ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ โจทก์ฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงว่าไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง. เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยเพียง 1 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา218
ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ โจทก์ฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงว่าไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง. เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยเพียง 1 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา218
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากที่พิพาท โดยฟังว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจำเลยฎีกาว่าที่พิพาทไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมา จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากที่พิพาท โดยฟังว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจำเลยฎีกาว่าที่พิพาทไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมา จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า เดิมที่พิพาทเป็นของบิดาจำเลยและจำเลยร่วม เมื่อบิดาตาย บ.สามีจำเลยได้ขายที่พิพาทแก่ จ. โดยจำเลยและจำเลยร่วมรู้เห็นยินยอม. ที่พิพาทจึงตกเป็นของ จ.เมื่อ จ.ขายให้โจทก์ที่พิพาทจึงตกเป็นของโจทก์การที่จำเลยและจำเลยร่วมฎีกามีใจความว่า บ. มิได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยจึงไม่มีสิทธิขายที่พิพาทให้ จ.นั้น มีผลเท่ากับเถียงข้อเท็จจริงที่ศาลล่างวินิจฉัยมาแล้วว่า บ. ขายที่พิพาทให้ จ. โดยจำเลยและจำเลยร่วมรู้เห็นยินยอม ส่วนที่จำเลยกล่าวอ้างเป็นข้อกฎหมายว่า ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์นั้นประเด็นข้อนี้จะวินิจฉัยได้ก็ต่อเมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่า จำเลยและจำเลยร่วมมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยในการขายที่พิพาทดังกล่าว แต่จำเลยก็ยังเถียงข้อเท็จจริงนี้อยู่ ฉะนั้นฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อคดีมีทุนทรัพย์เพียง 2,100 บาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า เดิมที่พิพาทเป็นของบิดาจำเลยและจำเลยร่วม เมื่อบิดาตาย บ.สามีจำเลยได้ขายที่พิพาทแก่ จ. โดยจำเลยและจำเลยร่วมรู้เห็นยินยอม. ที่พิพาทจึงตกเป็นของ จ.เมื่อ จ.ขายให้โจทก์ที่พิพาทจึงตกเป็นของโจทก์การที่จำเลยและจำเลยร่วมฎีกามีใจความว่า บ. มิได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยจึงไม่มีสิทธิขายที่พิพาทให้ จ.นั้น มีผลเท่ากับเถียงข้อเท็จจริงที่ศาลล่างวินิจฉัยมาแล้วว่า บ. ขายที่พิพาทให้ จ. โดยจำเลยและจำเลยร่วมรู้เห็นยินยอม ส่วนที่จำเลยกล่าวอ้างเป็นข้อกฎหมายว่า ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์นั้นประเด็นข้อนี้จะวินิจฉัยได้ก็ต่อเมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่า จำเลยและจำเลยร่วมมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยในการขายที่พิพาทดังกล่าว แต่จำเลยก็ยังเถียงข้อเท็จจริงนี้อยู่ ฉะนั้นฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อคดีมีทุนทรัพย์เพียง 2,100 บาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
ฎีกาจำเลยที่โต้เถียงว่าศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยโดยปราศจากหลักฐานในสำนวน และว่าที่พิพาทเป็นที่นามิใช่ที่ป่า ตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมานั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาจำเลยที่โต้เถียงว่าศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยโดยปราศจากหลักฐานในสำนวน และว่าที่พิพาทเป็นที่นามิใช่ที่ป่า ตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมานั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149,200 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา149 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ให้จำคุก 4 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา 200ซึ่งเป็นบทที่มีโทษเบา คงมีความผิดตามมาตรา 149 เพียงบทเดียว ให้จำคุก 3 ปี 4 เดือน ถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และโทษจำคุกก็ไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149,200 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา149 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ให้จำคุก 4 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา 200ซึ่งเป็นบทที่มีโทษเบา คงมีความผิดตามมาตรา 149 เพียงบทเดียว ให้จำคุก 3 ปี 4 เดือน ถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และโทษจำคุกก็ไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218
