ผู้คัดค้านเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภามาแล้วถึงสามครั้ง หลังจากที่ผู้คัดค้านไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแทนตำแหน่งที่ว่างในปี 2556 ผู้คัดค้านก็ได้พบปะกับพี่น้องประชาชนและเข้าร่วมกิจกรรมกับพี่น้องประชาชนในโอกาสต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้คัดค้านย่อมทราบได้ว่าสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองจะครบวาระในวันที่ 2 มีนาคม 2557 และพึงคาดหมายได้ว่าจะต้องมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปขึ้น เนื่องจากถึงคราวครบวาระของสมาชิกวุฒิสภา การที่ผู้คัดค้านจัดทำปฏิทินประจำปี 2557 ขึ้นเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไปในจังหวัดระนอง เมื่อพิจารณาปฏิทินประจำปี 2557 ที่มีรูปหรือตราสัญลักษณ์พรรคประชาธิปัตย์ และภาพ ว. ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ปรากฏอยู่ส่วนบนและภาพของผู้คัดค้านอยู่ส่วนกลางแล้ว ย่อมทำให้บุคคลทั่วไปเยี่ยงวิญญูชนที่พบเห็นเข้าใจได้ว่า ผู้คัดค้านเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ และ ว. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองพรรคประชาธิปัตย์หรือได้รับความช่วยเหลือหรือสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ และ ว. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองพรรคประชาธิปัตย์ หากผู้คัดค้านไม่ประสงค์ที่จะให้ผู้ที่พบเห็นปฏิทินดังกล่าวเข้าใจเช่นว่านั้นก็คงไม่มีเหตุผลใดที่ผู้คัดค้านจะต้องจัดทำปฏิทินที่ปรากฏภาพดังกล่าวเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไปในพื้นที่จังหวัดระนอง และปฏิทินปรากฏอยู่จนถึงวันเลือกตั้ง ดังนั้น การแจกปฏิทินที่มีตราสัญลักษณ์พรรคการเมืองกับภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนั้น ซึ่งสังกัดพรรคการเมืองจึงฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของกฎหมาย เป็นการอ้างหรือทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าพรรคการเมืองดังกล่าวสนับสนุนตนทั้งที่พรรคการเมืองไม่อาจสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาคนใดได้ การกระทำดังกล่าวไม่ว่าจะเกิดขึ้นในเวลาใดๆ ก่อนเลือกตั้งหากเป็นการกระทำเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิลงคะแนนให้เลือกตั้งตนเอง ย่อมเข้าหลักเกณฑ์ตาม พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 ประกอบมาตรา 122 กล่าวคือผู้สมัครผู้ใดกระทำการใดๆ โดยไม่สุจริตเพื่อที่จะให้ตนเองได้รับการเลือกตั้ง...ฝ่าฝืน พรบ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองทำให้การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557 มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปในวันที่ 30 มีนาคม 2557 โดยในการเลือกตั้งดังกล่าว ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง หมายเลข 1 ต่อมาเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2557 ผู้ร้องได้ประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง แต่ปรากฏว่าการเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากผู้คัดค้านได้แจกหรือเป็นผู้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลอื่นแจกปฏิทินประจำปี 2557 ซึ่งปฏิทินนั้นมีรูปหรือตราสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และภาพนายวิรัช ขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนอง พรรคประชาธิปัตย์ การแจกปฏิทินดังกล่าวของผู้คัดค้านให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นการเอาเปรียบผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองรายอื่นเป็นการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้านและมีเจตนาในการจัดทำปฏิทินดังกล่าวเพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งโดยให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทราบว่าผู้คัดค้านได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 (1) ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตเพื่อที่จะให้ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้งมีผลให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ขอให้คำสั่งตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 เรื่อง ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 และมาตรา 122 ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านได้จัดทำปฏิทินประจำปี 2557 ตามคำร้อง และมอบหมายให้นายปิยะรับไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนทั่วไปที่อำเภอละอุ่น 2,500 ฉบับ ที่อำเภอเมือง 6,200 ฉบับ นายประสิทธิ์รับไปแจกจ่ายที่อำเภอกระบุรี 6,000 ฉบับ นายสมเกียรติรับไปแจกจ่ายที่อำเภอสุขสำราญ 1,800 ฉบับ และนายสุมิตรรับไปแจกจ่ายที่อำเภอกะเปอร์ 3,500 ฉบับ แต่ได้แจกจ่ายเสร็จสิ้นก่อนระยะเวลาเก้าสิบวันก่อนวันครบวาระสมาชิกวุฒิสภา และการแจกปฏิทินดังกล่าวไม่เป็นเหตุที่จะจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้านแต่ประการใด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557 มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 ก่อนมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ดังกล่าวผู้คัดค้านได้จัดทำปฏิทินประจำปี 2557 และมอบหมายให้นายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ และนายสุมิตร รับปฏิทินดังกล่าวไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนทั่วไปในท้องที่จังหวัดระนอง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าที่ผู้คัดค้านมอบหมายให้นายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ และนายสุมิตร ไปแจกจ่ายปฏิทินประจำปี 2557ตามคำร้องให้แก่ประชาชนทั่วไปในท้องที่จังหวัดระนอง ทำให้ผู้คัดค้านได้รับประโยชน์ในการเลือกตั้งมีผลทำให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่ ที่ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่าผู้คัดค้านได้แจกจ่ายปฏิทินประจำปี 2557 ตามคำร้องให้แก่ประชาชนทั่วไปในท้องที่จังหวัดระนองแต่ได้แจกจ่ายเสร็จสิ้นก่อนระยะเวลาเก้าสิบวัน ก่อนวันครบวาระสมาชิกวุฒิสภา และการแจกปฏิทินดังกล่าวไม่เป็นมูลเหตุให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้านนั้นได้ความจากนายชนซึ่งให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่าขณะที่ช่วยหาเสียงแนะนำตัวให้แก่นายคำนึงผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง หมายเลข 4 เมื่อไปถึงบ้านของนายวิโรฒ พบปฏิทินประจำปี 2557 ตามคำร้องแขวนไว้ที่ฝาผนังด้านนอกบ้านของนายวิโรฒ พยานจึงสอบถามนายวิโรฒถึงการได้รับปฏิทินดังกล่าวได้ความว่าได้รับแจกปฏิทินไม่ทราบว่าได้รับจากผู้ใด และนายวิโรฒได้มอบปฏิทินให้แก่พยาน ต่อมามีนายกาหริ่มนำปฏิทินตามคำร้องมามอบให้พยานบริเวณตลาดเทศบาลตำบลหงาว นายโสภณให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่า ขณะที่พยานและนายชนนเดินทางไปแจกแผ่นพับที่เทศบาลตำบลหงาวเพื่อแจกแผ่นพับแนะนำตัวนายคำนึง ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง หมายเลข 4 ได้พบกับนายกาหริ่มคนเคยรู้จักกันจึงได้แจกแผ่นพับให้และแสดงปฏิทินที่ได้รับจากนายวิโรฒให้นายกาหริ่มดู ซึ่งนายกาหริ่มบอกว่าที่บ้านก็มี เดี๋ยวจะเอามาให้ จากนั้นประมาณ 10 นาที นายกาหริ่มก็นำปฏิทินตามคำร้องมามอบให้แก่พยาน และนายวิโรฒให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่าพยานออกมาทำธุระส่วนตัวนอกบ้านและกลับถึงบ้านช่วงบ่ายพบปฏิทินดังกล่าววางอยู่ในกล่องรับจดหมายหน้าบ้านของพยานแต่ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้นำปฏิทินมาใส่ในกล่องจดหมายและวันดังกล่าวไม่มีใครอยู่ที่บ้าน พยานจึงนำปฏิทินไปแขวนไว้ที่ฝาผนังบ้าน นายกาหริ่ม ให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่า พยานออกมาทำธุระนอกบ้านกลับถึงบ้านช่วงบ่ายพบปฏิทินดังกล่าวเสียบอยู่ใต้หลังคาบ้าน พยานไม่ทราบว่าใครเป็นผู้นำปฏิทินมาเสียบไว้และได้ความจากผู้คัดค้านซึ่งให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่า ผู้คัดค้านเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภามาแล้ว 3 ครั้ง แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ผู้คัดค้านว่าจ้างบริษัทโรงพิมพ์ทองกมล จำกัด จัดทำปฏิทินประจำปี 2557 เพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไป ผู้คัดค้านได้รับปฏิทินเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2556 แล้วมอบหมายให้นายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ นายสุมิตร ซึ่งเป็นบุคคลที่รู้จักและไว้ใจไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนโดยทั่วไปในพื้นที่รับผิดชอบ และผู้คัดค้านได้กำชับให้ทำการแจกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2556 ซึ่งอยู่นอกกรอบเวลาเก้าสิบวัน ก่อนวันครบวาระสมาชิกวุฒิสภา เห็นว่าจากข้อเท็จจริงที่ได้ความตามบันทึกถ้อยคำของพยานและผู้คัดค้านดังกล่าวข้างต้นผู้คัดค้านซึ่งเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภามาแล้วถึงสามครั้ง ทั้งยังได้ความตามบันทึกถ้อยคำของผู้คัดค้านพร้อมบันทึกชี้แจงข้อกล่าวหาว่า หลังจากที่ผู้คัดค้านไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแทนตำแหน่งที่ว่างในปี 2556ผู้คัดค้านก็ได้พบปะกับพี่น้องประชาชนและเข้าร่วมกิจกรรมกับพี่น้องประชาชนในโอกาสต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้คัดค้านยังคงมีความสนใจและหวังผลในการสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งทางการเมืองในคราวถัดไป ผู้คัดค้านย่อมทราบได้ว่าสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองจะครบวาระในวันที่ 2 มีนาคม 2557 ขึ้นเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไปในจังหวัดระนอง ทั้งยังได้กำชับให้นายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ นายสุมิตร ซึ่งเป็นบุคคลที่รู้จักและไว้ใจไปแจกจ่ายปฏิทินดังกล่าวให้แก่ประชาชนทั่วไปในพื้นที่รับผิดชอบให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2556 อันเป็นระยะเวลาก่อนเก้าสิบวันก่อนวันครบวาระสมาชิกวุฒิสภาทำให้เชื่อได้ว่าผู้คัดค้านมีความประสงค์ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองในคราวถัดไป และจงใจกระทำการเพื่อหลีกเลี่ยงข้อห้ามตามมาตรา 49 (1) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 เมื่อพิจารณาปฏิทินประจำปี 2557 ตามเอกสารหมาย ร.39 แผ่นที่ 3 ที่มีรูปหรือตราสัญลักษณ์พรรคประชาธิปัตย์ และภาพนายวิรัช ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ปรากฏอยู่ส่วนบนและภาพของผู้คัดค้านอยู่ส่วนกลางแล้ว ย่อมทำให้บุคคลทั่วไปเยี่ยงวิญญูชนที่พบเห็นเข้าใจได้ว่า ผู้คัดค้านเกี่ยวข้องพรรคประชาธิปัตย์ และนายวิรัชสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองพรรคประชาธิปัตย์ หรือได้รับความช่วยเหลือหรือสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ และนายวิรัชสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองพรรคประชาธิปัตย์ หากผู้คัดค้านไม่ประสงค์ที่จะให้ผู้ที่พบเห็นปฏิทินดังกล่าวเข้าใจเช่นว่านั้น ก็คงไม่มีเหตุผลใดที่ผู้คัดค้านจะต้องจัดทำปฏิทินที่ปรากฏภาพดังกล่าวเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไปในพื้นที่จังหวัดระนอง และปฏิทินปรากฏอยู่จนถึงวันเลือกตั้งนอกจากนั้นยังได้ความว่านายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ นายสุมิตร ซึ่งเป็นผู้ที่ผู้คัดค้านมอบหมายให้ไป แจกปฏิทินประจำปี 2557 ดังกล่าวในพื้นที่ที่แต่ละคนรับผิดชอบนั้นล้วนแต่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 43 บัญญัติว่า "ห้ามมิให้พรรคการเมือง กรรมการบริหาร พรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมืองช่วยเหลือหรือสนับสนุนผู้สมัครรับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาเพื่อให้ได้รับการเลือกตั้งหรือได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม" และมีโทษทางอาญาตามมาตรา 111 ซึ่งบัญญัติว่า "กรรมการบริหารพรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมืองผู้ใด ช่วยเหลือหรือสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา 43 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ" ส่วนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 49 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "...วิธีการหาเสียงเลือกตั้ง...ให้เป็นไปตามบทบัญญัติ ในส่วนนี้และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง" ซึ่งบทบัญญัติ ในมาตรา 122ให้นำมาใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ดังนั้น การแจกปฏิทินที่มีตราสัญลักษณ์พรรคการเมืองกับภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดซึ่งสังกัดพรรคการเมืองจึงฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของกฎหมาย เป็นการอ้างหรือทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าพรรคการเมืองดังกล่าวสนับสนุนตน ทั้งที่พรรคการเมืองไม่อาจสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาคนใดได้ การกระทำดังกล่าวไม่ว่าจะเกิดขึ้นในเวลาใดๆ ก่อนเลือกตั้ง หากเป็นการกระทำเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิลงคะแนนให้เลือกตั้งตนเอง ย่อมเข้าหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 ประกอบมาตรา 122 กล่าวคือ ผู้สมัครผู้ใดกระทำการใดๆ โดยไม่สุจริตเพื่อที่จะให้ตนเองได้รับการเลือกตั้ง... ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยพรรคการเมืองทำให้การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมจึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้คดีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ากรณีเป็นไปตามคำร้องของผู้ร้องคำคัดค้านของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายศักดาผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปีนับแต่วันมีคำสั่ง
ผู้คัดค้านเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภามาแล้วถึงสามครั้ง หลังจากที่ผู้คัดค้านไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแทนตำแหน่งที่ว่างในปี 2556 ผู้คัดค้านก็ได้พบปะกับพี่น้องประชาชนและเข้าร่วมกิจกรรมกับพี่น้องประชาชนในโอกาสต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้คัดค้านย่อมทราบได้ว่าสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองจะครบวาระในวันที่ 2 มีนาคม 2557 และพึงคาดหมายได้ว่าจะต้องมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปขึ้น เนื่องจากถึงคราวครบวาระของสมาชิกวุฒิสภา การที่ผู้คัดค้านจัดทำปฏิทินประจำปี 2557 ขึ้นเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไปในจังหวัดระนอง เมื่อพิจารณาปฏิทินประจำปี 2557 ที่มีรูปหรือตราสัญลักษณ์พรรคประชาธิปัตย์ และภาพ ว. ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ปรากฏอยู่ส่วนบนและภาพของผู้คัดค้านอยู่ส่วนกลางแล้ว ย่อมทำให้บุคคลทั่วไปเยี่ยงวิญญูชนที่พบเห็นเข้าใจได้ว่า ผู้คัดค้านเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ และ ว. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองพรรคประชาธิปัตย์หรือได้รับความช่วยเหลือหรือสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ และ ว. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองพรรคประชาธิปัตย์ หากผู้คัดค้านไม่ประสงค์ที่จะให้ผู้ที่พบเห็นปฏิทินดังกล่าวเข้าใจเช่นว่านั้นก็คงไม่มีเหตุผลใดที่ผู้คัดค้านจะต้องจัดทำปฏิทินที่ปรากฏภาพดังกล่าวเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไปในพื้นที่จังหวัดระนอง และปฏิทินปรากฏอยู่จนถึงวันเลือกตั้ง ดังนั้น การแจกปฏิทินที่มีตราสัญลักษณ์พรรคการเมืองกับภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนั้น ซึ่งสังกัดพรรคการเมืองจึงฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของกฎหมาย เป็นการอ้างหรือทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าพรรคการเมืองดังกล่าวสนับสนุนตนทั้งที่พรรคการเมืองไม่อาจสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาคนใดได้ การกระทำดังกล่าวไม่ว่าจะเกิดขึ้นในเวลาใดๆ ก่อนเลือกตั้งหากเป็นการกระทำเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิลงคะแนนให้เลือกตั้งตนเอง ย่อมเข้าหลักเกณฑ์ตาม พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 ประกอบมาตรา 122 กล่าวคือผู้สมัครผู้ใดกระทำการใดๆ โดยไม่สุจริตเพื่อที่จะให้ตนเองได้รับการเลือกตั้ง...ฝ่าฝืน พรบ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองทำให้การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557 มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปในวันที่ 30 มีนาคม 2557 โดยในการเลือกตั้งดังกล่าว ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง หมายเลข 1 ต่อมาเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2557 ผู้ร้องได้ประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง แต่ปรากฏว่าการเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากผู้คัดค้านได้แจกหรือเป็นผู้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลอื่นแจกปฏิทินประจำปี 2557 ซึ่งปฏิทินนั้นมีรูปหรือตราสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และภาพนายวิรัช ขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนอง พรรคประชาธิปัตย์ การแจกปฏิทินดังกล่าวของผู้คัดค้านให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นการเอาเปรียบผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองรายอื่นเป็นการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้านและมีเจตนาในการจัดทำปฏิทินดังกล่าวเพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งโดยให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทราบว่าผู้คัดค้านได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 (1) ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตเพื่อที่จะให้ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้งมีผลให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ขอให้คำสั่งตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 เรื่อง ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 และมาตรา 122 ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านได้จัดทำปฏิทินประจำปี 2557 ตามคำร้อง และมอบหมายให้นายปิยะรับไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนทั่วไปที่อำเภอละอุ่น 2,500 ฉบับ ที่อำเภอเมือง 6,200 ฉบับ นายประสิทธิ์รับไปแจกจ่ายที่อำเภอกระบุรี 6,000 ฉบับ นายสมเกียรติรับไปแจกจ่ายที่อำเภอสุขสำราญ 1,800 ฉบับ และนายสุมิตรรับไปแจกจ่ายที่อำเภอกะเปอร์ 3,500 ฉบับ แต่ได้แจกจ่ายเสร็จสิ้นก่อนระยะเวลาเก้าสิบวันก่อนวันครบวาระสมาชิกวุฒิสภา และการแจกปฏิทินดังกล่าวไม่เป็นเหตุที่จะจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้านแต่ประการใด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557 มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 ก่อนมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ดังกล่าวผู้คัดค้านได้จัดทำปฏิทินประจำปี 2557 และมอบหมายให้นายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ และนายสุมิตร รับปฏิทินดังกล่าวไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนทั่วไปในท้องที่จังหวัดระนอง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าที่ผู้คัดค้านมอบหมายให้นายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ และนายสุมิตร ไปแจกจ่ายปฏิทินประจำปี 2557ตามคำร้องให้แก่ประชาชนทั่วไปในท้องที่จังหวัดระนอง ทำให้ผู้คัดค้านได้รับประโยชน์ในการเลือกตั้งมีผลทำให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่ ที่ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่าผู้คัดค้านได้แจกจ่ายปฏิทินประจำปี 2557 ตามคำร้องให้แก่ประชาชนทั่วไปในท้องที่จังหวัดระนองแต่ได้แจกจ่ายเสร็จสิ้นก่อนระยะเวลาเก้าสิบวัน ก่อนวันครบวาระสมาชิกวุฒิสภา และการแจกปฏิทินดังกล่าวไม่เป็นมูลเหตุให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้านนั้นได้ความจากนายชนซึ่งให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่าขณะที่ช่วยหาเสียงแนะนำตัวให้แก่นายคำนึงผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง หมายเลข 4 เมื่อไปถึงบ้านของนายวิโรฒ พบปฏิทินประจำปี 2557 ตามคำร้องแขวนไว้ที่ฝาผนังด้านนอกบ้านของนายวิโรฒ พยานจึงสอบถามนายวิโรฒถึงการได้รับปฏิทินดังกล่าวได้ความว่าได้รับแจกปฏิทินไม่ทราบว่าได้รับจากผู้ใด และนายวิโรฒได้มอบปฏิทินให้แก่พยาน ต่อมามีนายกาหริ่มนำปฏิทินตามคำร้องมามอบให้พยานบริเวณตลาดเทศบาลตำบลหงาว นายโสภณให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่า ขณะที่พยานและนายชนนเดินทางไปแจกแผ่นพับที่เทศบาลตำบลหงาวเพื่อแจกแผ่นพับแนะนำตัวนายคำนึง ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง หมายเลข 4 ได้พบกับนายกาหริ่มคนเคยรู้จักกันจึงได้แจกแผ่นพับให้และแสดงปฏิทินที่ได้รับจากนายวิโรฒให้นายกาหริ่มดู ซึ่งนายกาหริ่มบอกว่าที่บ้านก็มี เดี๋ยวจะเอามาให้ จากนั้นประมาณ 10 นาที นายกาหริ่มก็นำปฏิทินตามคำร้องมามอบให้แก่พยาน และนายวิโรฒให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่าพยานออกมาทำธุระส่วนตัวนอกบ้านและกลับถึงบ้านช่วงบ่ายพบปฏิทินดังกล่าววางอยู่ในกล่องรับจดหมายหน้าบ้านของพยานแต่ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้นำปฏิทินมาใส่ในกล่องจดหมายและวันดังกล่าวไม่มีใครอยู่ที่บ้าน พยานจึงนำปฏิทินไปแขวนไว้ที่ฝาผนังบ้าน นายกาหริ่ม ให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่า พยานออกมาทำธุระนอกบ้านกลับถึงบ้านช่วงบ่ายพบปฏิทินดังกล่าวเสียบอยู่ใต้หลังคาบ้าน พยานไม่ทราบว่าใครเป็นผู้นำปฏิทินมาเสียบไว้และได้ความจากผู้คัดค้านซึ่งให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่า ผู้คัดค้านเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภามาแล้ว 3 ครั้ง แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ผู้คัดค้านว่าจ้างบริษัทโรงพิมพ์ทองกมล จำกัด จัดทำปฏิทินประจำปี 2557 เพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไป ผู้คัดค้านได้รับปฏิทินเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2556 แล้วมอบหมายให้นายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ นายสุมิตร ซึ่งเป็นบุคคลที่รู้จักและไว้ใจไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนโดยทั่วไปในพื้นที่รับผิดชอบ และผู้คัดค้านได้กำชับให้ทำการแจกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2556 ซึ่งอยู่นอกกรอบเวลาเก้าสิบวัน ก่อนวันครบวาระสมาชิกวุฒิสภา เห็นว่าจากข้อเท็จจริงที่ได้ความตามบันทึกถ้อยคำของพยานและผู้คัดค้านดังกล่าวข้างต้นผู้คัดค้านซึ่งเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภามาแล้วถึงสามครั้ง ทั้งยังได้ความตามบันทึกถ้อยคำของผู้คัดค้านพร้อมบันทึกชี้แจงข้อกล่าวหาว่า หลังจากที่ผู้คัดค้านไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแทนตำแหน่งที่ว่างในปี 2556ผู้คัดค้านก็ได้พบปะกับพี่น้องประชาชนและเข้าร่วมกิจกรรมกับพี่น้องประชาชนในโอกาสต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้คัดค้านยังคงมีความสนใจและหวังผลในการสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งทางการเมืองในคราวถัดไป ผู้คัดค้านย่อมทราบได้ว่าสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองจะครบวาระในวันที่ 2 มีนาคม 2557 ขึ้นเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไปในจังหวัดระนอง ทั้งยังได้กำชับให้นายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ นายสุมิตร ซึ่งเป็นบุคคลที่รู้จักและไว้ใจไปแจกจ่ายปฏิทินดังกล่าวให้แก่ประชาชนทั่วไปในพื้นที่รับผิดชอบให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2556 อันเป็นระยะเวลาก่อนเก้าสิบวันก่อนวันครบวาระสมาชิกวุฒิสภาทำให้เชื่อได้ว่าผู้คัดค้านมีความประสงค์ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองในคราวถัดไป และจงใจกระทำการเพื่อหลีกเลี่ยงข้อห้ามตามมาตรา 49 (1) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 เมื่อพิจารณาปฏิทินประจำปี 2557 ตามเอกสารหมาย ร.39 แผ่นที่ 3 ที่มีรูปหรือตราสัญลักษณ์พรรคประชาธิปัตย์ และภาพนายวิรัช ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ปรากฏอยู่ส่วนบนและภาพของผู้คัดค้านอยู่ส่วนกลางแล้ว ย่อมทำให้บุคคลทั่วไปเยี่ยงวิญญูชนที่พบเห็นเข้าใจได้ว่า ผู้คัดค้านเกี่ยวข้องพรรคประชาธิปัตย์ และนายวิรัชสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองพรรคประชาธิปัตย์ หรือได้รับความช่วยเหลือหรือสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ และนายวิรัชสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองพรรคประชาธิปัตย์ หากผู้คัดค้านไม่ประสงค์ที่จะให้ผู้ที่พบเห็นปฏิทินดังกล่าวเข้าใจเช่นว่านั้น ก็คงไม่มีเหตุผลใดที่ผู้คัดค้านจะต้องจัดทำปฏิทินที่ปรากฏภาพดังกล่าวเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไปในพื้นที่จังหวัดระนอง และปฏิทินปรากฏอยู่จนถึงวันเลือกตั้งนอกจากนั้นยังได้ความว่านายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ นายสุมิตร ซึ่งเป็นผู้ที่ผู้คัดค้านมอบหมายให้ไป แจกปฏิทินประจำปี 2557 ดังกล่าวในพื้นที่ที่แต่ละคนรับผิดชอบนั้นล้วนแต่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 43 บัญญัติว่า "ห้ามมิให้พรรคการเมือง กรรมการบริหาร พรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมืองช่วยเหลือหรือสนับสนุนผู้สมัครรับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาเพื่อให้ได้รับการเลือกตั้งหรือได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม" และมีโทษทางอาญาตามมาตรา 111 ซึ่งบัญญัติว่า "กรรมการบริหารพรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมืองผู้ใด ช่วยเหลือหรือสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา 43 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ" ส่วนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 49 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "...วิธีการหาเสียงเลือกตั้ง...ให้เป็นไปตามบทบัญญัติ ในส่วนนี้และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง" ซึ่งบทบัญญัติ ในมาตรา 122ให้นำมาใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ดังนั้น การแจกปฏิทินที่มีตราสัญลักษณ์พรรคการเมืองกับภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดซึ่งสังกัดพรรคการเมืองจึงฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของกฎหมาย เป็นการอ้างหรือทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าพรรคการเมืองดังกล่าวสนับสนุนตน ทั้งที่พรรคการเมืองไม่อาจสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาคนใดได้ การกระทำดังกล่าวไม่ว่าจะเกิดขึ้นในเวลาใดๆ ก่อนเลือกตั้ง หากเป็นการกระทำเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิลงคะแนนให้เลือกตั้งตนเอง ย่อมเข้าหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 ประกอบมาตรา 122 กล่าวคือ ผู้สมัครผู้ใดกระทำการใดๆ โดยไม่สุจริตเพื่อที่จะให้ตนเองได้รับการเลือกตั้ง... ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยพรรคการเมืองทำให้การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมจึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้คดีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ากรณีเป็นไปตามคำร้องของผู้ร้องคำคัดค้านของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายศักดาผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปีนับแต่วันมีคำสั่ง
บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ม. มิได้ลงพิมพ์ว่า ผู้คัดค้านมิได้ จ้าง วาน ใช้ให้ลงพิมพ์ข้อความดังกล่าว เพียงแต่ปฏิเสธว่าข้อความที่ลงพิมพ์นั้น มิได้หาเสียงให้ผู้สมัครรายใด จึงเชื่อได้ว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้ ส. บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ม. กระทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โดยมีข้อความอันเป็นการหาเสียงเลือกตั้งดังที่ผู้ร้องกล่าวหา และเมื่อพิจารณาข้อความโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งของผู้คัดค้าน เห็นว่า ข้อความดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารอันเป็นการกำหนดนโยบายของพรรคการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 วรรคหนึ่ง ทั้งข้อความดังกล่าวยังเป็นการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้านอันส่งผลให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมเพื่อให้ ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้ง คดีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ากรณีเป็นไปตามคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปในวันที่ 30 มีนาคม 2557 โดยในการเลือกตั้งดังกล่าว ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย หมายเลข 3 ต่อมาเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2557 ผู้ร้องได้ประกาศผลการเลือกตั้งให้นายสมศักดิ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย หมายเลข 2 เป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย โดยผู้คัดค้านไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งดังกล่าว ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายสมาน กระทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งผ่านทางสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น คือ หนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย ปีที่ 24 ฉบับที่ 506 ประจำวันที่ 1 ถึง 15 มีนาคม 2557 หน้าที่ 11 โดยมีข้อความว่า "หน้าที่สมาชิกสภา อยากผลักดันเรื่องกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง และเสนอให้สร้างอ่างเก็บน้ำชลประทานขนาดใหญ่ 5 โครงการ โครงการที่ผ่านมาได้ผลและลงมือก่อสร้าง 1 โครงการที่ต้นแม่น้ำเลยงบประมาณ 200 กว่าล้านบาท และอีกโครงการอยู่ระหว่างการดำเนินการเวนคืนที่ดินที่อำเภอด่านซ้าย ราคาก่อสร้างประมาณ 4 - 5 ร้อยล้านบาท อยู่ระหว่างการเวนคืนที่ดินแล้วเสร็จถึงจะเปิดประมูลก่อสร้างได้" และย่อหน้าถัดมามีข้อความว่า "หน้าที่สมาชิกสภาจังหวัด การพัฒนาประเทศ (บ้านเมือง) ทำไม่ได้เลย ถ้าไม่พัฒนาประชาธิปไตย สมาชิกสภาจังหวัดถือเป็นองค์กรสำคัญของระบบการปกครอง ในการนำเสนอปัญหาความต้องการของประชาชนไปสู่รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในสมัยโลกาภิวัฒน์นี้ มติมหาชนถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการกำหนดนโยบายและการบริหารบ้านเมือง" ซึ่งเป็นการหาเสียงเลือกตั้งในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภาอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 ขอให้มีคำสั่งตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 57/2557 เรื่อง ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 และมาตรา 122 ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน มีกำหนดห้าปี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านไม่ได้ก่อ จ้างวานใช้ รู้เห็นเป็นใจ หรือสนับสนุน นายสมาน ให้ทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยลงข้อความในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ตามคำร้องของผู้ร้อง เมื่อผู้คัดค้านทราบว่ามีการลงข้อความอันเป็นมูลคดีที่มีปัญหาดังกล่าว ผู้คัดค้านได้ดำเนินการทักท้วงนายสมาน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ว่าลงข้อความเกินที่แจ้งไปโดยพลการ และแจ้งต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองเลยให้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานว่าผู้คัดค้านไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับการลงโฆษณาโดยพลการของนายสมานดังกล่าว ขอให้ยกคำร้อง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยเป็นประการแรกว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายสมาน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย กระทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โดยมีข้อความอันเป็นการหาเสียงเลือกตั้งหรือไม่ โดยผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านทราบว่ามีการลงข้อความดังกล่าวเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2557 จึงได้ต่อว่านายสมานว่าลงข้อความโดยพลการ และในวันเดียวกัน เวลา 15.30 นาฬิกา ผู้คัดค้านได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองเลยไว้เป็นหลักฐานว่าผู้คัดค้านไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับการลงโฆษณาดังกล่าว เห็นว่า หนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย ปีที่ 24 ฉบับที่ 506 ประจำวันที่ 1 ถึง 15 มีนาคม 2557 เอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 14 มีรูปถ่ายผู้คัดค้านอยู่ในหน้าแรกส่วนบน ใต้ชื่อหนังสือพิมพ์ร่วมกับรูปถ่ายของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลยอื่นอีก 2 คน ทั้งในหน้าที่ 11 ก็มีรูปถ่ายผู้คัดค้าน ประวัติผู้คัดค้านและข้อความดังกล่าวอยู่ถึงครึ่งหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ในแนวตั้ง นอกจากนี้ยังได้ความจากนายสมาน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย ตามบันทึกคำให้การพยานต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน เอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 50 ว่า หนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย พิมพ์เผยแพร่จำนวน 1,700 ฉบับ มีสมาชิกทั้งที่เป็นภาครัฐและเอกชนประมาณ 300 ราย และวางจำหน่ายตามแผงหนังสือทั่วไปในเขตอำเภอเมืองเลยในราคาฉบับละ 10 บาท และฉบับที่ 506 ประจำวันที่ 1 ถึง 15 มีนาคม 2557 ออกจำหน่ายในวันที่ 18 ถึง 20 มีนาคม 2557 แต่ผู้คัดค้านเพิ่งมีหนังสือแจ้งบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2557 ตามเอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 64 ว่ามีการพิมพ์ข้อความที่คลาดเคลื่อน และแจ้งความไว้เป็นหลักฐานต่อพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2557 ตามเอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 67 ว่าตนมิได้รู้เห็นเป็นใจในการโฆษณาดังกล่าว จึงผิดวิสัยที่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ทั้งเคยเป็นประธานหอการค้าจังหวัดเลย จะไม่ทราบถึงการโฆษณาตนเองในการลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลยในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่วางจำหน่ายแพร่หลายในจังหวัดเลยในทันทีที่มีการวางจำหน่าย แต่เพิ่งมาทราบหลังจากจำหน่าย จ่าย แจก แล้วถึง 4 วัน ประกอบกับในคอลัมน์บรรณาธิการแถลง ในหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลยปีที่ 24 ฉบับที่ 507 ประจำวันที่ 16 ถึง 31 มีนาคม 2557 หน้าที่ 5 เอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 77ลงพิมพ์ว่า "...ข้อความนอกกรอบที่พิมพ์ลงไปนั้นความจริงพิจารณาแล้วก็มิได้หาเสียงให้ใครหรือสนับสนุนผู้สมัครเบอร์ใดแม้แต่นิดเดียว คงยึดมั่นให้ความเป็นกลางสนับสนุนทุกเบอร์ ถ้าท่านได้รับการพิจารณาเลือกจากประชาชนชาวจังหวัดเลย..."จากบทบรรณาธิการดังกล่าวจึงเห็นได้ว่า บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทเลย เมืองเลย ก็มิได้ลงพิมพ์ว่า ผู้คัดค้านมิได้ จ้าง วาน ใช้ ให้ลงพิมพ์ข้อความดังกล่าว เพียงแต่ปฏิเสธว่าข้อความที่ลงพิมพ์นั้น มิได้หาเสียงให้ผู้สมัครรายใด จึงเชื่อได้ว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายสมาน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย กระทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โดยมีข้อความอันเป็นการหาเสียงเลือกตั้งดังที่ผู้ร้องกล่าวหา
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยเป็นประการสุดท้ายว่า ข้อความตามคำร้องว่าผู้คัดค้าน ใช้ในการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง ผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น นั้น เป็นการหาเสียงเลือกตั้งในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตเพื่อที่จะให้ผู้คัดค้านได้รับการเลือกตั้ง มีผลให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา สามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา" และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการหาเสียง ข้อควรปฏิบัติ และข้อห้ามมิให้ปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาและการดำเนินการใดๆของผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้มีสิทธิเลือกตั้ง พ.ศ. 2551 ข้อ 5 กำหนดว่า "ในการหาเสียงเลือกตั้ง ผู้สมัครหรือบุคคลผู้ช่วยในการหาเสียงเลือกตั้งสามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 เช่น อำนาจในด้านนิติบัญญัติ อำนาจในการควบคุมการตรากฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน การให้ความเห็นชอบในเรื่องสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของแผ่นดิน การพิจารณาเลือกตั้ง แต่งตั้ง ให้คำแนะนำให้ความเห็นชอบบุคคลในองค์กรต่างๆ อำนาจในการถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เป็นต้น..." แต่เมื่อพิจารณาถ้อยคำที่ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย ปีที่ 24 ฉบับที่ 506 ประจำวันที่ 1 ถึง 15 มีนาคม 2557 หน้าที่ 11 ตามคำร้องของผู้ร้องแล้ว เห็นว่า ข้อความดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารอันเป็นการกำหนดนโยบายของพรรคการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 วรรคหนึ่ง ทั้งข้อความดังกล่าวยังเป็นการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้านอันส่งผลให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมเพื่อให้ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้ง คดีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ากรณีเป็นไปตามคำร้องของผู้ร้อง คำคัดค้านของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายสุเครื่อง ผู้คัดค้าน มีกำหนดห้าปี นับแต่วันมีคำสั่ง.
บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ม. มิได้ลงพิมพ์ว่า ผู้คัดค้านมิได้ จ้าง วาน ใช้ให้ลงพิมพ์ข้อความดังกล่าว เพียงแต่ปฏิเสธว่าข้อความที่ลงพิมพ์นั้น มิได้หาเสียงให้ผู้สมัครรายใด จึงเชื่อได้ว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้ ส. บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ม. กระทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โดยมีข้อความอันเป็นการหาเสียงเลือกตั้งดังที่ผู้ร้องกล่าวหา และเมื่อพิจารณาข้อความโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งของผู้คัดค้าน เห็นว่า ข้อความดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารอันเป็นการกำหนดนโยบายของพรรคการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 วรรคหนึ่ง ทั้งข้อความดังกล่าวยังเป็นการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้านอันส่งผลให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมเพื่อให้ ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้ง คดีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ากรณีเป็นไปตามคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปในวันที่ 30 มีนาคม 2557 โดยในการเลือกตั้งดังกล่าว ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย หมายเลข 3 ต่อมาเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2557 ผู้ร้องได้ประกาศผลการเลือกตั้งให้นายสมศักดิ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย หมายเลข 2 เป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย โดยผู้คัดค้านไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งดังกล่าว ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายสมาน กระทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งผ่านทางสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น คือ หนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย ปีที่ 24 ฉบับที่ 506 ประจำวันที่ 1 ถึง 15 มีนาคม 2557 หน้าที่ 11 โดยมีข้อความว่า "หน้าที่สมาชิกสภา อยากผลักดันเรื่องกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง และเสนอให้สร้างอ่างเก็บน้ำชลประทานขนาดใหญ่ 5 โครงการ โครงการที่ผ่านมาได้ผลและลงมือก่อสร้าง 1 โครงการที่ต้นแม่น้ำเลยงบประมาณ 200 กว่าล้านบาท และอีกโครงการอยู่ระหว่างการดำเนินการเวนคืนที่ดินที่อำเภอด่านซ้าย ราคาก่อสร้างประมาณ 4 - 5 ร้อยล้านบาท อยู่ระหว่างการเวนคืนที่ดินแล้วเสร็จถึงจะเปิดประมูลก่อสร้างได้" และย่อหน้าถัดมามีข้อความว่า "หน้าที่สมาชิกสภาจังหวัด การพัฒนาประเทศ (บ้านเมือง) ทำไม่ได้เลย ถ้าไม่พัฒนาประชาธิปไตย สมาชิกสภาจังหวัดถือเป็นองค์กรสำคัญของระบบการปกครอง ในการนำเสนอปัญหาความต้องการของประชาชนไปสู่รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในสมัยโลกาภิวัฒน์นี้ มติมหาชนถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการกำหนดนโยบายและการบริหารบ้านเมือง" ซึ่งเป็นการหาเสียงเลือกตั้งในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภาอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 ขอให้มีคำสั่งตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 57/2557 เรื่อง ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 และมาตรา 122 ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน มีกำหนดห้าปี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านไม่ได้ก่อ จ้างวานใช้ รู้เห็นเป็นใจ หรือสนับสนุน นายสมาน ให้ทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยลงข้อความในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ตามคำร้องของผู้ร้อง เมื่อผู้คัดค้านทราบว่ามีการลงข้อความอันเป็นมูลคดีที่มีปัญหาดังกล่าว ผู้คัดค้านได้ดำเนินการทักท้วงนายสมาน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ว่าลงข้อความเกินที่แจ้งไปโดยพลการ และแจ้งต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองเลยให้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานว่าผู้คัดค้านไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับการลงโฆษณาโดยพลการของนายสมานดังกล่าว ขอให้ยกคำร้อง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยเป็นประการแรกว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายสมาน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย กระทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โดยมีข้อความอันเป็นการหาเสียงเลือกตั้งหรือไม่ โดยผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านทราบว่ามีการลงข้อความดังกล่าวเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2557 จึงได้ต่อว่านายสมานว่าลงข้อความโดยพลการ และในวันเดียวกัน เวลา 15.30 นาฬิกา ผู้คัดค้านได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองเลยไว้เป็นหลักฐานว่าผู้คัดค้านไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับการลงโฆษณาดังกล่าว เห็นว่า หนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย ปีที่ 24 ฉบับที่ 506 ประจำวันที่ 1 ถึง 15 มีนาคม 2557 เอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 14 มีรูปถ่ายผู้คัดค้านอยู่ในหน้าแรกส่วนบน ใต้ชื่อหนังสือพิมพ์ร่วมกับรูปถ่ายของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลยอื่นอีก 2 คน ทั้งในหน้าที่ 11 ก็มีรูปถ่ายผู้คัดค้าน ประวัติผู้คัดค้านและข้อความดังกล่าวอยู่ถึงครึ่งหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ในแนวตั้ง นอกจากนี้ยังได้ความจากนายสมาน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย ตามบันทึกคำให้การพยานต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน เอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 50 ว่า หนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย พิมพ์เผยแพร่จำนวน 1,700 ฉบับ มีสมาชิกทั้งที่เป็นภาครัฐและเอกชนประมาณ 300 ราย และวางจำหน่ายตามแผงหนังสือทั่วไปในเขตอำเภอเมืองเลยในราคาฉบับละ 10 บาท และฉบับที่ 506 ประจำวันที่ 1 ถึง 15 มีนาคม 2557 ออกจำหน่ายในวันที่ 18 ถึง 20 มีนาคม 2557 แต่ผู้คัดค้านเพิ่งมีหนังสือแจ้งบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2557 ตามเอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 64 ว่ามีการพิมพ์ข้อความที่คลาดเคลื่อน และแจ้งความไว้เป็นหลักฐานต่อพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2557 ตามเอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 67 ว่าตนมิได้รู้เห็นเป็นใจในการโฆษณาดังกล่าว จึงผิดวิสัยที่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ทั้งเคยเป็นประธานหอการค้าจังหวัดเลย จะไม่ทราบถึงการโฆษณาตนเองในการลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลยในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่วางจำหน่ายแพร่หลายในจังหวัดเลยในทันทีที่มีการวางจำหน่าย แต่เพิ่งมาทราบหลังจากจำหน่าย จ่าย แจก แล้วถึง 4 วัน ประกอบกับในคอลัมน์บรรณาธิการแถลง ในหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลยปีที่ 24 ฉบับที่ 507 ประจำวันที่ 16 ถึง 31 มีนาคม 2557 หน้าที่ 5 เอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 77ลงพิมพ์ว่า "...ข้อความนอกกรอบที่พิมพ์ลงไปนั้นความจริงพิจารณาแล้วก็มิได้หาเสียงให้ใครหรือสนับสนุนผู้สมัครเบอร์ใดแม้แต่นิดเดียว คงยึดมั่นให้ความเป็นกลางสนับสนุนทุกเบอร์ ถ้าท่านได้รับการพิจารณาเลือกจากประชาชนชาวจังหวัดเลย..."จากบทบรรณาธิการดังกล่าวจึงเห็นได้ว่า บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทเลย เมืองเลย ก็มิได้ลงพิมพ์ว่า ผู้คัดค้านมิได้ จ้าง วาน ใช้ ให้ลงพิมพ์ข้อความดังกล่าว เพียงแต่ปฏิเสธว่าข้อความที่ลงพิมพ์นั้น มิได้หาเสียงให้ผู้สมัครรายใด จึงเชื่อได้ว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายสมาน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย กระทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โดยมีข้อความอันเป็นการหาเสียงเลือกตั้งดังที่ผู้ร้องกล่าวหา
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยเป็นประการสุดท้ายว่า ข้อความตามคำร้องว่าผู้คัดค้าน ใช้ในการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง ผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น นั้น เป็นการหาเสียงเลือกตั้งในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตเพื่อที่จะให้ผู้คัดค้านได้รับการเลือกตั้ง มีผลให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา สามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา" และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการหาเสียง ข้อควรปฏิบัติ และข้อห้ามมิให้ปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาและการดำเนินการใดๆของผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้มีสิทธิเลือกตั้ง พ.ศ. 2551 ข้อ 5 กำหนดว่า "ในการหาเสียงเลือกตั้ง ผู้สมัครหรือบุคคลผู้ช่วยในการหาเสียงเลือกตั้งสามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 เช่น อำนาจในด้านนิติบัญญัติ อำนาจในการควบคุมการตรากฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน การให้ความเห็นชอบในเรื่องสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของแผ่นดิน การพิจารณาเลือกตั้ง แต่งตั้ง ให้คำแนะนำให้ความเห็นชอบบุคคลในองค์กรต่างๆ อำนาจในการถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เป็นต้น..." แต่เมื่อพิจารณาถ้อยคำที่ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย ปีที่ 24 ฉบับที่ 506 ประจำวันที่ 1 ถึง 15 มีนาคม 2557 หน้าที่ 11 ตามคำร้องของผู้ร้องแล้ว เห็นว่า ข้อความดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารอันเป็นการกำหนดนโยบายของพรรคการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 วรรคหนึ่ง ทั้งข้อความดังกล่าวยังเป็นการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้านอันส่งผลให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมเพื่อให้ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้ง คดีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ากรณีเป็นไปตามคำร้องของผู้ร้อง คำคัดค้านของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายสุเครื่อง ผู้คัดค้าน มีกำหนดห้าปี นับแต่วันมีคำสั่ง.
