นายสมชาติ แซ่ตั้งดำเนินคดีแทน โดยอาศัยหนังสือมอบอำนาจจากโจทก์ร่วม จึงเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงเช่นกัน ต้องห้ามฎีกา ส่วนฎีกาข้อ 2.2 จำเลยเถียงว่า หนังสือมอบอำนาจมิได้ปิดอากร จึงรับฟัง เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ให้รับฎีกา เฉพาะข้อนี้ไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาข้อ 2.1 ที่ว่าโจทก์และโจทก์ร่วมไม่อยู่ในฐานะผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจเป็นโจทก์และโจทก์ร่วม ในคดีนี้และฎีกาข้อ 2.3 ที่ว่า การมอบอำนาจเกี่ยวกับ การดำเนินคดีนี้เป็นไปโดยมิชอบ ไม่ผูกพันจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้นโปรดมีคำสั่งรับฎีกา ของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 129)
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น นายศิริศักดิ์ จึงอนุเคราะห์ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 25(2),27(1)(2),43 วรรคสอง,44 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,90 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 25(2),43 วรรคสอง ที่มีโทษหนักที่สุด ให้ปรับคนละ 20,000 บาท
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 127)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 129)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาข้อ 2.1 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าบริษัทกรุ๊ฟโฟร์โปรดักชั่นจำกัดขายลิขสิทธิ์ภาพยนต์เรื่องบ้านผีปอบภาค 2 ให้แก่โจทก์ร่วม จำเลยฎีกาว่า บริษัทดังกล่าวมิได้ขายลิขสิทธิ์ แต่เป็นการให้สิทธิในการ ฉายภาพยนต์ เป็นการเถียงพยานหลักฐานที่ศาลอุทธรณ์รับฟังจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ส่วนฎีกาข้อ 2.3 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า นายหอมมอบอำนาจตามที่ได้รับมาจากโจทก์ร่วมให้แก่นายสมชาติดำเนินคดีแทน มิได้มอบให้ฐานะผู้มีลิขสิทธิ์ จำเลยฎีกา ว่านายหอมไม่มีอำนาจที่จะมอบให้แก่นายสมชาติ การมอบอำนาจไม่ผูกพันจำเลยทั้งสองให้ต้องยอมรับเท่ากับเป็นการเถียงว่านายหอมไม่ได้รับมอบอำนาจมาจึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ศาลชั้นต้น ไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองดังกล่าวชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาข้อ 2.1ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเป็นการโอนลิขสิทธิ์ส่วนจำเลย เถียงว่าเป็นเพียงการขายให้สิทธิ ในการฉายโจทก์ร่วม จึงมิใช่ผู้เสียหายเป็นการเถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำมาสู่ปัญหาข้อกฎหมายฎีกาข้อนี้จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ส่วนฎีกาข้อ 2.3จำเลยเถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ รับฟังว่า นายหอมมีอำนาจมอบอำนาจช่วงให้นายสมชาติ แซ่ตั้งดำเนินคดีแทน โดยอาศัยหนังสือมอบอำนาจจากโจทก์ร่วม จึงเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงเช่นกัน ต้องห้ามฎีกา ส่วนฎีกาข้อ 2.2 จำเลยเถียงว่า หนังสือมอบอำนาจมิได้ปิดอากร จึงรับฟัง เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ให้รับฎีกา เฉพาะข้อนี้ไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาข้อ 2.1 ที่ว่าโจทก์และโจทก์ร่วมไม่อยู่ในฐานะผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจเป็นโจทก์และโจทก์ร่วม ในคดีนี้และฎีกาข้อ 2.3 ที่ว่า การมอบอำนาจเกี่ยวกับ การดำเนินคดีนี้เป็นไปโดยมิชอบ ไม่ผูกพันจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้นโปรดมีคำสั่งรับฎีกา ของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 129)
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น นายศิริศักดิ์ จึงอนุเคราะห์ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 25(2),27(1)(2),43 วรรคสอง,44 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,90 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 25(2),43 วรรคสอง ที่มีโทษหนักที่สุด ให้ปรับคนละ 20,000 บาท
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 127)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 129)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาข้อ 2.1 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าบริษัทกรุ๊ฟโฟร์โปรดักชั่นจำกัดขายลิขสิทธิ์ภาพยนต์เรื่องบ้านผีปอบภาค 2 ให้แก่โจทก์ร่วม จำเลยฎีกาว่า บริษัทดังกล่าวมิได้ขายลิขสิทธิ์ แต่เป็นการให้สิทธิในการ ฉายภาพยนต์ เป็นการเถียงพยานหลักฐานที่ศาลอุทธรณ์รับฟังจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ส่วนฎีกาข้อ 2.3 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า นายหอมมอบอำนาจตามที่ได้รับมาจากโจทก์ร่วมให้แก่นายสมชาติดำเนินคดีแทน มิได้มอบให้ฐานะผู้มีลิขสิทธิ์ จำเลยฎีกา ว่านายหอมไม่มีอำนาจที่จะมอบให้แก่นายสมชาติ การมอบอำนาจไม่ผูกพันจำเลยทั้งสองให้ต้องยอมรับเท่ากับเป็นการเถียงว่านายหอมไม่ได้รับมอบอำนาจมาจึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ศาลชั้นต้น ไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองดังกล่าวชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี หากจำเลยได้รับเงินค่าทดแทนจำนวน 484,581 บาท ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง อายัดไว้จากการทางพิเศษแห่งประเทศไทยคืนไปจากศาลหากศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วอาจทำให้โจทก์ไม่สามารถบังคับคดีได้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโปรดมีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงินจำนวน 484,581 บาทไว้จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยทั้งสองแถลงคัดค้าน (อันดับ 210)
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งอายัดเงินจำนวน484,581 บาทจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ตามคำร้องของ โจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้อง ว่าคำสั่งอายัดเงินดังกล่าวไม่มีความจำเป็นเพื่อบังคับ ตามคำพิพากษาแล้ว จำเลยทั้งสองจึงขอรับเงินจำนวน 484,581 บาทที่โจทก์ได้ขออายัดไว้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นจ่ายเงินค่าทดแทนจำนวน 484,581 บาท ตามที่อายัดไว้จาก การทางพิเศษแห่งประเทศไทยให้แก่จำเลยทั้งสอง
