ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๓/๒๕๔๔
วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่๓)
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล
พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดชัยนาท
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๔ ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวังไก่เถื่อน อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท โดยนายธวัช ศรีสุวราภรณ์ ผู้ร้อง เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวังไก่เถื่อน หมู่ที่ ๔ ตำบลวังไก่เถื่อน อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท เครื่องหมายประจำตัว หมายเลข ๕ ปรากฏว่า องค์การบริหารส่วนตำบลวังไก่เถื่อนได้ประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้สมัครเครื่องหมายประจำตัวหมายเลข๓ และหมายเลข ๔ เป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง ผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวังไก่เถื่อนต่อศาลจังหวัดชัยนาท อ้างว่าคณะกรรมการตรวจคะแนนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายทีกำหนดไว้ โดยวินิจฉัยให้บัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนให้กับผู้ร้องซึ่งเป็นบัตรลงคะแนนที่สามารถนับคะแนนได้เป็นบัตรเสีย เป็นผลให้ผู้ร้องได้คะแนนน้อยกว่าที่เป็นจริงและไม่ได้รับเลือกตั้ง และขอให้ศาลจังหวัดชัยนาทไต่สวนและเปิดหีบบัตรเลือกตั้งเพื่อพิจารณาบัตรลงคะแนนและนับคะแนนใหม่หรือมีคำสั่งเพิกถอนการเลือกตั้ง เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวังไก่เถื่อน หมู่ที่ ๔ ตำบลวังไก่เถื่อน อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาทใหม่ต่อไป ศาลจังหวัดชัยนาทเห็นว่า กรณีตามคำร้องมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อันเป็นคดีปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๙ จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้อง
ผู้ร้องจึงได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเพื่อคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวังไก่เถื่อน ซึ่งศาลปกครองกลางเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า"ในระหว่างที่ไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ให้นำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโดยอนุโลม" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลพุทธศักราช ๒๔๘ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อศาลได้รับคำร้องคัดค้านแล้วให้ดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเร็ว ." ศาลยุติธรรมซึ่งเป็นศาลที่ดำเนินการพิจารณาคดีแพ่งโดยใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหลักจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีดังกล่าว ศาลปกครองกลางไม่มีอำนาจรับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณา
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ ศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓)พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลพุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง หมายความถึง ศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า การคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีลักษณะเป็นการคัดค้านคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ร้องอ้างว่าคณะกรรมการตรวจคะแนนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่กำหนดไว้ จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) ซึ่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓ มาตรา ๔๕ วรรคสาม บัญญัติว่า "หลักเกณฑ์และวิธีการสมัครรับเลือกตั้งและการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" แต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นใช้บังคับ กรณีจึงเป็นไปตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า "ในระหว่างที่ไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ให้นำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโดยอนุโลม" ดังนั้น การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลจึงต้องนำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ บัญญัติว่า"ภายในสิบห้าวัน นับตั้งแต่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าสิบคนก็ดี ผู้สมัครคนใดก็ดี ในเขตเลือกตั้งใด เห็นว่าการเลือกตั้งในเขตนั้นเป็นไปโดยมิชอบ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งเขตเลือกตั้งนั้นอยู่ในเขตอำนาจ เพื่อขอให้สั่งว่าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับเลือกตั้งโดยชอบ และหรือว่าผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ หรือว่าไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ" และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อศาลได้รับคำร้องคัดค้านแล้วให้ดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเร็ว " เป็นการบัญญัติให้ศาลชั้นต้นที่พิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลต้องดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเป็นวิธีพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม ซึ่งวิธีพิจารณาคดีถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมาย หากให้ศาลปกครองต้องตัดสินคดีปกครองโดยใช้วิธีพิจารณาความแพ่งแทนที่จะใช้วิธีพิจารณาคดีปกครองย่อมจะไม่สอดคล้องกับระบบและความมุ่งหมายของกฎหมาย ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๕๔๒มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๑/๒๕๔๔
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวังไก่เถื่อน อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท ของนายธวัช ศรีสุวราภรณ์ ผู้ร้อง อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดชัยนาท
(ลงชื่อ) สันติ ทักราล (ลงชื่อ) เฉลิมชัย เกษมสันต์
