ความว่า จำเลยอุทธรณ์ และยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงพร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลแรงงานกลางสั่งว่าอุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามผู้เสียหายจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 54 จึงไม่รับอุทธรณ์ และมีคำสั่งในคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงว่าพิเคราะห์แล้ว ไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงให้ยกคำร้อง และมีคำสั่งในคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีว่าศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย คำร้องขอทุเลาการบังคับจึงตกไปด้วย จึงไม่รับคำร้อง
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ข้อ 2.1 ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวน เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ข้อ 2.1ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
อนึ่งการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของ จำเลยที่ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น จำเลยเห็นว่า คำร้องเช่นนี้ควรจะได้รับการพิจารณาสั่งโดยอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางโดยตรง ตามพระราชบัญญัติศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 31ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 230 วรรคสามโปรดมีคำสั่งยกหรือเพิกถอนของคำสั่งของศาลแรงงานกลางและให้ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีถ้าหาก ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาแล้วโปรดมี คำสั่งให้รับคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยด้วย และจำเลยได้ วางเงินเป็นจำนวนพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมกับคำร้อง ขอทุเลาการบังคับแล้วจึงขอให้ศาลฎีกาได้โปรดอนุญาตให้ ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 82)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดย ให้เรียกโจทก์สำนวนแรกว่าโจทก์ที่ 1 และเรียกโจทก์สำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 2
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 17,741 พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่ง ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 12 กรกฎาคม 2536) และค่าชดเชยจำนวน 10,000บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่ วันที่ 4 ธันวาคม 2535เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่ โจทก์ที่ 1 และให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 21,290 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 12 กรกฎาคม 2536)และค่าชดเชยจำนวน36,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่ วันที่ 4 ธันวาคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ที่ 2
จำเลยอุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ และมีคำสั่งไม่รับคำร้องของ จำเลย (อันดับ 73,72 และ 74)
ทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 79)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาแรงงานกลางอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่านายกฤษฏิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยได้ปรึกษากับนางโดโรล่าว่าจะทำโทษโจทก์ทั้งสองโดยการตัดโบนัสและไม่ขึ้นเงินเดือน แต่นายกฤษฏิ์เปลี่ยนใจไล่โจทก์ทั้งสองออกจากงาน การทีจำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2.1 ว่า ศาลแรงงานกลาง มิได้นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบหากนำมาวินิจฉัยจะฟังข้อเท็จจริงได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าไปเองจึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 มาตรา 54ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้วและเมื่อ มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ก็ไม่จำต้องพิจารณาสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยอีก ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ และยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงพร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลแรงงานกลางสั่งว่าอุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามผู้เสียหายจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 54 จึงไม่รับอุทธรณ์ และมีคำสั่งในคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงว่าพิเคราะห์แล้ว ไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงให้ยกคำร้อง และมีคำสั่งในคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีว่าศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย คำร้องขอทุเลาการบังคับจึงตกไปด้วย จึงไม่รับคำร้อง
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ข้อ 2.1 ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวน เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ข้อ 2.1ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
อนึ่งการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของ จำเลยที่ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น จำเลยเห็นว่า คำร้องเช่นนี้ควรจะได้รับการพิจารณาสั่งโดยอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางโดยตรง ตามพระราชบัญญัติศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 31ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 230 วรรคสามโปรดมีคำสั่งยกหรือเพิกถอนของคำสั่งของศาลแรงงานกลางและให้ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีถ้าหาก ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาแล้วโปรดมี คำสั่งให้รับคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยด้วย และจำเลยได้ วางเงินเป็นจำนวนพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมกับคำร้อง ขอทุเลาการบังคับแล้วจึงขอให้ศาลฎีกาได้โปรดอนุญาตให้ ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 82)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดย ให้เรียกโจทก์สำนวนแรกว่าโจทก์ที่ 1 และเรียกโจทก์สำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 2
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 17,741 พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่ง ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 12 กรกฎาคม 2536) และค่าชดเชยจำนวน 10,000บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่ วันที่ 4 ธันวาคม 2535เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่ โจทก์ที่ 1 และให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 21,290 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 12 กรกฎาคม 2536)และค่าชดเชยจำนวน36,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่ วันที่ 4 ธันวาคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ที่ 2
จำเลยอุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ และมีคำสั่งไม่รับคำร้องของ จำเลย (อันดับ 73,72 และ 74)
ทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 79)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาแรงงานกลางอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่านายกฤษฏิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยได้ปรึกษากับนางโดโรล่าว่าจะทำโทษโจทก์ทั้งสองโดยการตัดโบนัสและไม่ขึ้นเงินเดือน แต่นายกฤษฏิ์เปลี่ยนใจไล่โจทก์ทั้งสองออกจากงาน การทีจำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2.1 ว่า ศาลแรงงานกลาง มิได้นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบหากนำมาวินิจฉัยจะฟังข้อเท็จจริงได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าไปเองจึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 มาตรา 54ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้วและเมื่อ มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ก็ไม่จำต้องพิจารณาสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยอีก ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ก. กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยได้ปรึกษากับ ด. ว่าจะทำโทษโจทก์ทั้งสองโดยการตัดโบนัสและไม่ขึ้นเงินเดือน แต่ ก. เปลี่ยนใจไล่โจทก์ทั้งสองออกจากงานจำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางมิได้นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบหากนำมาวินิจฉัยจะฟังข้อเท็จจริงได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าที่ไปเอง จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 54 และเมื่อมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ก็ไม่จำต้องพิจารณาสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยอีก
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้ จำเลยอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลแรงงานกลางสั่งว่าอุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 54 จึงไม่รับอุทธรณ์ และมีคำสั่งในคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงว่าพิเคราะห์แล้วไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ให้ยกคำร้อง และมีคำสั่งในคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีว่าศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย คำร้องขอทุเลาการบังคับจึงตกไปด้วย จึงไม่รับคำร้อง
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาว่า อุทธรณ์ข้อ 2.1 ที่ว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวน เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ข้อ2.1 ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
อนึ่งการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น จำเลยเห็นว่า คำร้องเช่นนี้ควรจะได้รับการพิจารณาสั่งโดยอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางโดยตรงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานกลางและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 230 วรรคสามโปรดมีคำสั่งยกหรือเพิกถอนคำสั่งของศาลแรงงานกลาง และให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ถ้าหากศาลฎีกามีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาแล้ว โปรดมีคำสั่งให้รับคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยด้วย และจำเลยได้วางเงินเป็นจำนวนพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมกับคำร้องขอทุเลาการบังคบแล้ว จึงขอให้ศาลฎีกาได้โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ด้วย