โจทก์ฎีกาและยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 188,199)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้ระงับการจ่ายเงินแก่จำเลยทั้งสองไว้ในระหว่างฎีกา
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี หากจำเลยได้รับเงินค่าทดแทนจำนวน 484,581 บาท ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง อายัดไว้จากการทางพิเศษแห่งประเทศไทยคืนไปจากศาลหากศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วอาจทำให้โจทก์ไม่สามารถบังคับคดีได้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโปรดมีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงินจำนวน 484,581 บาทไว้จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยทั้งสองแถลงคัดค้าน (อันดับ 210)
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งอายัดเงินจำนวน484,581 บาทจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ตามคำร้องของ โจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้อง ว่าคำสั่งอายัดเงินดังกล่าวไม่มีความจำเป็นเพื่อบังคับ ตามคำพิพากษาแล้ว จำเลยทั้งสองจึงขอรับเงินจำนวน 484,581 บาทที่โจทก์ได้ขออายัดไว้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นจ่ายเงินค่าทดแทนจำนวน 484,581 บาท ตามที่อายัดไว้จาก การทางพิเศษแห่งประเทศไทยให้แก่จำเลยทั้งสอง
โจทก์ฎีกาและยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 188,199)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้ระงับการจ่ายเงินแก่จำเลยทั้งสองไว้ในระหว่างฎีกา
ความว่า โจทก์ฎีกา และต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฎีกา การกระทำของโจทก์ทำให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้เสียหายได้รับความเสียหายและคดีนี้ศาลล่างทั้งสองศาลมีความเห็นแย้งกันอยู่จึงสมควรให้ศาลสูงเป็นผู้วินิจฉัย ผู้ร้องขอไม่ถอนฎีกาและขอให้ศาลโปรดรับฎีกาของโจทก์ไว้ด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ลงโทษจำคุก 1 ปี
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา (อันดับ 83 แผ่นที่ 2)
โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฎีกา (อันดับ 95)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตแล้ว ผู้ร้องเป็นเพียงผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจยื่นคำร้องคัดค้าน ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา และต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฎีกา การกระทำของโจทก์ทำให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้เสียหายได้รับความเสียหายและคดีนี้ศาลล่างทั้งสองศาลมีความเห็นแย้งกันอยู่จึงสมควรให้ศาลสูงเป็นผู้วินิจฉัย ผู้ร้องขอไม่ถอนฎีกาและขอให้ศาลโปรดรับฎีกาของโจทก์ไว้ด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ลงโทษจำคุก 1 ปี
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา (อันดับ 83 แผ่นที่ 2)
โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฎีกา (อันดับ 95)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตแล้ว ผู้ร้องเป็นเพียงผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจยื่นคำร้องคัดค้าน ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221(ที่ถูกเป็นมาตรา 220) ไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ข้อ 1 ในประเด็นที่ว่าการกระทำ ความผิดของจำเลยทั้งสี่กับพวกมีเจตนาหรือไม่ฎีกาข้อ 2 ในประเด็น ที่ว่า การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เป็นการปรับข้อกฎหมายเข้ากับข้อเท็จจริงไม่ถูกต้อง ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และในฎีกาข้อ 3 ในประเด็นที่ว่า ศาลวินิจฉัยไม่ครบประเด็น การที่ศาลรวบข้ามประเด็น ในคดีไปการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายฎีกาของโจทก์ทั้ง 3 ข้อ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน สมควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลสูงโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ทนายจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 100)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,91,358,359(4),362,365(2)
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 99)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 100)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค1พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221(ที่ถูกเป็นมาตรา 220) ไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ข้อ 1 ในประเด็นที่ว่าการกระทำ ความผิดของจำเลยทั้งสี่กับพวกมีเจตนาหรือไม่ฎีกาข้อ 2 ในประเด็น ที่ว่า การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เป็นการปรับข้อกฎหมายเข้ากับข้อเท็จจริงไม่ถูกต้อง ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และในฎีกาข้อ 3 ในประเด็นที่ว่า ศาลวินิจฉัยไม่ครบประเด็น การที่ศาลรวบข้ามประเด็น ในคดีไปการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายฎีกาของโจทก์ทั้ง 3 ข้อ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน สมควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลสูงโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ทนายจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 100)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,91,358,359(4),362,365(2)
