ฎีกาจำเลยที่โต้เถียงเกี่ยวกับการชั่งน้ำหนักคำพยานว่าศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่ได้วินิจฉัยคำพยานโจทก์แต่วินิจฉัยคำพยานจำเลยให้เป็นโทษแก่จำเลยเป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความ ซึ่งความจริงศาลล่างได้วินิจฉัยพยานโจทก์ แล้วนั้น เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงให้เป็นข้อกฎหมาย เป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาจำเลยที่โต้เถียงเกี่ยวกับการชั่งน้ำหนักคำพยานว่าศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่ได้วินิจฉัยคำพยานโจทก์แต่วินิจฉัยคำพยานจำเลยให้เป็นโทษแก่จำเลยเป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความ ซึ่งความจริงศาลล่างได้วินิจฉัยพยานโจทก์ แล้วนั้น เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงให้เป็นข้อกฎหมาย เป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์และจำเลยบางคนจะขอทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และให้ศาลพิพากษาตามยอม โดยที่สัญญาดังกล่าวขัดกับข้อต่อสู้ของจำเลยอื่น และจำเลยอื่นไม่ได้ร่วมตกลงด้วย ประเด็นแห่งคดี ยังไม่เสร็จไป หาได้ไม่
โจทก์และจำเลยบางคนจะขอทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และให้ศาลพิพากษาตามยอม โดยที่สัญญาดังกล่าวขัดกับข้อต่อสู้ของจำเลยอื่น และจำเลยอื่นไม่ได้ร่วมตกลงด้วย ประเด็นแห่งคดี ยังไม่เสร็จไป หาได้ไม่
จำเลยมิได้อ้างอิงเอกสารท้ายคำร้องทั้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แต่เพิ่งเสนออ้างอิงในชั้นฎีกา เมื่อไม่ปรากฏว่ามีเหตุสมควรจะอ้างเอกสารในชั้นฎีกาไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสาม ประกอบมาตรา 246 และ 247
จำเลยมิได้อ้างอิงเอกสารท้ายคำร้องทั้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แต่เพิ่งเสนออ้างอิงในชั้นฎีกา เมื่อไม่ปรากฏว่ามีเหตุสมควรจะอ้างเอกสารในชั้นฎีกาไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสาม ประกอบมาตรา 246 และ 247
ฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลฟังจากพยานหลักฐานในสำนวนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลฟังจากพยานหลักฐานในสำนวนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
การนับโทษจำคุกจำเลยว่าจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จะต้องนับแต่ละกระทงความผิดว่าเกิน 5 ปีหรือไม่ คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษ จำเลยเรื่องกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 ให้จำคุกคนละ 5 ปี และตามมาตรา 310 ให้จำคุกคนละ 3 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะโทษตามมาตรา 210 เป็นให้จำคุกคนละ 1 ปีโทษจำคุกของจำเลย แต่ละกระทงจึงไม่เกิน5 ปี ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
การนับโทษจำคุกจำเลยว่าจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จะต้องนับแต่ละกระทงความผิดว่าเกิน 5 ปีหรือไม่ คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษ จำเลยเรื่องกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 ให้จำคุกคนละ 5 ปี และตามมาตรา 310 ให้จำคุกคนละ 3 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะโทษตามมาตรา 210 เป็นให้จำคุกคนละ 1 ปีโทษจำคุกของจำเลย แต่ละกระทงจึงไม่เกิน5 ปี ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับแล้ว ในวันเดียวกันจำเลยยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ดังกล่าว ถือได้ว่าสำนวนคดียังไม่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งคำร้องฉบับหลังได้
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับแล้ว ในวันเดียวกันจำเลยยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ดังกล่าว ถือได้ว่าสำนวนคดียังไม่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งคำร้องฉบับหลังได้
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ร่วมและจำเลยมิได้มีเจตนาจะใช้เช็คเป็นตราสารเพื่อสั่งธนาคารให้ใช้เงิน การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิด ฎีกาของโจทก์ร่วมที่ว่าศาลล่างทั้งสองไม่นำผลของคดีที่สั่งให้รอไว้มาวินิจฉัยและฟังข้อเท็จจริงผิดจากพยานหลักฐานในสำนวนเป็นฎีกาโต้เถียงการใช้ดุลพินิจของศาลจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกา
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ร่วมและจำเลยมิได้มีเจตนาจะใช้เช็คเป็นตราสารเพื่อสั่งธนาคารให้ใช้เงิน การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิด ฎีกาของโจทก์ร่วมที่ว่าศาลล่างทั้งสองไม่นำผลของคดีที่สั่งให้รอไว้มาวินิจฉัยและฟังข้อเท็จจริงผิดจากพยานหลักฐานในสำนวนเป็นฎีกาโต้เถียงการใช้ดุลพินิจของศาลจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกา
คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องขัดทรัพย์ขอรับมรดกแทนจำเลยผู้เป็นบุตรและจำเลยเป็นเจ้าของทรัพย์พิพาทร่วมอยู่ด้วย การที่ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกาเถียงในปัญหาข้อนี้จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง เมื่อคดีมี ทุนทรัพย์ ไม่เกิน 5,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องขัดทรัพย์ขอรับมรดกแทนจำเลยผู้เป็นบุตรและจำเลยเป็นเจ้าของทรัพย์พิพาทร่วมอยู่ด้วย การที่ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกาเถียงในปัญหาข้อนี้จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง เมื่อคดีมี ทุนทรัพย์ ไม่เกิน 5,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
ศาลแขวงพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายโดยฟังข้อเท็จจริงว่า เป็นเรื่องโต้แย้งสิทธิกันโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ.2499 มาตรา 22 โจทก์จึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้
ศาลแขวงพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายโดยฟังข้อเท็จจริงว่า เป็นเรื่องโต้แย้งสิทธิกันโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ.2499 มาตรา 22 โจทก์จึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้
