ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า พฤติการณ์ของโจทก์ทั้งสองเป็นความผิดชัดแจ้ง จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างและค่าชดเชยให้แก่โจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ทั้งสองแถลงคัดค้าน (อันดับ 62)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1และที่ 2
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยจ่ายสินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสอง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งสองคนละ 11,120 บาท และจ่าย ค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสองคนละ 16,680 บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 53)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 55)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลแรงงานกลางพิพากษาโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้าข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าที่ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 วันทำงานโดยไม่มีเหตุอันสมควร และรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายจำเลยจึงต้องจ่ายค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยแก่โจทก์ตามกฎหมาย จำเลยอุทธรณ์ว่าการบอกเลิกสัญญาจ้างของจำเลยยังไม่มีผล โจทก์ทั้งสองกระทำการบกพร่องต่อหน้าที่ครูขาดงานนานถึง 29 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควรจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า พฤติการณ์ของโจทก์ทั้งสองเป็นความผิดชัดแจ้ง จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างและค่าชดเชยให้แก่โจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ทั้งสองแถลงคัดค้าน (อันดับ 62)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1และที่ 2
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยจ่ายสินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสอง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งสองคนละ 11,120 บาท และจ่าย ค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสองคนละ 16,680 บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 53)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 55)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลแรงงานกลางพิพากษาโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้าข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าที่ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 วันทำงานโดยไม่มีเหตุอันสมควร และรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายจำเลยจึงต้องจ่ายค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยแก่โจทก์ตามกฎหมาย จำเลยอุทธรณ์ว่าการบอกเลิกสัญญาจ้างของจำเลยยังไม่มีผล โจทก์ทั้งสองกระทำการบกพร่องต่อหน้าที่ครูขาดงานนานถึง 29 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควรจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ทวิจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้กักกันจำเลยมีกำหนด 3 ปีเมื่อพ้นโทษแล้วด้วยนั้น จำเลยจึงสามารถฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ไม่ต้องห้ามฎีกาตามกฎหมาย นอกจากนี้ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์ครบถ้วนตามมาตรา 158 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้และไม่อาจเข้าใจข้อหาของโจทก์ได้ดีนั้นก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 29 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(3)(8) ให้จำคุก 3 ปี เพิ่มโทษกึ่งหนึ่ง ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 จำคุก 4 ปี 6 เดือน จำเลย ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 3 เดือน ส่วนที่โจทก์ขอให้กักกันจำเลยนั้น เห็นว่าศาลพิพากษาลงโทษ จำเลยในคดีที่ฟ้องแล้ว จึงให้ยกคำขอ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า เมื่อจำเลยพ้นโทษแล้วให้กักกันจำเลยมีกำหนด 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 26 แผ่นที่ 3)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 29 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาโดยสรุปว่า จำเลยเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้กักกันจำเลยมีกำหนด 3 ปี ด้วยนั้น จำเลยไม่เห็นด้วยเพราะการลงโทษกักกันตามที่โจทก์ขอมานั้น เป็นการลงโทษแก้แค้น ทดแทนเพิ่มเติมเป็นผลร้ายแก่จำเลย เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ในปัญหาวิธีการเพื่อความปลอดภัยอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งต้องห้าม มิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ทวิ วรรคแรก ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ทวิจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้กักกันจำเลยมีกำหนด 3 ปีเมื่อพ้นโทษแล้วด้วยนั้น จำเลยจึงสามารถฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ไม่ต้องห้ามฎีกาตามกฎหมาย นอกจากนี้ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์ครบถ้วนตามมาตรา 158 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้และไม่อาจเข้าใจข้อหาของโจทก์ได้ดีนั้นก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 29 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(3)(8) ให้จำคุก 3 ปี เพิ่มโทษกึ่งหนึ่ง ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 จำคุก 4 ปี 6 เดือน จำเลย ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 3 เดือน ส่วนที่โจทก์ขอให้กักกันจำเลยนั้น เห็นว่าศาลพิพากษาลงโทษ จำเลยในคดีที่ฟ้องแล้ว จึงให้ยกคำขอ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า เมื่อจำเลยพ้นโทษแล้วให้กักกันจำเลยมีกำหนด 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 26 แผ่นที่ 3)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 29 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาโดยสรุปว่า จำเลยเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้กักกันจำเลยมีกำหนด 3 ปี ด้วยนั้น จำเลยไม่เห็นด้วยเพราะการลงโทษกักกันตามที่โจทก์ขอมานั้น เป็นการลงโทษแก้แค้น ทดแทนเพิ่มเติมเป็นผลร้ายแก่จำเลย เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ในปัญหาวิธีการเพื่อความปลอดภัยอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งต้องห้าม มิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ทวิ วรรคแรก ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า รับฎีกาเฉพาะข้อ 2 ข. ในส่วนฎีกาเฉพาะค่าเสียหายของโจทก์ที่ 2 เท่านั้น ส่วนฎีกา เฉพาะค่าเสียหายของโจทก์ที่ 1 ข้อ 2 ก. เห็นว่าราคาทุนทรัพย์ พิพาทขึ้นสู่ศาลฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาของจำเลยส่วนนี้ และที่จำเลย ฎีกาว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อตรวจดูแล้วก็ไม่ใช่ข้อกฎหมาย จึงไม่รับฎีกาส่วนนี้ด้วย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ก. ของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพราะค่าเสียหายที่โจทก์ที่ 1 เรียกร้องเอาจากจำเลยนั้น ไม่อาจที่จะกำหนดจำนวนที่แน่นอนถูกต้องได้ โดยหลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11 ต้องตีความในทางที่เป็นคุณแก่จำเลย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาข้อ 2 ก. ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1เป็นเงิน 200,000 บาท และให้แก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 200,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง(วันที่ 28 กันยายน 2533) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 350,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองและจำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับเฉพาะ ฎีกาค่าเสียหายของโจทก์ที่ 2 เท่านั้น (อันดับ 143,139)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 146)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าการกำหนดค่าเสียหายเป็นดุลพินิจของศาลการกำหนดค่าเสียหายไม่ใช่การตีความกฎหมายดังจำเลยอ้าง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยข้อ 2 ก. ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า รับฎีกาเฉพาะข้อ 2 ข. ในส่วนฎีกาเฉพาะค่าเสียหายของโจทก์ที่ 2 เท่านั้น ส่วนฎีกา เฉพาะค่าเสียหายของโจทก์ที่ 1 ข้อ 2 ก. เห็นว่าราคาทุนทรัพย์ พิพาทขึ้นสู่ศาลฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาของจำเลยส่วนนี้ และที่จำเลย ฎีกาว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อตรวจดูแล้วก็ไม่ใช่ข้อกฎหมาย จึงไม่รับฎีกาส่วนนี้ด้วย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ก. ของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพราะค่าเสียหายที่โจทก์ที่ 1 เรียกร้องเอาจากจำเลยนั้น ไม่อาจที่จะกำหนดจำนวนที่แน่นอนถูกต้องได้ โดยหลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11 ต้องตีความในทางที่เป็นคุณแก่จำเลย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาข้อ 2 ก. ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1เป็นเงิน 200,000 บาท และให้แก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 200,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง(วันที่ 28 กันยายน 2533) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 350,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองและจำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับเฉพาะ ฎีกาค่าเสียหายของโจทก์ที่ 2 เท่านั้น (อันดับ 143,139)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 146)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าการกำหนดค่าเสียหายเป็นดุลพินิจของศาลการกำหนดค่าเสียหายไม่ใช่การตีความกฎหมายดังจำเลยอ้าง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยข้อ 2 ก. ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงสั่งไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการมิชอบนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยรับชำระหนี้จากโจทก์และให้จำเลยพร้อมทั้งบริวารออกจากที่ดินของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับชำระหนี้จำนวน 10,000 บาทจากโจทก์ ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาเห็นว่า ที่จำเลยมิได้ยกข้อที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบขึ้นโต้แย้งคัดค้านต่อศาลจนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในประเด็นนี้ได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยให้ พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 53)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 60)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ปัญหาว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลครบถ้วนถูกต้องหรือไม่นั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นโต้แย้งคัดค้านต่อศาลก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ฉะนั้นฎีกาของจำเลยในปัญหาที่ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการเสียค่าขึ้นศาลดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงสั่งไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการมิชอบนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยรับชำระหนี้จากโจทก์และให้จำเลยพร้อมทั้งบริวารออกจากที่ดินของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับชำระหนี้จำนวน 10,000 บาทจากโจทก์ ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาเห็นว่า ที่จำเลยมิได้ยกข้อที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบขึ้นโต้แย้งคัดค้านต่อศาลจนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในประเด็นนี้ได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยให้ พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 53)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 60)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ปัญหาว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลครบถ้วนถูกต้องหรือไม่นั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นโต้แย้งคัดค้านต่อศาลก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ฉะนั้นฎีกาของจำเลยในปัญหาที่ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการเสียค่าขึ้นศาลดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยที่ 4 ได้ยื่นฎีกาไว้ แต่เนื่องจากจำเลยที่ 4ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีอีกต่อไป จึงขอถอนฎีกาโปรดอนุญาต และสั่งคืนค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้แก่จำเลยที่ 4 เป็นกรณีพิเศษด้วย
หมายเหตุ โจทก์แถลงไม่คัค ด้าน (ถ้อยคำสำนวนอันดับ 2)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันใช้เงินจำนวน 6,683,574.69 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละสิบเจ็ดต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2528จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2528 คำนวณได้เท่าใดให้เป็นเงินต้นใหม่นับถัดจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยไม่ทบต้นร้อยละ 17 ต่อปี แล้วให้ปรับลด เป็นร้อยละ 14 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2529 เป็นต้นไปทั้งนี้ให้ใช้ดอกเบี้ยจนกว่าจำเลยจะใช้เงินเสร็จ ในกรณีจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ โจทก์มีสิทธิบังคับจำนองทีดินที่จำนองตามฟ้องพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในวงเงิน 6,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันเลิกสัญญา คือวันที่ 15 สิงหาคม 2528 เป็นต้นไป ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้วงเงินจำนองพร้อมดอกเบี้ยดังกล่าว ให้โจทก์ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 4 ออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ในกรณีที่จำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 3 ไม่ชำระหนี้ โจทก์มีสิทธิบังคับจำนองที่ดินที่จำนองตามฟ้องพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในวงเงิน 6,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 17ต่อปี นับถัดจากวันที่ 15 สิงหาคม 2528 และอัตราดอกเบี้ยร้อยละ14 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 มีนาคม 2529 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตาม คำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 4 ฎีกา (อันดับ 65)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
จำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องนี้ (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 4)
คำสั่ง
อนุญาตให้จำเลยที่ 4 ถอนฎีกา จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความศาลฎีกา คืนค่าขึ้นศาลให้สามในสี่
ความว่า จำเลยที่ 4 ได้ยื่นฎีกาไว้ แต่เนื่องจากจำเลยที่ 4ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีอีกต่อไป จึงขอถอนฎีกาโปรดอนุญาต และสั่งคืนค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้แก่จำเลยที่ 4 เป็นกรณีพิเศษด้วย
หมายเหตุ โจทก์แถลงไม่คัค ด้าน (ถ้อยคำสำนวนอันดับ 2)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันใช้เงินจำนวน 6,683,574.69 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละสิบเจ็ดต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2528จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2528 คำนวณได้เท่าใดให้เป็นเงินต้นใหม่นับถัดจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยไม่ทบต้นร้อยละ 17 ต่อปี แล้วให้ปรับลด เป็นร้อยละ 14 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2529 เป็นต้นไปทั้งนี้ให้ใช้ดอกเบี้ยจนกว่าจำเลยจะใช้เงินเสร็จ ในกรณีจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ โจทก์มีสิทธิบังคับจำนองทีดินที่จำนองตามฟ้องพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในวงเงิน 6,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันเลิกสัญญา คือวันที่ 15 สิงหาคม 2528 เป็นต้นไป ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้วงเงินจำนองพร้อมดอกเบี้ยดังกล่าว ให้โจทก์ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 4 ออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ในกรณีที่จำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 3 ไม่ชำระหนี้ โจทก์มีสิทธิบังคับจำนองที่ดินที่จำนองตามฟ้องพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในวงเงิน 6,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 17ต่อปี นับถัดจากวันที่ 15 สิงหาคม 2528 และอัตราดอกเบี้ยร้อยละ14 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 มีนาคม 2529 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตาม คำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 4 ฎีกา (อันดับ 65)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
จำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องนี้ (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 4)
คำสั่ง
อนุญาตให้จำเลยที่ 4 ถอนฎีกา จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความศาลฎีกา คืนค่าขึ้นศาลให้สามในสี่
ความว่า จำเลยฎีกา บัดนี้จำเลยไม่ประสงค์จะฎีกาอีกต่อไปจึงขอถอนฎีกา โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์แถลงท้ายคำร้องไม่คัดค้าน
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายจำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนดและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ จำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่าจำเลยไม่ได้จงใจจะไม่ยื่นคำให้การ และไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณาขอให้พิจารณาคดีใหม่
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 86)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 89)
คำสั่ง
อนุญาตให้จำเลยถอนฎีกา จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความศาลฎีกา
ความว่า จำเลยฎีกา บัดนี้จำเลยไม่ประสงค์จะฎีกาอีกต่อไปจึงขอถอนฎีกา โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์แถลงท้ายคำร้องไม่คัดค้าน
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายจำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนดและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ จำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่าจำเลยไม่ได้จงใจจะไม่ยื่นคำให้การ และไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณาขอให้พิจารณาคดีใหม่
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 86)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 89)
คำสั่ง
อนุญาตให้จำเลยถอนฎีกา จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความศาลฎีกา
ความว่า ผู้ร้องฎีกา บัดนี้ผู้ร้องไม่ติดใจที่จะฎีกา อีกต่อไป เนื่องจากคู่ความตกลงกันได้จึงขอถอนฎีกา โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ และจำเลยทั้งหกแถลงท้ายคำร้องไม่คัดค้านกรณีเป็นชั้นของกันส่วน