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 99)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 100)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค1พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า คำร้องนี้สืบเนื่องมาจากจำเลยทั้งสามฎีกาศาลชั้นต้น มีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสามฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงคดีนี้เป็นคดีฟ้อง ขับไล่บุคคลออกจากอสังหาริมทรัพย์ อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะ ยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ฎีกาของจำเลยทั้งสาม จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ที่แก้ไขแล้ว จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ฉบับแรก เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2536 และศาลฎีกาได้มี คำสั่งให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม เสีย และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตีราคาที่ดินพิพาทคำนวณ ค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสามชำระให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อน แล้วจึงมีคำสั่งฎีกาของจำเลยทั้งสามใหม่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ต่อไป
ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการตีราคาที่ดินพิพาทแล้ว มีราคา1,200 บาทและมีคำสั่งว่า ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าที่ดินพิพาทนี้มีราคา 1,200 บาท และเกี่ยวกับฎีกาของจำเลยฉบับลงวันที่ 1 มิถุนายน 2536 นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามเห็นว่า ฎีกาที่ว่าการครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยนั้น เป็นการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย และคดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยต่อสู้ โต้แย้งในเรื่องกรรมสิทธิ์ โจทก์จะต้องเสียค่าขึ้นศาลอย่าง คดีมีทุนทรัพย์ การที่โจทก์มิได้เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ ฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความ สงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของ จำเลยทั้งสามไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ได้ถึงแก่กรรม จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทายาทของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้า เป็นคู่ความ แทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนบ้านเลขที่ 34,35 ส่วนที่รุกล้ำและออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 14040 และ 14041 ตำบลโพนางดำออก(โพนางดำ)อำเภอสรรพยา(อินทร์บุรี)จังหวัดชัยนาท (สิงห์บุรี) ของโจทก์ทั้งสองให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงินปีละ 500 บาทนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนบ้านและออกไปจากที่ดินดังกล่าว
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของ
จำเลยทั้งสาม (อันดับ 168)
จำเลยทั้งสามได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา(ฉบับแรก) และศาลฎีกามีคำสั่งว่า ให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับฎีกาของ จำเลยทั้งสามเสียและให้ศาลชั้นต้นดำเนินการ ตีราคาที่ดินพิพาทคำนวณ ค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสามชำระให้ ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อน แล้วจึงมี คำสั่งฎีกาของจำเลยทั้งสามใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 ต่อไป(คำสั่งคำร้องที่ 1606/36)(อันดับ 170,184)
ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการตีราคาที่ดินพิพาทแล้วมีคำสั่งว่าศาล พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าที่ดินพิพาทนี้มีราคา 1,200 บาทและเกี่ยวกับฎีกาของจำเลยฉบับลงวันที่ 1 มิถุนายน 2536 นั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม (อันดับ 193)
จำเลยทั้งสามจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 199)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสามที่ว่า จำเลยทั้งสามครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วนั้น เป็นการอุทธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ส่วนที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ การที่โจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้เสียค่าขึ้นศาล อย่างคดีมีทุนทรัพย์ ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น จำเลยทั้งสามมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์ และไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสามชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า คำร้องนี้สืบเนื่องมาจากจำเลยทั้งสามฎีกาศาลชั้นต้น มีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสามฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงคดีนี้เป็นคดีฟ้อง ขับไล่บุคคลออกจากอสังหาริมทรัพย์ อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะ ยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ฎีกาของจำเลยทั้งสาม จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ที่แก้ไขแล้ว จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ฉบับแรก เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2536 และศาลฎีกาได้มี คำสั่งให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม เสีย และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตีราคาที่ดินพิพาทคำนวณ ค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสามชำระให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อน แล้วจึงมีคำสั่งฎีกาของจำเลยทั้งสามใหม่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ต่อไป
ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการตีราคาที่ดินพิพาทแล้ว มีราคา1,200 บาทและมีคำสั่งว่า ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าที่ดินพิพาทนี้มีราคา 1,200 บาท และเกี่ยวกับฎีกาของจำเลยฉบับลงวันที่ 1 มิถุนายน 2536 นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามเห็นว่า ฎีกาที่ว่าการครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยนั้น เป็นการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย และคดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยต่อสู้ โต้แย้งในเรื่องกรรมสิทธิ์ โจทก์จะต้องเสียค่าขึ้นศาลอย่าง คดีมีทุนทรัพย์ การที่โจทก์มิได้เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ ฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความ สงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของ จำเลยทั้งสามไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ได้ถึงแก่กรรม จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทายาทของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้า เป็นคู่ความ แทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนบ้านเลขที่ 34,35 ส่วนที่รุกล้ำและออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 14040 และ 14041 ตำบลโพนางดำออก(โพนางดำ)อำเภอสรรพยา(อินทร์บุรี)จังหวัดชัยนาท (สิงห์บุรี) ของโจทก์ทั้งสองให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงินปีละ 500 บาทนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนบ้านและออกไปจากที่ดินดังกล่าว
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของ
จำเลยทั้งสาม (อันดับ 168)
จำเลยทั้งสามได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา(ฉบับแรก) และศาลฎีกามีคำสั่งว่า ให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับฎีกาของ จำเลยทั้งสามเสียและให้ศาลชั้นต้นดำเนินการ ตีราคาที่ดินพิพาทคำนวณ ค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสามชำระให้ ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อน แล้วจึงมี คำสั่งฎีกาของจำเลยทั้งสามใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 ต่อไป(คำสั่งคำร้องที่ 1606/36)(อันดับ 170,184)
ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการตีราคาที่ดินพิพาทแล้วมีคำสั่งว่าศาล พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าที่ดินพิพาทนี้มีราคา 1,200 บาทและเกี่ยวกับฎีกาของจำเลยฉบับลงวันที่ 1 มิถุนายน 2536 นั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม (อันดับ 193)
จำเลยทั้งสามจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 199)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสามที่ว่า จำเลยทั้งสามครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วนั้น เป็นการอุทธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ส่วนที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ การที่โจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้เสียค่าขึ้นศาล อย่างคดีมีทุนทรัพย์ ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น จำเลยทั้งสามมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์ และไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสามชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จึงไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์เห็นว่า ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6527/2534 ศาลชั้นต้น ยังไม่วินิจฉัยในฟ้อง คดีย่อมยังไม่ระงับไปโดยชัดเจน ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคแรกโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคแรก ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5),39(2) และให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน5,225 บาท แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การกระทำของจำเลยตามฟ้องโจทก์เคยยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6527/2534โจทก์นำคดีมาฟ้องอีก จึงเป็นฟ้องซ้ำ ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 12)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 13)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์นั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของ โจทก์
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จึงไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์เห็นว่า ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6527/2534 ศาลชั้นต้น ยังไม่วินิจฉัยในฟ้อง คดีย่อมยังไม่ระงับไปโดยชัดเจน ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคแรกโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคแรก ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5),39(2) และให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน5,225 บาท แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การกระทำของจำเลยตามฟ้องโจทก์เคยยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6527/2534โจทก์นำคดีมาฟ้องอีก จึงเป็นฟ้องซ้ำ ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 12)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 13)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์นั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของ โจทก์
ความว่า โจทก์ฎีกา ขณะนี้จำเลยกำลังดำเนินการรังวัดที่ดินพิพาท เพื่อจดทะเบียนโอนแบ่งแยกให้แก่ผู้อื่น โดยเจตนายักย้ายไปเสียให้พ้นจากอำนาจศาล หากโจทก์ชนะคดีก็ไม่อาจจะบังคับคดีเอาแก่จำเลยได้ ขอให้ศาลฎีกาได้โปรดไต่สวนคำร้อง และมีคำสั่งให้อายัดที่ดินพิพาทไว้ก่อน โปรดอนุญาต
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินตามโฉนดตราจองที่ 516 หน้า 16เล่ม 6 เนื้อที่ 43 ไร่ 2 งาน ที่ดินตั้งอยู่ที่ตำบลทนงอำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร ลงวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2530ระหว่างจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ "นายเปลื้องสามีอำแดงสุกภรรยา" กับ จำเลยในฐานะผู้รับมรดกของ"นายเปลื้องสามีอำแดงสุกภรรยา" ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดพิจิตร(สาขาตะพานหิน) หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา (อันดับ 40)
ทนายโจทก์ยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 47)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ให้ระงับการจดทะเบียนแบ่งแยก หรือการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทไว้ในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งนี้ให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ
ความว่า โจทก์ฎีกา ขณะนี้จำเลยกำลังดำเนินการรังวัดที่ดินพิพาท เพื่อจดทะเบียนโอนแบ่งแยกให้แก่ผู้อื่น โดยเจตนายักย้ายไปเสียให้พ้นจากอำนาจศาล หากโจทก์ชนะคดีก็ไม่อาจจะบังคับคดีเอาแก่จำเลยได้ ขอให้ศาลฎีกาได้โปรดไต่สวนคำร้อง และมีคำสั่งให้อายัดที่ดินพิพาทไว้ก่อน โปรดอนุญาต
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินตามโฉนดตราจองที่ 516 หน้า 16เล่ม 6 เนื้อที่ 43 ไร่ 2 งาน ที่ดินตั้งอยู่ที่ตำบลทนงอำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร ลงวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2530ระหว่างจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ "นายเปลื้องสามีอำแดงสุกภรรยา" กับ จำเลยในฐานะผู้รับมรดกของ"นายเปลื้องสามีอำแดงสุกภรรยา" ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดพิจิตร(สาขาตะพานหิน) หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา (อันดับ 40)
ทนายโจทก์ยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 47)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ให้ระงับการจดทะเบียนแบ่งแยก หรือการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทไว้ในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งนี้ให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันที่ 26 สิงหาคม 2536จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลาที่ศาลขยายเวลาให้ ส่วนจำเลยที่ 3 มิได้ขอขยายเวลา จึงรับเป็นฎีกาเฉพาะของ จำเลยที่ 1 ที่ 2 สำหรับฎีกาของจำเลยที่ 3 ไม่รับ
นายฉลอง จันทร์หอม ทนายจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2536โดยอ้างว่าเป็นทนายจำเลยทั้งสาม แต่ในคำร้องขอขยายระยะเวลา ฎีกานั้น ได้พิมพ์จำเลยที่ 3 ตกหล่น ไป เพื่อให้ความเป็นธรรม แก่จำเลยที่ 3 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาและคำร้องขอทุเลาการ บังคับคดีของจำเลยที่ 3 ด้วย และจำเลยที่ 3ขอใช้หลักทรัพย์ ซึ่งได้จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ในคดีนี้ไว้กับโจทก์ เป็นประกันต่อศาลในการอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งว่า หลักประกันที่จำเลยที่ 3 อ้างตามคำร้องเป็นทรัพย์พิพาทในคดีนี้ หาใช่หลักประกันตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 จึงให้จำเลยที่ 3เสนอหลักประกันเข้ามาใหม่
จำเลยที่ 3 เห็นว่า ถ้อยคำและความมุ่งหมายของกฎหมายไม่มีส่วนใดห้ามไม่ให้นำทรัพย์ที่จดทะเบียนจำนองไว้มาใช้เป็นหลักประกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234และหลักทรัพย์ที่จำเลยที่ 3 จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ไว้กับโจทก์ มีราคาเกินกว่าจำนวนเงินตามคำพิพากษาอยู่หลายเท่าตัว โปรดมีคำสั่งให้รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 ไว้พิจารณา โดยอนุญาตให้จำเลยที่ 3 ใช้ทรัพย์จำนองเป็นหลักประกันในการอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วแถลงคัดค้าน(อันดับ 92)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตาม บัญชีเดินสะพัดแก่โจทก์ จำนวน 14,509.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 เมษายน 2530 จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องมิให้เกิน 3,416.74 บาท และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามสัญญากู้จำนวน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จดอกเบี้ยถึงวันฟ้องมิให้เกิน 480,821.85 บาท หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์สิน ของจำเลยที่ 3 คือที่ดินโฉนดเลขที่ 7605เลขที่ดิน 1106 ตำบลช่องนนทรีย์ (บางโพงพาง) อำเภอยานนาวา กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ในฐานะเจ้าหนี้จำนองในวงเงินต้น 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในเงินต้นจำนวนดังกล่าว หากไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระ หนี้ให้แก่โจทก์จนครบ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาเฉพาะของจำเลยที่ 1 ที่ 2(อันดับ 83)
ทนายจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาในส่วนของจำเลยที่ 3 โดยใช้หลักทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ในคดีนี้ไว้กับโจทก์เป็นประกันต่อศาลในการอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ให้เสนอหลักประกันเข้ามาใหม่ (อันดับ 85)
ทนายจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้(อันดับ 87)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้จำเลยที่ 3 ถือเอาทรัพย์ที่จำนองเป็นประกันได้ แต่ให้ศาลชั้นต้นตีราคาหลักทรัพย์ที่จำนองว่าพอกับจำนวนหนี้ที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ ถ้าไม่พอก็ให้จำเลยที่ 3 วางเงินหรือหาหลักประกันมาเพิ่มให้ เป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็ให้รับคำร้อง อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 ถ้าจำเลยที่ 3 ไม่ปฏิบัติ ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นก็ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันที่ 26 สิงหาคม 2536จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลาที่ศาลขยายเวลาให้ ส่วนจำเลยที่ 3 มิได้ขอขยายเวลา จึงรับเป็นฎีกาเฉพาะของ จำเลยที่ 1 ที่ 2 สำหรับฎีกาของจำเลยที่ 3 ไม่รับ
นายฉลอง จันทร์หอม ทนายจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2536โดยอ้างว่าเป็นทนายจำเลยทั้งสาม แต่ในคำร้องขอขยายระยะเวลา ฎีกานั้น ได้พิมพ์จำเลยที่ 3 ตกหล่น ไป เพื่อให้ความเป็นธรรม แก่จำเลยที่ 3 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาและคำร้องขอทุเลาการ บังคับคดีของจำเลยที่ 3 ด้วย และจำเลยที่ 3ขอใช้หลักทรัพย์ ซึ่งได้จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ในคดีนี้ไว้กับโจทก์ เป็นประกันต่อศาลในการอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งว่า หลักประกันที่จำเลยที่ 3 อ้างตามคำร้องเป็นทรัพย์พิพาทในคดีนี้ หาใช่หลักประกันตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 จึงให้จำเลยที่ 3เสนอหลักประกันเข้ามาใหม่