ฎีกาโจทก์ที่อ้างว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกเหนือจากพยานหลักฐานในสำนวนและข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นโดยคู่ความรับกัน จะเข้าบทองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง ตามมาตรา341 แห่งประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ฎีกาโจทก์ที่อ้างว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกเหนือจากพยานหลักฐานในสำนวนและข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นโดยคู่ความรับกัน จะเข้าบทองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง ตามมาตรา341 แห่งประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
คดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่ และจำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นคดีพิพาทกันเรื่องกรรมสิทธิ์ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อทรัพย์ที่พิพาทมีราคา 4,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่ และจำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นคดีพิพาทกันเรื่องกรรมสิทธิ์ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อทรัพย์ที่พิพาทมีราคา 4,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์ฟ้องคดีไม่เกินหนึ่งปีดังนั้นการที่จำเลยฎีกาว่าพยานจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าฝ่ายโจทก์ในข้อที่ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยและจำเลยบุกรุกที่พิพาทเกินหนึ่งปีแล้วนั้นจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์ฟ้องคดีไม่เกินหนึ่งปีดังนั้นการที่จำเลยฎีกาว่าพยานจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าฝ่ายโจทก์ในข้อที่ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยและจำเลยบุกรุกที่พิพาทเกินหนึ่งปีแล้วนั้นจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาที่ว่าจำเลยมิใช่ผู้ผลิตยาควรได้รับความปราณีให้รอการลงโทษ โจทก์ฟ้องเกินอำนาจหน้าที่และศาลลงโทษเกินกว่าข้อเท็จจริงที่ได้กระทำผิดนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาที่ว่าจำเลยมิใช่ผู้ผลิตยาควรได้รับความปราณีให้รอการลงโทษ โจทก์ฟ้องเกินอำนาจหน้าที่และศาลลงโทษเกินกว่าข้อเท็จจริงที่ได้กระทำผิดนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่เฉพาะข้อที่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยเป็นให้ส่งตัวจำเลยไปสถานฝึกและอบรมสถานพินิจและคุ้มครองเด็กจังหวัดนครราชสีมานั้นเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และมิได้ลงโทษจำคุกจำเลยเกินห้าปีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218และฎีกาจำเลยที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกัน ก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เช่นเดียวกัน
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่เฉพาะข้อที่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยเป็นให้ส่งตัวจำเลยไปสถานฝึกและอบรมสถานพินิจและคุ้มครองเด็กจังหวัดนครราชสีมานั้นเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และมิได้ลงโทษจำคุกจำเลยเกินห้าปีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218และฎีกาจำเลยที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกัน ก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เช่นเดียวกัน
คำขอแถลงการณ์ด้วยวาจาจะต้องขอมาในตอนท้ายฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 241 ประกอบมาตรา247 จะขอแยกมาต่างหากภายหลังไม่ได้
คำขอแถลงการณ์ด้วยวาจาจะต้องขอมาในตอนท้ายฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 241 ประกอบมาตรา247 จะขอแยกมาต่างหากภายหลังไม่ได้
คดีที่มีทุนทรัพย์ 5,000 บาทซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังข้อเท็จจริงแล้วไม่เชื่อว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์มาเกิน 10 ปี นั้น โจทก์จะฎีกาว่า โจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์เกิน 10 ปีซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คดีที่มีทุนทรัพย์ 5,000 บาทซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังข้อเท็จจริงแล้วไม่เชื่อว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์มาเกิน 10 ปี นั้น โจทก์จะฎีกาว่า โจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์เกิน 10 ปีซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