คดีสืบเนื่องจากศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทระหว่าง จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 6 ให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ร่วมกันแบ่งที่ดินมีโฉนดหลายรายการแก่โจทก์และผู้ร้องสอด กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าขาดประโยชน์ในที่ดินเป็นเงิน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้แบ่งสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายเดือน บุนนาค เจ้ามรดกออกเป็น 3 ส่วน ให้แก่โจทก์ 1 ส่วนอีก 2 ส่วนเป็นมรดกของนายเดือนให้นำมาแบ่งแก่โจทก์ผู้ร้องสอด จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 คนละ 1 ส่วน หากแบ่งไม่ได้ให้ประมูลกันในระหว่างคู่ความ หากไม่ตกลงกัน ให้ขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันตามส่วน โจทก์ได้นำ เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินในคดีนี้ออกขายทอดตลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอกันส่วนโดยอ้างว่าผู้ร้องเป็น ภรรยาของเจ้ามรดกมีส่วนเป็นเจ้าของทรัพย์ที่โจทก์นำยึด กึ่งหนึ่งและยังมีสิทธิได้รับมรดกในฐานะทายาทจากส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกด้วย จึงขอกันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดให้ผู้ร้องตามสิทธิอันถึงได้รับตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา (อันดับ 78)
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้ร้องถึงแก่กรรมนายพรพินิจบุนนาค ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้ร้องผู้มรณะ ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาต (คำสั่งคำร้องที่ 2224/2536)
ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 103)
คำสั่ง
อนุญาตให้ผู้ร้องถอนฎีกา จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความศาลฎีกา
ความว่า ผู้ร้องฎีกา บัดนี้ผู้ร้องไม่ติดใจที่จะฎีกา อีกต่อไป เนื่องจากคู่ความตกลงกันได้จึงขอถอนฎีกา โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ และจำเลยทั้งหกแถลงท้ายคำร้องไม่คัดค้านกรณีเป็นชั้นของกันส่วน
คดีสืบเนื่องจากศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทระหว่าง จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 6 ให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ร่วมกันแบ่งที่ดินมีโฉนดหลายรายการแก่โจทก์และผู้ร้องสอด กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าขาดประโยชน์ในที่ดินเป็นเงิน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้แบ่งสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายเดือน บุนนาค เจ้ามรดกออกเป็น 3 ส่วน ให้แก่โจทก์ 1 ส่วนอีก 2 ส่วนเป็นมรดกของนายเดือนให้นำมาแบ่งแก่โจทก์ผู้ร้องสอด จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 คนละ 1 ส่วน หากแบ่งไม่ได้ให้ประมูลกันในระหว่างคู่ความ หากไม่ตกลงกัน ให้ขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันตามส่วน โจทก์ได้นำ เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินในคดีนี้ออกขายทอดตลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอกันส่วนโดยอ้างว่าผู้ร้องเป็น ภรรยาของเจ้ามรดกมีส่วนเป็นเจ้าของทรัพย์ที่โจทก์นำยึด กึ่งหนึ่งและยังมีสิทธิได้รับมรดกในฐานะทายาทจากส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกด้วย จึงขอกันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดให้ผู้ร้องตามสิทธิอันถึงได้รับตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา (อันดับ 78)
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้ร้องถึงแก่กรรมนายพรพินิจบุนนาค ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้ร้องผู้มรณะ ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาต (คำสั่งคำร้องที่ 2224/2536)
ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 103)
คำสั่ง
อนุญาตให้ผู้ร้องถอนฎีกา จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความศาลฎีกา
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา และศาลชั้นต้นอนุญาตให้ปล่อยจำเลยที่ 1 ชั่วคราวในระหว่างฎีกา ตีราคาประกัน 1,000,000 บาทโดยมีจำเลยที่ 1 และนางอรพันธุ์วงศ์พัวพันธุ์ เป็นผู้ประกันร่วมกัน โดยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 22385 และโฉนดที่ดิน เลขที่ 7435ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนายประกันทั้งสองมาเป็นหลักทรัพย์ ประกันตัวจำเลยที่ 1 แต่เนื่องจากนายประกันทั้งสองมีความจำเป็น ต้องนำที่ดินทั้งสองโฉนดซึ่งเป็นหลักทรัพย์ประกันนั้นไปขาย เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในการดำรงชีพ และส่งเสียอุปการะ เลี้ยงดูให้การศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์เพื่อให้ได้รับการศึกษา อย่างต่อเนื่อง จำเลยที่ 1 จึงขอนำหลักทรัพย์และผู้ประกัน คนใหม่คือนางวิไลเลขาถาวรธนสาร มาเป็นผู้ประกันแทนคนเดิมรายละเอียดปรากฎตามคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวและบัญชีทรัพย์ ที่แนบมาพร้อมคำร้องนี้ โดยบัญชีทรัพย์ระบุว่า ขอวางสมุด ฝากเงินประจำของธนาคารกสิกรไทย สาขาพระโขนง บัญชีเลขที่ 010-3-09244-2/01มีเงินฝากคงเหลืออยู่ 1,000,000 บาท ไว้เป็นประกัน ขอศาลฎีกาได้โปรดมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 1 เปลี่ยนผู้ประกันและหลักทรัพย์ใหม่แทนผู้ประกันและหลักทรัพย์ เดิมด้วย
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้จำเลยที่ 1 เปลี่ยนหลักประกันและผู้ประกันโดยให้ผู้ประกันคนใหม่ใช้สมุดเงินฝากประจำตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้อง (ตีราคาหนึ่งล้านบาท) เป็นหลักประกัน แทนได้ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา และศาลชั้นต้นอนุญาตให้ปล่อยจำเลยที่ 1 ชั่วคราวในระหว่างฎีกา ตีราคาประกัน 1,000,000 บาทโดยมีจำเลยที่ 1 และนางอรพันธุ์วงศ์พัวพันธุ์ เป็นผู้ประกันร่วมกัน โดยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 22385 และโฉนดที่ดิน เลขที่ 7435ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนายประกันทั้งสองมาเป็นหลักทรัพย์ ประกันตัวจำเลยที่ 1 แต่เนื่องจากนายประกันทั้งสองมีความจำเป็น ต้องนำที่ดินทั้งสองโฉนดซึ่งเป็นหลักทรัพย์ประกันนั้นไปขาย เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในการดำรงชีพ และส่งเสียอุปการะ เลี้ยงดูให้การศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์เพื่อให้ได้รับการศึกษา อย่างต่อเนื่อง จำเลยที่ 1 จึงขอนำหลักทรัพย์และผู้ประกัน คนใหม่คือนางวิไลเลขาถาวรธนสาร มาเป็นผู้ประกันแทนคนเดิมรายละเอียดปรากฎตามคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวและบัญชีทรัพย์ ที่แนบมาพร้อมคำร้องนี้ โดยบัญชีทรัพย์ระบุว่า ขอวางสมุด ฝากเงินประจำของธนาคารกสิกรไทย สาขาพระโขนง บัญชีเลขที่ 010-3-09244-2/01มีเงินฝากคงเหลืออยู่ 1,000,000 บาท ไว้เป็นประกัน ขอศาลฎีกาได้โปรดมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 1 เปลี่ยนผู้ประกันและหลักทรัพย์ใหม่แทนผู้ประกันและหลักทรัพย์ เดิมด้วย
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้จำเลยที่ 1 เปลี่ยนหลักประกันและผู้ประกันโดยให้ผู้ประกันคนใหม่ใช้สมุดเงินฝากประจำตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้อง (ตีราคาหนึ่งล้านบาท) เป็นหลักประกัน แทนได้ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ และยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงพร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลแรงงานกลางสั่งว่าอุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามผู้เสียหายจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 54 จึงไม่รับอุทธรณ์ และมีคำสั่งในคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงว่าพิเคราะห์แล้ว ไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงให้ยกคำร้อง และมีคำสั่งในคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีว่าศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย คำร้องขอทุเลาการบังคับจึงตกไปด้วย จึงไม่รับคำร้อง
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ข้อ 2.1 ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวน เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ข้อ 2.1ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
อนึ่งการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของ จำเลยที่ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น จำเลยเห็นว่า คำร้องเช่นนี้ควรจะได้รับการพิจารณาสั่งโดยอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางโดยตรง ตามพระราชบัญญัติศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 31ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 230 วรรคสามโปรดมีคำสั่งยกหรือเพิกถอนของคำสั่งของศาลแรงงานกลางและให้ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีถ้าหาก ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาแล้วโปรดมี คำสั่งให้รับคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยด้วย และจำเลยได้ วางเงินเป็นจำนวนพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมกับคำร้อง ขอทุเลาการบังคับแล้วจึงขอให้ศาลฎีกาได้โปรดอนุญาตให้ ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 82)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดย ให้เรียกโจทก์สำนวนแรกว่าโจทก์ที่ 1 และเรียกโจทก์สำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 2
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 17,741 พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่ง ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 12 กรกฎาคม 2536) และค่าชดเชยจำนวน 10,000บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่ วันที่ 4 ธันวาคม 2535เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่ โจทก์ที่ 1 และให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 21,290 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 12 กรกฎาคม 2536)และค่าชดเชยจำนวน36,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่ วันที่ 4 ธันวาคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ที่ 2
จำเลยอุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ และมีคำสั่งไม่รับคำร้องของ จำเลย (อันดับ 73,72 และ 74)
ทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 79)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาแรงงานกลางอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่านายกฤษฏิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยได้ปรึกษากับนางโดโรล่าว่าจะทำโทษโจทก์ทั้งสองโดยการตัดโบนัสและไม่ขึ้นเงินเดือน แต่นายกฤษฏิ์เปลี่ยนใจไล่โจทก์ทั้งสองออกจากงาน การทีจำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2.1 ว่า ศาลแรงงานกลาง มิได้นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบหากนำมาวินิจฉัยจะฟังข้อเท็จจริงได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าไปเองจึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 มาตรา 54ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้วและเมื่อ มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ก็ไม่จำต้องพิจารณาสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยอีก ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ และยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงพร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลแรงงานกลางสั่งว่าอุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามผู้เสียหายจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 54 จึงไม่รับอุทธรณ์ และมีคำสั่งในคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงว่าพิเคราะห์แล้ว ไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงให้ยกคำร้อง และมีคำสั่งในคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีว่าศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย คำร้องขอทุเลาการบังคับจึงตกไปด้วย จึงไม่รับคำร้อง
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ข้อ 2.1 ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวน เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ข้อ 2.1ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
อนึ่งการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของ จำเลยที่ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น จำเลยเห็นว่า คำร้องเช่นนี้ควรจะได้รับการพิจารณาสั่งโดยอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางโดยตรง ตามพระราชบัญญัติศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 31ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 230 วรรคสามโปรดมีคำสั่งยกหรือเพิกถอนของคำสั่งของศาลแรงงานกลางและให้ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีถ้าหาก ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาแล้วโปรดมี คำสั่งให้รับคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยด้วย และจำเลยได้ วางเงินเป็นจำนวนพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมกับคำร้อง ขอทุเลาการบังคับแล้วจึงขอให้ศาลฎีกาได้โปรดอนุญาตให้ ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 82)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดย ให้เรียกโจทก์สำนวนแรกว่าโจทก์ที่ 1 และเรียกโจทก์สำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 2
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 17,741 พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่ง ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 12 กรกฎาคม 2536) และค่าชดเชยจำนวน 10,000บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่ วันที่ 4 ธันวาคม 2535เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่ โจทก์ที่ 1 และให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 21,290 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 12 กรกฎาคม 2536)และค่าชดเชยจำนวน36,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่ วันที่ 4 ธันวาคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ที่ 2
จำเลยอุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ และมีคำสั่งไม่รับคำร้องของ จำเลย (อันดับ 73,72 และ 74)
ทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 79)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาแรงงานกลางอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่านายกฤษฏิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยได้ปรึกษากับนางโดโรล่าว่าจะทำโทษโจทก์ทั้งสองโดยการตัดโบนัสและไม่ขึ้นเงินเดือน แต่นายกฤษฏิ์เปลี่ยนใจไล่โจทก์ทั้งสองออกจากงาน การทีจำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2.1 ว่า ศาลแรงงานกลาง มิได้นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบหากนำมาวินิจฉัยจะฟังข้อเท็จจริงได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าไปเองจึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 มาตรา 54ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้วและเมื่อ มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ก็ไม่จำต้องพิจารณาสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยอีก ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ก. กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยได้ปรึกษากับ ด. ว่าจะทำโทษโจทก์ทั้งสองโดยการตัดโบนัสและไม่ขึ้นเงินเดือน แต่ ก. เปลี่ยนใจไล่โจทก์ทั้งสองออกจากงานจำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางมิได้นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบหากนำมาวินิจฉัยจะฟังข้อเท็จจริงได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าที่ไปเอง จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 54 และเมื่อมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ก็ไม่จำต้องพิจารณาสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยอีก
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้ จำเลยอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลแรงงานกลางสั่งว่าอุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 54 จึงไม่รับอุทธรณ์ และมีคำสั่งในคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงว่าพิเคราะห์แล้วไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ให้ยกคำร้อง และมีคำสั่งในคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีว่าศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย คำร้องขอทุเลาการบังคับจึงตกไปด้วย จึงไม่รับคำร้อง
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาว่า อุทธรณ์ข้อ 2.1 ที่ว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวน เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ข้อ2.1 ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
อนึ่งการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น จำเลยเห็นว่า คำร้องเช่นนี้ควรจะได้รับการพิจารณาสั่งโดยอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางโดยตรงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานกลางและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 230 วรรคสามโปรดมีคำสั่งยกหรือเพิกถอนคำสั่งของศาลแรงงานกลาง และให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ถ้าหากศาลฎีกามีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาแล้ว โปรดมีคำสั่งให้รับคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยด้วย และจำเลยได้วางเงินเป็นจำนวนพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมกับคำร้องขอทุเลาการบังคบแล้ว จึงขอให้ศาลฎีกาได้โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ด้วย
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานมีคำสั่งว่า "ที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่านายกฤษฎิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยได้ปรึกษากับนางโดโรล่าว่าจะทำโทษโจทก์ทั้งสองโดยการตัดโบนัสและไม่ขึ้นเงินเดือน แต่นายกฤษฎิ์เปลี่ยนใจโจทก์ทั้งสองออกจากงาน การที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2.1 ว่าศาลแรงงานกลางมิได้นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบ หากนำมาวินิจฉัยจะฟังข้อเท็จจริงได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าที่ไปเอง จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว และเมื่อมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ก็ไม่จำต้องพิจารณาสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยอีก ให้ยกคำร้อง"
จำเลยอุทธรณ์ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ก. กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยได้ปรึกษากับ ด. ว่าจะทำโทษโจทก์ทั้งสองโดยการตัดโบนัสและไม่ขึ้นเงินเดือน แต่ ก. เปลี่ยนใจไล่โจทก์ทั้งสองออกจากงานจำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางมิได้นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบหากนำมาวินิจฉัยจะฟังข้อเท็จจริงได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าที่ไปเอง จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 54 และเมื่อมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ก็ไม่จำต้องพิจารณาสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยอีก