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานมีคำสั่งว่า "ที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่านายกฤษฎิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยได้ปรึกษากับนางโดโรล่าว่าจะทำโทษโจทก์ทั้งสองโดยการตัดโบนัสและไม่ขึ้นเงินเดือน แต่นายกฤษฎิ์เปลี่ยนใจโจทก์ทั้งสองออกจากงาน การที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2.1 ว่าศาลแรงงานกลางมิได้นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบ หากนำมาวินิจฉัยจะฟังข้อเท็จจริงได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าที่ไปเอง จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว และเมื่อมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ก็ไม่จำต้องพิจารณาสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยอีก ให้ยกคำร้อง"
จำเลยอุทธรณ์ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ก. กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยได้ปรึกษากับ ด. ว่าจะทำโทษโจทก์ทั้งสองโดยการตัดโบนัสและไม่ขึ้นเงินเดือน แต่ ก. เปลี่ยนใจไล่โจทก์ทั้งสองออกจากงานจำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางมิได้นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบหากนำมาวินิจฉัยจะฟังข้อเท็จจริงได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าที่ไปเอง จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 54 และเมื่อมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ก็ไม่จำต้องพิจารณาสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยอีก
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้ จำเลยอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลแรงงานกลางสั่งว่าอุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 54 จึงไม่รับอุทธรณ์ และมีคำสั่งในคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงว่าพิเคราะห์แล้วไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ให้ยกคำร้อง และมีคำสั่งในคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีว่าศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย คำร้องขอทุเลาการบังคับจึงตกไปด้วย จึงไม่รับคำร้อง
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาว่า อุทธรณ์ข้อ 2.1 ที่ว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวน เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ข้อ2.1 ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
อนึ่งการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น จำเลยเห็นว่า คำร้องเช่นนี้ควรจะได้รับการพิจารณาสั่งโดยอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางโดยตรงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานกลางและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 230 วรรคสามโปรดมีคำสั่งยกหรือเพิกถอนคำสั่งของศาลแรงงานกลาง และให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ถ้าหากศาลฎีกามีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาแล้ว โปรดมีคำสั่งให้รับคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยด้วย และจำเลยได้วางเงินเป็นจำนวนพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมกับคำร้องขอทุเลาการบังคบแล้ว จึงขอให้ศาลฎีกาได้โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ด้วย
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานมีคำสั่งว่า "ที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่านายกฤษฎิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยได้ปรึกษากับนางโดโรล่าว่าจะทำโทษโจทก์ทั้งสองโดยการตัดโบนัสและไม่ขึ้นเงินเดือน แต่นายกฤษฎิ์เปลี่ยนใจโจทก์ทั้งสองออกจากงาน การที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2.1 ว่าศาลแรงงานกลางมิได้นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบ หากนำมาวินิจฉัยจะฟังข้อเท็จจริงได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าที่ไปเอง จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว และเมื่อมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ก็ไม่จำต้องพิจารณาสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยอีก ให้ยกคำร้อง"
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์และได้กำหนด จำนวนทุนทรัพย์ไว้เป็นเงิน 100,000 บาท ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 7 ธันวาคม 2535 ดังนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์จึงเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจ คำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสอง แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดทุนทรัพย์ของที่ดินพิพาทไว้ก็ไม่ทำให้ คดีของโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ขึ้นมาได้ โปรดมีคำสั่งให้ รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยพร้อมทั้งบริวารขนย้ายสิ่งของจำเลย และย้ายออกไปจากที่ดินและบ้านบนที่ดินโฉนดเลขที่ 6540 ตำบลต้าอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าวเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2536(อันดับ 60)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2537(อันดับ 62)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาใน วันที่ 3 ธันวาคม 2536 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ยื่นฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2537 เป็นการล่วงพ้นกำหนดเวลาสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ยกคำร้องค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์และได้กำหนด จำนวนทุนทรัพย์ไว้เป็นเงิน 100,000 บาท ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 7 ธันวาคม 2535 ดังนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์จึงเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจ คำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสอง แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดทุนทรัพย์ของที่ดินพิพาทไว้ก็ไม่ทำให้ คดีของโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ขึ้นมาได้ โปรดมีคำสั่งให้ รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยพร้อมทั้งบริวารขนย้ายสิ่งของจำเลย และย้ายออกไปจากที่ดินและบ้านบนที่ดินโฉนดเลขที่ 6540 ตำบลต้าอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าวเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2536(อันดับ 60)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2537(อันดับ 62)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาใน วันที่ 3 ธันวาคม 2536 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ยื่นฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2537 เป็นการล่วงพ้นกำหนดเวลาสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ยกคำร้องค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งหกฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทั้งหกเป็นฎีกาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งหก
จำเลยทั้งหกเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งหกเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทั้งหมด จึงไม่ต้องห้ามฎีกาแต่อย่างใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งหกไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ที่ 1 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 170)
ส่วนโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 8 ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ทั้งแปดฟ้องขอให้จำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันจดทะเบียนโอนแบ่งแยกที่ดินตามฟ้องทั้งสองแปลงแก่ฝ่ายโจทก์หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากไม่อาจแบ่งแยกได้ ให้เอาขายทอดตลาด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันไปจดทะเบียนโอนแบ่งแยกที่ดินทั้งสองแปลงตามฟ้องให้แก่โจทก์ทั้งแปด โดยแบ่งที่ดินทั้งสองแปลงออกเป็นสี่ส่วนเท่า ๆ กันและให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ได้คนละ 1 ส่วน โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 8ได้ร่วมกัน 1 ส่วน หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หรือหากไม่อาจแบ่งแยกกันได้ให้นำที่ดินทั้งสองแปลงข้างต้นออกขายทอดตลาดได้เงินเท่าใดให้แบ่งออกเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน แล้วแบ่งให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 คนละ 1 ส่วน โจทก์ ที่ 3ถึงที่ 8 ได้ 1 ส่วน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งหกฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 161)
จำเลยทั้งหกยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 164)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาตามฎีกาจำเลยทั้งหกว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกเป็นอุทธรณ์ที่อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 1ที่จะต้องรับไว้วินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงเพราะอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกมีทุนทรัพย์ 80,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 คำนวณทุนทรัพย์โดยเฉลี่ยตามคำฟ้องของโจทก์เป็นรายบุคคล และว่าทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกไม่เกิน 80,000 บาท เป็นการคำนวณไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่าการคำนวณทุนทรัพย์จะคำนวณโดยเฉลี่ยตามคำฟ้องของโจทก์ หรือตามคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกซึ่งคำนวณรวมกันมาเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยทั้งหกว่าเป็นข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย อันเป็นฎีกาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาจำเลยทั้งหกนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จึงให้รับฎีกาจำเลยทั้งหกไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งหกฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทั้งหกเป็นฎีกาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งหก
จำเลยทั้งหกเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งหกเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทั้งหมด จึงไม่ต้องห้ามฎีกาแต่อย่างใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งหกไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ที่ 1 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 170)