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ ต่อมา ส. ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าการเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 496/2555 ว่า ผู้คัดค้านมีความผิดตาม พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี ผู้คัดค้านจึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ผู้ร้องเห็นว่าควรสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน ขอให้มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปี ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านยังมิได้เป็นผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เนื่องจากคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค3คดียังไม่ถึงที่สุด ขอให้ยกคำร้อง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) มาตรา 102 (3) และมาตรา 115 (8) กับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 119 มาตรา 139 และมาตรา 122 ยังมีผลใช้บังคับหรือไม่ เห็นว่าเมื่อการกระทำของผู้คัดค้านที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2557 ก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะเข้าควบคุมอำนาจการปกครอง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลงยกเว้นหมวด 2 แล้ว แต่ต่อมาได้มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งในข้อ 1 กำหนดให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มีผลบังคับใช้ ต่อเนื่องต่อไป โดยมิได้สะดุดลงจนกว่าจะมีกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกกับทั้งไม่ปรากฏว่าก่อนที่จะมีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 สิ้นสุดลงไปไม่พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวยังคงมีผลใช้บังคับต่อเนื่องตลอดมา เมื่อมาตรา 119 ได้บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็น ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายที่บัญญัติให้ผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจในการจัดให้มีการเลือกตั้งวุฒิสภาและยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาหากปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีการฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวได้
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำคุก ผู้คัดค้านมีกำหนด 5 ปี และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้คัดค้าน 10 ปี โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจะถือว่าผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา... (8) เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 102 ...(3)..." โดยมาตรา 102 (3) บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร... (3) เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 100 (1) (2) หรือ (4)..." และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง...(2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง..." แสดงให้เห็นว่า บุคคลที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจะต้องถูกจำกัดสิทธิต้องห้ามมิให้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา การบังคับตามคำพิพากษาของศาลที่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเช่นนี้ จะบังคับได้โดยเด็ดขาดต่อเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว กรณีของผู้คัดค้าน แม้จะได้ความว่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2555 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ซึ่งพิพากษาว่าผู้คัดค้านมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี ก็ตาม แต่เมื่อคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา คดียังไม่ถึงที่สุด ไม่อาจบังคับคดีได้โดยเด็ดขาด จึงไม่ถือว่าผู้คัดค้านอยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ผู้คัดค้านมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ผู้คัดค้านไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังที่ผู้ร้องอ้าง
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ หมายเลข 1 ต่อมาวันที่ 28 เมษายน 2557 นายสมภพ ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดศรีสะเกษว่า การเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2555 ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 496/2555 ว่า ผู้คัดค้านมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี ผู้คัดค้านจึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ครั้นวันที่ 29 เมษายน 2557 ผู้ร้องประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ ผู้ร้องเห็นว่าควรสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน ขอให้มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านยังมิได้เป็นผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เนื่องจากคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดียังไม่ถึงที่สุด ผู้คัดค้านสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยสุจริต มิได้ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) มาตรา 102 (3) และมาตรา 115 (8) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 119 ขณะที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแจ้งข้อกล่าวหาและยื่นคำร้องดำเนินคดีนี้ บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) มาตรา 102 (3) และมาตรา 115 (8)ได้ถูกยกเลิกและสิ้นสุดลงแล้ว ตามประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำสั่งให้รวมวินิจฉัยเมื่อมีคำสั่ง
ในวันนัดตรวจพยานหลักฐาน ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งสอบข้อเท็จจริงจากผู้ร้องและ ผู้คัดค้านแล้ว เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องไต่สวนพยานอีก
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 โดยกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปในวันที่ 30 มีนาคม 2557 หลังจากมีพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวแล้ว วันที่ 2 มีนาคม 2557 ประธานกรรมการการเลือกตั้งประกาศรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา เขตเลือกตั้งจังหวัดศรีสะเกษ หมายเลข 1 และผู้ร้องได้ประกาศผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2557 ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา แต่ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดศรีสะเกษได้รับคำร้องคัดค้านจากนายสมภพ มั่นคงผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาเขตเลือกตั้งจังหวัดศรีสะเกษ หมายเลข 5 ว่า การเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ผู้คัดค้านกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53 เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 496/2555 ว่า ผู้คัดค้านมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี ผู้คัดค้านจึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา วันที่ 9 ตุลาคม 2557 ผู้ร้องมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้คัดค้าน
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) มาตรา 102 (3) และมาตรา 115 (8) กับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 119 มาตรา 139 และมาตรา 122 ยังมีผลใช้บังคับหรือไม่ เห็นว่าเมื่อการกระทำของผู้คัดค้านที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2557 ก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะเข้าควบคุมอำนาจการปกครอง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลงยกเว้นหมวด 2 แล้ว แต่ต่อมาได้มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งในข้อ 1 กำหนดให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มีผลบังคับใช้ต่อเนื่องต่อไป โดยมิได้สะดุดลงจนกว่าจะมีกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิก กับทั้งไม่ปรากฏว่าก่อนที่จะมีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 สิ้นสุดลงไปไม่พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวยังคงมีผลใช้บังคับต่อเนื่องตลอดมา เมื่อมาตรา 119 ได้บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายที่บัญญัติให้ผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจในการจัดให้มีการเลือกตั้งวุฒิสภาและยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาหากปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีการฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวได้
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำคุกผู้คัดค้านมีกำหนด 5 ปี และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้คัดค้าน 10 ปี โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจะถือว่าผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา... (8) เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 102 ...(3)..." โดยมาตรา 102 (3) บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร... (3) เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 100 (1) (2) หรือ (4)..." และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ... (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง..." แสดงให้เห็นว่า บุคคลที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจะต้องถูกจำกัดสิทธิ ต้องห้ามมิให้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา การบังคับตามคำพิพากษาของศาลที่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเช่นนี้ จะบังคับได้โดยเด็ดขาดต่อเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว กรณีของผู้คัดค้าน แม้จะได้ความว่า เมื่อวันที่ 26เมษายน 2555 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 3 ซึ่งพิพากษาว่าผู้คัดค้านมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี ก็ตาม แต่เมื่อคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา คดียังไม่ถึงที่สุด ไม่อาจบังคับคดีได้โดยเด็ดขาด จึงไม่ถือว่าผู้คัดค้านอยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ผู้คัดค้านมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ผู้คัดค้านไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังที่ผู้ร้องอ้าง
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง.
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ ต่อมา ส. ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าการเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 496/2555 ว่า ผู้คัดค้านมีความผิดตาม พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี ผู้คัดค้านจึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ผู้ร้องเห็นว่าควรสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน ขอให้มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปี ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านยังมิได้เป็นผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เนื่องจากคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค3คดียังไม่ถึงที่สุด ขอให้ยกคำร้อง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) มาตรา 102 (3) และมาตรา 115 (8) กับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 119 มาตรา 139 และมาตรา 122 ยังมีผลใช้บังคับหรือไม่ เห็นว่าเมื่อการกระทำของผู้คัดค้านที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2557 ก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะเข้าควบคุมอำนาจการปกครอง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลงยกเว้นหมวด 2 แล้ว แต่ต่อมาได้มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งในข้อ 1 กำหนดให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มีผลบังคับใช้ ต่อเนื่องต่อไป โดยมิได้สะดุดลงจนกว่าจะมีกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกกับทั้งไม่ปรากฏว่าก่อนที่จะมีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 สิ้นสุดลงไปไม่พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวยังคงมีผลใช้บังคับต่อเนื่องตลอดมา เมื่อมาตรา 119 ได้บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็น ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายที่บัญญัติให้ผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจในการจัดให้มีการเลือกตั้งวุฒิสภาและยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาหากปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีการฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวได้
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำคุก ผู้คัดค้านมีกำหนด 5 ปี และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้คัดค้าน 10 ปี โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจะถือว่าผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา... (8) เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 102 ...(3)..." โดยมาตรา 102 (3) บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร... (3) เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 100 (1) (2) หรือ (4)..." และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง...(2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง..." แสดงให้เห็นว่า บุคคลที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจะต้องถูกจำกัดสิทธิต้องห้ามมิให้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา การบังคับตามคำพิพากษาของศาลที่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเช่นนี้ จะบังคับได้โดยเด็ดขาดต่อเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว กรณีของผู้คัดค้าน แม้จะได้ความว่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2555 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ซึ่งพิพากษาว่าผู้คัดค้านมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี ก็ตาม แต่เมื่อคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา คดียังไม่ถึงที่สุด ไม่อาจบังคับคดีได้โดยเด็ดขาด จึงไม่ถือว่าผู้คัดค้านอยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ผู้คัดค้านมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ผู้คัดค้านไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังที่ผู้ร้องอ้าง
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ หมายเลข 1 ต่อมาวันที่ 28 เมษายน 2557 นายสมภพ ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดศรีสะเกษว่า การเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2555 ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 496/2555 ว่า ผู้คัดค้านมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี ผู้คัดค้านจึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ครั้นวันที่ 29 เมษายน 2557 ผู้ร้องประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ ผู้ร้องเห็นว่าควรสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน ขอให้มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านยังมิได้เป็นผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เนื่องจากคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดียังไม่ถึงที่สุด ผู้คัดค้านสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยสุจริต มิได้ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) มาตรา 102 (3) และมาตรา 115 (8) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 119 ขณะที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแจ้งข้อกล่าวหาและยื่นคำร้องดำเนินคดีนี้ บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) มาตรา 102 (3) และมาตรา 115 (8)ได้ถูกยกเลิกและสิ้นสุดลงแล้ว ตามประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำสั่งให้รวมวินิจฉัยเมื่อมีคำสั่ง
ในวันนัดตรวจพยานหลักฐาน ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งสอบข้อเท็จจริงจากผู้ร้องและ ผู้คัดค้านแล้ว เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องไต่สวนพยานอีก
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 โดยกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปในวันที่ 30 มีนาคม 2557 หลังจากมีพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวแล้ว วันที่ 2 มีนาคม 2557 ประธานกรรมการการเลือกตั้งประกาศรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา เขตเลือกตั้งจังหวัดศรีสะเกษ หมายเลข 1 และผู้ร้องได้ประกาศผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2557 ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา แต่ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดศรีสะเกษได้รับคำร้องคัดค้านจากนายสมภพ มั่นคงผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาเขตเลือกตั้งจังหวัดศรีสะเกษ หมายเลข 5 ว่า การเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ผู้คัดค้านกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53 เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 496/2555 ว่า ผู้คัดค้านมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี ผู้คัดค้านจึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา วันที่ 9 ตุลาคม 2557 ผู้ร้องมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้คัดค้าน
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) มาตรา 102 (3) และมาตรา 115 (8) กับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 119 มาตรา 139 และมาตรา 122 ยังมีผลใช้บังคับหรือไม่ เห็นว่าเมื่อการกระทำของผู้คัดค้านที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2557 ก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะเข้าควบคุมอำนาจการปกครอง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลงยกเว้นหมวด 2 แล้ว แต่ต่อมาได้มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งในข้อ 1 กำหนดให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มีผลบังคับใช้ต่อเนื่องต่อไป โดยมิได้สะดุดลงจนกว่าจะมีกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิก กับทั้งไม่ปรากฏว่าก่อนที่จะมีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 สิ้นสุดลงไปไม่พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวยังคงมีผลใช้บังคับต่อเนื่องตลอดมา เมื่อมาตรา 119 ได้บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายที่บัญญัติให้ผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจในการจัดให้มีการเลือกตั้งวุฒิสภาและยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาหากปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีการฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวได้
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำคุกผู้คัดค้านมีกำหนด 5 ปี และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้คัดค้าน 10 ปี โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจะถือว่าผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา... (8) เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 102 ...(3)..." โดยมาตรา 102 (3) บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร... (3) เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 100 (1) (2) หรือ (4)..." และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ... (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง..." แสดงให้เห็นว่า บุคคลที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจะต้องถูกจำกัดสิทธิ ต้องห้ามมิให้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา การบังคับตามคำพิพากษาของศาลที่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเช่นนี้ จะบังคับได้โดยเด็ดขาดต่อเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว กรณีของผู้คัดค้าน แม้จะได้ความว่า เมื่อวันที่ 26เมษายน 2555 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 3 ซึ่งพิพากษาว่าผู้คัดค้านมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี ก็ตาม แต่เมื่อคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา คดียังไม่ถึงที่สุด ไม่อาจบังคับคดีได้โดยเด็ดขาด จึงไม่ถือว่าผู้คัดค้านอยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ผู้คัดค้านมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ผู้คัดค้านไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังที่ผู้ร้องอ้าง
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา....(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" ที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นตามความในมาตรา 115 (9) มิได้หมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ผู้ร้องจึงเป็นบุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามนั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้....(4) สมาชิกวุฒิสภา...." จะเห็นได้ว่า มาตรา 259 (4) บัญญัติไว้ชัดเจนว่าสมาชิกวุฒิสภาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แม้มาตรา 115 บัญญัติในหมวด 6 รัฐสภาส่วนที่ 3 วุฒิสภา แต่บทบัญญัติมาตราดังกล่าว เป็นบัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลผู้ที่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ดังนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นที่ระบุในมาตราดังกล่าวหมายถึงตำแหน่งทางการเมืองทุกตำแหน่งที่ไม่ใช่ตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งหมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ซึ่งแตกต่างกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 116 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติไว้ว่า "สมาชิกวุฒิสภาจะเป็นรัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น...มิได้" อันมีความหมายว่า ผู้ที่มีสมาชิกภาพเป็นสมาชิกวุฒิสภาอยู่ในขณะนั้นจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หรือตำแหน่งทางการเมืองอื่นใดอีกมิได้ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับมาตรา 117 วรรคสอง ที่บัญญัติห้ามมิให้สมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าหนึ่งวาระซึ่งเป็นเจตนารมณ์โดยชัดแจ้งของรัฐธรรมนูญที่ไม่ประสงค์จะให้สมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าหนึ่งวาระ ส่วนมาตรา 297 ก็เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาในวาระเริ่มแรกเท่านั้นที่มิให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการห้ามดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินหนึ่งวาระ มาใช้บังคับกับบุคคลดังกล่าวในการสรรหาในคราวถัดไปหลังจากสิ้นสุดสมาชิกภาพ หากบุคคลผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาก็ต้องพิจารณาว่ามีคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 115 หรือไม่ เมื่อรับฟังเป็นที่ยุติว่า ตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา หมายความรวมถึง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ตามความหมายในมาตรา 115 (9) ด้วยแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงรับก็ฟังได้ว่าผู้ร้องสิ้นสุดสมาชิกภาพจากการเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 นับถึงวันเลือกตั้งยังไม่เกินห้าปี ผู้ร้องจึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านที่ 2 มีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างเหตุว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาประเภทสรรหาเมื่อปี 2551 และสิ้นสุดสมาชิกภาพตามวาระเมื่อปี 2554 ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ร้องเห็นว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นตามความในมาตรา 115 (9) ไม่ได้หมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาหรือผู้เคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุพรรณบุรี
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาและพ้นตำแหน่งยังไม่เกินห้าปี จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2551 และสิ้นสุดสมาชิกภาพเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 ถือว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นและพ้นตำแหน่งยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา.... (9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" ที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นตามความในมาตรา 115 (9) มิได้หมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ผู้ร้องจึงเป็นบุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามนั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้....(4) สมาชิกวุฒิสภา...." จะเห็นได้ว่า มาตรา 259 (4) บัญญัติไว้ชัดเจนว่าสมาชิกวุฒิสภาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แม้มาตรา 115 บัญญัติในหมวด 6 รัฐสภาส่วนที่ 3 วุฒิสภาแต่บทบัญญัติมาตราดังกล่าว เป็นบัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลผู้ที่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ดังนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นที่ระบุในมาตราดังกล่าวหมายถึงตำแหน่งทางการเมืองทุกตำแหน่งที่ไม่ใช่ตำแหน่งรัฐมนตรีซึ่งหมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ซึ่งแตกต่างกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 116 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติไว้ว่า "สมาชิกวุฒิสภาจะเป็นรัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น...มิได้" อันมีความหมายว่า ผู้ที่มีสมาชิกภาพเป็นสมาชิกวุฒิสภาอยู่ในขณะนั้นจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หรือตำแหน่งทางการเมืองอื่นใดอีกมิได้ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับมาตรา 117วรรคสอง ที่บัญญัติห้ามมิให้สมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าหนึ่งวาระซึ่งเป็นเจตนารมณ์โดยชัดแจ้งของรัฐธรรมนูญที่ไม่ประสงค์จะให้สมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าหนึ่งวาระส่วนมาตรา 297 ก็เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาในวาระเริ่มแรกเท่านั้นที่มิให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการห้ามดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินหนึ่งวาระ มาใช้บังคับกับบุคคลดังกล่าวในการสรรหาในคราวถัดไปหลังจากสิ้นสุดสมาชิกภาพ หากบุคคลผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาก็ต้องพิจารณาว่ามีคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 115 หรือไม่ เมื่อรับฟังเป็นที่ยุติว่า ตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา หมายความรวมถึง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นตามความหมายในมาตรา 115 (9) ด้วยแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงรับก็ฟังได้ว่าผู้ร้องสิ้นสุดสมาชิกภาพจากการเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 นับถึงวันเลือกตั้งยังไม่เกินห้าปี ผู้ร้องจึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้นชอบแล้ว คำร้องของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา....(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" ที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นตามความในมาตรา 115 (9) มิได้หมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ผู้ร้องจึงเป็นบุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามนั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้....(4) สมาชิกวุฒิสภา...." จะเห็นได้ว่า มาตรา 259 (4) บัญญัติไว้ชัดเจนว่าสมาชิกวุฒิสภาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แม้มาตรา 115 บัญญัติในหมวด 6 รัฐสภาส่วนที่ 3 วุฒิสภา แต่บทบัญญัติมาตราดังกล่าว เป็นบัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลผู้ที่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ดังนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นที่ระบุในมาตราดังกล่าวหมายถึงตำแหน่งทางการเมืองทุกตำแหน่งที่ไม่ใช่ตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งหมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ซึ่งแตกต่างกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 116 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติไว้ว่า "สมาชิกวุฒิสภาจะเป็นรัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น...มิได้" อันมีความหมายว่า ผู้ที่มีสมาชิกภาพเป็นสมาชิกวุฒิสภาอยู่ในขณะนั้นจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หรือตำแหน่งทางการเมืองอื่นใดอีกมิได้ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับมาตรา 117 วรรคสอง ที่บัญญัติห้ามมิให้สมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าหนึ่งวาระซึ่งเป็นเจตนารมณ์โดยชัดแจ้งของรัฐธรรมนูญที่ไม่ประสงค์จะให้สมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าหนึ่งวาระ ส่วนมาตรา 297 ก็เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาในวาระเริ่มแรกเท่านั้นที่มิให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการห้ามดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินหนึ่งวาระ มาใช้บังคับกับบุคคลดังกล่าวในการสรรหาในคราวถัดไปหลังจากสิ้นสุดสมาชิกภาพ หากบุคคลผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาก็ต้องพิจารณาว่ามีคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 115 หรือไม่ เมื่อรับฟังเป็นที่ยุติว่า ตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา หมายความรวมถึง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ตามความหมายในมาตรา 115 (9) ด้วยแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงรับก็ฟังได้ว่าผู้ร้องสิ้นสุดสมาชิกภาพจากการเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 นับถึงวันเลือกตั้งยังไม่เกินห้าปี ผู้ร้องจึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านที่ 2 มีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างเหตุว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาประเภทสรรหาเมื่อปี 2551 และสิ้นสุดสมาชิกภาพตามวาระเมื่อปี 2554 ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ร้องเห็นว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นตามความในมาตรา 115 (9) ไม่ได้หมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาหรือผู้เคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุพรรณบุรี
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาและพ้นตำแหน่งยังไม่เกินห้าปี จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2551 และสิ้นสุดสมาชิกภาพเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 ถือว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นและพ้นตำแหน่งยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา.... (9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" ที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นตามความในมาตรา 115 (9) มิได้หมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ผู้ร้องจึงเป็นบุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามนั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้....(4) สมาชิกวุฒิสภา...." จะเห็นได้ว่า มาตรา 259 (4) บัญญัติไว้ชัดเจนว่าสมาชิกวุฒิสภาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แม้มาตรา 115 บัญญัติในหมวด 6 รัฐสภาส่วนที่ 3 วุฒิสภาแต่บทบัญญัติมาตราดังกล่าว เป็นบัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลผู้ที่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ดังนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นที่ระบุในมาตราดังกล่าวหมายถึงตำแหน่งทางการเมืองทุกตำแหน่งที่ไม่ใช่ตำแหน่งรัฐมนตรีซึ่งหมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ซึ่งแตกต่างกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 116 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติไว้ว่า "สมาชิกวุฒิสภาจะเป็นรัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น...มิได้" อันมีความหมายว่า ผู้ที่มีสมาชิกภาพเป็นสมาชิกวุฒิสภาอยู่ในขณะนั้นจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หรือตำแหน่งทางการเมืองอื่นใดอีกมิได้ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับมาตรา 117วรรคสอง ที่บัญญัติห้ามมิให้สมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าหนึ่งวาระซึ่งเป็นเจตนารมณ์โดยชัดแจ้งของรัฐธรรมนูญที่ไม่ประสงค์จะให้สมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าหนึ่งวาระส่วนมาตรา 297 ก็เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาในวาระเริ่มแรกเท่านั้นที่มิให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการห้ามดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินหนึ่งวาระ มาใช้บังคับกับบุคคลดังกล่าวในการสรรหาในคราวถัดไปหลังจากสิ้นสุดสมาชิกภาพ หากบุคคลผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาก็ต้องพิจารณาว่ามีคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 115 หรือไม่ เมื่อรับฟังเป็นที่ยุติว่า ตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา หมายความรวมถึง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นตามความหมายในมาตรา 115 (9) ด้วยแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงรับก็ฟังได้ว่าผู้ร้องสิ้นสุดสมาชิกภาพจากการเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 นับถึงวันเลือกตั้งยังไม่เกินห้าปี ผู้ร้องจึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้นชอบแล้ว คำร้องของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจาย อำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็น ผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2557 เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดบุรีรัมย์ ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริงผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555 และได้ลาออกโดยได้รับหนังสืออนุญาตจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์แล้ว เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัคร ผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดบุรีรัมย์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมายังไม่เกินห้าปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม มิให้เป็น ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดบุรีรัมย์ ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555 และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา... (9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ จะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง..(6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่งดังกล่าว เป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่นั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็น เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจาย อำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็น ผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2557 เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดบุรีรัมย์ ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริงผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555 และได้ลาออกโดยได้รับหนังสืออนุญาตจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์แล้ว เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัคร ผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดบุรีรัมย์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมายังไม่เกินห้าปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม มิให้เป็น ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดบุรีรัมย์ ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555 และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา... (9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ จะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง..(6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่งดังกล่าว เป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่นั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็น เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 284วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ช่วยปฏิบัติราชการในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะช่วยเหลือผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกันเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียง ผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่าเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นเลขานุการนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดเพื่อปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหาร ท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ ๘ มีนาคม 2557 เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุโขทัย ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริง ผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน2556 และได้ลาออกโดยได้รับหนังสืออนุญาตจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยแล้วเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้ง จังหวัดสุโขทัย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมายังไม่เกินห้าปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุโขทัย ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้ง ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่า ผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา...(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย จะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง... (6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า"ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยจึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่งดังกล่าวเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่นั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 284วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ช่วยปฏิบัติราชการในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะช่วยเหลือผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกันเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่าเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่าบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพื่อปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภา ไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจาย อำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัคร ผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 284วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ช่วยปฏิบัติราชการในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะช่วยเหลือผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกันเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียง ผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่าเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นเลขานุการนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดเพื่อปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหาร ท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ ๘ มีนาคม 2557 เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุโขทัย ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริง ผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน2556 และได้ลาออกโดยได้รับหนังสืออนุญาตจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยแล้วเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้ง จังหวัดสุโขทัย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมายังไม่เกินห้าปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุโขทัย ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้ง ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่า ผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา...(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย จะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง... (6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า"ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยจึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่งดังกล่าวเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่นั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 284วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ช่วยปฏิบัติราชการในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะช่วยเหลือผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกันเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่าเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่าบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพื่อปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภา ไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจาย อำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัคร ผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น ซึ่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามกรอบนโยบายที่ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย และบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด จึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่น ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรีที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดราชบุรี ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้ง การไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี ความจริงผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2556 และได้ลาออกโดยได้รับหนังสืออนุญาตจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรีแล้ว เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของ ผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดราชบุรี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดราชบุรี ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2556 และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรียังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็น ผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา..(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นหรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรีจะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง ..(6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี จึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่งดังกล่าวเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่นั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น ซึ่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย และบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลง ข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น อันเป็นการแสดง ให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่น ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้นอาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรีที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น ซึ่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามกรอบนโยบายที่ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย และบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด จึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่น ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรีที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดราชบุรี ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้ง การไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี ความจริงผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2556 และได้ลาออกโดยได้รับหนังสืออนุญาตจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรีแล้ว เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของ ผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดราชบุรี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดราชบุรี ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2556 และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรียังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็น ผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา..(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นหรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรีจะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง ..(6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี จึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่งดังกล่าวเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่นั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น ซึ่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย และบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลง ข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น อันเป็นการแสดง ให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่น ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้นอาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรีที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดแลมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่าเมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปีจึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีกทั้งการแปลความเช่นนั้นอาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องการรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภากำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดพิจิตร ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาอ้างว่า ผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริงแม้ผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรและได้ลาออกยังไม่เกินห้าปีก็ตามแต่ตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดถือว่าเป็นตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่นแล้ว ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดพิจิตร
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดพิจิตร ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่า ผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา... (9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว มาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรจะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง... (6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดและที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่าเมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจาย อำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่น มาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็น ผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดแลมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่าเมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปีจึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีกทั้งการแปลความเช่นนั้นอาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องการรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภากำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดพิจิตร ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาอ้างว่า ผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริงแม้ผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรและได้ลาออกยังไม่เกินห้าปีก็ตามแต่ตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดถือว่าเป็นตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่นแล้ว ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดพิจิตร
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดพิจิตร ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่า ผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา... (9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว มาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรจะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง... (6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดและที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่าเมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจาย อำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่น มาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็น ผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกันโดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตาม มาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็น เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ตามมาตรา44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปีจึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีก ทั้งการแปลความเช่นนั้นอาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือ เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภากำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่า ผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นและพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริงผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ และพ้นจากตำแหน่งแล้วเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดเพชรบูรณ์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้ง จังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ ยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา...(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์จะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง... (6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่งดังกล่าวเป็นผู้บริหารท้องถิ่น หรือไม่นั้นเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตาม พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึง คณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติ แห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่ง ดังกล่าวมาแล้วห้าปีจึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีก ทั้งการ แปลความเช่นนั้นอาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ
จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหาร ท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกันโดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตาม มาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็น เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ตามมาตรา44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปีจึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีก ทั้งการแปลความเช่นนั้นอาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือ เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภากำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่า ผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นและพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริงผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ และพ้นจากตำแหน่งแล้วเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดเพชรบูรณ์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้ง จังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ ยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา...(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์จะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง... (6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่งดังกล่าวเป็นผู้บริหารท้องถิ่น หรือไม่นั้นเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตาม พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึง คณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติ แห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่ง ดังกล่าวมาแล้วห้าปีจึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีก ทั้งการ แปลความเช่นนั้นอาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ
จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหาร ท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็น การกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะ ผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลง ข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วน
จังหวัดหากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันทีย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า ตามที่ได้มีประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4มีนาคม2557 ถึงวันที่ 8 มีนาคม2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดนครสวรรค์ ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริงผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2555 และได้ลาออกโดยได้รับหนังสืออนุญาตจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์แล้ว เมื่อวันที่ 3 มีนาคม2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดนครสวรรค์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดนครสวรรค์ ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2555 และผู้ร้องได้ลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา...(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นหรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ จะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง... (6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่นรองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่ง ดังกล่าวเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่นั้น เห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และ ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะ ผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่า รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหาร ท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้นต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อนผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็น การกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะ ผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลง ข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วน
จังหวัดหากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันทีย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า ตามที่ได้มีประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4มีนาคม2557 ถึงวันที่ 8 มีนาคม2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดนครสวรรค์ ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริงผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2555 และได้ลาออกโดยได้รับหนังสืออนุญาตจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์แล้ว เมื่อวันที่ 3 มีนาคม2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดนครสวรรค์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดนครสวรรค์ ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2555 และผู้ร้องได้ลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา...(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นหรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ จะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง... (6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่นรองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่ง ดังกล่าวเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่นั้น เห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และ ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะ ผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่า รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหาร ท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้นต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อนผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
ข้อเท็จจริงได้ความจากผู้คัดค้านว่า จากข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบถึงวันที่ 4 มีนาคม 2557 ตามเอกสารท้ายคำคัดค้านหมายเลข 6 ปรากฏว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 เมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2553 ซึ่งตามมาตรา 19 วรรคท้ายแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นทะเบียนที่ถูกต้องและแท้จริงตามกฎหมาย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นอย่างอื่น การที่ผู้ร้องอ้างว่า ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยตั้งแต่ปี 2551 จึงขัดกับข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบดังกล่าว กรณีจึงเป็นการโต้แย้งว่าทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองไม่ถูกต้อง แต่ผู้ร้องไม่มีหลักฐานใด ๆ มาแสดงให้ศาลเห็นว่าทะเบียนสมาชิกดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือแท้จริงอย่างใด ทั้งระยะเวลาที่ระบุว่าผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยก็เป็นระยะเวลา หลังจากที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกแล้ว การที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยจึงเป็นกรณีที่ขัดต่อความเป็นจริง นอกจากนี้ทางพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคที่ยื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแต่อย่างใด ฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2553 และยังไม่พ้นจากการเป็นสมาชิกภาพ ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (6)
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า เมื่อวันที่ 4มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ต่อมาผู้คัดค้านตรวจหลักฐานการสมัครคุณสมบัติและสอบสวนการสมัครรับเลือกตั้งของผู้ร้องแล้ว เห็นว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ความจริงแล้ว ผู้ร้องเคยสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่เมื่อประมาณปี 2551 ต่อมาพรรคการเมืองใหม่เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยโดยมีผู้ร้องเป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2553 ซึ่งเป็นข้อมูลที่พรรคสังคมประชาธิปไตยไทยแจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยผู้ร้องไม่มีเจตนาและต้องการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เนื่องจากผู้ร้องได้ลาออกจากพรรคการเมืองใหม่แล้วเพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และไม่ได้ทำกิจกรรมใด ๆ กับพรรคอีก ตามเอกสารบันทึกความจริงของแกนนำพรรคต่อกรรมการพรรคการเมืองใหม่ทั้งสามคนตามเอกสาร ท้ายคำร้อง ขอให้มีคำสั่งคืนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านตรวจสอบจากระบบบริหารฐานข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพบว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2553 เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 จึงต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (6)และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 30 มีนาคม 2557 เมื่อวันที่ 4มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งดังกล่าวอ้างว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 โดยสมัครเป็นสมาชิกวันที่ 4มิถุนายน 2553 เดิมพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยใช้ชื่อว่า พรรคการเมืองใหม่ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทฺธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ เห็นว่าตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 20 วรรคสอง บัญญัติว่า "การลาออกจากสมาชิกตามวรรคหนึ่ง (2) ให้ถือว่าสมบูรณ์เมื่อได้ยื่นใบลาออกต่อนายทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง" มาตรา 19 วรรคสี่ บัญญัติว่า "ให้หัวหน้าพรรคการเมืองแจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วยรายชื่ออาชีพและที่อยู่ของสมาชิกดังกล่าว ตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนด ..." และตามประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่อง การรับสมัครสมาชิกพรรคการเมือง การจัดทำและแบบทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง และวิธีการแจ้งจำนวนสมาชิกพรรคการเมืองที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 กำหนดให้การแจ้งดังกล่าวต้องกระทำภายในวันที่ 7 ของทุก 3 เดือน โดยการส่งเอกสารหรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ ที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยแล้วตั้งแต่ปี 2551 นั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากผู้คัดค้านว่า จากข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบถึงวันที่ 4มีนาคม 2557 ตามเอกสารท้ายคำคัดค้านหมายเลข 6 ปรากฏว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 เมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2553 ซึ่งตามมาตรา 19 วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นทะเบียนที่ถูกต้องและแท้จริงตามกฎหมาย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นอย่างอื่น การที่ผู้ร้องอ้างว่าได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยตั้งแต่ปี 2551 จึงขัดกับข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบดังกล่าว กรณีจึงเป็นการโต้แย้งว่าทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองไม่ถูกต้อง แต่ผู้ร้องไม่มีหลักฐานใด ๆ มาแสดงให้ศาลเห็นว่าทะเบียนสมาชิกดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือแท้จริงอย่างใด ทั้งระยะเวลาที่ระบุว่าผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยก็เป็นระยะเวลา หลังจากที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกแล้ว การที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยจึงเป็นกรณีที่ขัดต่อความเป็นจริง นอกจากนี้ทางพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคที่ยื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแต่อย่างใด ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องไม่เคยรู้จักพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย ไม่เคยมีส่วนร่วมกับพรรคดังกล่าว ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อ พยานหลักฐานของผู้ร้องไม่สามารถหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยตั้งแต่วันที่ 4มิถุนายน 2553 และยังไม่พ้นจากการเป็นสมาชิกภาพ ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (6) การที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัคร ผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาชอบแล้ว
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง.