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้ จำเลยอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลแรงงานกลางสั่งว่าอุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 54 จึงไม่รับอุทธรณ์ และมีคำสั่งในคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงว่าพิเคราะห์แล้วไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ให้ยกคำร้อง และมีคำสั่งในคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีว่าศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย คำร้องขอทุเลาการบังคับจึงตกไปด้วย จึงไม่รับคำร้อง
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาว่า อุทธรณ์ข้อ 2.1 ที่ว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวน เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ข้อ2.1 ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
อนึ่งการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น จำเลยเห็นว่า คำร้องเช่นนี้ควรจะได้รับการพิจารณาสั่งโดยอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางโดยตรงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานกลางและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 230 วรรคสามโปรดมีคำสั่งยกหรือเพิกถอนคำสั่งของศาลแรงงานกลาง และให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ถ้าหากศาลฎีกามีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาแล้ว โปรดมีคำสั่งให้รับคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยด้วย และจำเลยได้วางเงินเป็นจำนวนพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมกับคำร้องขอทุเลาการบังคบแล้ว จึงขอให้ศาลฎีกาได้โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ด้วย
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานมีคำสั่งว่า "ที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่านายกฤษฎิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยได้ปรึกษากับนางโดโรล่าว่าจะทำโทษโจทก์ทั้งสองโดยการตัดโบนัสและไม่ขึ้นเงินเดือน แต่นายกฤษฎิ์เปลี่ยนใจโจทก์ทั้งสองออกจากงาน การที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2.1 ว่าศาลแรงงานกลางมิได้นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบ หากนำมาวินิจฉัยจะฟังข้อเท็จจริงได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าที่ไปเอง จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว และเมื่อมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ก็ไม่จำต้องพิจารณาสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยอีก ให้ยกคำร้อง"
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์และได้กำหนด จำนวนทุนทรัพย์ไว้เป็นเงิน 100,000 บาท ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 7 ธันวาคม 2535 ดังนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์จึงเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจ คำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสอง แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดทุนทรัพย์ของที่ดินพิพาทไว้ก็ไม่ทำให้ คดีของโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ขึ้นมาได้ โปรดมีคำสั่งให้ รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยพร้อมทั้งบริวารขนย้ายสิ่งของจำเลย และย้ายออกไปจากที่ดินและบ้านบนที่ดินโฉนดเลขที่ 6540 ตำบลต้าอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าวเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2536(อันดับ 60)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2537(อันดับ 62)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาใน วันที่ 3 ธันวาคม 2536 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ยื่นฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2537 เป็นการล่วงพ้นกำหนดเวลาสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ยกคำร้องค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์และได้กำหนด จำนวนทุนทรัพย์ไว้เป็นเงิน 100,000 บาท ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 7 ธันวาคม 2535 ดังนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์จึงเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจ คำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสอง แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดทุนทรัพย์ของที่ดินพิพาทไว้ก็ไม่ทำให้ คดีของโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ขึ้นมาได้ โปรดมีคำสั่งให้ รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยพร้อมทั้งบริวารขนย้ายสิ่งของจำเลย และย้ายออกไปจากที่ดินและบ้านบนที่ดินโฉนดเลขที่ 6540 ตำบลต้าอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าวเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2536(อันดับ 60)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2537(อันดับ 62)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาใน วันที่ 3 ธันวาคม 2536 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ยื่นฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2537 เป็นการล่วงพ้นกำหนดเวลาสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ยกคำร้องค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งหกฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทั้งหกเป็นฎีกาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งหก
จำเลยทั้งหกเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งหกเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทั้งหมด จึงไม่ต้องห้ามฎีกาแต่อย่างใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งหกไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ที่ 1 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 170)
ส่วนโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 8 ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ทั้งแปดฟ้องขอให้จำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันจดทะเบียนโอนแบ่งแยกที่ดินตามฟ้องทั้งสองแปลงแก่ฝ่ายโจทก์หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากไม่อาจแบ่งแยกได้ ให้เอาขายทอดตลาด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันไปจดทะเบียนโอนแบ่งแยกที่ดินทั้งสองแปลงตามฟ้องให้แก่โจทก์ทั้งแปด โดยแบ่งที่ดินทั้งสองแปลงออกเป็นสี่ส่วนเท่า ๆ กันและให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ได้คนละ 1 ส่วน โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 8ได้ร่วมกัน 1 ส่วน หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หรือหากไม่อาจแบ่งแยกกันได้ให้นำที่ดินทั้งสองแปลงข้างต้นออกขายทอดตลาดได้เงินเท่าใดให้แบ่งออกเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน แล้วแบ่งให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 คนละ 1 ส่วน โจทก์ ที่ 3ถึงที่ 8 ได้ 1 ส่วน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งหกฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 161)
จำเลยทั้งหกยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 164)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาตามฎีกาจำเลยทั้งหกว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกเป็นอุทธรณ์ที่อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 1ที่จะต้องรับไว้วินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงเพราะอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกมีทุนทรัพย์ 80,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 คำนวณทุนทรัพย์โดยเฉลี่ยตามคำฟ้องของโจทก์เป็นรายบุคคล และว่าทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกไม่เกิน 80,000 บาท เป็นการคำนวณไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่าการคำนวณทุนทรัพย์จะคำนวณโดยเฉลี่ยตามคำฟ้องของโจทก์ หรือตามคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกซึ่งคำนวณรวมกันมาเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยทั้งหกว่าเป็นข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย อันเป็นฎีกาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาจำเลยทั้งหกนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จึงให้รับฎีกาจำเลยทั้งหกไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งหกฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทั้งหกเป็นฎีกาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งหก
จำเลยทั้งหกเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งหกเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทั้งหมด จึงไม่ต้องห้ามฎีกาแต่อย่างใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งหกไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ที่ 1 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 170)
ส่วนโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 8 ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ทั้งแปดฟ้องขอให้จำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันจดทะเบียนโอนแบ่งแยกที่ดินตามฟ้องทั้งสองแปลงแก่ฝ่ายโจทก์หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากไม่อาจแบ่งแยกได้ ให้เอาขายทอดตลาด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันไปจดทะเบียนโอนแบ่งแยกที่ดินทั้งสองแปลงตามฟ้องให้แก่โจทก์ทั้งแปด โดยแบ่งที่ดินทั้งสองแปลงออกเป็นสี่ส่วนเท่า ๆ กันและให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ได้คนละ 1 ส่วน โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 8ได้ร่วมกัน 1 ส่วน หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หรือหากไม่อาจแบ่งแยกกันได้ให้นำที่ดินทั้งสองแปลงข้างต้นออกขายทอดตลาดได้เงินเท่าใดให้แบ่งออกเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน แล้วแบ่งให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 คนละ 1 ส่วน โจทก์ ที่ 3ถึงที่ 8 ได้ 1 ส่วน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งหกฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 161)
