จำเลยถึงแก่กรรม โจทก์ขอให้ศาลหมายเรียกผู้จัดการมรดกของจำเลยเข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลย แม้ผู้จัดการมรดกไม่ประสงค์จะเข้าเป็น ศาลก็ตั้งให้เป็นคู่ความแทนจำเลยที่มรณะได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 44
จำเลยถึงแก่กรรม โจทก์ขอให้ศาลหมายเรียกผู้จัดการมรดกของจำเลยเข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลย แม้ผู้จัดการมรดกไม่ประสงค์จะเข้าเป็น ศาลก็ตั้งให้เป็นคู่ความแทนจำเลยที่มรณะได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 44
คดีนี้ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงโดยสรุปว่ารูปคดีเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งจำเลยขาดเจตนาที่จะกระทำความผิด การที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตทำหนังสือปลอมแล้วนำไปหลอกลวงโจทก์จนหลงเชื่อเป็นการเถียงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีนี้ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงโดยสรุปว่ารูปคดีเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งจำเลยขาดเจตนาที่จะกระทำความผิด การที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตทำหนังสือปลอมแล้วนำไปหลอกลวงโจทก์จนหลงเชื่อเป็นการเถียงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยแจ้งความและเบิกความด้วยความจริง การที่โจทก์ฎีกาโต้เถียงว่า จำเลยที่ 1 เบิกความเท็จและจำเลยที่ 2 แจ้งความเท็จจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยแจ้งความและเบิกความด้วยความจริง การที่โจทก์ฎีกาโต้เถียงว่า จำเลยที่ 1 เบิกความเท็จและจำเลยที่ 2 แจ้งความเท็จจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาที่ว่า จำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่จำเลยนำไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานนั้นเป็นความเท็จ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาที่ว่า จำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่จำเลยนำไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานนั้นเป็นความเท็จ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันแล้วว่า จำเลยไม่ได้ป้องกันตน การที่จำเลยฎีกาว่า เป็นการป้องกันตน จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันแล้วว่า จำเลยไม่ได้ป้องกันตน การที่จำเลยฎีกาว่า เป็นการป้องกันตน จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาที่ว่า จำเลยมิได้มีเจตนาทุจริตเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาที่ว่า จำเลยมิได้มีเจตนาทุจริตเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์และคดีถึงที่สุดแล้วโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ ฉะนั้นข้อที่โจทก์ฎีกาขอให้วินิจฉัยว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์ขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
คดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์และคดีถึงที่สุดแล้วโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ ฉะนั้นข้อที่โจทก์ฎีกาขอให้วินิจฉัยว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์ขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
โจทก์จะขอถอนฟ้องจำเลยที่ตายในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาไม่ได้ โจทก์ชอบที่จะเรียกบุคคลที่ระบุไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะ
โจทก์จะขอถอนฟ้องจำเลยที่ตายในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาไม่ได้ โจทก์ชอบที่จะเรียกบุคคลที่ระบุไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะ
คำร้องขอแถลงการณ์ด้วยวาจาลงวันที่เดียวกับฟ้องฎีกา แต่ทำยื่นภายหลังฟ้องฎีกา ถือว่าไม่ได้ติดมากับฟ้องฎีกาศาลไม่อนุญาตให้แถลงการณ์
คำร้องขอแถลงการณ์ด้วยวาจาลงวันที่เดียวกับฟ้องฎีกา แต่ทำยื่นภายหลังฟ้องฎีกา ถือว่าไม่ได้ติดมากับฟ้องฎีกาศาลไม่อนุญาตให้แถลงการณ์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์อย่างคนอนาถา คำสั่งศาลอุทธรณ์ย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 จำเลยจะยื่นฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่ได้
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์อย่างคนอนาถา คำสั่งศาลอุทธรณ์ย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 จำเลยจะยื่นฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่ได้
คำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องฎีกา ต้องยื่นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องฎีกา ต้องยื่นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ฎีกาซึ่งมิได้ระบุข้อเท็จจริงโดยย่อให้เห็นชัดว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คลาดเคลื่อนอย่างใดข้อไหนเพราะกล่าวมาเพียงคร่าวๆ โดยมิได้ลำดับเรื่องราว เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193ประกอบด้วยมาตรา 225