ข้อเท็จจริงได้ความจากผู้คัดค้านว่า จากข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบถึงวันที่ 4 มีนาคม 2557 ตามเอกสารท้ายคำคัดค้านหมายเลข 6 ปรากฏว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 เมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2553 ซึ่งตามมาตรา 19 วรรคท้ายแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นทะเบียนที่ถูกต้องและแท้จริงตามกฎหมาย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นอย่างอื่น การที่ผู้ร้องอ้างว่า ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยตั้งแต่ปี 2551 จึงขัดกับข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบดังกล่าว กรณีจึงเป็นการโต้แย้งว่าทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองไม่ถูกต้อง แต่ผู้ร้องไม่มีหลักฐานใด ๆ มาแสดงให้ศาลเห็นว่าทะเบียนสมาชิกดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือแท้จริงอย่างใด ทั้งระยะเวลาที่ระบุว่าผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยก็เป็นระยะเวลา หลังจากที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกแล้ว การที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยจึงเป็นกรณีที่ขัดต่อความเป็นจริง นอกจากนี้ทางพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคที่ยื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแต่อย่างใด ฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2553 และยังไม่พ้นจากการเป็นสมาชิกภาพ ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (6)
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า เมื่อวันที่ 4มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ต่อมาผู้คัดค้านตรวจหลักฐานการสมัครคุณสมบัติและสอบสวนการสมัครรับเลือกตั้งของผู้ร้องแล้ว เห็นว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ความจริงแล้ว ผู้ร้องเคยสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่เมื่อประมาณปี 2551 ต่อมาพรรคการเมืองใหม่เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยโดยมีผู้ร้องเป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2553 ซึ่งเป็นข้อมูลที่พรรคสังคมประชาธิปไตยไทยแจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยผู้ร้องไม่มีเจตนาและต้องการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เนื่องจากผู้ร้องได้ลาออกจากพรรคการเมืองใหม่แล้วเพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และไม่ได้ทำกิจกรรมใด ๆ กับพรรคอีก ตามเอกสารบันทึกความจริงของแกนนำพรรคต่อกรรมการพรรคการเมืองใหม่ทั้งสามคนตามเอกสาร ท้ายคำร้อง ขอให้มีคำสั่งคืนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านตรวจสอบจากระบบบริหารฐานข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพบว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2553 เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 จึงต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (6)และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 30 มีนาคม 2557 เมื่อวันที่ 4มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งดังกล่าวอ้างว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 โดยสมัครเป็นสมาชิกวันที่ 4มิถุนายน 2553 เดิมพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยใช้ชื่อว่า พรรคการเมืองใหม่ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทฺธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ เห็นว่าตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 20 วรรคสอง บัญญัติว่า "การลาออกจากสมาชิกตามวรรคหนึ่ง (2) ให้ถือว่าสมบูรณ์เมื่อได้ยื่นใบลาออกต่อนายทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง" มาตรา 19 วรรคสี่ บัญญัติว่า "ให้หัวหน้าพรรคการเมืองแจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วยรายชื่ออาชีพและที่อยู่ของสมาชิกดังกล่าว ตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนด ..." และตามประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่อง การรับสมัครสมาชิกพรรคการเมือง การจัดทำและแบบทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง และวิธีการแจ้งจำนวนสมาชิกพรรคการเมืองที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 กำหนดให้การแจ้งดังกล่าวต้องกระทำภายในวันที่ 7 ของทุก 3 เดือน โดยการส่งเอกสารหรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ ที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยแล้วตั้งแต่ปี 2551 นั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากผู้คัดค้านว่า จากข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบถึงวันที่ 4มีนาคม 2557 ตามเอกสารท้ายคำคัดค้านหมายเลข 6 ปรากฏว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 เมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2553 ซึ่งตามมาตรา 19 วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นทะเบียนที่ถูกต้องและแท้จริงตามกฎหมาย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นอย่างอื่น การที่ผู้ร้องอ้างว่าได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยตั้งแต่ปี 2551 จึงขัดกับข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบดังกล่าว กรณีจึงเป็นการโต้แย้งว่าทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองไม่ถูกต้อง แต่ผู้ร้องไม่มีหลักฐานใด ๆ มาแสดงให้ศาลเห็นว่าทะเบียนสมาชิกดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือแท้จริงอย่างใด ทั้งระยะเวลาที่ระบุว่าผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยก็เป็นระยะเวลา หลังจากที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกแล้ว การที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยจึงเป็นกรณีที่ขัดต่อความเป็นจริง นอกจากนี้ทางพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคที่ยื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแต่อย่างใด ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องไม่เคยรู้จักพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย ไม่เคยมีส่วนร่วมกับพรรคดังกล่าว ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อ พยานหลักฐานของผู้ร้องไม่สามารถหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยตั้งแต่วันที่ 4มิถุนายน 2553 และยังไม่พ้นจากการเป็นสมาชิกภาพ ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (6) การที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัคร ผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาชอบแล้ว
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง.
ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยและตั้งจำเลยเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จและส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แม้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) บัญญัติว่า นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณา ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ ในกรณีที่มีการฟ้องคดีไว้ก่อนแล้ว ให้งดการพิจารณาไว้ แต่จำเลยและผู้ร้องต่างไม่แจ้งให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลย และไม่ปรากฎว่าศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกาว่า คดีล้มละลายอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลย กรณีจึงต้องตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ที่ศาลฎีกาต้องงดการพิจารณาคดีไว้ก่อน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 95,418,454.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 47,597,938.37 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระขอให้ยึดทรัพย์จำนองคือ สิ่งปลูกสร้างอาคารศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค บางแค เลขที่ 110, 110/5 ถึง 110/6 หมู่ที่ 9 ถนนเพชรเกษม ซอย 33 ถึง 35 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร และสิ่งปลูกสร้างอื่นที่มีอยู่แล้วและที่จะมีขึ้นต่อไปในภายหน้า ซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 457, 458, 459, 477, 3604, 4258, 476, 50568, 6105, 37854, 42205, 50566, 53856, 53855, 50567, 39663, 66542, 66541, 66540,66539, 57779, 57778, 57777, 39664, 39665, 39666, 4259, 95238, 95239, 95240, 95241, 39667, 95242, 95243, 3041, 33834, 33837, 3602, 33835, 33836, 12331 เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทพุฒิแก้ว จำกัด โฉนดเลขที่ 4261 เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัททรัพย์กวี จำกัด และโฉนดเลขที่ 478 เป็นกรรมสิทธิ์ของนางกวีนี โดยที่ดินทั้งหมดตั้งอยู่ที่แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 66,855,779.19 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.50 ต่อปี ของต้นเงิน 47,597,938.37 บาท นับแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 47,597,938.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.50 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 30 พฤษภาคม 2545) ย้อนหลังไปไม่เกิน 5 ปี โดยคิดอัตราดังกล่าวถึงวันที่ 24 กรกฎาคม 2542 และจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยตามอัตราในบัญชีเงินกู้และรายการชำระหนี้ กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.50 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 12,000 บาท แทนโจทก์ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังว่า หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จำเลยอุทธรณ์ ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยและตั้งจำเลยเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อสำนักฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ต่อมาที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการและคดีอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟู ส่วนคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2551 อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ ตามคำร้องของผู้ร้อง แต่โจทก์ จำเลย และผู้ร้องไม่ได้แถลงให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ทราบว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลย ศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จและส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้น้อยกว่าเดิม ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่กระทำหลังจากวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 โดยอ้างว่าขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ศาลชั้นต้นนัดไต่สวน ก่อนถึงวันนัดผู้ร้องยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกา จำเลยยื่นคำแก้ฎีกาแล้ว
ผู้ร้องฎีกาข้อแรกว่า เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยแล้ว ศาลที่พิจารณาคดีนี้จะต้องงดการพิจารณาไว้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) การที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีหลังวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 จนถึงวันที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา รวมทั้งการที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 เป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลฎีกาเพิกถอนกระบวนพิจารณาหลังวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์แล้ว แม้พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับของมาตรา 90/13 และมาตรา 90/14 นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณาจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผน หรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผน หรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอ หรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ หรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดตามความในหมวดนี้...(4) ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้... ถ้ามูลแห่งหนี้นั้นเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน...ในกรณีที่มีการฟ้องคดี...ไว้ก่อนแล้ว ให้งดการพิจารณาไว้ เว้นแต่ศาลที่รับคำร้องขอจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น..." แต่จำเลยซึ่งเป็นผู้ร้องขอฟื้นฟูกิจการและผู้ร้องซึ่งได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายต่างไม่แจ้งให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ และไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกาว่าคดีล้มละลายอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลย กรณีจึงต้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ที่ศาลฎีกาต้องงดการพิจารณาคดีไว้ก่อน และเมื่อไม่แน่ชัดว่าคดีล้มละลายจะเสร็จเมื่อไร จึงเห็นสมควรให้จำหน่ายคดี โดยไม่จำต้องวินิจฉัยข้ออื่นของผู้ร้องอีก
ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกา หากต่อมาปรากฏว่ามีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องพิจารณาคดีต่อไป ให้ผู้ร้องแถลงต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาคดีต่อไป
ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยและตั้งจำเลยเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จและส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แม้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) บัญญัติว่า นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณา ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ ในกรณีที่มีการฟ้องคดีไว้ก่อนแล้ว ให้งดการพิจารณาไว้ แต่จำเลยและผู้ร้องต่างไม่แจ้งให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลย และไม่ปรากฎว่าศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกาว่า คดีล้มละลายอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลย กรณีจึงต้องตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ที่ศาลฎีกาต้องงดการพิจารณาคดีไว้ก่อน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 95,418,454.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 47,597,938.37 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระขอให้ยึดทรัพย์จำนองคือ สิ่งปลูกสร้างอาคารศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค บางแค เลขที่ 110, 110/5 ถึง 110/6 หมู่ที่ 9 ถนนเพชรเกษม ซอย 33 ถึง 35 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร และสิ่งปลูกสร้างอื่นที่มีอยู่แล้วและที่จะมีขึ้นต่อไปในภายหน้า ซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 457, 458, 459, 477, 3604, 4258, 476, 50568, 6105, 37854, 42205, 50566, 53856, 53855, 50567, 39663, 66542, 66541, 66540,66539, 57779, 57778, 57777, 39664, 39665, 39666, 4259, 95238, 95239, 95240, 95241, 39667, 95242, 95243, 3041, 33834, 33837, 3602, 33835, 33836, 12331 เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทพุฒิแก้ว จำกัด โฉนดเลขที่ 4261 เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัททรัพย์กวี จำกัด และโฉนดเลขที่ 478 เป็นกรรมสิทธิ์ของนางกวีนี โดยที่ดินทั้งหมดตั้งอยู่ที่แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 66,855,779.19 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.50 ต่อปี ของต้นเงิน 47,597,938.37 บาท นับแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 47,597,938.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.50 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 30 พฤษภาคม 2545) ย้อนหลังไปไม่เกิน 5 ปี โดยคิดอัตราดังกล่าวถึงวันที่ 24 กรกฎาคม 2542 และจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยตามอัตราในบัญชีเงินกู้และรายการชำระหนี้ กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.50 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 12,000 บาท แทนโจทก์ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังว่า หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จำเลยอุทธรณ์ ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยและตั้งจำเลยเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อสำนักฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ต่อมาที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการและคดีอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟู ส่วนคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2551 อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ ตามคำร้องของผู้ร้อง แต่โจทก์ จำเลย และผู้ร้องไม่ได้แถลงให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ทราบว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลย ศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จและส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้น้อยกว่าเดิม ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่กระทำหลังจากวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 โดยอ้างว่าขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ศาลชั้นต้นนัดไต่สวน ก่อนถึงวันนัดผู้ร้องยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกา จำเลยยื่นคำแก้ฎีกาแล้ว
ผู้ร้องฎีกาข้อแรกว่า เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยแล้ว ศาลที่พิจารณาคดีนี้จะต้องงดการพิจารณาไว้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) การที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีหลังวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 จนถึงวันที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา รวมทั้งการที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 เป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลฎีกาเพิกถอนกระบวนพิจารณาหลังวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์แล้ว แม้พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับของมาตรา 90/13 และมาตรา 90/14 นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณาจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผน หรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผน หรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอ หรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ หรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดตามความในหมวดนี้...(4) ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้... ถ้ามูลแห่งหนี้นั้นเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน...ในกรณีที่มีการฟ้องคดี...ไว้ก่อนแล้ว ให้งดการพิจารณาไว้ เว้นแต่ศาลที่รับคำร้องขอจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น..." แต่จำเลยซึ่งเป็นผู้ร้องขอฟื้นฟูกิจการและผู้ร้องซึ่งได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายต่างไม่แจ้งให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ และไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกาว่าคดีล้มละลายอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลย กรณีจึงต้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ที่ศาลฎีกาต้องงดการพิจารณาคดีไว้ก่อน และเมื่อไม่แน่ชัดว่าคดีล้มละลายจะเสร็จเมื่อไร จึงเห็นสมควรให้จำหน่ายคดี โดยไม่จำต้องวินิจฉัยข้ออื่นของผู้ร้องอีก
ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกา หากต่อมาปรากฏว่ามีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องพิจารณาคดีต่อไป ให้ผู้ร้องแถลงต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาคดีต่อไป
มาตรา 219 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 บัญญัติให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ วิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีให้เป็นไปตามระเบียบที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกากำหนด โดยต้องใช้ระบบไต่สวนและเป็นไปโดยรวดเร็ว ส่วนระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ใหญ่ๆ ในการพิจารณาและวินิจฉัยคดีเลือกตั้ง ในกรณีที่วิธีพิจารณาใดซึ่งระเบียบมิได้กำหนดไว้โดยเฉพาะ ความใน ข้อ 4 วรรคสอง ของระเบียบกำหนดให้นำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้
ผู้ร้องอ้างว่าเหตุที่ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิเขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ว่า มีผู้ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา โดยมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งเป็นข้ออ้างเหตุเดียวกับคดีซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลฎีกาไว้ และศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว ซึ่งมีผลให้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา แม้ตามคำร้องทั้งสองคำร้อง จะเป็นการให้เงินคนละวัน โดยผู้ให้คนละคนและผู้รับคนละคนกันและยังอำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด จะมีอำนาจสั่งรวมหรือแยกเรื่องคัดค้านก็เป็นหลักเกณฑ์ชั้นสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดของผู้ร้องก็ตาม เมื่อถึงชั้นยื่นคำร้องต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายเกี่ยวกับวิธีพิจารณาคดีในศาล ทั้งการที่ผู้ร้องแยกยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ในขณะที่ผู้ร้องสามารถที่จะรอยื่นรวมกันได้ ย่อมมีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นการใช้อำนาจขององค์กรนิติบัญญัติ เพราะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้งที่ศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องแล้ว และมีผลทำให้การพิจารณาคดีเลือกตั้งของศาลฎีกาไม่เป็นไปโดยรวดเร็วตามมาตรา 219 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 การที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอต่อศาลฎีกาเป็นคดีนี้อีก ย่อมเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลเดียวกัน เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตาม ข้อ 4 วรรคสอง ของระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ประกอบมาตรา 171, 173 วรรคสอง (1) แห่ง ป.วิ.พ.
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหา ตามคำวินิจฉัยสั่งการผู้ร้องที่ 408/2555 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2555 ขอให้ศาลมีคำสั่งตามมาตรา 239 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ประกอบมาตรา 111 และมาตรา 116 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ดังนี้
1. เมื่อศาลมีคำสั่งรับคำร้องแล้ว ขอให้แจ้งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรทราบว่าศาลได้รับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว นายโอชิษฐ์ ผู้ถูกกล่าวหา จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้
2. ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนนายโอชิษฐ์ ผู้ถูกกล่าวหา
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยว่า หลังจากมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ผู้ร้องจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ต่อมาผู้ร้องประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 หมายเลข 16 พรรคภูมิใจไทย เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิเขตเลือกตั้งดังกล่าวก่อนประกาศผลการเลือกตั้งนายประสิทธิ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตเลือกตั้งเดียวกัน หมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53 ต่อมาผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดชัยภูมิสั่งให้รวมและแยกสืบสวนสอบสวนเป็นหลายสำนวน ผู้ร้องมีคำวินิจฉัยที่ 283/2555 และที่ 408/2555 ตามลำดับว่า มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีผู้ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดชัยภูมิ เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53 มีผลทำให้การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ถูกกล่าวหามิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเป็นคดีเลือกตั้งหมายเลขดำที่ ลต 8/2555 ว่า นางปิยนันท์หรือจีระพันธ์ ตัวแทน (หัวคะแนน) ของผู้ถูกกล่าวหา ให้เงิน 1,500 บาท แก่นายประพัศ นางตุ่น และนายสมบูรณ์ ราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 โดยขอให้ลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา และในวันเดียวกัน นางอุบลหรืออาทิตยา ตัวแทน (หัวคะแนน) ของผู้ถูกกล่าวหา ให้เงิน 500 บาท แก่นายกุหลาบ ราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 โดยขอให้ลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาขอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหาศาลฎีกาสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาและนัดตรวจพยานหลักฐาน ต่อมาก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐานในคดี ผู้ร้องยื่นคำร้องเป็นคดีนี้ว่า นางราตรี ตัวแทน (หัวคะแนน) ของผู้ถูกกล่าวหาให้เงินแก่นางสาวแก้วใจ ราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 จำนวน 500 บาท พร้อมบอกให้เลือกผู้ถูกกล่าวหา และในวันเดียวกันนางราตรีให้เงินแก่นายสุข ราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 จำนวน 500 บาท พร้อมบอกให้เลือกผู้ถูกกล่าวหา ขอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหา
มีปัญหาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องเป็นคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า มาตรา 219 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 บัญญติให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ วิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีให้เป็นไปตามระเบียบที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกากำหนด โดยต้องใช้ระบบไต่สวนและเป็นไปโดยรวดเร็ว ส่วนระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ใหญ่ๆ ในการพิจารณาและวินิจฉัยคดีเลือกตั้ง ในกรณีที่วิธีพิจารณาใดซึ่งระเบียบดังกล่าวมิได้กำหนดไว้โดยเฉพาะ ความในข้อ 4 วรรคสอง ของระเบียบกำหนดให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้ ในการวินิจฉัยปัญหาว่าผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องเป็นคดีนี้หรือไม่ ต้องพิจารณาข้อห้ามเรื่องฟ้องซ้อนตามความในมาตรา 173 วรรคสอง (1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งบัญญัติว่า นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา และผลแห่งการนี้ ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น คำร้องของผู้ร้องเป็นกระบวนพิจารณาที่เสนอข้อหาต่อศาล แม้จะเสนอต่อศาลในขณะเริ่มคดีโดยคำร้องขอ ก็ถือว่าเป็นคำฟ้อง ผู้ร้องอ้างเหตุที่ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ว่า มีผู้ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา โดยมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งเป็นข้ออ้างเหตุเดียวกับการมีผู้ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาในการเลือกตั้งครั้งเดียวกันในเขตเลือกตั้งเดียวกัน ซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลฎีกาไว้แล้วในคดีเลือกตั้งหมายเลขดำที่ ลต 8/2555 ของศาลฎีกา โดยศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา ซึ่งมีผลให้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา แม้ตามคำร้องทั้งสองคำร้อง จะเป็นการให้เงินคนละวัน โดยผู้ให้คนละคนและผู้รับคนละคนกันก็ตาม การที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอต่อศาลฎีกาเป็นคดีนี้อีก ย่อมเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลเดียวกัน เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามข้อ 4 วรรคสอง ของระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ประกอบมาตรา 171, 173 วรรคสอง (1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แม้ตามระเบียบผู้ร้องว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2554 ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดจะมีอำนาจสั่งรวมหรือแยกเรื่องคัดค้านหรือประเด็นของเรื่องคัดค้านก็ตาม ก็เป็นหลักเกณฑ์ชั้นสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดของผู้ร้องเท่านั้น เมื่อถึงชั้นยื่นคำร้องต่อศาล การยื่นคำร้องก็ต้องอยู่ในบังคับของบทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับวิธีพิจารณาคดีในศาล การสั่งรวมหรือแยกเรื่องคัดค้านหรือประเด็นของเรื่องคัดค้านตามระเบียบของผู้ร้องไม่อาจก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ร้องในการรวมหรือแยกยื่นคำร้องต่อศาลได้ ทั้งการที่ผู้ร้องแยกยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเป็นคดีนี้และคดีเลือกตั้งหมายเลขดำที่ ลต 8/2555 ของศาลฎีกา ในขณะที่ผู้ร้องสามารถที่จะรอยื่นรวมกันได้ ย่อมมีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นการใช้อำนาจขององค์กรนิติบัญญัติ เพราะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้งที่ศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องแล้ว และมีผลทำให้การพิจารณาคดีเลือกตั้งของศาลฎีกาไม่เป็นไปโดยรวดเร็วตามมาตรา 219 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องเป็นคดีนี้
จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องของผู้ร้อง และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา
มาตรา 219 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 บัญญัติให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ วิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีให้เป็นไปตามระเบียบที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกากำหนด โดยต้องใช้ระบบไต่สวนและเป็นไปโดยรวดเร็ว ส่วนระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ใหญ่ๆ ในการพิจารณาและวินิจฉัยคดีเลือกตั้ง ในกรณีที่วิธีพิจารณาใดซึ่งระเบียบมิได้กำหนดไว้โดยเฉพาะ ความใน ข้อ 4 วรรคสอง ของระเบียบกำหนดให้นำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้
ผู้ร้องอ้างว่าเหตุที่ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิเขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ว่า มีผู้ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา โดยมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งเป็นข้ออ้างเหตุเดียวกับคดีซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลฎีกาไว้ และศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว ซึ่งมีผลให้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา แม้ตามคำร้องทั้งสองคำร้อง จะเป็นการให้เงินคนละวัน โดยผู้ให้คนละคนและผู้รับคนละคนกันและยังอำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด จะมีอำนาจสั่งรวมหรือแยกเรื่องคัดค้านก็เป็นหลักเกณฑ์ชั้นสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดของผู้ร้องก็ตาม เมื่อถึงชั้นยื่นคำร้องต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายเกี่ยวกับวิธีพิจารณาคดีในศาล ทั้งการที่ผู้ร้องแยกยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ในขณะที่ผู้ร้องสามารถที่จะรอยื่นรวมกันได้ ย่อมมีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นการใช้อำนาจขององค์กรนิติบัญญัติ เพราะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้งที่ศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องแล้ว และมีผลทำให้การพิจารณาคดีเลือกตั้งของศาลฎีกาไม่เป็นไปโดยรวดเร็วตามมาตรา 219 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 การที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอต่อศาลฎีกาเป็นคดีนี้อีก ย่อมเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลเดียวกัน เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตาม ข้อ 4 วรรคสอง ของระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ประกอบมาตรา 171, 173 วรรคสอง (1) แห่ง ป.วิ.พ.