จำเลยทั้งหกยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 164)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาตามฎีกาจำเลยทั้งหกว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกเป็นอุทธรณ์ที่อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 1ที่จะต้องรับไว้วินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงเพราะอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกมีทุนทรัพย์ 80,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 คำนวณทุนทรัพย์โดยเฉลี่ยตามคำฟ้องของโจทก์เป็นรายบุคคล และว่าทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกไม่เกิน 80,000 บาท เป็นการคำนวณไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่าการคำนวณทุนทรัพย์จะคำนวณโดยเฉลี่ยตามคำฟ้องของโจทก์ หรือตามคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกซึ่งคำนวณรวมกันมาเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยทั้งหกว่าเป็นข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย อันเป็นฎีกาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาจำเลยทั้งหกนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จึงให้รับฎีกาจำเลยทั้งหกไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับฎีกาจำเลยในข้อ 2.1 และ 2.4 ในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลย ส่วนฎีกาข้อ 2.2 และข้อ 2.3 เป็นฎีกา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 248 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2.2 ที่ว่า มีการฉ้อฉลในการทำสัญญาประกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกัน และข้อ 2.3 ที่ว่าโจทก์บอกกล่าวก่อนฟ้องโดยชอบหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มีสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาข้อ 2.2 และ 2.3 ของจำเลยด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าปรับตามสัญญาประกัน พร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (7 มิถุนายน 2533)ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ยกฟ้องแย้ง ของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 115 แผ่นที่ 1)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 119)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 ที่ว่าสัญญาประกันพิพาทเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลโดยพันตำรวจโทประพงษ์ ระวิวรรณ หลอกลวงให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าเป็นการประกันตัวนายสุวัฒไชย วงศ์สนม แต่ทำสัญญามีข้อความเป็นการประกันตัวนายดำรงค์หรือปิงบุญจงรักษ์ หรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและฎีกาของจำเลยข้อ 2.3 ที่ว่า ก่อนฟ้องคดีนี้เจ้าพนักงานตำรวจ ได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบนัดตามเงื่อนไขของสัญญาประกันพิพาทอันจะถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้แล้วหรือไม่ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 และข้อ 2.3ดังกล่าวจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับฎีกาจำเลยในข้อ 2.1 และ 2.4 ในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลย ส่วนฎีกาข้อ 2.2 และข้อ 2.3 เป็นฎีกา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 248 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2.2 ที่ว่า มีการฉ้อฉลในการทำสัญญาประกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกัน และข้อ 2.3 ที่ว่าโจทก์บอกกล่าวก่อนฟ้องโดยชอบหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มีสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาข้อ 2.2 และ 2.3 ของจำเลยด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าปรับตามสัญญาประกัน พร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (7 มิถุนายน 2533)ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ยกฟ้องแย้ง ของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 115 แผ่นที่ 1)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 119)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 ที่ว่าสัญญาประกันพิพาทเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลโดยพันตำรวจโทประพงษ์ ระวิวรรณ หลอกลวงให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าเป็นการประกันตัวนายสุวัฒไชย วงศ์สนม แต่ทำสัญญามีข้อความเป็นการประกันตัวนายดำรงค์หรือปิงบุญจงรักษ์ หรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและฎีกาของจำเลยข้อ 2.3 ที่ว่า ก่อนฟ้องคดีนี้เจ้าพนักงานตำรวจ ได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบนัดตามเงื่อนไขของสัญญาประกันพิพาทอันจะถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้แล้วหรือไม่ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 และข้อ 2.3ดังกล่าวจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ฎีกาของจำเลยที่ว่าสัญญาประกันพิพาทเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลโดยพันตำรวจโท ป. หลอกลวงให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าเป็นการประกันตัว ส.แต่ทำสัญญามีข้อความเป็นการประกันตัวด. หรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง และฎีกาของจำเลยที่ว่า ก่อนฟ้องคดีนี้เจ้าพนักงานตำรวจได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบนัดตามเงื่อนไขของสัญญาประกันพิพาทอันจะถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้แล้วหรือไม่ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าปรับตามสัญญาประกัน พร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (7 มิถุนายน 2533)ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับฎีกาจำเลยในข้อ 2.1และ 2.4 ในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ และฟ้องแย้งของจำเลยส่วนฎีกาข้อ 2.2 และข้อ 2.3 เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 248 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่รับจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกาว่า ฎีกาข้อ 2.2ที่ว่า มีการฉ้อฉลในการทำสัญญาประกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกัน และข้อ 2.3 ที่ว่าโจทก์บอกกล่าวก่อนฟ้องโดยชอบหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มีสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งรับฎีกาข้อ 2.2 และ 2.3ของจำเลยด้วย
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "ฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 ที่ว่า สัญญาประกันพิพาทเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลโดยพันตำรวจโทประพงษ์ ระวิรรณ หลอกลวงให้จำเลยสำคัญผิด คิดว่าเป็นการประกันตัวนายสุวัฒไชย วงศ์สนม แต่ทำสัญญามีข้อความเป็นการประกันตัวนายดำรงค์หรือปิง บุญจงรักษ์ หรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและฎีกาของจำเลยข้อ 2.3 ที่ว่า ก่อนฟ้องคดีนี้ เจ้าพนักงานตำรวจได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบนัดตามเงื่อนไขของสัญญาประกันพิพาทอันจะถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้แล้วหรือไม่ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 และข้อ 2.3ดังกล่าวจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง"
ฎีกาของจำเลยที่ว่าสัญญาประกันพิพาทเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลโดยพันตำรวจโท ป. หลอกลวงให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าเป็นการประกันตัว ส.แต่ทำสัญญามีข้อความเป็นการประกันตัวด. หรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง และฎีกาของจำเลยที่ว่า ก่อนฟ้องคดีนี้เจ้าพนักงานตำรวจได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบนัดตามเงื่อนไขของสัญญาประกันพิพาทอันจะถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้แล้วหรือไม่ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าปรับตามสัญญาประกัน พร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (7 มิถุนายน 2533)ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับฎีกาจำเลยในข้อ 2.1และ 2.4 ในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ และฟ้องแย้งของจำเลยส่วนฎีกาข้อ 2.2 และข้อ 2.3 เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 248 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่รับจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกาว่า ฎีกาข้อ 2.2ที่ว่า มีการฉ้อฉลในการทำสัญญาประกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกัน และข้อ 2.3 ที่ว่าโจทก์บอกกล่าวก่อนฟ้องโดยชอบหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มีสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งรับฎีกาข้อ 2.2 และ 2.3ของจำเลยด้วย
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "ฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 ที่ว่า สัญญาประกันพิพาทเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลโดยพันตำรวจโทประพงษ์ ระวิรรณ หลอกลวงให้จำเลยสำคัญผิด คิดว่าเป็นการประกันตัวนายสุวัฒไชย วงศ์สนม แต่ทำสัญญามีข้อความเป็นการประกันตัวนายดำรงค์หรือปิง บุญจงรักษ์ หรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและฎีกาของจำเลยข้อ 2.3 ที่ว่า ก่อนฟ้องคดีนี้ เจ้าพนักงานตำรวจได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบนัดตามเงื่อนไขของสัญญาประกันพิพาทอันจะถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้แล้วหรือไม่ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 และข้อ 2.3ดังกล่าวจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง"