ส่วนโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 8 ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ทั้งแปดฟ้องขอให้จำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันจดทะเบียนโอนแบ่งแยกที่ดินตามฟ้องทั้งสองแปลงแก่ฝ่ายโจทก์หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากไม่อาจแบ่งแยกได้ ให้เอาขายทอดตลาด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันไปจดทะเบียนโอนแบ่งแยกที่ดินทั้งสองแปลงตามฟ้องให้แก่โจทก์ทั้งแปด โดยแบ่งที่ดินทั้งสองแปลงออกเป็นสี่ส่วนเท่า ๆ กันและให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ได้คนละ 1 ส่วน โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 8ได้ร่วมกัน 1 ส่วน หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หรือหากไม่อาจแบ่งแยกกันได้ให้นำที่ดินทั้งสองแปลงข้างต้นออกขายทอดตลาดได้เงินเท่าใดให้แบ่งออกเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน แล้วแบ่งให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 คนละ 1 ส่วน โจทก์ ที่ 3ถึงที่ 8 ได้ 1 ส่วน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งหกฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 161)
จำเลยทั้งหกยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 164)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาตามฎีกาจำเลยทั้งหกว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกเป็นอุทธรณ์ที่อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 1ที่จะต้องรับไว้วินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงเพราะอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกมีทุนทรัพย์ 80,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 คำนวณทุนทรัพย์โดยเฉลี่ยตามคำฟ้องของโจทก์เป็นรายบุคคล และว่าทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกไม่เกิน 80,000 บาท เป็นการคำนวณไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่าการคำนวณทุนทรัพย์จะคำนวณโดยเฉลี่ยตามคำฟ้องของโจทก์ หรือตามคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกซึ่งคำนวณรวมกันมาเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยทั้งหกว่าเป็นข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย อันเป็นฎีกาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาจำเลยทั้งหกนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จึงให้รับฎีกาจำเลยทั้งหกไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับฎีกาจำเลยในข้อ 2.1 และ 2.4 ในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลย ส่วนฎีกาข้อ 2.2 และข้อ 2.3 เป็นฎีกา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 248 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2.2 ที่ว่า มีการฉ้อฉลในการทำสัญญาประกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกัน และข้อ 2.3 ที่ว่าโจทก์บอกกล่าวก่อนฟ้องโดยชอบหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มีสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาข้อ 2.2 และ 2.3 ของจำเลยด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าปรับตามสัญญาประกัน พร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (7 มิถุนายน 2533)ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ยกฟ้องแย้ง ของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 115 แผ่นที่ 1)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 119)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 ที่ว่าสัญญาประกันพิพาทเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลโดยพันตำรวจโทประพงษ์ ระวิวรรณ หลอกลวงให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าเป็นการประกันตัวนายสุวัฒไชย วงศ์สนม แต่ทำสัญญามีข้อความเป็นการประกันตัวนายดำรงค์หรือปิงบุญจงรักษ์ หรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและฎีกาของจำเลยข้อ 2.3 ที่ว่า ก่อนฟ้องคดีนี้เจ้าพนักงานตำรวจ ได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบนัดตามเงื่อนไขของสัญญาประกันพิพาทอันจะถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้แล้วหรือไม่ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 และข้อ 2.3ดังกล่าวจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับฎีกาจำเลยในข้อ 2.1 และ 2.4 ในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลย ส่วนฎีกาข้อ 2.2 และข้อ 2.3 เป็นฎีกา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 248 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2.2 ที่ว่า มีการฉ้อฉลในการทำสัญญาประกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกัน และข้อ 2.3 ที่ว่าโจทก์บอกกล่าวก่อนฟ้องโดยชอบหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มีสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาข้อ 2.2 และ 2.3 ของจำเลยด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าปรับตามสัญญาประกัน พร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (7 มิถุนายน 2533)ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ยกฟ้องแย้ง ของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 115 แผ่นที่ 1)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 119)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 ที่ว่าสัญญาประกันพิพาทเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลโดยพันตำรวจโทประพงษ์ ระวิวรรณ หลอกลวงให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าเป็นการประกันตัวนายสุวัฒไชย วงศ์สนม แต่ทำสัญญามีข้อความเป็นการประกันตัวนายดำรงค์หรือปิงบุญจงรักษ์ หรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและฎีกาของจำเลยข้อ 2.3 ที่ว่า ก่อนฟ้องคดีนี้เจ้าพนักงานตำรวจ ได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบนัดตามเงื่อนไขของสัญญาประกันพิพาทอันจะถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้แล้วหรือไม่ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 และข้อ 2.3ดังกล่าวจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ฎีกาของจำเลยที่ว่าสัญญาประกันพิพาทเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลโดยพันตำรวจโท ป. หลอกลวงให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าเป็นการประกันตัว ส.แต่ทำสัญญามีข้อความเป็นการประกันตัวด. หรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง และฎีกาของจำเลยที่ว่า ก่อนฟ้องคดีนี้เจ้าพนักงานตำรวจได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบนัดตามเงื่อนไขของสัญญาประกันพิพาทอันจะถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้แล้วหรือไม่ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าปรับตามสัญญาประกัน พร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (7 มิถุนายน 2533)ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับฎีกาจำเลยในข้อ 2.1และ 2.4 ในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ และฟ้องแย้งของจำเลยส่วนฎีกาข้อ 2.2 และข้อ 2.3 เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 248 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่รับจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกาว่า ฎีกาข้อ 2.2ที่ว่า มีการฉ้อฉลในการทำสัญญาประกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกัน และข้อ 2.3 ที่ว่าโจทก์บอกกล่าวก่อนฟ้องโดยชอบหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มีสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งรับฎีกาข้อ 2.2 และ 2.3ของจำเลยด้วย
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "ฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 ที่ว่า สัญญาประกันพิพาทเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลโดยพันตำรวจโทประพงษ์ ระวิรรณ หลอกลวงให้จำเลยสำคัญผิด คิดว่าเป็นการประกันตัวนายสุวัฒไชย วงศ์สนม แต่ทำสัญญามีข้อความเป็นการประกันตัวนายดำรงค์หรือปิง บุญจงรักษ์ หรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและฎีกาของจำเลยข้อ 2.3 ที่ว่า ก่อนฟ้องคดีนี้ เจ้าพนักงานตำรวจได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบนัดตามเงื่อนไขของสัญญาประกันพิพาทอันจะถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้แล้วหรือไม่ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 และข้อ 2.3ดังกล่าวจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง"
ฎีกาของจำเลยที่ว่าสัญญาประกันพิพาทเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลโดยพันตำรวจโท ป. หลอกลวงให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าเป็นการประกันตัว ส.แต่ทำสัญญามีข้อความเป็นการประกันตัวด. หรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง และฎีกาของจำเลยที่ว่า ก่อนฟ้องคดีนี้เจ้าพนักงานตำรวจได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบนัดตามเงื่อนไขของสัญญาประกันพิพาทอันจะถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้แล้วหรือไม่ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าปรับตามสัญญาประกัน พร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (7 มิถุนายน 2533)ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับฎีกาจำเลยในข้อ 2.1และ 2.4 ในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ และฟ้องแย้งของจำเลยส่วนฎีกาข้อ 2.2 และข้อ 2.3 เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 248 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่รับจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกาว่า ฎีกาข้อ 2.2ที่ว่า มีการฉ้อฉลในการทำสัญญาประกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกัน และข้อ 2.3 ที่ว่าโจทก์บอกกล่าวก่อนฟ้องโดยชอบหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มีสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งรับฎีกาข้อ 2.2 และ 2.3ของจำเลยด้วย
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "ฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 ที่ว่า สัญญาประกันพิพาทเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลโดยพันตำรวจโทประพงษ์ ระวิรรณ หลอกลวงให้จำเลยสำคัญผิด คิดว่าเป็นการประกันตัวนายสุวัฒไชย วงศ์สนม แต่ทำสัญญามีข้อความเป็นการประกันตัวนายดำรงค์หรือปิง บุญจงรักษ์ หรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและฎีกาของจำเลยข้อ 2.3 ที่ว่า ก่อนฟ้องคดีนี้ เจ้าพนักงานตำรวจได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบนัดตามเงื่อนไขของสัญญาประกันพิพาทอันจะถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้แล้วหรือไม่ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 และข้อ 2.3ดังกล่าวจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง"