ฎีกาที่ว่า โจทก์กับพวกได้ร่วมกันครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทร่วมกันนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ส่วนฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายซึ่งโจทก์มิได้บรรยายกล่าวอ้างมาในฟ้องนั้นเป็นเรื่องนอกประเด็นและไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ฎีกาที่ว่า โจทก์กับพวกได้ร่วมกันครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทร่วมกันนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ส่วนฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายซึ่งโจทก์มิได้บรรยายกล่าวอ้างมาในฟ้องนั้นเป็นเรื่องนอกประเด็นและไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
จำเลยได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์และได้วางเงินประกันการชำระหนี้ตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ด้วยเมื่อจำเลยชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ ย่อมมีสิทธิขอรับเงินทั้งสองจำนวนนั้นคืนได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 251
จำเลยได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์และได้วางเงินประกันการชำระหนี้ตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ด้วยเมื่อจำเลยชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ ย่อมมีสิทธิขอรับเงินทั้งสองจำนวนนั้นคืนได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 251
ขอแก้ไขถ้อยคำในฎีกาที่พิมพ์ผิดพลาดแม้จะพ้นกำหนดระยะเวลาการยื่นฎีกาแล้ว ศาลก็อนุญาตได้
ขอแก้ไขถ้อยคำในฎีกาที่พิมพ์ผิดพลาดแม้จะพ้นกำหนดระยะเวลาการยื่นฎีกาแล้ว ศาลก็อนุญาตได้
ฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามมิให้จำเลยมาเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์ จำเลยมิได้ฟ้องแย้งเรียกค่าเช่านาและค่าเสียหายจากโจทก์ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลสั่งให้โจทก์นำเงินประกันค่าเสียหายมาวางศาล
โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามมิให้จำเลยมาเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์ จำเลยมิได้ฟ้องแย้งเรียกค่าเช่านาและค่าเสียหายจากโจทก์ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลสั่งให้โจทก์นำเงินประกันค่าเสียหายมาวางศาล
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนทำลายนิติกรรมยกให้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนทำลายนิติกรรมดังกล่าว แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกาและขอทุเลาการบังคับ ดังนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์มิได้บังคับให้โจทก์ปฏิบัติอย่างใด จึงไม่มีเหตุที่จะขอทุเลาการบังคับได้
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนทำลายนิติกรรมยกให้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนทำลายนิติกรรมดังกล่าว แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกาและขอทุเลาการบังคับ ดังนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์มิได้บังคับให้โจทก์ปฏิบัติอย่างใด จึงไม่มีเหตุที่จะขอทุเลาการบังคับได้
ฎีกาว่า จะฟังว่าจำเลยแทงผู้ตายในเวลาฉุกละหุกกระชั้นชิดไม่ถนัด เพราะจำเลยแทงหลังจากสากหลุดจากมือผู้ตายตกลงไปที่พื้นดินแล้วภัยอันตรายที่เกิดแก่จำเลยจึงหมดไป การที่จำเลยแทงผู้ตายจึงเป็นการฆ่าผู้ตายโดยเจตนานั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาว่า จะฟังว่าจำเลยแทงผู้ตายในเวลาฉุกละหุกกระชั้นชิดไม่ถนัด เพราะจำเลยแทงหลังจากสากหลุดจากมือผู้ตายตกลงไปที่พื้นดินแล้วภัยอันตรายที่เกิดแก่จำเลยจึงหมดไป การที่จำเลยแทงผู้ตายจึงเป็นการฆ่าผู้ตายโดยเจตนานั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาโจทก์ที่ว่า โจทก์มีสิทธิระบุพยานเพิ่มเติมได้โดยไม่ต้องอ้างเหตุผลและความจำเป็น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าการสืบพยานโจทก์ต่อไปตามที่โจทก์ขออ้างพยานเพิ่มเติมก็ไม่ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังลงโทษจำเลยตามฟ้องได้ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์ข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ฎีกาโจทก์ที่ว่า โจทก์มีสิทธิระบุพยานเพิ่มเติมได้โดยไม่ต้องอ้างเหตุผลและความจำเป็น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าการสืบพยานโจทก์ต่อไปตามที่โจทก์ขออ้างพยานเพิ่มเติมก็ไม่ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังลงโทษจำเลยตามฟ้องได้ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์ข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|