ความว่า ผู้ร้องฎีกา บัดนี้ผู้ร้องได้ขายที่ดินอันเป็นมรดก ของนายแก้ว อ้นรำพึง และได้นำเงินที่ได้จากการขายที่ดินมรดกไปซื้อที่ดินเป็นของตนเอง และใช้จ่ายจนเกือบจะหมดแล้วทำให้ผู้คัดค้านทั้งสองได้รับความเสียหาย โปรดมีคำสั่งให้ผู้ร้อง นำเงินที่ได้จากการขายที่ดินมรดกที่เหลือและโฉนดที่ดิน ที่ผู้ร้องนำเงินมรดกไปซื้อไว้มาวางศาลโปรดอนุญาต
หมายเหตุ ผู้ร้องยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นสั่งถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล แล้วตั้งผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกแทน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายเกษมอ้นรำพึง ผู้คัดค้านที่ 1และนางลำดวนอ้นรำพึง ผู้คัดค้านที่ 2 ร่วมเป็นผู้จัดการมรดกของนายแก้ว อ้นรำพึงผู้ตายกับนายเดช มากดี ผู้จัดการมรดกคำขออื่นให้ยกเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา (อันดับ 94)
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 101)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าผู้ร้องหรือผู้คัดค้านทั้งสองสมควรเป็นผู้จัดการมรดก มิได้ พิพาทเกี่ยวกับทรัพย์มรดก ไม่มีเหตุที่ผู้คัดค้านทั้งสองจะร้องขอให้ผู้ร้องนำเงินและโฉนดที่ดินตามคำร้องมาวางศาลได้ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า ผู้ร้องฎีกา บัดนี้ผู้ร้องได้ขายที่ดินอันเป็นมรดก ของนายแก้ว อ้นรำพึง และได้นำเงินที่ได้จากการขายที่ดินมรดกไปซื้อที่ดินเป็นของตนเอง และใช้จ่ายจนเกือบจะหมดแล้วทำให้ผู้คัดค้านทั้งสองได้รับความเสียหาย โปรดมีคำสั่งให้ผู้ร้อง นำเงินที่ได้จากการขายที่ดินมรดกที่เหลือและโฉนดที่ดิน ที่ผู้ร้องนำเงินมรดกไปซื้อไว้มาวางศาลโปรดอนุญาต
หมายเหตุ ผู้ร้องยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นสั่งถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล แล้วตั้งผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกแทน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายเกษมอ้นรำพึง ผู้คัดค้านที่ 1และนางลำดวนอ้นรำพึง ผู้คัดค้านที่ 2 ร่วมเป็นผู้จัดการมรดกของนายแก้ว อ้นรำพึงผู้ตายกับนายเดช มากดี ผู้จัดการมรดกคำขออื่นให้ยกเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา (อันดับ 94)
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 101)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าผู้ร้องหรือผู้คัดค้านทั้งสองสมควรเป็นผู้จัดการมรดก มิได้ พิพาทเกี่ยวกับทรัพย์มรดก ไม่มีเหตุที่ผู้คัดค้านทั้งสองจะร้องขอให้ผู้ร้องนำเงินและโฉนดที่ดินตามคำร้องมาวางศาลได้ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าพิเคราะห์แล้ว คดีนี้มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสอง ข้อ 2.1ที่ว่า หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้ระบุ อายุของผู้รับมอบอำนาจ จึงไม่อาจทราบได้ว่าผู้รับมอบอำนาจมี ความสามารถตามกฎหมาย และฎีกาข้อ 2.2 ที่ว่า จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโจทก์ด้วยการครอบครองปรปักษ์นั้นล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 91)
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทกับให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินดังกล่าวและส่งมอบให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจาก ที่พิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 3344 ตำบลวิชิต(ระเงง)อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต กับรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทดังกล่าว ห้ามเกี่ยวข้องต่อไป
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 84)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสอง ข้อ 2.1 แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ในชั้นฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกส่วนฎีกา ข้อ 2.2 เป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า10 ปี แล้วหรือไม่ จึงต้องห้ามมิให้จำเลยทั้งสองฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสอง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าพิเคราะห์แล้ว คดีนี้มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสอง ข้อ 2.1ที่ว่า หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้ระบุ อายุของผู้รับมอบอำนาจ จึงไม่อาจทราบได้ว่าผู้รับมอบอำนาจมี ความสามารถตามกฎหมาย และฎีกาข้อ 2.2 ที่ว่า จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโจทก์ด้วยการครอบครองปรปักษ์นั้นล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 91)
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทกับให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินดังกล่าวและส่งมอบให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจาก ที่พิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 3344 ตำบลวิชิต(ระเงง)อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต กับรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทดังกล่าว ห้ามเกี่ยวข้องต่อไป
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 84)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสอง ข้อ 2.1 แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ในชั้นฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกส่วนฎีกา ข้อ 2.2 เป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า10 ปี แล้วหรือไม่ จึงต้องห้ามมิให้จำเลยทั้งสองฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสอง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลยเป็น ฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ประกอบผู้เสียหายจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาตรา 4 ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่าศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษจำเลย เพราะได้แปลความหมายหมายของบทกฎหมาย ผิดไป เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาในปัญหา ข้อกฎหมายของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300,91 ที่แก้ไขแล้ว ผู้เสียหายจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43,78,157,160 ที่แก้ไขแล้ว ลดโทษให้กึ่งหนึ่งลงโทษฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 3 เดือน ลงโทษฐานหลบหนีไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก จำคุก 1 เดือน รวมโทษจำคุก 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 39)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 44)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาจำเลยที่ว่า ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาก็ดี เหตุผลที่ไม่รอการลงโทษของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แตกต่างกันก็ดี ความผิดที่จำเลยก่อขึ้นไม่ร้ายแรงและเข้าข่ายเป็นเหตุสุดวิสัยหรืออุบัติเหตุ ก็ดี และศาลสูงควรรอการลงโทษให้จำเลยก็ดี เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลยเป็น ฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ประกอบผู้เสียหายจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาตรา 4 ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่าศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษจำเลย เพราะได้แปลความหมายหมายของบทกฎหมาย ผิดไป เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาในปัญหา ข้อกฎหมายของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300,91 ที่แก้ไขแล้ว ผู้เสียหายจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43,78,157,160 ที่แก้ไขแล้ว ลดโทษให้กึ่งหนึ่งลงโทษฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 3 เดือน ลงโทษฐานหลบหนีไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก จำคุก 1 เดือน รวมโทษจำคุก 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 39)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 44)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาจำเลยที่ว่า ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาก็ดี เหตุผลที่ไม่รอการลงโทษของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แตกต่างกันก็ดี ความผิดที่จำเลยก่อขึ้นไม่ร้ายแรงและเข้าข่ายเป็นเหตุสุดวิสัยหรืออุบัติเหตุ ก็ดี และศาลสูงควรรอการลงโทษให้จำเลยก็ดี เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการอุธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการอุทธรณ์ ในปัญหาข้อกฎหมาย โดยอุทธรณ์ว่า เอกสารหมาย จ.2 ซึ่งเป็นเอกสารที่นายธีระดิลกกุลกรรมการคนหนึ่ง ของจำเลยจัดทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานในการจ่ายเงินแก่โจทก์ ประกอบคำเบิกความของโจทก์และคำเบิกความ ของนายธีระเป็นพฤติกรรมที่แสดงว่าจำเลยตกลงสัญญาว่าจะจ่ายเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง เพราะสัญญาจ้างแรงงาน ไม่ต้องทำเป็นหนังสือ การตกลงสัญญากันระหว่างนายจ้าง และลูกจ้าง ในเรื่องเกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงานต่างๆจึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือเช่นกัน พฤติกรรมของจำเลยที่แสดงออกมาบวกกับเอกสาร หมาย จ.2 แสดงให้เห็นว่าเป็นการตกลงสัญญากับโจทก์ว่าจะจ่ายเงินแก่โจทก์ตามฟ้องโปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์เพื่อพิจารณา พิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ศาลแรงงานกลางส่งสำเนาคำร้องให้แก่ จำเลยโดยวิธีปิดประกาศหน้าศาล (อันดับ 31)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 3,740 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง(วันที่ 8 มิถุนายน 2536) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แก่โจทก์คำขออย่างอื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 26)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 27)