จำเลยที่ 3 เห็นว่า ถ้อยคำและความมุ่งหมายของกฎหมายไม่มีส่วนใดห้ามไม่ให้นำทรัพย์ที่จดทะเบียนจำนองไว้มาใช้เป็นหลักประกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234และหลักทรัพย์ที่จำเลยที่ 3 จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ไว้กับโจทก์ มีราคาเกินกว่าจำนวนเงินตามคำพิพากษาอยู่หลายเท่าตัว โปรดมีคำสั่งให้รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 ไว้พิจารณา โดยอนุญาตให้จำเลยที่ 3 ใช้ทรัพย์จำนองเป็นหลักประกันในการอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วแถลงคัดค้าน(อันดับ 92)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตาม บัญชีเดินสะพัดแก่โจทก์ จำนวน 14,509.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 เมษายน 2530 จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องมิให้เกิน 3,416.74 บาท และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามสัญญากู้จำนวน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จดอกเบี้ยถึงวันฟ้องมิให้เกิน 480,821.85 บาท หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์สิน ของจำเลยที่ 3 คือที่ดินโฉนดเลขที่ 7605เลขที่ดิน 1106 ตำบลช่องนนทรีย์ (บางโพงพาง) อำเภอยานนาวา กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ในฐานะเจ้าหนี้จำนองในวงเงินต้น 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในเงินต้นจำนวนดังกล่าว หากไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระ หนี้ให้แก่โจทก์จนครบ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาเฉพาะของจำเลยที่ 1 ที่ 2(อันดับ 83)
ทนายจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาในส่วนของจำเลยที่ 3 โดยใช้หลักทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ในคดีนี้ไว้กับโจทก์เป็นประกันต่อศาลในการอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ให้เสนอหลักประกันเข้ามาใหม่ (อันดับ 85)
ทนายจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้(อันดับ 87)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้จำเลยที่ 3 ถือเอาทรัพย์ที่จำนองเป็นประกันได้ แต่ให้ศาลชั้นต้นตีราคาหลักทรัพย์ที่จำนองว่าพอกับจำนวนหนี้ที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ ถ้าไม่พอก็ให้จำเลยที่ 3 วางเงินหรือหาหลักประกันมาเพิ่มให้ เป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็ให้รับคำร้อง อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 ถ้าจำเลยที่ 3 ไม่ปฏิบัติ ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นก็ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยในข้อ 2 ก. ในประเด็นที่ว่า ศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัย จึงเป็นการรับฟัง พยานหลักฐานที่ไม่ชอบ และฎีกาในข้อ 2 ข. ในประเด็นที่ว่าข้อ ที่จำเลยนำสืบนั้นเป็นการนำสืบนอกคำให้การหรือไม่ เป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ที่ดินในเขตเส้นสีน้ำเงินตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเนื้อที่ประมาณ 27 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง คำขอนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าทนายความแก่โจทก์เป็นเงิน 600 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 114)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 117)
คำสั่ง
ฎีกาของจำเลยในข้อ 2 ก. ที่ว่าศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัย เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบนั้นที่ถูกเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนว่าจะรับฟังได้หรือไม่เพียงใด จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ส่วนฎีกาของจำเลยในข้อ 2 ข. ที่ว่าข้อนำสืบของจำเลยเป็นการนำสืบนอกคำให้การหรือไม่นั้น แท้จริง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แล้วว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนัก ดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยโดยเชื่อว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ส่วนที่วินิจฉัยว่าข้อที่จำเลยนำสืบเป็นการนอกคำให้การนั้น เป็นการเกินเลยไป ไม่ทำให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยในข้อ 2 ก. ในประเด็นที่ว่า ศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัย จึงเป็นการรับฟัง พยานหลักฐานที่ไม่ชอบ และฎีกาในข้อ 2 ข. ในประเด็นที่ว่าข้อ ที่จำเลยนำสืบนั้นเป็นการนำสืบนอกคำให้การหรือไม่ เป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ที่ดินในเขตเส้นสีน้ำเงินตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเนื้อที่ประมาณ 27 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง คำขอนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าทนายความแก่โจทก์เป็นเงิน 600 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 114)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 117)
คำสั่ง