ความว่า ผู้ร้องฎีกา บัดนี้ผู้ร้องได้ขายที่ดินอันเป็นมรดก ของนายแก้ว อ้นรำพึง และได้นำเงินที่ได้จากการขายที่ดินมรดกไปซื้อที่ดินเป็นของตนเอง และใช้จ่ายจนเกือบจะหมดแล้วทำให้ผู้คัดค้านทั้งสองได้รับความเสียหาย โปรดมีคำสั่งให้ผู้ร้อง นำเงินที่ได้จากการขายที่ดินมรดกที่เหลือและโฉนดที่ดิน ที่ผู้ร้องนำเงินมรดกไปซื้อไว้มาวางศาลโปรดอนุญาต
หมายเหตุ ผู้ร้องยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นสั่งถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล แล้วตั้งผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกแทน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายเกษมอ้นรำพึง ผู้คัดค้านที่ 1และนางลำดวนอ้นรำพึง ผู้คัดค้านที่ 2 ร่วมเป็นผู้จัดการมรดกของนายแก้ว อ้นรำพึงผู้ตายกับนายเดช มากดี ผู้จัดการมรดกคำขออื่นให้ยกเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา (อันดับ 94)
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 101)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าผู้ร้องหรือผู้คัดค้านทั้งสองสมควรเป็นผู้จัดการมรดก มิได้ พิพาทเกี่ยวกับทรัพย์มรดก ไม่มีเหตุที่ผู้คัดค้านทั้งสองจะร้องขอให้ผู้ร้องนำเงินและโฉนดที่ดินตามคำร้องมาวางศาลได้ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า ผู้ร้องฎีกา บัดนี้ผู้ร้องได้ขายที่ดินอันเป็นมรดก ของนายแก้ว อ้นรำพึง และได้นำเงินที่ได้จากการขายที่ดินมรดกไปซื้อที่ดินเป็นของตนเอง และใช้จ่ายจนเกือบจะหมดแล้วทำให้ผู้คัดค้านทั้งสองได้รับความเสียหาย โปรดมีคำสั่งให้ผู้ร้อง นำเงินที่ได้จากการขายที่ดินมรดกที่เหลือและโฉนดที่ดิน ที่ผู้ร้องนำเงินมรดกไปซื้อไว้มาวางศาลโปรดอนุญาต
หมายเหตุ ผู้ร้องยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นสั่งถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล แล้วตั้งผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกแทน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายเกษมอ้นรำพึง ผู้คัดค้านที่ 1และนางลำดวนอ้นรำพึง ผู้คัดค้านที่ 2 ร่วมเป็นผู้จัดการมรดกของนายแก้ว อ้นรำพึงผู้ตายกับนายเดช มากดี ผู้จัดการมรดกคำขออื่นให้ยกเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา (อันดับ 94)
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 101)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าผู้ร้องหรือผู้คัดค้านทั้งสองสมควรเป็นผู้จัดการมรดก มิได้ พิพาทเกี่ยวกับทรัพย์มรดก ไม่มีเหตุที่ผู้คัดค้านทั้งสองจะร้องขอให้ผู้ร้องนำเงินและโฉนดที่ดินตามคำร้องมาวางศาลได้ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าพิเคราะห์แล้ว คดีนี้มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสอง ข้อ 2.1ที่ว่า หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้ระบุ อายุของผู้รับมอบอำนาจ จึงไม่อาจทราบได้ว่าผู้รับมอบอำนาจมี ความสามารถตามกฎหมาย และฎีกาข้อ 2.2 ที่ว่า จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโจทก์ด้วยการครอบครองปรปักษ์นั้นล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 91)
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทกับให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินดังกล่าวและส่งมอบให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจาก ที่พิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 3344 ตำบลวิชิต(ระเงง)อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต กับรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทดังกล่าว ห้ามเกี่ยวข้องต่อไป
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 84)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสอง ข้อ 2.1 แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ในชั้นฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกส่วนฎีกา ข้อ 2.2 เป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า10 ปี แล้วหรือไม่ จึงต้องห้ามมิให้จำเลยทั้งสองฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสอง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าพิเคราะห์แล้ว คดีนี้มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสอง ข้อ 2.1ที่ว่า หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้ระบุ อายุของผู้รับมอบอำนาจ จึงไม่อาจทราบได้ว่าผู้รับมอบอำนาจมี ความสามารถตามกฎหมาย และฎีกาข้อ 2.2 ที่ว่า จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโจทก์ด้วยการครอบครองปรปักษ์นั้นล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 91)
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทกับให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินดังกล่าวและส่งมอบให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจาก ที่พิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 3344 ตำบลวิชิต(ระเงง)อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต กับรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทดังกล่าว ห้ามเกี่ยวข้องต่อไป
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 84)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสอง ข้อ 2.1 แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ในชั้นฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกส่วนฎีกา ข้อ 2.2 เป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า10 ปี แล้วหรือไม่ จึงต้องห้ามมิให้จำเลยทั้งสองฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสอง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลยเป็น ฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ประกอบผู้เสียหายจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาตรา 4 ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่าศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษจำเลย เพราะได้แปลความหมายหมายของบทกฎหมาย ผิดไป เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาในปัญหา ข้อกฎหมายของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300,91 ที่แก้ไขแล้ว ผู้เสียหายจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43,78,157,160 ที่แก้ไขแล้ว ลดโทษให้กึ่งหนึ่งลงโทษฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 3 เดือน ลงโทษฐานหลบหนีไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก จำคุก 1 เดือน รวมโทษจำคุก 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 39)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 44)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาจำเลยที่ว่า ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาก็ดี เหตุผลที่ไม่รอการลงโทษของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แตกต่างกันก็ดี ความผิดที่จำเลยก่อขึ้นไม่ร้ายแรงและเข้าข่ายเป็นเหตุสุดวิสัยหรืออุบัติเหตุ ก็ดี และศาลสูงควรรอการลงโทษให้จำเลยก็ดี เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลยเป็น ฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ประกอบผู้เสียหายจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาตรา 4 ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่าศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษจำเลย เพราะได้แปลความหมายหมายของบทกฎหมาย ผิดไป เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาในปัญหา ข้อกฎหมายของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300,91 ที่แก้ไขแล้ว ผู้เสียหายจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43,78,157,160 ที่แก้ไขแล้ว ลดโทษให้กึ่งหนึ่งลงโทษฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 3 เดือน ลงโทษฐานหลบหนีไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก จำคุก 1 เดือน รวมโทษจำคุก 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 39)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 44)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาจำเลยที่ว่า ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาก็ดี เหตุผลที่ไม่รอการลงโทษของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แตกต่างกันก็ดี ความผิดที่จำเลยก่อขึ้นไม่ร้ายแรงและเข้าข่ายเป็นเหตุสุดวิสัยหรืออุบัติเหตุ ก็ดี และศาลสูงควรรอการลงโทษให้จำเลยก็ดี เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการอุธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการอุทธรณ์ ในปัญหาข้อกฎหมาย โดยอุทธรณ์ว่า เอกสารหมาย จ.2 ซึ่งเป็นเอกสารที่นายธีระดิลกกุลกรรมการคนหนึ่ง ของจำเลยจัดทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานในการจ่ายเงินแก่โจทก์ ประกอบคำเบิกความของโจทก์และคำเบิกความ ของนายธีระเป็นพฤติกรรมที่แสดงว่าจำเลยตกลงสัญญาว่าจะจ่ายเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง เพราะสัญญาจ้างแรงงาน ไม่ต้องทำเป็นหนังสือ การตกลงสัญญากันระหว่างนายจ้าง และลูกจ้าง ในเรื่องเกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงานต่างๆจึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือเช่นกัน พฤติกรรมของจำเลยที่แสดงออกมาบวกกับเอกสาร หมาย จ.2 แสดงให้เห็นว่าเป็นการตกลงสัญญากับโจทก์ว่าจะจ่ายเงินแก่โจทก์ตามฟ้องโปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์เพื่อพิจารณา พิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ศาลแรงงานกลางส่งสำเนาคำร้องให้แก่ จำเลยโดยวิธีปิดประกาศหน้าศาล (อันดับ 31)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 3,740 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง(วันที่ 8 มิถุนายน 2536) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แก่โจทก์คำขออย่างอื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 26)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 27)
