คำร้องขอคุ้มครองสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 254 ที่ยื่นพร้อมกับฟ้องฎีกาศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งได้ตามมาตรา 254 วรรคสุดท้าย
คำร้องขอคุ้มครองสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 254 ที่ยื่นพร้อมกับฟ้องฎีกาศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งได้ตามมาตรา 254 วรรคสุดท้าย
ฎีกาของจำเลยซึ่งโต้แย้งดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานของศาลว่า ควรเชื่อฟังพยานโจทก์หรือไม่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218
ฎีกาของจำเลยซึ่งโต้แย้งดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานของศาลว่า ควรเชื่อฟังพยานโจทก์หรือไม่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218
การนับระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 158 มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลารวมคำนวณเข้าด้วย คดีนี้ จำเลยรับสำเนาคำฟ้องฎีกาของโจทก์เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2512 กำหนดแก้ฎีกาจึงต้องเริ่มนับวันที่ 26 กันยายน 2512 ฉะนั้นที่จำเลยยื่น คำแก้ฎีกาในวันที่ 2 ตุลาคม 2512 จึงยังไม่เกินกำหนด 7 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 200 ประกอบ มาตรา 225
การนับระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 158 มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลารวมคำนวณเข้าด้วย คดีนี้ จำเลยรับสำเนาคำฟ้องฎีกาของโจทก์เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2512 กำหนดแก้ฎีกาจึงต้องเริ่มนับวันที่ 26 กันยายน 2512 ฉะนั้นที่จำเลยยื่น คำแก้ฎีกาในวันที่ 2 ตุลาคม 2512 จึงยังไม่เกินกำหนด 7 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 200 ประกอบ มาตรา 225
จำเลยที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำมีสิทธิยื่นฎีกาต่อพัศดีเรือนจำได้ภายในกำหนดอายุความฎีกา และหากวันครบกำหนดเป็นวันหยุดราชการ จำเลยก็มีสิทธิยื่นภายในวันเปิดทำงานได้ ถือว่าได้ยื่นฎีกาภายในกำหนดแล้ว
จำเลยที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำมีสิทธิยื่นฎีกาต่อพัศดีเรือนจำได้ภายในกำหนดอายุความฎีกา และหากวันครบกำหนดเป็นวันหยุดราชการ จำเลยก็มีสิทธิยื่นภายในวันเปิดทำงานได้ ถือว่าได้ยื่นฎีกาภายในกำหนดแล้ว
ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาความผิดต่อแผ่นดินและความผิดอันยอมความกันได้รวมกันมา คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ขอถอนฟ้อง ดังนี้ คดีความผิดอันยอมความกันได้เป็นอันระงับไป ส่วน ความผิดต่ออาญาแผ่นดินยังคงอยู่
ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาความผิดต่อแผ่นดินและความผิดอันยอมความกันได้รวมกันมา คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ขอถอนฟ้อง ดังนี้ คดีความผิดอันยอมความกันได้เป็นอันระงับไป ส่วน ความผิดต่ออาญาแผ่นดินยังคงอยู่
ฎีกาจำเลยที่ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายและบาดแผลของผู้เสียหายถึงสาหัสหรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์จำเลยก็ยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ส่วนฎีกาจำเลยที่ว่าควรจะรับฟังพยานจำเลยเพียงใดหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาจำเลยที่ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายและบาดแผลของผู้เสียหายถึงสาหัสหรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์จำเลยก็ยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ส่วนฎีกาจำเลยที่ว่าควรจะรับฟังพยานจำเลยเพียงใดหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้จำคุกจำเลย 8 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นการฎีกาในเรื่องดุลพินิจเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้จำคุกจำเลย 8 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นการฎีกาในเรื่องดุลพินิจเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ผู้เป็นญาติชั้นน้าซึ่งมิใช่ทายาทของคู่ความฝ่ายที่มรณะเพราะผู้มรณะมีบุตรนั้นไม่มีสิทธิร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ
ผู้เป็นญาติชั้นน้าซึ่งมิใช่ทายาทของคู่ความฝ่ายที่มรณะเพราะผู้มรณะมีบุตรนั้นไม่มีสิทธิร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ
ผู้ปกครองทรัพย์พิพาทมีสิทธิขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่คู่ความผู้มรณะได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42
ผู้ปกครองทรัพย์พิพาทมีสิทธิขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่คู่ความผู้มรณะได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42
คดีร้องขัดทรัพย์มีจำนวนทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาทเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกาว่าที่ พิพาทเป็นของผู้ร้องโดยซื้อมา และถือสิทธิครอบครองโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248
คดีร้องขัดทรัพย์มีจำนวนทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาทเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกาว่าที่ พิพาทเป็นของผู้ร้องโดยซื้อมา และถือสิทธิครอบครองโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248
ฎีกาในข้อที่ว่า พยานหลักฐานฟังได้ว่าจำเลยออกเช็คประกันการสั่งซื้อสินค้า จำเลยออกเช็คโดยโจทก์ร่วมรู้ อยู่ว่าจำเลยไม่มีเงินในบัญชี และโจทก์นำสืบไม่ได้ ว่าจำเลยมีเงินพอจ่ายหรือไม่ ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น
ฎีกาในข้อที่ว่า พยานหลักฐานฟังได้ว่าจำเลยออกเช็คประกันการสั่งซื้อสินค้า จำเลยออกเช็คโดยโจทก์ร่วมรู้ อยู่ว่าจำเลยไม่มีเงินในบัญชี และโจทก์นำสืบไม่ได้ ว่าจำเลยมีเงินพอจ่ายหรือไม่ ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น
ฎีกาโจทก์ที่ว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาโจทก์ที่ว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์เชื่อว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดโดยวินิจฉัยจากคำเบิกความของผู้เสียหายและคำรับสารภาพของจำเลย การที่จำเลยฎีกาว่า ศาลจะรับฟังพยานเดียวมาลงโทษจำเลยไม่ได้จึงเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์เชื่อว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดโดยวินิจฉัยจากคำเบิกความของผู้เสียหายและคำรับสารภาพของจำเลย การที่จำเลยฎีกาว่า ศาลจะรับฟังพยานเดียวมาลงโทษจำเลยไม่ได้จึงเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาจำเลยที่ว่า จำเลยในฐานะผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจะต้องรับผิดทางอาญาเป็นส่วนตัวหรือไม่ การที่ผู้เสียหายรู้แล้วว่าจำเลยไม่มีเงินแต่ยอมให้จำเลยออกเช็คลงวันที่ล่วงหน้า จำเลยจะมีความผิดหรือไม่ และที่จำเลยจ่ายเช็คให้โจทก์หลายฉบับในวันเวลาเดียวกัน และโจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ในวันเดียวกัน เป็นความผิดกระทงเดียวหรือหลายกระทงนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายส่วนในข้อที่ว่า ที่ศาลล่างฟังว่าจำเลยชำระหนี้ด้วยเช็ค นั้นเป็นการฝ่าฝืนเอกสารพยานในสำนวน เมื่อปัญหาข้อนี้ ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงโดยมี พยานบุคคลเบิกความถึงจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อตามฟ้องได้มีการตั้งประเด็นไว้แล้วว่าจำเลยออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชีและโดยมีเจตนาไม่ให้มีการใช้เงิน การที่จำเลยไม่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงในประเด็นนี้เพื่อบิดเบือน ให้เป็นข้อกฎหมายว่าการที่ศาลล่างวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีเงินพอจ่ายหรือมีเจตนาไม่ใช้เงินตามเช็คนั้นเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง นอกประเด็น ฎีกาจำเลยในข้อนี้ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาจำเลยที่ว่า จำเลยในฐานะผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจะต้องรับผิดทางอาญาเป็นส่วนตัวหรือไม่ การที่ผู้เสียหายรู้แล้วว่าจำเลยไม่มีเงินแต่ยอมให้จำเลยออกเช็คลงวันที่ล่วงหน้า จำเลยจะมีความผิดหรือไม่ และที่จำเลยจ่ายเช็คให้โจทก์หลายฉบับในวันเวลาเดียวกัน และโจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ในวันเดียวกัน เป็นความผิดกระทงเดียวหรือหลายกระทงนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายส่วนในข้อที่ว่า