ฎีกาของจำเลยในข้อ 2 ก. ที่ว่าศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัย เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบนั้นที่ถูกเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนว่าจะรับฟังได้หรือไม่เพียงใด จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ส่วนฎีกาของจำเลยในข้อ 2 ข. ที่ว่าข้อนำสืบของจำเลยเป็นการนำสืบนอกคำให้การหรือไม่นั้น แท้จริง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แล้วว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนัก ดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยโดยเชื่อว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ส่วนที่วินิจฉัยว่าข้อที่จำเลยนำสืบเป็นการนอกคำให้การนั้น เป็นการเกินเลยไป ไม่ทำให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัยเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบนั้น ที่ถูกเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนว่าจะฟังได้หรือไม่ เพียงใด จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง และฎีกาที่ว่าข้อนำสืบของจำเลย เป็นการนำสืบนอกคำให้การหรือไม่นั้น ที่แท้แล้วศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลย ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยว่า ข้อที่จำเลยนำสืบเป็นการนอกคำให้การนั้นเป็นการเกินเลยไป ไม่ทำให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ที่ดินในเขตเส้นสีน้ำเงินตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเนื้อที่ประมาณ 27 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง คำขอนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าทนายความแก่โจทก์เป็นเงิน 600 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกา
จำเลยจึงยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "ฎีกาของจำเลยในข้อ 2 ก. ที่ว่าศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัย เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบนั้น ที่ถูกเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนว่าจะรับฟังได้หรือไม่เพียงใด จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ส่วนฎีกาของจำเลยในข้อ 2 ข.ที่ว่าข้อนำสืบของจำเลยเป็นการนำสืบนอกคำให้การหรือไม่นั้นแท้จริงศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แล้วว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย โดยเชื่อว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ส่วนที่วินิจฉัยว่าข้อที่จำเลยนำสืบเป็นการนอกคำให้การนั้นเป็นการเกินเลยไป ไม่ทำให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง"
จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัยเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบนั้น ที่ถูกเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนว่าจะฟังได้หรือไม่ เพียงใด จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง และฎีกาที่ว่าข้อนำสืบของจำเลย เป็นการนำสืบนอกคำให้การหรือไม่นั้น ที่แท้แล้วศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลย ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยว่า ข้อที่จำเลยนำสืบเป็นการนอกคำให้การนั้นเป็นการเกินเลยไป ไม่ทำให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ที่ดินในเขตเส้นสีน้ำเงินตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเนื้อที่ประมาณ 27 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง คำขอนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าทนายความแก่โจทก์เป็นเงิน 600 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกา
จำเลยจึงยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "ฎีกาของจำเลยในข้อ 2 ก. ที่ว่าศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัย เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบนั้น ที่ถูกเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนว่าจะรับฟังได้หรือไม่เพียงใด จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ส่วนฎีกาของจำเลยในข้อ 2 ข.ที่ว่าข้อนำสืบของจำเลยเป็นการนำสืบนอกคำให้การหรือไม่นั้นแท้จริงศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แล้วว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย โดยเชื่อว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ส่วนที่วินิจฉัยว่าข้อที่จำเลยนำสืบเป็นการนอกคำให้การนั้นเป็นการเกินเลยไป ไม่ทำให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง"
ความว่า จำเลยขอให้ศาลปล่อยชั่วคราวในระหว่างฎีกาโดยผู้ขอประกันขอใช้หลักประกันเดิม ตามบัญชีทรัพย์ที่เสนอมาพร้อมคำร้อง
หมายเหตุ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264,266,268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 266,341 และมาตรา 341 ประกอบด้วยมาตรา 80 การที่จำเลยทำปลอมขึ้นซึ่งเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการและนำไปใช้อ้างแสดงต่อผู้เสียหายกับได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ก็โดยเจตนาเพื่อให้ได้ไปซึ่งเงินจาก ผู้เสียหายการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อ กฎหมายหลายบท ซึ่งต้องลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรกประกอบด้วย มาตรา 266 อันเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90แต่การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ใช้เป็นผู้ปลอมเอกสาร ดังกล่าวด้วย จึงต้องโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 266 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง ให้จำคุกกระทงละ 3 ปีรวม 6 กระทงเรียงกระทงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมจำคุก 18 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 ปี พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะและพินิจของจำเลยแล้วไม่มีเหตุอันควรรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยยื่นคำร้องดังกล่าว โดยมีคำร้องประกอบว่าจะยื่นฎีกา ต่อไป(ถ้อยคำสำนวน อันดับ 5,4)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามพฤติการณ์แห่งคดีไม่มีเหตุสมควรที่จะปล่อยชั่วคราวในระหว่างฎีกา ไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยขอให้ศาลปล่อยชั่วคราวในระหว่างฎีกาโดยผู้ขอประกันขอใช้หลักประกันเดิม ตามบัญชีทรัพย์ที่เสนอมาพร้อมคำร้อง