คำสั่ง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์จำเลย แล้วฟังข้อเท็จจริงว่าในการที่โจทก์ลาออกจากงาน จำเลยตกลงจ่ายเงินช่วยเหลือแก่โจทก์ 228,500 บาท มิได้ตกลงจ่ายเงินให้แก่โจทก์ตามฟ้อง ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นการแสดงถึงพฤติกรรม ของจำเลยที่สนับสนุนคำเบิกความของโจทก์ว่า จำเลยตกลงกับโจทก์ว่า ถ้าโจทก์ลาออกจากงานจำเลย จะจ่ายเงินให้โจทก์ตามฟ้องจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522มาตรา 54 ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการอุธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการอุทธรณ์ ในปัญหาข้อกฎหมาย โดยอุทธรณ์ว่า เอกสารหมาย จ.2 ซึ่งเป็นเอกสารที่นายธีระดิลกกุลกรรมการคนหนึ่ง ของจำเลยจัดทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานในการจ่ายเงินแก่โจทก์ ประกอบคำเบิกความของโจทก์และคำเบิกความ ของนายธีระเป็นพฤติกรรมที่แสดงว่าจำเลยตกลงสัญญาว่าจะจ่ายเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง เพราะสัญญาจ้างแรงงาน ไม่ต้องทำเป็นหนังสือ การตกลงสัญญากันระหว่างนายจ้าง และลูกจ้าง ในเรื่องเกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงานต่างๆจึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือเช่นกัน พฤติกรรมของจำเลยที่แสดงออกมาบวกกับเอกสาร หมาย จ.2 แสดงให้เห็นว่าเป็นการตกลงสัญญากับโจทก์ว่าจะจ่ายเงินแก่โจทก์ตามฟ้องโปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์เพื่อพิจารณา พิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ศาลแรงงานกลางส่งสำเนาคำร้องให้แก่ จำเลยโดยวิธีปิดประกาศหน้าศาล (อันดับ 31)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 3,740 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง(วันที่ 8 มิถุนายน 2536) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แก่โจทก์คำขออย่างอื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 26)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 27)
คำสั่ง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์จำเลย แล้วฟังข้อเท็จจริงว่าในการที่โจทก์ลาออกจากงาน จำเลยตกลงจ่ายเงินช่วยเหลือแก่โจทก์ 228,500 บาท มิได้ตกลงจ่ายเงินให้แก่โจทก์ตามฟ้อง ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นการแสดงถึงพฤติกรรม ของจำเลยที่สนับสนุนคำเบิกความของโจทก์ว่า จำเลยตกลงกับโจทก์ว่า ถ้าโจทก์ลาออกจากงานจำเลย จะจ่ายเงินให้โจทก์ตามฟ้องจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522มาตรา 54 ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยได้ยื่นฎีกาไว้ บัดนี้จำเลยไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีในชั้นฎีกาอีกต่อไปจึงขอถอนคำฟ้องฎีกาโปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์แถลงไม่คัดค้าน (อันดับ 47)
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 828ตำบลมะขามล้ม(สะแกย่างหมู) อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี แก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 38)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 44)
คำสั่ง
อนุญาตให้จำเลยถอนฎีกา จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ ศาลฎีกา
ความว่า จำเลยได้ยื่นฎีกาไว้ บัดนี้จำเลยไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีในชั้นฎีกาอีกต่อไปจึงขอถอนคำฟ้องฎีกาโปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์แถลงไม่คัดค้าน (อันดับ 47)
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 828ตำบลมะขามล้ม(สะแกย่างหมู) อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี แก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 38)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 44)
คำสั่ง
อนุญาตให้จำเลยถอนฎีกา จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ ศาลฎีกา
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ศาลรับรองว่ามีเหตุอันควรฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องว่า รวม และมีคำสั่งฎีกาว่า ฎีกาจำเลยต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าตาม เอกสารหมายจ.5 และ จ.6 แต่อย่างใดเนื่องจากจำเลยได้ย้ายภูมิลำเนาไปจาก จังหวัดพิจิตรตั้งแต่ปีพ.ศ. 2530 แล้ว โจทก์ทั้งสี่จึง ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลย ยกขึ้นว่ากล่าว มาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ทั้งสี่แถลงคัดค้าน (อันดับ 85 แผ่นที่ 2)
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ยอมจ่ายเงินผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่โจทก์ทั้งสี่ตาม สัญญาเช่าข้อ 3.2 ขอบังคับ ให้จำเลยและบริวารออกไป จากที่ดินที่เช่า โดยให้จำเลยรื้อถอน สิ่งปลูกสร้างในที่ดิน ตามสัญญาเช่าออกไปด้วยและเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินตาม หนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 ตำบลในเมืองอำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร เนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน6 ตารางวา ตามสัญญาเช่าภายใน 1 เดือน นับแต่วันนี้(30 ธันวาคม 2535) ให้จำเลยส่งมอบที่ดินคืนให้แก่โจทก์ทั้งสี่ในสภาพเรียบร้อย สำหรับคำขอของโจทก์ที่ให้โจทก์ทั้งสี่ มีอำนาจรื้อถอนได้โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายหากจำเลยไม่รื้อถอน นั้น เป็นเรื่องในส่วนการบังคับคดีที่โจทก์จะต้องดำเนินการต่อไป คำขอของ โจทก์นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกา
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องและสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 78,76)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 80)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้อง ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท ศาลอุทธรณ์รับฟัง คำเบิกความของโจทก์ที่ 1ซึ่งเบิกความประกอบ หนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าและใบตอบรับทางไปรษณีย์เอกสารหมายจ.5, จ.6 แล้วเชื่อว่าโจทก์ทั้งสี่ ได้บอกเลิก สัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว จำเลยฎีกาโต้เถียงว่า โจทก์ไม่มีพยานบุคคลอื่นใดมาสนับสนุนข้ออ้าง ของโจทก์ และว่าจำเลยไม่ทราบการบอกกล่าวเพราะได้ย้าย ภูมิลำเนา ไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่จำเลยมิได้สืบพยานอย่างใด เนื่องจากในชั้นพิจารณา จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งและวรรคสองศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ศาลรับรองว่ามีเหตุอันควรฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องว่า รวม และมีคำสั่งฎีกาว่า ฎีกาจำเลยต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าตาม เอกสารหมายจ.5 และ จ.6 แต่อย่างใดเนื่องจากจำเลยได้ย้ายภูมิลำเนาไปจาก จังหวัดพิจิตรตั้งแต่ปีพ.ศ. 2530 แล้ว โจทก์ทั้งสี่จึง ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลย ยกขึ้นว่ากล่าว มาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ทั้งสี่แถลงคัดค้าน (อันดับ 85 แผ่นที่ 2)
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ยอมจ่ายเงินผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่โจทก์ทั้งสี่ตาม สัญญาเช่าข้อ 3.2 ขอบังคับ ให้จำเลยและบริวารออกไป จากที่ดินที่เช่า โดยให้จำเลยรื้อถอน สิ่งปลูกสร้างในที่ดิน ตามสัญญาเช่าออกไปด้วยและเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินตาม หนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 96 ตำบลในเมืองอำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร เนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน6 ตารางวา ตามสัญญาเช่าภายใน 1 เดือน นับแต่วันนี้(30 ธันวาคม 2535) ให้จำเลยส่งมอบที่ดินคืนให้แก่โจทก์ทั้งสี่ในสภาพเรียบร้อย สำหรับคำขอของโจทก์ที่ให้โจทก์ทั้งสี่ มีอำนาจรื้อถอนได้โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายหากจำเลยไม่รื้อถอน นั้น เป็นเรื่องในส่วนการบังคับคดีที่โจทก์จะต้องดำเนินการต่อไป คำขอของ โจทก์นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกา
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องและสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 78,76)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 80)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้อง ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท ศาลอุทธรณ์รับฟัง คำเบิกความของโจทก์ที่ 1ซึ่งเบิกความประกอบ หนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าและใบตอบรับทางไปรษณีย์เอกสารหมายจ.5, จ.6 แล้วเชื่อว่าโจทก์ทั้งสี่ ได้บอกเลิก สัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว จำเลยฎีกาโต้เถียงว่า โจทก์ไม่มีพยานบุคคลอื่นใดมาสนับสนุนข้ออ้าง ของโจทก์ และว่าจำเลยไม่ทราบการบอกกล่าวเพราะได้ย้าย ภูมิลำเนา ไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่จำเลยมิได้สืบพยานอย่างใด เนื่องจากในชั้นพิจารณา จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งและวรรคสองศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องของโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีของโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ไม่รับฎีกาของโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ในประเด็นที่ว่าศาลล่างทั้งสองฟัง ข้อเท็จจริงจากเอกสารหมาย ล.1 ที่จำเลยอ้างส่งต่อศาลแล้วศาล พิพากษายกฟ้องโจทก์ เป็นคำสั่ง ที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเอกสาร หมาย ล.1 ที่จำเลย อ้างนั้นไม่มีลายมือชื่อของเจ้าอาวาสวัดศาลาครืนเอกสารดังกล่าวจึงไม่มีผลบังคับแก่พระภิกษุและสามเณร ในวัด เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับกับความสงบเรียบร้อย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยทั้งสี่ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 46)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,83 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 23,45 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172,391
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง แล้วเห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 42)
ทนายโจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 44)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องโจทก์เห็นได้ว่าเป็นการห้าม ฏีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องของโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีของโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ไม่รับฎีกาของโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ในประเด็นที่ว่าศาลล่างทั้งสองฟัง ข้อเท็จจริงจากเอกสารหมาย ล.1 ที่จำเลยอ้างส่งต่อศาลแล้วศาล พิพากษายกฟ้องโจทก์ เป็นคำสั่ง ที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเอกสาร หมาย ล.1 ที่จำเลย อ้างนั้นไม่มีลายมือชื่อของเจ้าอาวาสวัดศาลาครืนเอกสารดังกล่าวจึงไม่มีผลบังคับแก่พระภิกษุและสามเณร ในวัด เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับกับความสงบเรียบร้อย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยทั้งสี่ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 46)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,83 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 23,45 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172,391