ฎีกาซึ่งมิได้ระบุข้อเท็จจริงโดยย่อให้เห็นชัดว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คลาดเคลื่อนอย่างใดข้อไหนเพราะกล่าวมาเพียงคร่าวๆ โดยมิได้ลำดับเรื่องราว เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193ประกอบด้วยมาตรา 225
ฎีกาที่ไม่ระบุข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อพ้นกำหนดเวลายื่นฟ้องฎีกาแล้ว จะขอเพิ่มเติมฎีกาอีกไม่ได้
ฎีกาที่ไม่ระบุข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อพ้นกำหนดเวลายื่นฟ้องฎีกาแล้ว จะขอเพิ่มเติมฎีกาอีกไม่ได้
ฎีกาโจทก์ซึ่งโต้เถียงว่าจำเลยมีเจตนาผูกพันตามเช็คและอื่นๆ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาโจทก์ซึ่งโต้เถียงว่าจำเลยมีเจตนาผูกพันตามเช็คและอื่นๆ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีนี้โจทก์ได้ถึงแก่กรรมลงในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอรับมรดกความแทนที่โจทก์ผู้มรณะในระหว่างที่ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องเป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรมและปกครองทรัพย์มรดกของผู้ตายไว้ ศาลฎีกาก็อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ผู้มรณะได้
คดีนี้โจทก์ได้ถึงแก่กรรมลงในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอรับมรดกความแทนที่โจทก์ผู้มรณะในระหว่างที่ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องเป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรมและปกครองทรัพย์มรดกของผู้ตายไว้ ศาลฎีกาก็อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ผู้มรณะได้
ในกรณีที่โจทก์ประสงค์จะแถลงการณ์ด้วยวาจาในชั้นฎีกาโจทก์ต้องขอมาในตอนท้ายคำฟ้องฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 241,247คำร้องขอเพิ่มเติมข้อความต่อท้ายฎีกาเพื่อจะขอแถลงการณ์ด้วยวาจาต่อศาลฎีกา ต้องยื่นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์
ในกรณีที่โจทก์ประสงค์จะแถลงการณ์ด้วยวาจาในชั้นฎีกาโจทก์ต้องขอมาในตอนท้ายคำฟ้องฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 241,247คำร้องขอเพิ่มเติมข้อความต่อท้ายฎีกาเพื่อจะขอแถลงการณ์ด้วยวาจาต่อศาลฎีกา ต้องยื่นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์
ฎีกาโจทก์ที่ว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีอื่นมาวินิจฉัยเป็นเหตุยกฟ้องในคดีนี้ เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งศาลชั้นต้นจะต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากถ้อยคำสำนวนในคดีนี้แล้วจึงจะรับฟังจากคดีอื่นมาประกอบนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ส่วนที่ว่าศาลชั้นต้นพิจารณาโดยไม่มีพยานหลักฐานในสำนวนมาประกอบการพิจารณาโดยไม่เป็นความจริงนั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน
ฎีกาโจทก์ที่ว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีอื่นมาวินิจฉัยเป็นเหตุยกฟ้องในคดีนี้ เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งศาลชั้นต้นจะต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากถ้อยคำสำนวนในคดีนี้แล้วจึงจะรับฟังจากคดีอื่นมาประกอบนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ส่วนที่ว่าศาลชั้นต้นพิจารณาโดยไม่มีพยานหลักฐานในสำนวนมาประกอบการพิจารณาโดยไม่เป็นความจริงนั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน
คดีนี้ ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้เล่นการพนันตามที่โจทก์ฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง ดังนั้นฎีกาโจทก์ที่ว่า จำเลยได้อยู่ในที่เล่นการพนันจึงต้องมีความผิดเพราะมีกฎหมายสันนิษฐานไว้แล้ว จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยไม่มีความผิดเพราะไม่ได้เล่นการพนัน ฎีกาโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีนี้ ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้เล่นการพนันตามที่โจทก์ฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง ดังนั้นฎีกาโจทก์ที่ว่า จำเลยได้อยู่ในที่เล่นการพนันจึงต้องมีความผิดเพราะมีกฎหมายสันนิษฐานไว้แล้ว จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยไม่มีความผิดเพราะไม่ได้เล่นการพนัน ฎีกาโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อจำเลยมีทรัพย์สินพอที่จะจำหน่ายเป็นเงินนำมาเสียค่าธรรมเนียมต่อศาลได้แล้ว จำเลยจะขอฎีกาอย่างคนอนาถาไม่ได้
เมื่อจำเลยมีทรัพย์สินพอที่จะจำหน่ายเป็นเงินนำมาเสียค่าธรรมเนียมต่อศาลได้แล้ว จำเลยจะขอฎีกาอย่างคนอนาถาไม่ได้
คดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินหนึ่งปีนั้น ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
คดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินหนึ่งปีนั้น ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|