คำสั่ง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์จำเลย แล้วฟังข้อเท็จจริงว่าในการที่โจทก์ลาออกจากงาน จำเลยตกลงจ่ายเงินช่วยเหลือแก่โจทก์ 228,500 บาท มิได้ตกลงจ่ายเงินให้แก่โจทก์ตามฟ้อง ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นการแสดงถึงพฤติกรรม ของจำเลยที่สนับสนุนคำเบิกความของโจทก์ว่า จำเลยตกลงกับโจทก์ว่า ถ้าโจทก์ลาออกจากงานจำเลย จะจ่ายเงินให้โจทก์ตามฟ้องจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522มาตรา 54 ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการอุธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการอุทธรณ์ ในปัญหาข้อกฎหมาย โดยอุทธรณ์ว่า เอกสารหมาย จ.2 ซึ่งเป็นเอกสารที่นายธีระดิลกกุลกรรมการคนหนึ่ง ของจำเลยจัดทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานในการจ่ายเงินแก่โจทก์ ประกอบคำเบิกความของโจทก์และคำเบิกความ ของนายธีระเป็นพฤติกรรมที่แสดงว่าจำเลยตกลงสัญญาว่าจะจ่ายเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง เพราะสัญญาจ้างแรงงาน ไม่ต้องทำเป็นหนังสือ การตกลงสัญญากันระหว่างนายจ้าง และลูกจ้าง ในเรื่องเกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงานต่างๆจึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือเช่นกัน พฤติกรรมของจำเลยที่แสดงออกมาบวกกับเอกสาร หมาย จ.2 แสดงให้เห็นว่าเป็นการตกลงสัญญากับโจทก์ว่าจะจ่ายเงินแก่โจทก์ตามฟ้องโปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์เพื่อพิจารณา พิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ศาลแรงงานกลางส่งสำเนาคำร้องให้แก่ จำเลยโดยวิธีปิดประกาศหน้าศาล (อันดับ 31)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 3,740 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง(วันที่ 8 มิถุนายน 2536) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แก่โจทก์คำขออย่างอื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 26)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 27)
คำสั่ง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์จำเลย แล้วฟังข้อเท็จจริงว่าในการที่โจทก์ลาออกจากงาน จำเลยตกลงจ่ายเงินช่วยเหลือแก่โจทก์ 228,500 บาท มิได้ตกลงจ่ายเงินให้แก่โจทก์ตามฟ้อง ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นการแสดงถึงพฤติกรรม ของจำเลยที่สนับสนุนคำเบิกความของโจทก์ว่า จำเลยตกลงกับโจทก์ว่า ถ้าโจทก์ลาออกจากงานจำเลย จะจ่ายเงินให้โจทก์ตามฟ้องจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522มาตรา 54 ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยได้ยื่นฎีกาไว้ บัดนี้จำเลยไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีในชั้นฎีกาอีกต่อไปจึงขอถอนคำฟ้องฎีกาโปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์แถลงไม่คัดค้าน (อันดับ 47)
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 828ตำบลมะขามล้ม(สะแกย่างหมู) อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี แก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 38)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 44)
คำสั่ง
อนุญาตให้จำเลยถอนฎีกา จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ ศาลฎีกา
ความว่า จำเลยได้ยื่นฎีกาไว้ บัดนี้จำเลยไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีในชั้นฎีกาอีกต่อไปจึงขอถอนคำฟ้องฎีกาโปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์แถลงไม่คัดค้าน (อันดับ 47)
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 828ตำบลมะขามล้ม(สะแกย่างหมู) อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี แก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 38)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 44)
คำสั่ง
อนุญาตให้จำเลยถอนฎีกา จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ ศาลฎีกา
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ศาลรับรองว่ามีเหตุอันควรฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องว่า รวม และมีคำสั่งฎีกาว่า ฎีกาจำเลยต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าตาม เอกสารหมายจ.5 และ จ.6 แต่อย่างใดเนื่องจากจำเลยได้ย้ายภูมิลำเนาไปจาก จังหวัดพิจิตรตั้งแต่ปีพ.ศ. 2530 แล้ว โจทก์ทั้งสี่จึง ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลย ยกขึ้นว่ากล่าว มาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ทั้งสี่แถลงคัดค้าน (อันดับ 85 แผ่นที่ 2)
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ยอมจ่ายเงินผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่โจทก์ทั้งสี่ตาม สัญญาเช่าข้อ 3.2 ขอบังคับ ให้จำเลยและบริวารออกไป จากที่ดินที่เช่า โดยให้จำเลยรื้อถอน สิ่งปลูกสร้างในที่ดิน ตามสัญญาเช่าออกไปด้วยและเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินตาม หนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 ตำบลในเมืองอำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร เนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน6 ตารางวา ตามสัญญาเช่าภายใน 1 เดือน นับแต่วันนี้(30 ธันวาคม 2535) ให้จำเลยส่งมอบที่ดินคืนให้แก่โจทก์ทั้งสี่ในสภาพเรียบร้อย สำหรับคำขอของโจทก์ที่ให้โจทก์ทั้งสี่ มีอำนาจรื้อถอนได้โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายหากจำเลยไม่รื้อถอน นั้น เป็นเรื่องในส่วนการบังคับคดีที่โจทก์จะต้องดำเนินการต่อไป คำขอของ โจทก์นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกา
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องและสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 78,76)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 80)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้อง ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท ศาลอุทธรณ์รับฟัง คำเบิกความของโจทก์ที่ 1ซึ่งเบิกความประกอบ หนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าและใบตอบรับทางไปรษณีย์เอกสารหมายจ.5, จ.6 แล้วเชื่อว่าโจทก์ทั้งสี่ ได้บอกเลิก สัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว จำเลยฎีกาโต้เถียงว่า โจทก์ไม่มีพยานบุคคลอื่นใดมาสนับสนุนข้ออ้าง ของโจทก์ และว่าจำเลยไม่ทราบการบอกกล่าวเพราะได้ย้าย ภูมิลำเนา ไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่จำเลยมิได้สืบพยานอย่างใด เนื่องจากในชั้นพิจารณา จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งและวรรคสองศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ศาลรับรองว่ามีเหตุอันควรฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องว่า รวม และมีคำสั่งฎีกาว่า ฎีกาจำเลยต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าตาม เอกสารหมายจ.5 และ จ.6 แต่อย่างใดเนื่องจากจำเลยได้ย้ายภูมิลำเนาไปจาก จังหวัดพิจิตรตั้งแต่ปีพ.ศ. 2530 แล้ว โจทก์ทั้งสี่จึง ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลย ยกขึ้นว่ากล่าว มาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ทั้งสี่แถลงคัดค้าน (อันดับ 85 แผ่นที่ 2)
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ยอมจ่ายเงินผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่โจทก์ทั้งสี่ตาม สัญญาเช่าข้อ 3.2 ขอบังคับ ให้จำเลยและบริวารออกไป จากที่ดินที่เช่า โดยให้จำเลยรื้อถอน สิ่งปลูกสร้างในที่ดิน ตามสัญญาเช่าออกไปด้วยและเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินตาม หนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 ตำบลในเมืองอำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร เนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน6 ตารางวา ตามสัญญาเช่าภายใน 1 เดือน นับแต่วันนี้(30 ธันวาคม 2535) ให้จำเลยส่งมอบที่ดินคืนให้แก่โจทก์ทั้งสี่ในสภาพเรียบร้อย สำหรับคำขอของโจทก์ที่ให้โจทก์ทั้งสี่ มีอำนาจรื้อถอนได้โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายหากจำเลยไม่รื้อถอน นั้น เป็นเรื่องในส่วนการบังคับคดีที่โจทก์จะต้องดำเนินการต่อไป คำขอของ โจทก์นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกา
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องและสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 78,76)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 80)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้อง ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท ศาลอุทธรณ์รับฟัง คำเบิกความของโจทก์ที่ 1ซึ่งเบิกความประกอบ หนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าและใบตอบรับทางไปรษณีย์เอกสารหมายจ.5, จ.6 แล้วเชื่อว่าโจทก์ทั้งสี่ ได้บอกเลิก สัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว จำเลยฎีกาโต้เถียงว่า โจทก์ไม่มีพยานบุคคลอื่นใดมาสนับสนุนข้ออ้าง ของโจทก์ และว่าจำเลยไม่ทราบการบอกกล่าวเพราะได้ย้าย ภูมิลำเนา ไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่จำเลยมิได้สืบพยานอย่างใด เนื่องจากในชั้นพิจารณา จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งและวรรคสองศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|