คดีที่จำเลยถึงแก่กรรมในระหว่างฎีกานั้นสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา39
คดีที่จำเลยถึงแก่กรรมในระหว่างฎีกานั้นสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา39
คำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 วรรคสุดท้ายนั้นต้องยื่นต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจในการสั่งคำร้องนี้
คำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 วรรคสุดท้ายนั้นต้องยื่นต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจในการสั่งคำร้องนี้
คดีเกี่ยวกับการเป็นผู้จัดการมรดก เป็นสิทธิและหน้าที่เฉพาะตัว ทายาทที่แม้จะอยู่ในฐานะผู้จัดการมรดกของคู่ความผู้มรณะก็ตามก็ไม่มีสิทธิร้องขอเข้ามาแทนที่คู่ความผู้มรณะนั้น
คดีเกี่ยวกับการเป็นผู้จัดการมรดก เป็นสิทธิและหน้าที่เฉพาะตัว ทายาทที่แม้จะอยู่ในฐานะผู้จัดการมรดกของคู่ความผู้มรณะก็ตามก็ไม่มีสิทธิร้องขอเข้ามาแทนที่คู่ความผู้มรณะนั้น
ฎีกาว่า แม้จำเลยได้ออกเช็คเพื่อใช้แทนสัญญากู้ ตามที่ศาลล่างทั้งสองฟังมา ก็เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ฎีกาว่า แม้จำเลยได้ออกเช็คเพื่อใช้แทนสัญญากู้ ตามที่ศาลล่างทั้งสองฟังมา ก็เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
คดีที่ศาลอุทธรณ์ฟังพยานหลักฐานแล้ววินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงยังถือไม่ได้ว่าทางพิจารณาต่างกับฟ้อง ดังนั้นการที่จำเลยฎีกาว่าตามคำเบิกความของผู้เสียหายถือว่าทางพิจารณาต่างกับฟ้องนั้นจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีที่ศาลอุทธรณ์ฟังพยานหลักฐานแล้ววินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงยังถือไม่ได้ว่าทางพิจารณาต่างกับฟ้อง ดังนั้นการที่จำเลยฎีกาว่าตามคำเบิกความของผู้เสียหายถือว่าทางพิจารณาต่างกับฟ้องนั้นจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพียงให้แก้โทษเป็นจำคุกจำเลย 2 เดือน 15 วันเป็นการแก้ไขเล็กน้อย
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพียงให้แก้โทษเป็นจำคุกจำเลย 2 เดือน 15 วันเป็นการแก้ไขเล็กน้อย
ฎีกาในปัญหาที่ว่า ศาลควรเชื่อข้อเท็จจริงนี้หรือไม่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ฎีกาในปัญหาที่ว่า ศาลควรเชื่อข้อเท็จจริงนี้หรือไม่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์ยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236
ฎีกาที่ว่าควรเชื่อพยานโจทก์ไม่ควรเชื่อพยานจำเลยนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ในคดีนี้มีเพียง 3,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์ยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236
ฎีกาที่ว่าควรเชื่อพยานโจทก์ไม่ควรเชื่อพยานจำเลยนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ในคดีนี้มีเพียง 3,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
แม้จำเลยจะเคยได้รับอนุญาตให้ฟ้องอุทธรณ์อย่างอนาถาได้และยังคงยากจนอยู่ แต่เมื่อรูปคดีไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะฎีกา ศาลก็มีอำนาจสั่งไม่อนุญาตให้ฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถาได้
แม้จำเลยจะเคยได้รับอนุญาตให้ฟ้องอุทธรณ์อย่างอนาถาได้และยังคงยากจนอยู่ แต่เมื่อรูปคดีไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะฎีกา ศาลก็มีอำนาจสั่งไม่อนุญาตให้ฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถาได้
คำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ยกคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกานั้นต้องยื่นภายใน 7 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย
คำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ยกคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกานั้นต้องยื่นภายใน 7 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย
ฎีกาว่า จำเลยมีเจตนาทุจริต ไม่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามหน้าที่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาว่า จำเลยมีเจตนาทุจริต ไม่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามหน้าที่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำร้องขอแถลงการณ์ด้วยวาจาที่ยื่นภายหลังฟ้องฎีกา ถือไม่ได้ว่าได้ขอติดมากับฟ้องฎีกา ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 205 วรรคหนึ่ง
คำร้องขอแถลงการณ์ด้วยวาจาที่ยื่นภายหลังฟ้องฎีกา ถือไม่ได้ว่าได้ขอติดมากับฟ้องฎีกา ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 205 วรรคหนึ่ง
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถาของโจทก์ โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ได้ส่งอุทธรณ์คำสั่งขอโจทก์ไปศาลอุทธรณ์ด้วยความเข้าใจผิดศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วได้สั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ดังนี้ถือว่าอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ยังมิได้รับการพิจารณาคำสั่งของศาลชั้นต้นจึงยังไม่ถึงที่สุด
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถาของโจทก์ โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ได้ส่งอุทธรณ์คำสั่งขอโจทก์ไปศาลอุทธรณ์ด้วยความเข้าใจผิดศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วได้สั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ดังนี้ถือว่าอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ยังมิได้รับการพิจารณาคำสั่งของศาลชั้นต้นจึงยังไม่ถึงที่สุด