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง แล้วเห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 42)
ทนายโจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 44)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องโจทก์เห็นได้ว่าเป็นการห้าม ฏีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสี่ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิเคราะห์ฎีกาของจำเลยทั้งสี่แล้วเห็นว่าเป็นฎีกา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสี่
จำเลยทั้งสี่เห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ ข้อ 3 และข้อ 4เป็น ปัญหาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ประกอบกับคดีนี้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ และมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมกันจึงไม่ต้อง ห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโปรดมีคำสั่งรับฎีกา ของจำเลยทั้งสี่ด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสี่ออกไปจากที่พิพาทและร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2ถึงแก่กรรมจำเลยที่ 3ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 2 ผู้มรณะ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 3ในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้รับมรดกความแทนที่จำเลยที่ 2ผู้มรณะ พร้อมด้วยบริวารออกไปจากที่พิพาท ซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์ทั้งสอง พร้อมทั้งให้รื้อถอน เอาต้นอ้อย และทำที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิมกับให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายปีละ 100 บาทนับแต่ปี พ.ศ. 2531 จนกว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และบริวารจะออกไปจากที่พิพาท
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ที่ 1 ถึงแก่กรรม โจทก์ที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ โจทก์ที่ 1 ผู้มรณะ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 124)
จำเลยทั้งสี่จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 127)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสี่ออกจาก อสังหาริมทรัพย์จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อราคาทรัพย์สินหรือจำนวน ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน สองแสนบาท จึงต้องห้าม มิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งฎีกาของ จำเลยทั้งสี่ที่ว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของจำเลยทั้ง สี่ จำเลยทั้งสี่ได้กรรมสิทธิ์โดยการ ครอบครองปรปักษ์เป็นการโต้เถียงที่ศาลล่างทั้งสองรับฟัง มาว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดของโจทก์ จำเลยทั้งสี่ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ เป็นฎีกาใน ข้อเท็จจริง ส่วนที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า จำเลยไม่ได้บุกรุก และโจทก์ ฟ้องคดีเกินหนึ่งปีคดีขาดอายุความ นั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อ นำไป สู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จึงเป็น ฎีกาในปัญหาข้อเท็จ จริงเช่นเดียวกัน ต้องห้าม มิให้ฎีกาตาม บทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาของ จำเลยทั้งสี่ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสี่ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิเคราะห์ฎีกาของจำเลยทั้งสี่แล้วเห็นว่าเป็นฎีกา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสี่
จำเลยทั้งสี่เห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ ข้อ 3 และข้อ 4เป็น ปัญหาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ประกอบกับคดีนี้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ และมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมกันจึงไม่ต้อง ห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโปรดมีคำสั่งรับฎีกา ของจำเลยทั้งสี่ด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสี่ออกไปจากที่พิพาทและร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2ถึงแก่กรรมจำเลยที่ 3ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 2 ผู้มรณะ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 3ในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้รับมรดกความแทนที่จำเลยที่ 2ผู้มรณะ พร้อมด้วยบริวารออกไปจากที่พิพาท ซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์ทั้งสอง พร้อมทั้งให้รื้อถอน เอาต้นอ้อย และทำที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิมกับให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายปีละ 100 บาทนับแต่ปี พ.ศ. 2531 จนกว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และบริวารจะออกไปจากที่พิพาท
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ที่ 1 ถึงแก่กรรม โจทก์ที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ โจทก์ที่ 1 ผู้มรณะ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 124)
จำเลยทั้งสี่จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 127)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสี่ออกจาก อสังหาริมทรัพย์จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อราคาทรัพย์สินหรือจำนวน ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน สองแสนบาท จึงต้องห้าม มิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งฎีกาของ จำเลยทั้งสี่ที่ว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของจำเลยทั้ง สี่ จำเลยทั้งสี่ได้กรรมสิทธิ์โดยการ ครอบครองปรปักษ์เป็นการโต้เถียงที่ศาลล่างทั้งสองรับฟัง มาว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดของโจทก์ จำเลยทั้งสี่ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ เป็นฎีกาใน ข้อเท็จจริง ส่วนที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า จำเลยไม่ได้บุกรุก และโจทก์ ฟ้องคดีเกินหนึ่งปีคดีขาดอายุความ นั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อ นำไป สู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จึงเป็น ฎีกาในปัญหาข้อเท็จ จริงเช่นเดียวกัน ต้องห้าม มิให้ฎีกาตาม บทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาของ จำเลยทั้งสี่ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาโจทก์ต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220จึงมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ฟังได้อย่างชัดเจนว่าจำเลยทั้งแปดกระทำความผิด ตามฟ้องของโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7และที่ 8 ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งแปดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175,177 ประกอบมาตรา 83,91
ระหว่างการไต่สวนมูลฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 6 เนื่องจากโจทก์ทิ้งฟ้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ประทับฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีจำเลยที่ 2เนื่องจากไม่ได้ตัวจำเลยที่ 2 มาพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 315)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้(อันดับ317)
คำสั่ง
คดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ที่แก้ไขใหม่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาโจทก์ต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220จึงมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ฟังได้อย่างชัดเจนว่าจำเลยทั้งแปดกระทำความผิด ตามฟ้องของโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7และที่ 8 ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งแปดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175,177 ประกอบมาตรา 83,91
ระหว่างการไต่สวนมูลฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 6 เนื่องจากโจทก์ทิ้งฟ้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ประทับฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีจำเลยที่ 2เนื่องจากไม่ได้ตัวจำเลยที่ 2 มาพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 315)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้(อันดับ317)
คำสั่ง
คดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ที่แก้ไขใหม่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยนั้น ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236 วรรคแรก จำเลยฎีกาไม่ได้ ไม่รับฎีกา ของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองเห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องลง วันที่ 18 มีนาคม 2535 นั้น ไม่ใช่เรื่องขออนุญาตยื่นคำให้การแต่เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่าการส่งหมายเรียกไม่ชอบ จำเลยทั้งสองไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ขอให้รับคำให้การของจำเลยทั้งสองไว้ เมื่อศาลชั้นต้น มีคำสั่งยกคำร้อง จึงเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความ จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของจำเลยทั้งสองด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 84)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบต้นฉบับโฉนดที่ดินเลขที่ 15843 ตำบลแสนสุข (หนองมน)อำเภอเมืองชลบุรี (บางพระ) จังหวัดชลบุรี คืนแก่โจทก์และร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสอง ขาดนัดยื่นคำให้การ นัดสืบพยานโจทก์
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 18 มีนาคม 2535อ้างว่าจำเลยทั้งสองมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ขอให้รับคำให้การของจำเลยทั้งสองศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำสั่งศาลที่ให้ยกคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยทั้งสองเป็น คำสั่งระหว่างพิจารณา ไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความ จำเลยทั้งสองจะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวโดยทันทีไม่ได้ ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ที่ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง ชอบแล้ว อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง ฟังไม่ขึ้น ให้ยกอุทธรณ์ (อันดับ 79)
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 82)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 84)
คำสั่ง
คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดแล้ว ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง ชอบแล้ว ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยนั้น ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236 วรรคแรก จำเลยฎีกาไม่ได้ ไม่รับฎีกา ของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองเห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องลง วันที่ 18 มีนาคม 2535 นั้น ไม่ใช่เรื่องขออนุญาตยื่นคำให้การแต่เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่าการส่งหมายเรียกไม่ชอบ จำเลยทั้งสองไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ขอให้รับคำให้การของจำเลยทั้งสองไว้ เมื่อศาลชั้นต้น มีคำสั่งยกคำร้อง จึงเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความ จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของจำเลยทั้งสองด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 84)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบต้นฉบับโฉนดที่ดินเลขที่ 15843 ตำบลแสนสุข (หนองมน)อำเภอเมืองชลบุรี (บางพระ) จังหวัดชลบุรี คืนแก่โจทก์และร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสอง ขาดนัดยื่นคำให้การ นัดสืบพยานโจทก์
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 18 มีนาคม 2535อ้างว่าจำเลยทั้งสองมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ขอให้รับคำให้การของจำเลยทั้งสองศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำสั่งศาลที่ให้ยกคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยทั้งสองเป็น คำสั่งระหว่างพิจารณา ไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความ จำเลยทั้งสองจะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวโดยทันทีไม่ได้ ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ที่ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง ชอบแล้ว อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง ฟังไม่ขึ้น ให้ยกอุทธรณ์ (อันดับ 79)
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 82)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 84)
คำสั่ง
คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดแล้ว ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง ชอบแล้ว ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังคลาดเคลื่อนทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย หากภายหลังศาลฎีกา พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ จำเลยย่อมได้รับ ความเสียหายอย่างไม่อาจแก้ไขได้หากจำเลยยังคงอยู่ ในที่พิพาทภายหลังเมื่อจำเลยแพ้คดี โจทก์ย่อมได้ ค่าเสียหายเต็มจำนวนตามคำพิพากษาโปรดอนุญาต ให้ทุเลาการ บังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 93)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารสิ่งก่อสร้าง เสารั้ว ลวดหนาม ต้นไม้ ออกไปจากที่ดิน ของโจทก์ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.3 ห้ามจำเลย และบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกให้จำเลย ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วัน ถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะได้รื้อถอนอาคาร สิ่งก่อสร้างเสารั้ว ลวดหนาม ต้นไม้ออกไปจากที่ดินของโจทก์ คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ปีละ 5,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 85,89)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ในเรื่องขับไล่นั้น อนุญาตให้ทุเลา การบังคับไว้ในระหว่างฎีกาได้ ส่วนเรื่องค่าเสียหาย ถ้าจำเลยหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นเวลา 5 ปีมาให้จนเป็น ที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกา มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง ในส่วนนี้
ความว่า จำเลยฎีกา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังคลาดเคลื่อนทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย หากภายหลังศาลฎีกา พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ จำเลยย่อมได้รับ ความเสียหายอย่างไม่อาจแก้ไขได้หากจำเลยยังคงอยู่ ในที่พิพาทภายหลังเมื่อจำเลยแพ้คดี โจทก์ย่อมได้ ค่าเสียหายเต็มจำนวนตามคำพิพากษาโปรดอนุญาต ให้ทุเลาการ บังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 93)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารสิ่งก่อสร้าง เสารั้ว ลวดหนาม ต้นไม้ ออกไปจากที่ดิน ของโจทก์ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.3 ห้ามจำเลย และบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกให้จำเลย ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วัน ถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะได้รื้อถอนอาคาร สิ่งก่อสร้างเสารั้ว ลวดหนาม ต้นไม้ออกไปจากที่ดินของโจทก์ คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ปีละ 5,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 85,89)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ในเรื่องขับไล่นั้น อนุญาตให้ทุเลา การบังคับไว้ในระหว่างฎีกาได้ ส่วนเรื่องค่าเสียหาย ถ้าจำเลยหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นเวลา 5 ปีมาให้จนเป็น ที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกา มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง ในส่วนนี้
ความว่า ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2536 ออกไปอีก 20 วัน นับตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2536 เนื่องจากไม่สามารถ ที่จะขอคัดถ่ายคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ เพราะเหตุว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังพิมพ์ไม่เสร็จศาลชั้นต้นสั่งว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จัดพิมพ์เสร็จเรียบร้อยแล้วก่อนอ่าน คำอ้างของจำเลยจึงรับฟังไม่ได้ ให้ยกคำร้อง
จำเลยเห็นว่า จำเลยได้ยื่นคำแถลงขอคัดถ่ายคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2536 และได้เพียรพยายามไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของศาล เกือบทุกวัน และมารับได้เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2536 ซึ่งเวลาได้ล่วงเวลาการยื่นฎีกาของจำเลยแล้ว ปรากฏตามสำเนาใบขอรับถ่ายเอกสารที่แนบมาท้ายคำร้องนี้ สำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นแนวทางอ้างอิงในการเขียนฎีกาของจำเลย จึงถือได้ว่ามีพฤติการณ์ พิเศษที่จำเลยไม่สามารถเขียนฎีกาได้ทันภายในระยะเวลา ที่กฎหมายกำหนด เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม โปรดมีคำสั่งให้จำเลยยื่นฎีกาได้ภายใน 20 วัน นับแต่ วันที่จำเลยทราบคำสั่งของศาลฎีกาแล้ว เพื่อที่จำเลยจะได้ ยื่นฎีกาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว แถลงคัดค้าน(อันดับ 119)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 181,139.73 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน160,000 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะ ชำระให้โจทก์ครบถ้วน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 160,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง(วันที่ 12 กรกฎาคม 2532) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับ ให้ยกคำร้อง (อันดับ 111)
ทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 114)
คำสั่ง
การขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะ พิจารณาและมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาของจำเลย จึงมิใช่กรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ได้กรณี ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252จึงให้ยกคำร้อง
ความว่า ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2536 ออกไปอีก 20 วัน นับตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2536 เนื่องจากไม่สามารถ ที่จะขอคัดถ่ายคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ เพราะเหตุว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังพิมพ์ไม่เสร็จศาลชั้นต้นสั่งว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จัดพิมพ์เสร็จเรียบร้อยแล้วก่อนอ่าน คำอ้างของจำเลยจึงรับฟังไม่ได้ ให้ยกคำร้อง
จำเลยเห็นว่า จำเลยได้ยื่นคำแถลงขอคัดถ่ายคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2536 และได้เพียรพยายามไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของศาล เกือบทุกวัน และมารับได้เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2536 ซึ่งเวลาได้ล่วงเวลาการยื่นฎีกาของจำเลยแล้ว ปรากฏตามสำเนาใบขอรับถ่ายเอกสารที่แนบมาท้ายคำร้องนี้ สำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นแนวทางอ้างอิงในการเขียนฎีกาของจำเลย จึงถือได้ว่ามีพฤติการณ์ พิเศษที่จำเลยไม่สามารถเขียนฎีกาได้ทันภายในระยะเวลา ที่กฎหมายกำหนด เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม โปรดมีคำสั่งให้จำเลยยื่นฎีกาได้ภายใน 20 วัน นับแต่ วันที่จำเลยทราบคำสั่งของศาลฎีกาแล้ว เพื่อที่จำเลยจะได้ ยื่นฎีกาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว แถลงคัดค้าน(อันดับ 119)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 181,139.73 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน160,000 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะ ชำระให้โจทก์ครบถ้วน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 160,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง(วันที่ 12 กรกฎาคม 2532) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับ ให้ยกคำร้อง (อันดับ 111)
ทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 114)
คำสั่ง
การขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะ พิจารณาและมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาของจำเลย จึงมิใช่กรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ได้กรณี ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252จึงให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ในระหว่างฎีกา บัดนี้จำเลยที่ 2 ได้ถึงแก่กรรมแล้ว ผู้ร้องเป็นผู้ประกันจำเลยที่ 2 และเป็นผู้รับมอบฉันทะจาก นายประกันร่วม อีก 9 คน จึงขออนุญาตถอนหลักทรัพย์ทั้งหมด ที่นำมาประกันตัวจำเลยที่ 2 คืนไปจากศาลโปรดมีคำสั่งให้ จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 และคืนหลักทรัพย์ดังกล่าวให้แก่ ผู้ร้องด้วยโปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมได้รับสำเนาคำร้องแล้วเฉพาะโจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 179,178)ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น นายสงเดชะนะบิดาผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และฐานร่วมกันลักทรัพย์ โดยมีอาวุธและในเวลากลางคืน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,335(1)(7) วรรคแรก,83,91 ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นให้จำคุกตลอดชีวิต และฐานร่วมกันลักทรัพย์จำคุกคนละ 4 ปีเรียงกระทงลงโทษเมื่อรวมแล้วคงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิตสถานเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ให้ขังจำเลยทั้งสองไว้ในระหว่างฎีกา