หมายเหตุ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264,266,268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 266,341 และมาตรา 341 ประกอบด้วยมาตรา 80 การที่จำเลยทำปลอมขึ้นซึ่งเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการและนำไปใช้อ้างแสดงต่อผู้เสียหายกับได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ก็โดยเจตนาเพื่อให้ได้ไปซึ่งเงินจาก ผู้เสียหายการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อ กฎหมายหลายบท ซึ่งต้องลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรกประกอบด้วย มาตรา 266 อันเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90แต่การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ใช้เป็นผู้ปลอมเอกสาร ดังกล่าวด้วย จึงต้องโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 266 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง ให้จำคุกกระทงละ 3 ปีรวม 6 กระทงเรียงกระทงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมจำคุก 18 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 ปี พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะและพินิจของจำเลยแล้วไม่มีเหตุอันควรรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยยื่นคำร้องดังกล่าว โดยมีคำร้องประกอบว่าจะยื่นฎีกา ต่อไป(ถ้อยคำสำนวน อันดับ 5,4)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามพฤติการณ์แห่งคดีไม่มีเหตุสมควรที่จะปล่อยชั่วคราวในระหว่างฎีกา ไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา และยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับรองให้ฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริง ยกคำร้อง และศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาในข้อเท็จจริงของโจทก์ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ส่วนฎีกาในข้อกฎหมายนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต่างก็ฟังว่าโจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายกันจริง แต่ที่ยกฟ้องโจทก์เพราะฟังข้อเท็จจริงว่ามีการเลิกสัญญากันแล้วที่โจทก์ฎีกาว่าเป็นการนำสืบนอกคำให้การและเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยโดยศาลฎีกาจึงไม่รับฎีกาโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ได้โต้แย้งในประเด็นที่ว่าการนำสืบพยานหลักฐานของจำเลย เป็นการนำสืบพยานบุคคลแก้ไข เปลี่ยนแปลงพยานเอกสาร เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 เป็นปัญหา ข้อกฎหมายที่เป็นสาระสำคัญแก่คดีอันสมควรได้รับการวินิจฉัย จากศาลสูงโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 77)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารตลอดจนขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์และให้จำเลยไปดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินพิพาทแล้วให้ส่งมอบ หนังสือสำคัญโฉนดที่ดินและโอนชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ให้โจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการ แสดงเจตนาแทนจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา และยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา ผู้พิพากษา ที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับรองฎีกายกคำร้อง และศาลชั้นต้นมี คำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ (อันดับ 68,67)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 75)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องกันมาว่าโจทก์ยกเลิกสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับจำเลยแล้ว ปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ยกขึ้นฎีกาจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันสมควรได้รับการวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้โจทก์ชนะคดีขึ้นมาได้ ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ทั้งหมดชอบแล้วให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา และยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับรองให้ฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริง ยกคำร้อง และศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาในข้อเท็จจริงของโจทก์ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ส่วนฎีกาในข้อกฎหมายนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต่างก็ฟังว่าโจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายกันจริง แต่ที่ยกฟ้องโจทก์เพราะฟังข้อเท็จจริงว่ามีการเลิกสัญญากันแล้วที่โจทก์ฎีกาว่าเป็นการนำสืบนอกคำให้การและเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยโดยศาลฎีกาจึงไม่รับฎีกาโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ได้โต้แย้งในประเด็นที่ว่าการนำสืบพยานหลักฐานของจำเลย เป็นการนำสืบพยานบุคคลแก้ไข เปลี่ยนแปลงพยานเอกสาร เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 เป็นปัญหา ข้อกฎหมายที่เป็นสาระสำคัญแก่คดีอันสมควรได้รับการวินิจฉัย จากศาลสูงโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 77)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารตลอดจนขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์และให้จำเลยไปดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินพิพาทแล้วให้ส่งมอบ หนังสือสำคัญโฉนดที่ดินและโอนชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ให้โจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการ แสดงเจตนาแทนจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา และยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา ผู้พิพากษา ที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับรองฎีกายกคำร้อง และศาลชั้นต้นมี คำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ (อันดับ 68,67)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 75)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องกันมาว่าโจทก์ยกเลิกสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับจำเลยแล้ว ปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ยกขึ้นฎีกาจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันสมควรได้รับการวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้โจทก์ชนะคดีขึ้นมาได้ ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ทั้งหมดชอบแล้วให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|