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหา ตามคำวินิจฉัยสั่งการผู้ร้องที่ 408/2555 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2555 ขอให้ศาลมีคำสั่งตามมาตรา 239 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ประกอบมาตรา 111 และมาตรา 116 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ดังนี้
1. เมื่อศาลมีคำสั่งรับคำร้องแล้ว ขอให้แจ้งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรทราบว่าศาลได้รับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว นายโอชิษฐ์ ผู้ถูกกล่าวหา จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้
2. ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนนายโอชิษฐ์ ผู้ถูกกล่าวหา
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยว่า หลังจากมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ผู้ร้องจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ต่อมาผู้ร้องประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 หมายเลข 16 พรรคภูมิใจไทย เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิเขตเลือกตั้งดังกล่าวก่อนประกาศผลการเลือกตั้งนายประสิทธิ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตเลือกตั้งเดียวกัน หมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53 ต่อมาผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดชัยภูมิสั่งให้รวมและแยกสืบสวนสอบสวนเป็นหลายสำนวน ผู้ร้องมีคำวินิจฉัยที่ 283/2555 และที่ 408/2555 ตามลำดับว่า มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีผู้ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดชัยภูมิ เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53 มีผลทำให้การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ถูกกล่าวหามิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเป็นคดีเลือกตั้งหมายเลขดำที่ ลต 8/2555 ว่า นางปิยนันท์หรือจีระพันธ์ ตัวแทน (หัวคะแนน) ของผู้ถูกกล่าวหา ให้เงิน 1,500 บาท แก่นายประพัศ นางตุ่น และนายสมบูรณ์ ราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 โดยขอให้ลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา และในวันเดียวกัน นางอุบลหรืออาทิตยา ตัวแทน (หัวคะแนน) ของผู้ถูกกล่าวหา ให้เงิน 500 บาท แก่นายกุหลาบ ราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 โดยขอให้ลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาขอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหาศาลฎีกาสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาและนัดตรวจพยานหลักฐาน ต่อมาก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐานในคดี ผู้ร้องยื่นคำร้องเป็นคดีนี้ว่า นางราตรี ตัวแทน (หัวคะแนน) ของผู้ถูกกล่าวหาให้เงินแก่นางสาวแก้วใจ ราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 จำนวน 500 บาท พร้อมบอกให้เลือกผู้ถูกกล่าวหา และในวันเดียวกันนางราตรีให้เงินแก่นายสุข ราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 จำนวน 500 บาท พร้อมบอกให้เลือกผู้ถูกกล่าวหา ขอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหา
มีปัญหาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องเป็นคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า มาตรา 219 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 บัญญติให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ วิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีให้เป็นไปตามระเบียบที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกากำหนด โดยต้องใช้ระบบไต่สวนและเป็นไปโดยรวดเร็ว ส่วนระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ใหญ่ๆ ในการพิจารณาและวินิจฉัยคดีเลือกตั้ง ในกรณีที่วิธีพิจารณาใดซึ่งระเบียบดังกล่าวมิได้กำหนดไว้โดยเฉพาะ ความในข้อ 4 วรรคสอง ของระเบียบกำหนดให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้ ในการวินิจฉัยปัญหาว่าผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องเป็นคดีนี้หรือไม่ ต้องพิจารณาข้อห้ามเรื่องฟ้องซ้อนตามความในมาตรา 173 วรรคสอง (1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งบัญญัติว่า นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา และผลแห่งการนี้ ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น คำร้องของผู้ร้องเป็นกระบวนพิจารณาที่เสนอข้อหาต่อศาล แม้จะเสนอต่อศาลในขณะเริ่มคดีโดยคำร้องขอ ก็ถือว่าเป็นคำฟ้อง ผู้ร้องอ้างเหตุที่ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ว่า มีผู้ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา โดยมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งเป็นข้ออ้างเหตุเดียวกับการมีผู้ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาในการเลือกตั้งครั้งเดียวกันในเขตเลือกตั้งเดียวกัน ซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลฎีกาไว้แล้วในคดีเลือกตั้งหมายเลขดำที่ ลต 8/2555 ของศาลฎีกา โดยศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา ซึ่งมีผลให้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา แม้ตามคำร้องทั้งสองคำร้อง จะเป็นการให้เงินคนละวัน โดยผู้ให้คนละคนและผู้รับคนละคนกันก็ตาม การที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอต่อศาลฎีกาเป็นคดีนี้อีก ย่อมเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลเดียวกัน เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามข้อ 4 วรรคสอง ของระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ประกอบมาตรา 171, 173 วรรคสอง (1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แม้ตามระเบียบผู้ร้องว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2554 ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดจะมีอำนาจสั่งรวมหรือแยกเรื่องคัดค้านหรือประเด็นของเรื่องคัดค้านก็ตาม ก็เป็นหลักเกณฑ์ชั้นสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดของผู้ร้องเท่านั้น เมื่อถึงชั้นยื่นคำร้องต่อศาล การยื่นคำร้องก็ต้องอยู่ในบังคับของบทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับวิธีพิจารณาคดีในศาล การสั่งรวมหรือแยกเรื่องคัดค้านหรือประเด็นของเรื่องคัดค้านตามระเบียบของผู้ร้องไม่อาจก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ร้องในการรวมหรือแยกยื่นคำร้องต่อศาลได้ ทั้งการที่ผู้ร้องแยกยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเป็นคดีนี้และคดีเลือกตั้งหมายเลขดำที่ ลต 8/2555 ของศาลฎีกา ในขณะที่ผู้ร้องสามารถที่จะรอยื่นรวมกันได้ ย่อมมีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นการใช้อำนาจขององค์กรนิติบัญญัติ เพราะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้งที่ศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องแล้ว และมีผลทำให้การพิจารณาคดีเลือกตั้งของศาลฎีกาไม่เป็นไปโดยรวดเร็วตามมาตรา 219 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องเป็นคดีนี้
จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องของผู้ร้อง และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 130 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ผลการพิจารณาสรรหาของคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาให้ถือเป็นที่สุดนั้น เป็นบทบัญญัติให้ผลการสรรหาเป็นที่สุดเฉพาะที่เกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการสรรหาในการสรรหาบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อผู้ใดเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของบุคคลที่ได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเรื่องความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติงานของวุฒิสภาและองค์ประกอบจากบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน โอกาสและความทัดเทียมกันทางเพศ สัดส่วนของบุคคลในแต่ละภาคส่วนที่ใกล้เคียงกัน รวมทั้งการให้โอกาสกับผู้ด้อยโอกาสทางสังคมด้วย ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 114 วรรคสอง แต่ไม่รวมถึงการสรรหาที่ไม่สุจริต ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 72 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง" และวรรคสอง บัญญัติว่า "บุคคลซึ่งไปใช้สิทธิหรือไม่ไปใช้สิทธิโดยไม่แจ้งเหตุอันสมควรที่ทำให้ไม่อาจไปใช้สิทธิได้ ย่อมได้รับสิทธิหรือเสียสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติ" แต่กำหนดเวลาการเสียสิทธิตามมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 นั้น มาตรา 27 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ชัดเจนว่า "....ให้มีกำหนดเวลาตั้งแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นไปใช้สิทธิเลือกตั้ง..." และวรรคสองยังบัญญัติต่อไปว่า "ในกรณีที่มีการโต้แย้งการเสียสิทธิตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดพร้อมหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งที่ถัดมาแล้ว..." เป็นการย้ำให้เห็นว่ากำหนดเวลาเสียสิทธิตามมาตรา 26 จะสิ้นสุดลงเมื่อได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งถัดมาจริง ๆ เท่านั้น
การที่สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอชื่อผู้คัดค้านเข้าเป็นผู้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 26 (2) มีผลให้การสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง คดีมีเหตุที่ต้องสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้าน แต่ตามพฤติการณ์พอเห็นได้ว่าผู้คัดค้านเพียงแต่เข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่าการเสียสิทธิของผู้คัดค้านสิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากในคราวที่จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขต ผู้คัดค้านเข้าใจว่าผู้คัดค้านมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครด้วย และได้มีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งแล้วโดยไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้คัดค้านว่าเหตุที่แจ้งไม่ใช่เหตุอันสมควร ทั้งผู้ร้องเองก็กล่าวมาในคำร้องว่าผู้คัดค้านยังไม่ได้สิทธิที่เสียไปกลับคืนมา เนื่องจากผู้คัดค้านเป็นผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร กรณียังฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านยินยอมให้สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่สุจริต จึงไม่มีเหตุที่จะสั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของผู้คัดค้านตามคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 219 มาตรา 239 และมาตรา 240 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 134 กล่าวคือ
1.เมื่อมีคำสั่งรับคำร้องแล้ว ได้โปรดแจ้งให้ประธานวุฒิสภาทราบว่า ศาลฎีกาได้รับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว ผู้คัดค้านจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้
2.มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านเป็นเวลาห้าปี
3.มีคำสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านและให้มีการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาใหม่ในส่วนของผู้คัดค้าน
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
วันนัดตรวจพยานหลักฐาน คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงตามคำร้อง และไม่ติดใจสืบพยาน ศาลฎีกาจึงให้งดไต่สวนและกำหนดประเด็นวินิจฉัย ดังนี้
1.ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านและเพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านตามคำร้องหรือไม่
2.ผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติในการเข้ารับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามคำร้องหรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังว่าเดิมผู้คัดค้านมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 17/32 หมู่ที่ 7 ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี วันที่ 25 มกราคม 2552 มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรี เขตเลือกตั้งที่ 2 แทนตำแหน่งที่ว่าง ในการเลือกตั้งดังกล่าวผู้คัดค้านเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และไม่ได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ต่อมาวันที่ 22 มีนาคม 2553 ผู้คัดค้านย้ายภูมิลำเนาไปอยู่บ้านเลขที่ 504/76 ถนนกาญจนาภิเษก แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร วันที่ 29 สิงหาคม 2553 ได้มีการจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขต ผู้คัดค้านเป็นผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร แต่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาเขต ผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาเขต แต่มีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งไปยังผู้อำนวยการเขต ต่อมาวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2554 ผู้ร้องประกาศให้วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นวันสรรหาสมาชิกวุฒิสภา สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอชื่อผู้คัดค้านเข้ารับการสรรหา ผู้คัดค้านได้รับการสรรหา ผู้ร้องได้ประกาศให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2554 ภายหลังมีผู้ทำหนังสือร้องเรียนว่า การสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากผู้คัดค้านเป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการเข้ารับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา เพราะผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งและไม่ได้แจ้งเหตุที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรี ผู้ร้องมีมติในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง ครั้งที่ 8/2552 มอบหมายให้กรรมการการเลือกตั้งซึ่งเป็นประธานในที่ประชุมครั้งนั้นดำเนินคดีแทนผู้ร้อง กรณีมีคำสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา และให้มีอำนาจลงนามในคำร้องยื่นต่อศาลตลอดจนสรรพเอกสารต่าง ๆ ในการดำเนินคดีและหนังสือมอบอำนาจแต่งตั้งให้พนักงานของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินคดีแทนในศาล และในการประชุมของผู้ร้องครั้งที่ 29/2555 พิจารณารายงานการไต่สวน กรณีร้องเรียนคุณสมบัติของผู้คัดค้าน ที่ประชุมเลือกนายวิสุทธิ์กรรมการการเลือกตั้งเป็นประธานในที่ประชุม
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประเด็นแรกว่า ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านและเพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านตามคำร้องหรือไม่ ตามประเด็นข้อนี้ ผู้ร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 240 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 134 ให้เพิกถอนการสรรหาและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านซึ่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหา เห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 238 บัญญัติว่า
"คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงโดยพลัน เมื่อมีกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) .....
(2) .....
(3) ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ก่อนได้รับการเลือกตั้งหรือสรรหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ใดได้กระทำการใด ๆ โดยไม่สุจริตเพื่อให้ตนเองได้รับเลือกตั้งหรือสรรหา หรือได้รับเลือกตั้งหรือสรรหามาโดยไม่สุจริตโดยผลของการที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดได้กระทำลงไปโดยฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง หรือกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(4) .....
เมื่อดำเนินการตามวรรคหนึ่งเสร็จแล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องพิจารณาวินิจฉัยสั่งการโดยพลัน"
และมาตรา 240 บัญญัติว่า
"ในกรณีที่มีการคัดค้านว่าการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาผู้ใดเป็นไปโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าก่อนได้รับการสรรหา สมาชิกวุฒิสภาผู้ใดกระทำการตามมาตรา 238 ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการสืบสวนสอบสวนโดยพลัน
เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้วินิจฉัยสั่งการเป็นอย่างใดแล้ว ให้เสนอต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณาวินิจฉัยโดยพลัน และให้นำความในมาตรา 239 วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับกับการที่สมาชิกวุฒิสภาผู้นั้นไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ โดยอนุโลม
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งจะร่วมดำเนินการหรือวินิจฉัยสั่งการมิได้ และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีองค์ประกอบเท่าที่มีอยู่
ส่วนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 133 วรรคหนึ่งนั้น เป็นกรณีที่พระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติเพิ่มเติมให้สิทธิแก่ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกขององค์กรที่เสนอชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ยื่นคำร้องคัดค้านต่อผู้ร้อง โดยมีข้อจำกัดให้ต้องยื่นภายใน 30 วัน นับแต่การประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาเท่านั้น จึงหากระทบกระเทือนต่ออำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 238 และมาตรา 240 ดังกล่าวแล้วไม่ ดังนั้น แม้กรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อที่ผู้ร้องได้วินิจฉัยสั่งการในคดีของผู้คัดค้านจะสืบเนื่องมาจากบัตรสนเท่ห์ ซึ่งได้ยื่นเข้าล่วงเลยกำหนด 30 วัน นับแต่วันประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ดังกล่าวก็ตาม กระบวนการดำเนินการของผู้ร้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ข้างต้นก็เป็นไปโดยชอบ มิได้ขัดต่อกฎหมายแต่อย่างใด และเมื่อมีการประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาในวันที่ 12 เมษายน 2554 ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้เข้ามา เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2555 ภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศผลดังกล่าวอันเป็นไปตามนัย มาตรา 134 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องนี้ ผู้คัดค้านอ้างว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 130 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่าผลการพิจารณาสรรหาของคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาให้ถือเป็นที่สุดนั้น เห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวให้ผลการสรรหาเป็นที่สุดเฉพาะที่เกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการสรรหาในการสรรหาบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อผู้ใดเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของบุคคลที่สมควรได้รับการแสวงหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเรื่องความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติงานของวุฒิสภา และองค์ประกอบจากบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน โอกาสและความเท่าเทียมกันทางเพศ สัดส่วนของบุคคลในแต่ละภาคส่วนที่ใกล้เคียงกัน รวมทั้งการให้โอกาสกับผู้ด้อยโอกาสทางสังคมด้วย ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 114 วรรคสอง แต่ไม่รวมถึงการสรรหาที่เป็นไปโดยไม่สุจริต ไม่ถูกต้อง หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย สำหรับการมอบอำนาจนั้น เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 236 วรรคท้าย บัญญัติว่า "คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจแต่งตั้งบุคคล คณะบุคคล หรือผู้แทนองค์การเอกชน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่มอบหมาย และปรากฏข้อความจริงว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติคณะกรรมการการเลือกตั้ง ครั้งที่ 8/2552 วันพุธที่ 21 มกราคม 2552 เห็นชอบในหลักการ กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ให้กรรมการการเลือกตั้งซึ่งเป็นประธานในการประชุมครั้งนั้นเป็นผู้รับมอบหมายให้ดำเนินคดีแทนคณะกรรมการการเลือกตั้ง และให้มีอำนาจลงนามในคำร้องยื่นต่อศาลตลอดจนสรรพเอกสารต่าง ๆ ในการดำเนินคดีและหนังสือมอบอำนาจแต่งตั้งให้พนักงานของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินคดีแทนในศาล ซึ่งในการประชุมลงมติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ครั้งที่ 29/2555 วันพุธที่ 21 มีนาคม 2555 กรณีเพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภารายผู้คัดค้าน โดยในการประชุมมีมติดังกล่าว ประธานกรรมการการเลือกตั้งมิได้ร่วมพิจารณาตามข้อบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 240 วรรคสี่ กรรมการการเลือกตั้งที่เหลืออยู่ 4 คน ได้เลือกกรรมการเลือกตั้ง คือ นายวิสุทธิ์ เป็นประธานในที่ประชุมตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 เช่นนี้ นายวิสุทธิ์ กรรมการการเลือกตั้งผู้ได้รับมอบหมายจึงมีอำนาจลงชื่อในคำร้องยื่นต่อศาลฎีกา ฉะนั้น ผู้ร้องจึงย่อมมีอำนาจยื่นขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านและเพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านตามคำร้อง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยในประเด็นต่อไปว่า ผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติในการเข้ารับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามคำร้องหรือไม่ ผู้คัดค้านอ้างเหตุคัดค้านในประเด็นนี้ว่า แม้ผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2552 โดยมิได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เป็นเหตุให้เสียสิทธิได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 26 (2) แต่ต่อมาในคราวที่ได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขตวันเดียวกันในวันที่ 29 สิงหาคม 2553 ซึ่งผู้คัดค้านไม่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เพราะมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่ถึงระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 คงมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตอย่างเดียว ผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่ได้มีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งต่อผู้อำนวยการเขต โดยหนังสือดังกล่าวแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เนื่องจากขณะนั้นผู้คัดค้านเข้าใจว่าผู้คัดค้านมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครด้วย และไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้คัดค้านว่าเหตุที่แจ้งไม่ใช่เหตุอันสมควร ถือว่าผู้คัดค้านได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 24 วรรคหนึ่งถึงวรรคสาม ครบถ้วน ผู้คัดค้านจึงได้รับสิทธิในทางการเมืองกลับคืนมา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 72 ทั้งการเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตซึ่งเป็นราชการส่วนหนึ่งของกรุงเทพมหานครถือได้ว่าเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตามความในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 27 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า "การเสียสิทธิตามมาตรา 26 ให้มีกำหนดเวลาตั้งแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" การเสียสิทธิได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาของผู้คัดค้านจึงสิ้นสุดลงตามมาตรา 27 วรรคหนึ่ง ดังกล่าวแล้ว ก่อนที่ผู้คัดค้านจะได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา เห็นสมควรวินิจฉัยเป็นเบื้องแรกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 72 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง" และวรรคสอง บัญญัติว่า "บุคคลซึ่งไปใช้สิทธิหรือไม่ไปใช้สิทธิโดยไม่แจ้งเหตุอันสมควรที่ทำให้ไม่อาจไปใช้สิทธิได้ ย่อมได้รับสิทธิหรือเสียสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติ" แต่กำหนดเวลาการเสียสิทธิตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 นั้น มาตรา 27 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ชัดเจนว่า "...ให้มีกำหนดเวลาตั้งแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นไปใช้สิทธิเลือกตั้ง..." และในวรรคสองยังบัญญัติต่อไปว่า "ในกรณีที่มีการโต้แย้งการเสียสิทธิตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดพร้อมหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งถัดมาแล้ว..." เป็นการเน้นย้ำให้เห็นว่า กำหนดเวลาการเสียสิทธิตามมาตรา 26 จะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งถัดมาจริง ๆ เท่านั้น ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นับแต่เวลาที่ผู้คัดค้านไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรีจนถึงวันที่ผู้คัดค้านได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเลย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านโต้แย้งกันว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตกรุงเทพมหานครเป็นการเลือกตั้งอันอยู่ในนัยแห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 หรือไม่ อย่างใดอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้วินิจฉัยข้างต้นเปลี่ยนแปลงไป การที่สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอชื่อผู้คัดค้านเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาจึงไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 26 (2) มีผลให้การสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง คดีมีเหตุที่ต้องสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้าน แต่ตามพฤติการณ์พอเห็นได้ว่า ผู้คัดค้านเพียงแต่เข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่าการเสียสิทธิของผู้คัดค้านสิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากในคราวที่จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขตเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2553 ผู้คัดค้านเข้าใจว่าผู้คัดค้านมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครด้วย และได้มีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งแล้ว โดยไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้คัดค้านว่าเหตุที่แจ้งไม่ใช่เหตุอันสมควร ทั้งผู้ร้องเองก็กล่าวมาในคำร้องว่า ผู้คัดค้านยังไม่ได้สิทธิที่เสียไปกลับคืนมา เนื่องจากผู้คัดค้านเป็นผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร กรณียังฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านยินยอมให้สมาคมผู้สื่อข่าวแห่งประเทศไทยเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่สุจริต จึงไม่มีเหตุที่จะสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านตามคำร้อง
อาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 240 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 134 จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของนายศรีสุข ผู้คัดค้าน และให้มีการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาใหม่ในส่วนของผู้คัดค้าน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 130 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ผลการพิจารณาสรรหาของคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาให้ถือเป็นที่สุดนั้น เป็นบทบัญญัติให้ผลการสรรหาเป็นที่สุดเฉพาะที่เกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการสรรหาในการสรรหาบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อผู้ใดเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของบุคคลที่ได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเรื่องความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติงานของวุฒิสภาและองค์ประกอบจากบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน โอกาสและความทัดเทียมกันทางเพศ สัดส่วนของบุคคลในแต่ละภาคส่วนที่ใกล้เคียงกัน รวมทั้งการให้โอกาสกับผู้ด้อยโอกาสทางสังคมด้วย ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 114 วรรคสอง แต่ไม่รวมถึงการสรรหาที่ไม่สุจริต ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 72 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง" และวรรคสอง บัญญัติว่า "บุคคลซึ่งไปใช้สิทธิหรือไม่ไปใช้สิทธิโดยไม่แจ้งเหตุอันสมควรที่ทำให้ไม่อาจไปใช้สิทธิได้ ย่อมได้รับสิทธิหรือเสียสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติ" แต่กำหนดเวลาการเสียสิทธิตามมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 นั้น มาตรา 27 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ชัดเจนว่า "....ให้มีกำหนดเวลาตั้งแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นไปใช้สิทธิเลือกตั้ง..." และวรรคสองยังบัญญัติต่อไปว่า "ในกรณีที่มีการโต้แย้งการเสียสิทธิตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดพร้อมหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งที่ถัดมาแล้ว..." เป็นการย้ำให้เห็นว่ากำหนดเวลาเสียสิทธิตามมาตรา 26 จะสิ้นสุดลงเมื่อได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งถัดมาจริง ๆ เท่านั้น
การที่สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอชื่อผู้คัดค้านเข้าเป็นผู้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 26 (2) มีผลให้การสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง คดีมีเหตุที่ต้องสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้าน แต่ตามพฤติการณ์พอเห็นได้ว่าผู้คัดค้านเพียงแต่เข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่าการเสียสิทธิของผู้คัดค้านสิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากในคราวที่จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขต ผู้คัดค้านเข้าใจว่าผู้คัดค้านมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครด้วย และได้มีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งแล้วโดยไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้คัดค้านว่าเหตุที่แจ้งไม่ใช่เหตุอันสมควร ทั้งผู้ร้องเองก็กล่าวมาในคำร้องว่าผู้คัดค้านยังไม่ได้สิทธิที่เสียไปกลับคืนมา เนื่องจากผู้คัดค้านเป็นผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร กรณียังฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านยินยอมให้สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่สุจริต จึงไม่มีเหตุที่จะสั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของผู้คัดค้านตามคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 219 มาตรา 239 และมาตรา 240 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 134 กล่าวคือ
1.เมื่อมีคำสั่งรับคำร้องแล้ว ได้โปรดแจ้งให้ประธานวุฒิสภาทราบว่า ศาลฎีกาได้รับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว ผู้คัดค้านจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้
2.มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านเป็นเวลาห้าปี
3.มีคำสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านและให้มีการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาใหม่ในส่วนของผู้คัดค้าน
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
วันนัดตรวจพยานหลักฐาน คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงตามคำร้อง และไม่ติดใจสืบพยาน ศาลฎีกาจึงให้งดไต่สวนและกำหนดประเด็นวินิจฉัย ดังนี้
1.ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านและเพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านตามคำร้องหรือไม่
2.ผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติในการเข้ารับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามคำร้องหรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังว่าเดิมผู้คัดค้านมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 17/32 หมู่ที่ 7 ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี วันที่ 25 มกราคม 2552 มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรี เขตเลือกตั้งที่ 2 แทนตำแหน่งที่ว่าง ในการเลือกตั้งดังกล่าวผู้คัดค้านเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และไม่ได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ต่อมาวันที่ 22 มีนาคม 2553 ผู้คัดค้านย้ายภูมิลำเนาไปอยู่บ้านเลขที่ 504/76 ถนนกาญจนาภิเษก แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร วันที่ 29 สิงหาคม 2553 ได้มีการจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขต ผู้คัดค้านเป็นผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร แต่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาเขต ผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาเขต แต่มีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งไปยังผู้อำนวยการเขต ต่อมาวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2554 ผู้ร้องประกาศให้วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นวันสรรหาสมาชิกวุฒิสภา สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอชื่อผู้คัดค้านเข้ารับการสรรหา ผู้คัดค้านได้รับการสรรหา ผู้ร้องได้ประกาศให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2554 ภายหลังมีผู้ทำหนังสือร้องเรียนว่า การสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากผู้คัดค้านเป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการเข้ารับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา เพราะผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งและไม่ได้แจ้งเหตุที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรี ผู้ร้องมีมติในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง ครั้งที่ 8/2552 มอบหมายให้กรรมการการเลือกตั้งซึ่งเป็นประธานในที่ประชุมครั้งนั้นดำเนินคดีแทนผู้ร้อง กรณีมีคำสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา และให้มีอำนาจลงนามในคำร้องยื่นต่อศาลตลอดจนสรรพเอกสารต่าง ๆ ในการดำเนินคดีและหนังสือมอบอำนาจแต่งตั้งให้พนักงานของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินคดีแทนในศาล และในการประชุมของผู้ร้องครั้งที่ 29/2555 พิจารณารายงานการไต่สวน กรณีร้องเรียนคุณสมบัติของผู้คัดค้าน ที่ประชุมเลือกนายวิสุทธิ์กรรมการการเลือกตั้งเป็นประธานในที่ประชุม
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประเด็นแรกว่า ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านและเพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านตามคำร้องหรือไม่ ตามประเด็นข้อนี้ ผู้ร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 240 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 134 ให้เพิกถอนการสรรหาและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านซึ่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหา เห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 238 บัญญัติว่า
"คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงโดยพลัน เมื่อมีกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) .....
(2) .....
(3) ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ก่อนได้รับการเลือกตั้งหรือสรรหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ใดได้กระทำการใด ๆ โดยไม่สุจริตเพื่อให้ตนเองได้รับเลือกตั้งหรือสรรหา หรือได้รับเลือกตั้งหรือสรรหามาโดยไม่สุจริตโดยผลของการที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดได้กระทำลงไปโดยฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง หรือกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(4) .....
เมื่อดำเนินการตามวรรคหนึ่งเสร็จแล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องพิจารณาวินิจฉัยสั่งการโดยพลัน"
และมาตรา 240 บัญญัติว่า
"ในกรณีที่มีการคัดค้านว่าการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาผู้ใดเป็นไปโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าก่อนได้รับการสรรหา สมาชิกวุฒิสภาผู้ใดกระทำการตามมาตรา 238 ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการสืบสวนสอบสวนโดยพลัน
เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้วินิจฉัยสั่งการเป็นอย่างใดแล้ว ให้เสนอต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณาวินิจฉัยโดยพลัน และให้นำความในมาตรา 239 วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับกับการที่สมาชิกวุฒิสภาผู้นั้นไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ โดยอนุโลม
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งจะร่วมดำเนินการหรือวินิจฉัยสั่งการมิได้ และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีองค์ประกอบเท่าที่มีอยู่
ส่วนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 133 วรรคหนึ่งนั้น เป็นกรณีที่พระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติเพิ่มเติมให้สิทธิแก่ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกขององค์กรที่เสนอชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ยื่นคำร้องคัดค้านต่อผู้ร้อง โดยมีข้อจำกัดให้ต้องยื่นภายใน 30 วัน นับแต่การประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาเท่านั้น จึงหากระทบกระเทือนต่ออำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 238 และมาตรา 240 ดังกล่าวแล้วไม่ ดังนั้น แม้กรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อที่ผู้ร้องได้วินิจฉัยสั่งการในคดีของผู้คัดค้านจะสืบเนื่องมาจากบัตรสนเท่ห์ ซึ่งได้ยื่นเข้าล่วงเลยกำหนด 30 วัน นับแต่วันประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ดังกล่าวก็ตาม กระบวนการดำเนินการของผู้ร้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ข้างต้นก็เป็นไปโดยชอบ มิได้ขัดต่อกฎหมายแต่อย่างใด และเมื่อมีการประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาในวันที่ 12 เมษายน 2554 ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้เข้ามา เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2555 ภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศผลดังกล่าวอันเป็นไปตามนัย มาตรา 134 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องนี้ ผู้คัดค้านอ้างว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 130 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่าผลการพิจารณาสรรหาของคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาให้ถือเป็นที่สุดนั้น เห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวให้ผลการสรรหาเป็นที่สุดเฉพาะที่เกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการสรรหาในการสรรหาบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อผู้ใดเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของบุคคลที่สมควรได้รับการแสวงหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเรื่องความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติงานของวุฒิสภา และองค์ประกอบจากบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน โอกาสและความเท่าเทียมกันทางเพศ สัดส่วนของบุคคลในแต่ละภาคส่วนที่ใกล้เคียงกัน รวมทั้งการให้โอกาสกับผู้ด้อยโอกาสทางสังคมด้วย ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 114 วรรคสอง แต่ไม่รวมถึงการสรรหาที่เป็นไปโดยไม่สุจริต ไม่ถูกต้อง หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย สำหรับการมอบอำนาจนั้น เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 236 วรรคท้าย บัญญัติว่า "คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจแต่งตั้งบุคคล คณะบุคคล หรือผู้แทนองค์การเอกชน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่มอบหมาย และปรากฏข้อความจริงว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติคณะกรรมการการเลือกตั้ง ครั้งที่ 8/2552 วันพุธที่ 21 มกราคม 2552 เห็นชอบในหลักการ กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ให้กรรมการการเลือกตั้งซึ่งเป็นประธานในการประชุมครั้งนั้นเป็นผู้รับมอบหมายให้ดำเนินคดีแทนคณะกรรมการการเลือกตั้ง และให้มีอำนาจลงนามในคำร้องยื่นต่อศาลตลอดจนสรรพเอกสารต่าง ๆ ในการดำเนินคดีและหนังสือมอบอำนาจแต่งตั้งให้พนักงานของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินคดีแทนในศาล ซึ่งในการประชุมลงมติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ครั้งที่ 29/2555 วันพุธที่ 21 มีนาคม 2555 กรณีเพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภารายผู้คัดค้าน โดยในการประชุมมีมติดังกล่าว ประธานกรรมการการเลือกตั้งมิได้ร่วมพิจารณาตามข้อบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 240 วรรคสี่ กรรมการการเลือกตั้งที่เหลืออยู่ 4 คน ได้เลือกกรรมการเลือกตั้ง คือ นายวิสุทธิ์ เป็นประธานในที่ประชุมตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 เช่นนี้ นายวิสุทธิ์ กรรมการการเลือกตั้งผู้ได้รับมอบหมายจึงมีอำนาจลงชื่อในคำร้องยื่นต่อศาลฎีกา ฉะนั้น ผู้ร้องจึงย่อมมีอำนาจยื่นขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านและเพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านตามคำร้อง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยในประเด็นต่อไปว่า ผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติในการเข้ารับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามคำร้องหรือไม่ ผู้คัดค้านอ้างเหตุคัดค้านในประเด็นนี้ว่า แม้ผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2552 โดยมิได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เป็นเหตุให้เสียสิทธิได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 26 (2) แต่ต่อมาในคราวที่ได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขตวันเดียวกันในวันที่ 29 สิงหาคม 2553 ซึ่งผู้คัดค้านไม่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เพราะมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่ถึงระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 คงมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตอย่างเดียว ผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่ได้มีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งต่อผู้อำนวยการเขต โดยหนังสือดังกล่าวแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เนื่องจากขณะนั้นผู้คัดค้านเข้าใจว่าผู้คัดค้านมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครด้วย และไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้คัดค้านว่าเหตุที่แจ้งไม่ใช่เหตุอันสมควร ถือว่าผู้คัดค้านได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 24 วรรคหนึ่งถึงวรรคสาม ครบถ้วน ผู้คัดค้านจึงได้รับสิทธิในทางการเมืองกลับคืนมา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 72 ทั้งการเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตซึ่งเป็นราชการส่วนหนึ่งของกรุงเทพมหานครถือได้ว่าเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตามความในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 27 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า "การเสียสิทธิตามมาตรา 26 ให้มีกำหนดเวลาตั้งแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" การเสียสิทธิได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาของผู้คัดค้านจึงสิ้นสุดลงตามมาตรา 27 วรรคหนึ่ง ดังกล่าวแล้ว ก่อนที่ผู้คัดค้านจะได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา เห็นสมควรวินิจฉัยเป็นเบื้องแรกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 72 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง" และวรรคสอง บัญญัติว่า "บุคคลซึ่งไปใช้สิทธิหรือไม่ไปใช้สิทธิโดยไม่แจ้งเหตุอันสมควรที่ทำให้ไม่อาจไปใช้สิทธิได้ ย่อมได้รับสิทธิหรือเสียสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติ" แต่กำหนดเวลาการเสียสิทธิตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 นั้น มาตรา 27 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ชัดเจนว่า "...ให้มีกำหนดเวลาตั้งแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นไปใช้สิทธิเลือกตั้ง..." และในวรรคสองยังบัญญัติต่อไปว่า "ในกรณีที่มีการโต้แย้งการเสียสิทธิตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดพร้อมหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งถัดมาแล้ว..." เป็นการเน้นย้ำให้เห็นว่า กำหนดเวลาการเสียสิทธิตามมาตรา 26 จะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งถัดมาจริง ๆ เท่านั้น ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นับแต่เวลาที่ผู้คัดค้านไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรีจนถึงวันที่ผู้คัดค้านได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเลย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านโต้แย้งกันว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตกรุงเทพมหานครเป็นการเลือกตั้งอันอยู่ในนัยแห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 หรือไม่ อย่างใดอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้วินิจฉัยข้างต้นเปลี่ยนแปลงไป การที่สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอชื่อผู้คัดค้านเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาจึงไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 26 (2) มีผลให้การสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง คดีมีเหตุที่ต้องสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้าน แต่ตามพฤติการณ์พอเห็นได้ว่า ผู้คัดค้านเพียงแต่เข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่าการเสียสิทธิของผู้คัดค้านสิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากในคราวที่จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขตเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2553 ผู้คัดค้านเข้าใจว่าผู้คัดค้านมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครด้วย และได้มีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งแล้ว โดยไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้คัดค้านว่าเหตุที่แจ้งไม่ใช่เหตุอันสมควร ทั้งผู้ร้องเองก็กล่าวมาในคำร้องว่า ผู้คัดค้านยังไม่ได้สิทธิที่เสียไปกลับคืนมา เนื่องจากผู้คัดค้านเป็นผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร กรณียังฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านยินยอมให้สมาคมผู้สื่อข่าวแห่งประเทศไทยเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่สุจริต จึงไม่มีเหตุที่จะสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านตามคำร้อง
อาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 240 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 134 จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของนายศรีสุข ผู้คัดค้าน และให้มีการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาใหม่ในส่วนของผู้คัดค้าน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการ 2 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบ จำคุก 1 เดือน ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน จำคุก 2 เดือน ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 2 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้โดยปรับบทลงโทษให้ถูกต้องตามฟ้องที่จำเลยให้การรับสารภาพเฉพาะความผิดฐานปลอมเอกสารราชการกระทงหนึ่ง โดยความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานกับความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมเพียงบทเดียว จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน จึงเป็นการแก้ไขทั้งบทลงโทษและโทษ เป็นการแก้ไขมาก แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี และศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิได้เพิ่มเติมโทษ จึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้โทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการอีกกระทงหนึ่งเป็นการแก้เฉพาะโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบ ไม่ได้แก้ไข เท่ากับพิพากษายืน จึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 137, 264, 265 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 12, 62 ริบใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลสามฉบับของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 264, 265 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานปลอมเอกสารราชการรวมสองกระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ผ่านช่องทางที่กำหนด จำคุก 1 เดือน ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานจำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 2 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะความผิดเกี่ยวกับเอกสารจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 265, 265 ประกอบมาตรา 268 วรรคแรก (ที่ถูก มาตรา 137, 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 จำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารราชการและผู้ใช้เอกสารราชการปลอมตามฟ้องข้อ ก. เอง จึงให้ลงโทษจำเลยฐานใช้เอกสารราชการปลอม ตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 กระทงเดียว ตามมาตรา 268 วรรคสอง ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานกับความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมดังกล่าว เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมอันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการตามมาตรา 265 กระทงหนึ่ง และฐานใช้เอกสารราชการปลอมอีกกระทงหนึ่ง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมสองกระทง เป็นจำคุก 2 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี เมื่อรวมกับโทษตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 1 ปี 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการ 2 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบ จำคุก 1 เดือน ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน จำคุก 2 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 2 ปี 2 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้โดยปรับบทลงโทษให้ถูกต้องตามฟ้องที่จำเลยให้การรับสารภาพเฉพาะความผิดฐานปลอมเอกสารราชการกระทงหนึ่งเป็นว่า ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน กับความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมอันเป็นกฎหมายที่มีบทหนักที่สุดเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน จึงเป็นการแก้ไขทั้งบทลงโทษและโทษ เป็นการแก้ไขมาก แต่ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ลงโทษจำคุกจำเลยในกระทงนี้ไม่เกิน 2 ปี และศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิได้เพิ่มเติมโทษจำเลย จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดกระทงนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้โทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการอีกกระทงหนึ่งเป็นการแก้เฉพาะโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบ ไม่ได้แก้ไข เท่ากับพิพากษายืน และให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิด 2 กระทงนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยฎีกาขอให้รอการโทษจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว เว้นแต่ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา หรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ซึ่งขั้นตอนในการขออนุญาตฎีกาตามบทบัญญัติในมาตรานี้ มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงต้องนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคท้าย มาใช้บังคับโดยอนุโลมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 กล่าวคือ จำเลยต้องยื่นคำร้องพร้อมคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นขอให้ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 4 อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ซึ่งตามคำร้องจำเลยระบุชื่อขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาอนุญาตให้ฎีกาได้ การที่ ส. ผู้พิพากษาซึ่งมิได้พิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษา กลับเป็นผู้มีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเสียเอง จึงเป็นการไม่ชอบ ไม่มีผลทำให้ฎีกาของจำเลยขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่รับฎีกาของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับฎีกาของจำเลย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการจัดส่งคำร้องของจำเลยไปให้ผู้พิพากษาที่จำเลยระบุในคำร้องพิจารณาและมีคำสั่งเกี่ยวกับฎีกาของจำเลย หากมีการอนุญาตหรือไม่อนุญาตประการใด ก็ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป ในชั้นนี้ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการ 2 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบ จำคุก 1 เดือน ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน จำคุก 2 เดือน ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 2 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้โดยปรับบทลงโทษให้ถูกต้องตามฟ้องที่จำเลยให้การรับสารภาพเฉพาะความผิดฐานปลอมเอกสารราชการกระทงหนึ่ง โดยความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานกับความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมเพียงบทเดียว จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน จึงเป็นการแก้ไขทั้งบทลงโทษและโทษ เป็นการแก้ไขมาก แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี และศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิได้เพิ่มเติมโทษ จึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้โทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการอีกกระทงหนึ่งเป็นการแก้เฉพาะโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบ ไม่ได้แก้ไข เท่ากับพิพากษายืน จึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 137, 264, 265 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 12, 62 ริบใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลสามฉบับของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 264, 265 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานปลอมเอกสารราชการรวมสองกระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ผ่านช่องทางที่กำหนด จำคุก 1 เดือน ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานจำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 2 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะความผิดเกี่ยวกับเอกสารจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 265, 265 ประกอบมาตรา 268 วรรคแรก (ที่ถูก มาตรา 137, 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 จำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารราชการและผู้ใช้เอกสารราชการปลอมตามฟ้องข้อ ก. เอง จึงให้ลงโทษจำเลยฐานใช้เอกสารราชการปลอม ตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 กระทงเดียว ตามมาตรา 268 วรรคสอง ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานกับความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมดังกล่าว เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมอันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการตามมาตรา 265 กระทงหนึ่ง และฐานใช้เอกสารราชการปลอมอีกกระทงหนึ่ง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมสองกระทง เป็นจำคุก 2 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี เมื่อรวมกับโทษตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 1 ปี 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการ 2 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบ จำคุก 1 เดือน ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน จำคุก 2 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 2 ปี 2 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้โดยปรับบทลงโทษให้ถูกต้องตามฟ้องที่จำเลยให้การรับสารภาพเฉพาะความผิดฐานปลอมเอกสารราชการกระทงหนึ่งเป็นว่า ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน กับความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมอันเป็นกฎหมายที่มีบทหนักที่สุดเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน จึงเป็นการแก้ไขทั้งบทลงโทษและโทษ เป็นการแก้ไขมาก แต่ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ลงโทษจำคุกจำเลยในกระทงนี้ไม่เกิน 2 ปี และศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิได้เพิ่มเติมโทษจำเลย จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดกระทงนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้โทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการอีกกระทงหนึ่งเป็นการแก้เฉพาะโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบ ไม่ได้แก้ไข เท่ากับพิพากษายืน และให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิด 2 กระทงนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยฎีกาขอให้รอการโทษจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว เว้นแต่ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา หรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ซึ่งขั้นตอนในการขออนุญาตฎีกาตามบทบัญญัติในมาตรานี้ มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงต้องนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคท้าย มาใช้บังคับโดยอนุโลมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 กล่าวคือ จำเลยต้องยื่นคำร้องพร้อมคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นขอให้ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 4 อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ซึ่งตามคำร้องจำเลยระบุชื่อขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาอนุญาตให้ฎีกาได้ การที่ ส. ผู้พิพากษาซึ่งมิได้พิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษา กลับเป็นผู้มีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเสียเอง จึงเป็นการไม่ชอบ ไม่มีผลทำให้ฎีกาของจำเลยขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่รับฎีกาของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับฎีกาของจำเลย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการจัดส่งคำร้องของจำเลยไปให้ผู้พิพากษาที่จำเลยระบุในคำร้องพิจารณาและมีคำสั่งเกี่ยวกับฎีกาของจำเลย หากมีการอนุญาตหรือไม่อนุญาตประการใด ก็ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป ในชั้นนี้ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา
ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์ในเนื้อหาของคำพิพากษาจึงไม่จำต้องวางเงินค่าธรรมเนียมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 และจำเลยทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลในกรณีเป็นอุทธรณ์คำสั่งในคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงไม่จำต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ในศาลชั้นต้นนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลล่างได้วินิจฉัยไว้ถูกต้องแล้วและไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลล่าง ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 1,211,062.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 700,450 บาท หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้บังคับแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
ในวันนัดจำเลยทั้งสองให้การแก้ข้อหาแห่งคดีและสืบพยานโจทก์ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต และถือว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 1,211,062.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 700,450 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 2 ธันวาคม 2547) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนอง คือ ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 5746 ตำบลสูงเนิน อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองบังคับชำระหนี้โจทก์จนครบ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลื่อนคดีศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่ง จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 โดยจะต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลแล้วนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า "ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่าจำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์ในเนื้อหาของคำพิพากษาจึงไม่จำต้องวางเงินค่าธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 และจำเลยทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลในกรณีเป็นอุทธรณ์คำสั่งในคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงไม่จำต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลล่างได้วินิจฉัยไว้ถูกต้องแล้วและไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลล่าง ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา"
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ให้คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์ในเนื้อหาของคำพิพากษาจึงไม่จำต้องวางเงินค่าธรรมเนียมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 และจำเลยทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลในกรณีเป็นอุทธรณ์คำสั่งในคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงไม่จำต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ในศาลชั้นต้นนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลล่างได้วินิจฉัยไว้ถูกต้องแล้วและไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลล่าง ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 1,211,062.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 700,450 บาท หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้บังคับแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
ในวันนัดจำเลยทั้งสองให้การแก้ข้อหาแห่งคดีและสืบพยานโจทก์ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต และถือว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 1,211,062.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 700,450 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 2 ธันวาคม 2547) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนอง คือ ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 5746 ตำบลสูงเนิน อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองบังคับชำระหนี้โจทก์จนครบ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลื่อนคดีศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่ง จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 โดยจะต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลแล้วนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า "ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่าจำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์ในเนื้อหาของคำพิพากษาจึงไม่จำต้องวางเงินค่าธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 และจำเลยทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลในกรณีเป็นอุทธรณ์คำสั่งในคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงไม่จำต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลล่างได้วินิจฉัยไว้ถูกต้องแล้วและไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลล่าง ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา"
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ให้คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ตามมูลสัญญายังไม่ขาดอายุความ เนื่องจากสิทธิเรียกร้องของโจทก์ต้องเริ่มนับตั้งแต่ล่วงพ้นกำหนดทวงถามจึงไม่เกินกำหนด 10 ปี และกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินชดเชยค่าภาษีอากรตามฟ้องเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความนั้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเคยมีคำพิพากษาของศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวมาแล้ว และยังไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแนวคำวินิจฉัยเดิม อุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน 8,774,402.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 4,711,090.75 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนหรือชดใช้เงินชดเชยค่าภาษีอากรตามมูลค่าบัตรภาษีจำนวน 4,711,090.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 499,349.01 บาท นับแต่วันที่ 24 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 499,349.01 บาท ในต้นเงิน 498,493.30 บาท และในต้นเงิน 414,705.80 บาท นับแต่วันที่ 19 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 498,775.42 บาท นับแต่วันที่ 10 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 498,493.30 บาท นับแต่วันที่ 26 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 474,020.01 บาท นับแต่วันที่ 29 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 414,705.80 บาท และนับแต่วันที่ 22 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 498,493.30 บาท กับต้นเงิน 414,705.80 บาท จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 กรกฎาคม 2550) คำนวณแล้วต้องไม่เกิน 4,063,312.02 บาท ตามที่ขอ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ตามมูลสัญญายังไม่ขาดอายุความเนื่องจากสิทธิเรียกร้องของโจทก์ต้องเริ่มนับตั้งแต่ล่วงพ้นกำหนดทวงถามจึงไม่เกินกำหนด 10 ปี และกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินชดเชยค่าภาษีอากรตามฟ้องเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความนั้น เห็นว่า เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเคยมีคำพิพากษาของศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวมาแล้วและยังไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแนวคำวินิจฉัยเดิม อุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์ ส่วนค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ตามมูลสัญญายังไม่ขาดอายุความ เนื่องจากสิทธิเรียกร้องของโจทก์ต้องเริ่มนับตั้งแต่ล่วงพ้นกำหนดทวงถามจึงไม่เกินกำหนด 10 ปี และกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินชดเชยค่าภาษีอากรตามฟ้องเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความนั้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเคยมีคำพิพากษาของศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวมาแล้ว และยังไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแนวคำวินิจฉัยเดิม อุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน 8,774,402.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 4,711,090.75 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนหรือชดใช้เงินชดเชยค่าภาษีอากรตามมูลค่าบัตรภาษีจำนวน 4,711,090.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 499,349.01 บาท นับแต่วันที่ 24 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 499,349.01 บาท ในต้นเงิน 498,493.30 บาท และในต้นเงิน 414,705.80 บาท นับแต่วันที่ 19 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 498,775.42 บาท นับแต่วันที่ 10 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 498,493.30 บาท นับแต่วันที่ 26 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 474,020.01 บาท นับแต่วันที่ 29 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 414,705.80 บาท และนับแต่วันที่ 22 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 498,493.30 บาท กับต้นเงิน 414,705.80 บาท จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 กรกฎาคม 2550) คำนวณแล้วต้องไม่เกิน 4,063,312.02 บาท ตามที่ขอ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ตามมูลสัญญายังไม่ขาดอายุความเนื่องจากสิทธิเรียกร้องของโจทก์ต้องเริ่มนับตั้งแต่ล่วงพ้นกำหนดทวงถามจึงไม่เกินกำหนด 10 ปี และกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินชดเชยค่าภาษีอากรตามฟ้องเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความนั้น เห็นว่า เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเคยมีคำพิพากษาของศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวมาแล้วและยังไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแนวคำวินิจฉัยเดิม อุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์ ส่วนค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาด กรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 โดยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 เป็นคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดหลังสวน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง บริษัทฟ. จำกัด ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน จำเลย ต่อศาลจังหวัดหลังสวนในคดีอาญา เรื่อง ยักยอก ศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ส่วนคดีศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เป็นคดีที่นางสาวห. ยื่นฟ้อง บริษัทฟ. จำกัด ที่ 1 กับ พวกรวม 5 คน จำเลย ในคดีแพ่งต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เรื่อง การค้าระหว่างประเทศ รับขนของทางบก ละเมิด ขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำพิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้องขออนุญาตฎีกาและไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 คดีถึงที่สุด กรณีคำร้องของผู้ร้องทั้งสองจึงเป็นการขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลอุทธรณ์ภาค 8 กับศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่พิพากษาขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลยุติธรรม ขัดแย้งกันเอง มิได้เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 ที่คณะกรรมการจะรับไว้พิจารณาได้ จึงให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาด กรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 โดยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 เป็นคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดหลังสวน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง บริษัทฟ. จำกัด ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน จำเลย ต่อศาลจังหวัดหลังสวนในคดีอาญา เรื่อง ยักยอก ศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ส่วนคดีศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เป็นคดีที่นางสาวห. ยื่นฟ้อง บริษัทฟ. จำกัด ที่ 1 กับ พวกรวม 5 คน จำเลย ในคดีแพ่งต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เรื่อง การค้าระหว่างประเทศ รับขนของทางบก ละเมิด ขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำพิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้องขออนุญาตฎีกาและไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 คดีถึงที่สุด กรณีคำร้องของผู้ร้องทั้งสองจึงเป็นการขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลอุทธรณ์ภาค 8 กับศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่พิพากษาขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลยุติธรรม ขัดแย้งกันเอง มิได้เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 ที่คณะกรรมการจะรับไว้พิจารณาได้ จึงให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
การยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 14
คดีนี้ คำพิพากษาศาลปกครองขอนแก่นถึงที่สุดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2566 ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาถึงที่สุดเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2561 การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 จึงเป็นการยื่นคำร้องเกินระยะเวลาหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาของศาลปกครองขอนแก่น ซึ่งเป็นคำพิพากษาที่ออกภายหลังถึงที่สุด โดยข้อเท็จจริงตามคำร้องนี้ปรากฏว่า กรณีตามคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นเรื่องที่ผู้ร้องฟ้องขอให้บังคับนาง ส. ชำระค่าเสียหายต่อชื่อเสียงและค่าตอบแทนตามภาระงานเป็นกรณีพิเศษ ระหว่างเดือนสิงหาคม 2556 ถึงเดือนตุลาคม 2557 ให้แก่ผู้ร้อง ส่วนกรณีตามคำพิพากษาศาลปกครองขอนแก่น นั้น ผู้ร้องฟ้องขอให้บังคับนาง ส. ชำระค่าเสียหายต่อชื่อเสียงและค่าตอบแทนตามภาระงานเป็นกรณีพิเศษ ระหว่างเดือนตุลาคม 2558 ถึงเดือนกรกฎาคม 2559 ให้แก่ผู้ร้อง ซึ่งเป็นคนละช่วงเวลากัน ทั้งคำพิพากษาศาลฎีกาและคำพิพากษาศาลปกครองขอนแก่นเห็นพ้องกันว่า การกระทำของนาง ส. ไม่เป็นละเมิด และมิได้บังคับให้นาง ส. ชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้ร้อง กรณีจึงไม่มีปัญหาข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาล กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหาย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม อันจะเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 อีกทั้งการที่ผู้ร้องอ้างว่าได้รับความเสียหายจากการที่ศาลยุติธรรมพิพากษายกฟ้องผู้ร้อง ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดว่า สำนวนคดีของศาลจังหวัดขอนแก่นตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2398/2561 อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครอง ก็มิใช่กรณีมีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ คำร้องของผู้ร้องไม่ชอบด้วยมาตรา 14 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 อาศัยอำนาจตามมาตรา 17 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 ประกอบข้อ 28 ของข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. 2544 จึงให้ยกคำร้อง
คดีนี้ คำพิพากษาศาลปกครองขอนแก่นถึงที่สุดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2566 ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาถึงที่สุดเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2561 การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 จึงเป็นการยื่นคำร้องเกินระยะเวลาหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาของศาลปกครองขอนแก่น ซึ่งเป็นคำพิพากษาที่ออกภายหลังถึงที่สุด โดยข้อเท็จจริงตามคำร้องนี้ปรากฏว่า กรณีตามคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นเรื่องที่ผู้ร้องฟ้องขอให้บังคับนาง ส. ชำระค่าเสียหายต่อชื่อเสียงและค่าตอบแทนตามภาระงานเป็นกรณีพิเศษ ระหว่างเดือนสิงหาคม 2556 ถึงเดือนตุลาคม 2557 ให้แก่ผู้ร้อง ส่วนกรณีตามคำพิพากษาศาลปกครองขอนแก่น นั้น ผู้ร้องฟ้องขอให้บังคับนาง ส. ชำระค่าเสียหายต่อชื่อเสียงและค่าตอบแทนตามภาระงานเป็นกรณีพิเศษ ระหว่างเดือนตุลาคม 2558 ถึงเดือนกรกฎาคม 2559 ให้แก่ผู้ร้อง ซึ่งเป็นคนละช่วงเวลากัน ทั้งคำพิพากษาศาลฎีกาและคำพิพากษาศาลปกครองขอนแก่นเห็นพ้องกันว่า การกระทำของนาง ส. ไม่เป็นละเมิด และมิได้บังคับให้นาง ส. ชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้ร้อง กรณีจึงไม่มีปัญหาข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาล กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหาย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม อันจะเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 อีกทั้งการที่ผู้ร้องอ้างว่าได้รับความเสียหายจากการที่ศาลยุติธรรมพิพากษายกฟ้องผู้ร้อง ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดว่า สำนวนคดีของศาลจังหวัดขอนแก่นตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2398/2561 อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครอง ก็มิใช่กรณีมีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ คำร้องของผู้ร้องไม่ชอบด้วยมาตรา 14 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 อาศัยอำนาจตามมาตรา 17 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 ประกอบข้อ 28 ของข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. 2544 จึงให้ยกคำร้อง
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 14
แม้คดีที่ผู้ร้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งองค์การบริหารส่วนตำบลหมื่นไวยที่เพิ่มโทษผู้ฟ้องคดีจากปลดออกจากราชการเป็นไล่ออกจากราชการ มติการประชุมที่เห็นชอบให้เพิ่มโทษผู้ฟ้องคดีจากปลดออกจากราชการเป็นไล่ออกจากราชการ และมติการประชุมที่ยกอุทธรณ์คำสั่งลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดพิมาย ยื่นฟ้องผู้ร้องต่อศาลจังหวัดพิมาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 91 ข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จะอาศัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าลาดในระหว่างที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าลาด ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 เช่นเดียวกันก็ตาม แต่ประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งองค์การบริหารส่วนตำบลหมื่นไวยที่เพิ่มโทษผู้ฟ้องคดีจากปลดออกจากราชการเป็นไล่ออกจากราชการ มติการประชุมที่เห็นชอบให้เพิ่มโทษผู้ฟ้องคดีจากปลดออกจากราชการเป็นไล่ออกจากราชการ และมติการประชุมที่ยกอุทธรณ์คำสั่งลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ร้องเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 หรือไม่ ซึ่งการดำเนินการทางวินัยและทางอาญาแก่ข้าราชการนั้นเป็นกระบวนการที่แยกต่างหากจากกัน โดยการดำเนินการและการลงโทษทางวินัยของข้าราชการมีความมุ่งหมายสำคัญเพื่อควบคุมความประพฤติของข้าราชการให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมาตรฐานทางจริยธรรมเพื่อให้ข้าราชการปฏิบัติราชการให้เกิดประสิทธิภาพ รักษาชื่อเสียงและสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบราชการอันเป็นการใช้มาตรการภายในฝ่ายบริหารตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรักษาวินัยข้าราชการโดยกฎหมายกำหนดให้เป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาที่จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายและตามที่เห็นสมควร โดยเน้นที่ความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งหน้าที่ราชการและการคุ้มครองเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการซึ่งมีผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน การดำเนินการทางวินัยของข้าราชการจึงแตกต่างจากการดำเนินคดีอาญาซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการลงโทษผู้กระทำผิดอาญา โดยมีความมุ่งหมายสำคัญเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งโดยหลักการดำเนินคดีอาญาต้องเป็นไปตามองค์ประกอบความรับผิดทางอาญา และศาลจะพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดอาญาและลงโทษจำเลยก็ต่อเมื่อมีพยานหลักฐานมั่นคงพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดเท่านั้น ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นฐานในการพิจารณาความผิดทางวินัยและความผิดอาญาจะเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าลาดในระหว่างที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าลาดเช่นเดียวกัน แต่เมื่อประเด็นในคดีต่างกันและการพิสูจน์ความผิดที่กฎหมายประสงค์จะนำมาลงโทษในคดีอาญาและคดีวินัยแตกต่างกัน จึงไม่ใช่กรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดระหว่างศาลปกครองกับศาลยุติธรรมขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลแต่อย่างใด กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันตามนัยมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ จึงให้ยกคำร้อง
แม้คดีที่ผู้ร้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งองค์การบริหารส่วนตำบลหมื่นไวยที่เพิ่มโทษผู้ฟ้องคดีจากปลดออกจากราชการเป็นไล่ออกจากราชการ มติการประชุมที่เห็นชอบให้เพิ่มโทษผู้ฟ้องคดีจากปลดออกจากราชการเป็นไล่ออกจากราชการ และมติการประชุมที่ยกอุทธรณ์คำสั่งลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดพิมาย ยื่นฟ้องผู้ร้องต่อศาลจังหวัดพิมาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 91 ข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จะอาศัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าลาดในระหว่างที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าลาด ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 เช่นเดียวกันก็ตาม แต่ประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งองค์การบริหารส่วนตำบลหมื่นไวยที่เพิ่มโทษผู้ฟ้องคดีจากปลดออกจากราชการเป็นไล่ออกจากราชการ มติการประชุมที่เห็นชอบให้เพิ่มโทษผู้ฟ้องคดีจากปลดออกจากราชการเป็นไล่ออกจากราชการ และมติการประชุมที่ยกอุทธรณ์คำสั่งลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ร้องเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 หรือไม่ ซึ่งการดำเนินการทางวินัยและทางอาญาแก่ข้าราชการนั้นเป็นกระบวนการที่แยกต่างหากจากกัน โดยการดำเนินการและการลงโทษทางวินัยของข้าราชการมีความมุ่งหมายสำคัญเพื่อควบคุมความประพฤติของข้าราชการให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมาตรฐานทางจริยธรรมเพื่อให้ข้าราชการปฏิบัติราชการให้เกิดประสิทธิภาพ รักษาชื่อเสียงและสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบราชการอันเป็นการใช้มาตรการภายในฝ่ายบริหารตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรักษาวินัยข้าราชการโดยกฎหมายกำหนดให้เป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาที่จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายและตามที่เห็นสมควร โดยเน้นที่ความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งหน้าที่ราชการและการคุ้มครองเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการซึ่งมีผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน การดำเนินการทางวินัยของข้าราชการจึงแตกต่างจากการดำเนินคดีอาญาซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการลงโทษผู้กระทำผิดอาญา โดยมีความมุ่งหมายสำคัญเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งโดยหลักการดำเนินคดีอาญาต้องเป็นไปตามองค์ประกอบความรับผิดทางอาญา และศาลจะพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดอาญาและลงโทษจำเลยก็ต่อเมื่อมีพยานหลักฐานมั่นคงพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดเท่านั้น ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นฐานในการพิจารณาความผิดทางวินัยและความผิดอาญาจะเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าลาดในระหว่างที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าลาดเช่นเดียวกัน แต่เมื่อประเด็นในคดีต่างกันและการพิสูจน์ความผิดที่กฎหมายประสงค์จะนำมาลงโทษในคดีอาญาและคดีวินัยแตกต่างกัน จึงไม่ใช่กรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดระหว่างศาลปกครองกับศาลยุติธรรมขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลแต่อย่างใด กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันตามนัยมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ จึงให้ยกคำร้อง
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 14
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|