โจทก์และโจทก์ร่วมต่างฎีกา (อันดับ 161,164)
จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างฎีกาตีราคาค่าประกันห้าแสนบาท มีนายพะนมเอียดเรือง เป็นผู้ประกันโดยได้นำที่ดินของนายชื่นเอียดเรืองนายนิยมทองสงค์นายอำนวย จุลพงษ์นางเผียนแสงงามนางพันจันทร์นวล นายเคลื่อน จุนแก้วนายศรีรักษ์แท่นจันทร์นางพงศรีแท่นจันทร์นายฉ้าย จันทร์คง นางเรือน จุลแก้ว มาวางเป็นหลักประกัน (อันดับ 156)
ผู้ร้องยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 173)
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งให้ส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 185)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนของศาลชั้นต้นรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ตายจริง เมื่อจำเลยที่ 2 ตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยที่ 2 ย่อมระงับไปดังนั้น ความรับผิดของผู้ร้องที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ตามสัญญาประกัน จึงหมดไปด้วยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 118 ให้คืนหลักทรัพย์ทั้งหมดแก่ผู้ร้องรับไปให้ จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
ความว่า จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ในระหว่างฎีกา บัดนี้จำเลยที่ 2 ได้ถึงแก่กรรมแล้ว ผู้ร้องเป็นผู้ประกันจำเลยที่ 2 และเป็นผู้รับมอบฉันทะจาก นายประกันร่วม อีก 9 คน จึงขออนุญาตถอนหลักทรัพย์ทั้งหมด ที่นำมาประกันตัวจำเลยที่ 2 คืนไปจากศาลโปรดมีคำสั่งให้ จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 และคืนหลักทรัพย์ดังกล่าวให้แก่ ผู้ร้องด้วยโปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมได้รับสำเนาคำร้องแล้วเฉพาะโจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 179,178)ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น นายสงเดชะนะบิดาผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และฐานร่วมกันลักทรัพย์ โดยมีอาวุธและในเวลากลางคืน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,335(1)(7) วรรคแรก,83,91 ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นให้จำคุกตลอดชีวิต และฐานร่วมกันลักทรัพย์จำคุกคนละ 4 ปีเรียงกระทงลงโทษเมื่อรวมแล้วคงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิตสถานเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ให้ขังจำเลยทั้งสองไว้ในระหว่างฎีกา
โจทก์และโจทก์ร่วมต่างฎีกา (อันดับ 161,164)
จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างฎีกาตีราคาค่าประกันห้าแสนบาท มีนายพะนมเอียดเรือง เป็นผู้ประกันโดยได้นำที่ดินของนายชื่นเอียดเรืองนายนิยมทองสงค์นายอำนวย จุลพงษ์นางเผียนแสงงามนางพันจันทร์นวล นายเคลื่อน จุนแก้วนายศรีรักษ์แท่นจันทร์นางพงศรีแท่นจันทร์นายฉ้าย จันทร์คง นางเรือน จุลแก้ว มาวางเป็นหลักประกัน (อันดับ 156)
ผู้ร้องยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 173)
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งให้ส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 185)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนของศาลชั้นต้นรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ตายจริง เมื่อจำเลยที่ 2 ตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยที่ 2 ย่อมระงับไปดังนั้น ความรับผิดของผู้ร้องที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ตามสัญญาประกัน จึงหมดไปด้วยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 118 ให้คืนหลักทรัพย์ทั้งหมดแก่ผู้ร้องรับไปให้ จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อฎีกา ของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และคดีนี้ที่จำเลยฎีกาขอให้ ยกฟ้องโจทก์ อันเป็นคดีฟ้องขับไล่ออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่อาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาทในขณะยื่นฟ้องจึงต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248วรรคสองส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้พิพากษาตามฟ้องแย้งจำเลยมีคดี มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกาของจำเลย ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องลงวันที่18 ตุลาคม 2536ขอให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องและจำเลยได้ยื่นคำร้องลงวันที่21 ตุลาคม 2536 ขอให้อธิบดีผู้พิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ว่า การขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ต้องร้องขอ ภายในกำหนดระยะเวลาฎีกา เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาฎีกาแล้วจึง ล่วงพ้นระยะเวลาที่จำเลยจะขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตให้จำเลยฎีกาได้ จึงไม่อนุญาตให้ส่งคำร้อง พร้อมสำนวนไป ยังอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
จำเลยเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลย มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ซึ่งจำเลยก็ได้ยื่นคำร้องดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 7 วันแล้ว การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในขณะที่จำเลยยังมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 อยู่ จึงไม่ชอบ ของศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยและ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งในคำร้องของ จำเลยฉบับลงวันที่ 18 ตุลาคม 2536 และฉบับลงวันที่ 21 ตุลาคม 2536 เป็นคำสั่ง ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโปรดมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นส่งคำร้อง ของจำเลยไปให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพื่อมีคำสั่ง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก,230 วรรคสามประกอบมาตรา 247 ตอนท้ายโปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 112)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนยุ้งข้าวเพิงที่พักรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างของจำเลยออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.)ทะเบียนเลขที่ 3301 เลขที่ดิน 212 ตำบลขามใหญ่อำเภอเมืองอุบลราชธานีจังหวัดอุบลราชธานีของโจทก์ ห้ามจำเลยและ บริวารเข้าเกี่ยวข้อง กับที่ดินแปลงดังกล่าวอีกต่อไป และให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้แก่ โจทก์เดือนละ 150 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลย จะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์เสร็จสิ้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 105)
จำเลยยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฉบับลงวันที่ 18 ตุลาคม 2536และฉบับลงวันที่ 21 ตุลาคม 2536 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 108,109)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 110)
คำสั่ง
จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234ประกอบด้วย มาตรา 247 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อฎีกา ของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และคดีนี้ที่จำเลยฎีกาขอให้ ยกฟ้องโจทก์ อันเป็นคดีฟ้องขับไล่ออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่อาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาทในขณะยื่นฟ้องจึงต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248วรรคสองส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้พิพากษาตามฟ้องแย้งจำเลยมีคดี มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกาของจำเลย ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องลงวันที่18 ตุลาคม 2536ขอให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องและจำเลยได้ยื่นคำร้องลงวันที่21 ตุลาคม 2536 ขอให้อธิบดีผู้พิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ว่า การขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ต้องร้องขอ ภายในกำหนดระยะเวลาฎีกา เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาฎีกาแล้วจึง ล่วงพ้นระยะเวลาที่จำเลยจะขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตให้จำเลยฎีกาได้ จึงไม่อนุญาตให้ส่งคำร้อง พร้อมสำนวนไป ยังอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
จำเลยเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลย มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ซึ่งจำเลยก็ได้ยื่นคำร้องดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 7 วันแล้ว การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในขณะที่จำเลยยังมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 อยู่ จึงไม่ชอบ ของศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยและ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งในคำร้องของ จำเลยฉบับลงวันที่ 18 ตุลาคม 2536 และฉบับลงวันที่ 21 ตุลาคม 2536 เป็นคำสั่ง ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโปรดมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นส่งคำร้อง ของจำเลยไปให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพื่อมีคำสั่ง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก,230 วรรคสามประกอบมาตรา 247 ตอนท้ายโปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 112)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนยุ้งข้าวเพิงที่พักรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างของจำเลยออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.)ทะเบียนเลขที่ 3301 เลขที่ดิน 212 ตำบลขามใหญ่อำเภอเมืองอุบลราชธานีจังหวัดอุบลราชธานีของโจทก์ ห้ามจำเลยและ บริวารเข้าเกี่ยวข้อง กับที่ดินแปลงดังกล่าวอีกต่อไป และให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้แก่ โจทก์เดือนละ 150 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลย จะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์เสร็จสิ้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 105)
จำเลยยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฉบับลงวันที่ 18 ตุลาคม 2536และฉบับลงวันที่ 21 ตุลาคม 2536 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 108,109)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 110)
คำสั่ง
จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234ประกอบด้วย มาตรา 247 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|