ฎีกาโจทก์ในข้อที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าจำเลยผลักอกผู้เสียหายโดยไม่มีเจตนาทำร้ายจะเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อนี้ไม่ต้องห้าม
ฎีกาโจทก์ในข้อที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าจำเลยผลักอกผู้เสียหายโดยไม่มีเจตนาทำร้ายจะเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อนี้ไม่ต้องห้าม
ฎีกาของโจทก์ที่ว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนโดยไม่มีถ้อยคำสำนวนสนับสนุนนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา219
ฎีกาของโจทก์ที่ว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนโดยไม่มีถ้อยคำสำนวนสนับสนุนนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา219
เมื่อฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยที่ว่า อาการกิริยาทำร้ายของจำเลยที่ได้ความตามทางพิจารณาแตกต่างกับ คำบรรยายฟ้องนั้นเป็นข้อกฎหมายที่ไร้สาระฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกา
เมื่อฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยที่ว่า อาการกิริยาทำร้ายของจำเลยที่ได้ความตามทางพิจารณาแตกต่างกับ คำบรรยายฟ้องนั้นเป็นข้อกฎหมายที่ไร้สาระฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกา
คำสั่งให้ลงโทษจำคุกฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(1) ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำสั่งให้ลงโทษจำคุกฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(1) ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีที่มีการร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่คู่ความผู้มรณะเมื่อเกินกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่คู่ความมรณะนั้นอยู่ในอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ก็ได้
คดีที่มีการร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่คู่ความผู้มรณะเมื่อเกินกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่คู่ความมรณะนั้นอยู่ในอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ก็ได้
คดีนี้อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยได้ ยื่นคำร้องขอระบุพยานหลักฐานเพิ่มเติมโดยอ้างว่าที่พิพาทในคดีนี้เป็นที่พิพาทเดียวกับคดีแพ่งของศาลจังหวัดนครสวรรค์ซึ่งได้วินิจฉัยคดีถึงที่สุดแล้วว่า โจทก์ไม่มีสิทธิใดๆ ดังนี้เมื่อศาลฎีกาเห็นว่ายังไม่มีเหตุจำเป็นที่จะรับฟังพยานหลักฐานเพิ่มเติมศาลฎีกาย่อมไม่อนุญาตให้จำเลยอ้างพยานหลักฐานดังกล่าว
คดีนี้อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยได้ ยื่นคำร้องขอระบุพยานหลักฐานเพิ่มเติมโดยอ้างว่าที่พิพาทในคดีนี้เป็นที่พิพาทเดียวกับคดีแพ่งของศาลจังหวัดนครสวรรค์ซึ่งได้วินิจฉัยคดีถึงที่สุดแล้วว่า โจทก์ไม่มีสิทธิใดๆ ดังนี้เมื่อศาลฎีกาเห็นว่ายังไม่มีเหตุจำเป็นที่จะรับฟังพยานหลักฐานเพิ่มเติมศาลฎีกาย่อมไม่อนุญาตให้จำเลยอ้างพยานหลักฐานดังกล่าว
ฎีกาปัญหาที่ว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายตามกฎหมายนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่าจำเลยไม่ได้ทำความผิดเสียแล้ว ข้อกฎหมายของโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ฎีกาปัญหาที่ว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายตามกฎหมายนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่าจำเลยไม่ได้ทำความผิดเสียแล้ว ข้อกฎหมายของโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์แล้ว จำเลยจะยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งยกฎีกาของโจทก์ในชั้นศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาได้ไม่
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์แล้ว จำเลยจะยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งยกฎีกาของโจทก์ในชั้นศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาได้ไม่
ฎีกาของจำเลยที่โต้เถียงว่า รถยนต์ของจำเลยเป็นฝ่ายถูกชนมิได้เป็นฝ่ายชนรถยนต์ของโจทก์ การจะวินิจฉัยปัญหานี้ต้องอาศัยพยานหลักฐานซึ่งโจทก์และจำเลยนำสืบจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาของจำเลยที่โต้เถียงว่า รถยนต์ของจำเลยเป็นฝ่ายถูกชนมิได้เป็นฝ่ายชนรถยนต์ของโจทก์ การจะวินิจฉัยปัญหานี้ต้องอาศัยพยานหลักฐานซึ่งโจทก์และจำเลยนำสืบจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนในเรื่องที่ว่า จำเลยขับรถชนผู้ตายบนทางม้าลายขณะข้ามถนนและที่ว่าจำเลยขับรถเร็วประมาณ 40-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งความจริงข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่ได้วินิจฉัยมาจากพยานบุคคล พยานเอกสารและพยานวัตถุอันเป็นพยานแวดล้อมกรณีแล้วสรุปรวมรับฟัง ดังนั้น มิใช่เป็นการฟังพยานหลักฐานนอกสำนวน ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนในเรื่องที่ว่า จำเลยขับรถชนผู้ตายบนทางม้าลายขณะข้ามถนนและที่ว่าจำเลยขับรถเร็วประมาณ 40-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งความจริงข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่ได้วินิจฉัยมาจากพยานบุคคล พยานเอกสารและพยานวัตถุอันเป็นพยานแวดล้อมกรณีแล้วสรุปรวมรับฟัง ดังนั้น มิใช่เป็นการฟังพยานหลักฐานนอกสำนวน ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อคดีของจำเลยไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะฎีกาจึงไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้จำเลยฎีกาอย่างคนอนาถาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 155
เมื่อคดีของจำเลยไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะฎีกาจึงไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้จำเลยฎีกาอย่างคนอนาถาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 155
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|