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี 6 เดือน และให้กักกัน 3 ปีการกักกันไม่ใช่โทษแต่เป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัย จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกลงโทษจำคุกเกิน 5 ปี คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี 6 เดือน และให้กักกัน 3 ปีการกักกันไม่ใช่โทษแต่เป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัย จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกลงโทษจำคุกเกิน 5 ปี คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218
ฎีกาโจทก์ซึ่งขอให้วินิจฉัยว่าตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมานั้น จำเลยได้ครอบครองกระบือของกลางอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคสองหรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ฎีกาโจทก์ซึ่งขอให้วินิจฉัยว่าตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมานั้น จำเลยได้ครอบครองกระบือของกลางอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคสองหรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
คดีนี้ศาลล่างทั้งสองยกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยแจ้งนั้นไม่ได้ความว่าเป็นความเท็จ จึงเป็นการพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา219
คดีนี้ศาลล่างทั้งสองยกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยแจ้งนั้นไม่ได้ความว่าเป็นความเท็จ จึงเป็นการพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา219
ฎีกาโจทก์ซึ่งโต้เถียงว่า พยานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิด เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการวินิจฉัยคำพยานของศาลเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาโจทก์ที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคำพยานนอกสำนวนซึ่งความจริงแล้วศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยคำพยานนอกสำนวนจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาโจทก์ซึ่งโต้เถียงว่า พยานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิด เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการวินิจฉัยคำพยานของศาลเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาโจทก์ที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคำพยานนอกสำนวนซึ่งความจริงแล้วศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยคำพยานนอกสำนวนจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำร้องขอเพิ่มเติมฎีกาต้องยื่นต่อศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216
คำร้องขอเพิ่มเติมฎีกาต้องยื่นต่อศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216
ฎีกาจำเลยซึ่งโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่ไม่เรียกสำนวนคดีอาญาเรื่องอื่นมาประกอบการพิจารณาคดีนี้เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาจำเลยซึ่งโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่ไม่เรียกสำนวนคดีอาญาเรื่องอื่นมาประกอบการพิจารณาคดีนี้เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้ายให้สิทธิผู้ขอฎีกาอย่างคนอนาถายื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกาได้เฉพาะ 2 กรณีเท่านั้น คือกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลบางส่วนและกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอฎีกาอย่างคนอนาถาเสียทีเดียว แต่เมื่อผู้ขอไม่ใช้สิทธิร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกาภายในกำหนด 7 วันตามมาตรา 156 วรรคท้าย กลับยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคำขอฎีกาอย่างคนอนาถาใหม่เพื่ออนุญาตให้ผู้ขอนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนอีกตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 156 วรรคสี่ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องฉบับหลังนี้ กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา156 วรรคท้าย คำสั่งเช่นนี้คู่ความย่อมอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้เนื่องจากไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าให้เป็นที่สุดแต่ต้องเป็นการอุทธรณ์ฎีกาขึ้นไปตามลำดับชั้นศาล จะข้ามชั้นศาลอุทธรณ์มายื่นต่อศาลฎีกาย่อมไม่ได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้ายให้สิทธิผู้ขอฎีกาอย่างคนอนาถายื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกาได้เฉพาะ 2 กรณีเท่านั้น คือกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลบางส่วนและกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอฎีกาอย่างคนอนาถาเสียทีเดียว แต่เมื่อผู้ขอไม่ใช้สิทธิร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกาภายในกำหนด 7 วันตามมาตรา 156 วรรคท้าย กลับยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคำขอฎีกาอย่างคนอนาถาใหม่เพื่ออนุญาตให้ผู้ขอนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนอีกตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 156 วรรคสี่ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องฉบับหลังนี้ กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา156 วรรคท้าย คำสั่งเช่นนี้คู่ความย่อมอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้เนื่องจากไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าให้เป็นที่สุดแต่ต้องเป็นการอุทธรณ์ฎีกาขึ้นไปตามลำดับชั้นศาล จะข้ามชั้นศาลอุทธรณ์มายื่นต่อศาลฎีกาย่อมไม่ได้
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|