ที่ศาลล่างฟังว่าจำเลยชำระหนี้ด้วยเช็ค นั้นเป็นการฝ่าฝืนเอกสารพยานในสำนวน เมื่อปัญหาข้อนี้ ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงโดยมี พยานบุคคลเบิกความถึงจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อตามฟ้องได้มีการตั้งประเด็นไว้แล้วว่าจำเลยออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชีและโดยมีเจตนาไม่ให้มีการใช้เงิน การที่จำเลยไม่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงในประเด็นนี้เพื่อบิดเบือน ให้เป็นข้อกฎหมายว่าการที่ศาลล่างวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีเงินพอจ่ายหรือมีเจตนาไม่ใช้เงินตามเช็คนั้นเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง นอกประเด็น ฎีกาจำเลยในข้อนี้ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
การที่ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้ออกเช็คพิพาทนั้น เป็นการวินิจฉัยจากพยานหลักฐาน ฎีกาจำเลยซึ่งโต้แย้งในประเด็นข้อนี้ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงฎีกาจำเลยที่ว่าโจทก์ นำเช็คไปขึ้นเงินเกินกำหนดวันที่ ลงในเช็ค โดยโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าในวันถึงกำหนดจำเลยมีเงินในบัญชีพอจ่ายหรือไม่ ดังนี้จะลงโทษจำเลย ได้หรือไม่ และในวันมอบเช็คพิพาทแก่โจทก์นั้นโจทก์ทราบดีว่าจำเลยไม่มีเงินในธนาคาร แต่หวังว่า จำเลยจะหาเงินเข้าธนาคารได้ทันกำหนด ดังนี้ จำเลยย่อมไม่มีความผิดนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
การที่ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้ออกเช็คพิพาทนั้น เป็นการวินิจฉัยจากพยานหลักฐาน ฎีกาจำเลยซึ่งโต้แย้งในประเด็นข้อนี้ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงฎีกาจำเลยที่ว่าโจทก์ นำเช็คไปขึ้นเงินเกินกำหนดวันที่ ลงในเช็ค โดยโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าในวันถึงกำหนดจำเลยมีเงินในบัญชีพอจ่ายหรือไม่ ดังนี้จะลงโทษจำเลย ได้หรือไม่ และในวันมอบเช็คพิพาทแก่โจทก์นั้นโจทก์ทราบดีว่าจำเลยไม่มีเงินในธนาคาร แต่หวังว่า จำเลยจะหาเงินเข้าธนาคารได้ทันกำหนด ดังนี้ จำเลยย่อมไม่มีความผิดนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ฎีกาจำเลยที่ว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าของกลางถูกลักไป จำเลยไม่ควรมีความผิดฐานรับของโจรนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาจำเลยที่ว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าของกลางถูกลักไป จำเลยไม่ควรมีความผิดฐานรับของโจรนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีที่ผู้ร้องขอคืนทรัพย์ที่ศาลสั่งริบนั้น เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง ผู้ร้องจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงมิได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 217,219
คดีที่ผู้ร้องขอคืนทรัพย์ที่ศาลสั่งริบนั้น เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง ผู้ร้องจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงมิได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 217,219
ฎีกาจำเลยที่คัดค้านว่า ศาลอุทธรณ์ยกเอาคำให้การของคซึ่งไม่มีในสำนวนขึ้นมาวินิจฉัยเป็นถ้อยคำประจักษ์พยานโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ฎีกาจำเลยที่คัดค้านว่า ศาลอุทธรณ์ยกเอาคำให้การของคซึ่งไม่มีในสำนวนขึ้นมาวินิจฉัยเป็นถ้อยคำประจักษ์พยานโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ ลงโทษจำคุก จำเลย 5 ปีฎีกาจำเลยที่เถียงว่า จำเลยยิงขู่มิได้มีเจตนาจะฆ่านั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ ลงโทษจำคุก จำเลย 5 ปีฎีกาจำเลยที่เถียงว่า จำเลยยิงขู่มิได้มีเจตนาจะฆ่านั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำสั่งของศาลอุทธรณ์ซึ่งยืนตามคำสั่งปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เนื่องจากเป็นการอุทธรณ์ คำสั่งระหว่างพิจารณานั้น เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236
คำสั่งของศาลอุทธรณ์ซึ่งยืนตามคำสั่งปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เนื่องจากเป็นการอุทธรณ์ คำสั่งระหว่างพิจารณานั้น เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|