(นายสันติ ทักราล) (หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) โภคิน พลกุล
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายโภคิน พลกุล)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
๔
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๓/๒๕๔๔
วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่๓)
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล
พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดชัยนาท
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๔ ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวังไก่เถื่อน อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท โดยนายธวัช ศรีสุวราภรณ์ ผู้ร้อง เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวังไก่เถื่อน หมู่ที่ ๔ ตำบลวังไก่เถื่อน อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท เครื่องหมายประจำตัว หมายเลข ๕ ปรากฏว่า องค์การบริหารส่วนตำบลวังไก่เถื่อนได้ประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้สมัครเครื่องหมายประจำตัวหมายเลข๓ และหมายเลข ๔ เป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง ผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวังไก่เถื่อนต่อศาลจังหวัดชัยนาท อ้างว่าคณะกรรมการตรวจคะแนนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายทีกำหนดไว้ โดยวินิจฉัยให้บัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนให้กับผู้ร้องซึ่งเป็นบัตรลงคะแนนที่สามารถนับคะแนนได้เป็นบัตรเสีย เป็นผลให้ผู้ร้องได้คะแนนน้อยกว่าที่เป็นจริงและไม่ได้รับเลือกตั้ง และขอให้ศาลจังหวัดชัยนาทไต่สวนและเปิดหีบบัตรเลือกตั้งเพื่อพิจารณาบัตรลงคะแนนและนับคะแนนใหม่หรือมีคำสั่งเพิกถอนการเลือกตั้ง เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวังไก่เถื่อน หมู่ที่ ๔ ตำบลวังไก่เถื่อน อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาทใหม่ต่อไป ศาลจังหวัดชัยนาทเห็นว่า กรณีตามคำร้องมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อันเป็นคดีปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๙ จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้อง
ผู้ร้องจึงได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเพื่อคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวังไก่เถื่อน ซึ่งศาลปกครองกลางเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า"ในระหว่างที่ไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ให้นำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโดยอนุโลม" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลพุทธศักราช ๒๔๘ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อศาลได้รับคำร้องคัดค้านแล้วให้ดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเร็ว ." ศาลยุติธรรมซึ่งเป็นศาลที่ดำเนินการพิจารณาคดีแพ่งโดยใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหลักจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีดังกล่าว ศาลปกครองกลางไม่มีอำนาจรับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณา
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ ศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓)พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลพุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง หมายความถึง ศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า การคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีลักษณะเป็นการคัดค้านคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ร้องอ้างว่าคณะกรรมการตรวจคะแนนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่กำหนดไว้ จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) ซึ่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓ มาตรา ๔๕ วรรคสาม บัญญัติว่า "หลักเกณฑ์และวิธีการสมัครรับเลือกตั้งและการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" แต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นใช้บังคับ กรณีจึงเป็นไปตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า "ในระหว่างที่ไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ให้นำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโดยอนุโลม" ดังนั้น การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลจึงต้องนำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ บัญญัติว่า"ภายในสิบห้าวัน นับตั้งแต่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าสิบคนก็ดี ผู้สมัครคนใดก็ดี ในเขตเลือกตั้งใด เห็นว่าการเลือกตั้งในเขตนั้นเป็นไปโดยมิชอบ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งเขตเลือกตั้งนั้นอยู่ในเขตอำนาจ เพื่อขอให้สั่งว่าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับเลือกตั้งโดยชอบ และหรือว่าผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ หรือว่าไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ" และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อศาลได้รับคำร้องคัดค้านแล้วให้ดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเร็ว " เป็นการบัญญัติให้ศาลชั้นต้นที่พิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลต้องดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเป็นวิธีพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม ซึ่งวิธีพิจารณาคดีถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมาย หากให้ศาลปกครองต้องตัดสินคดีปกครองโดยใช้วิธีพิจารณาความแพ่งแทนที่จะใช้วิธีพิจารณาคดีปกครองย่อมจะไม่สอดคล้องกับระบบและความมุ่งหมายของกฎหมาย ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๕๔๒มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๑/๒๕๔๔
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลวังไก่เถื่อน อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท ของนายธวัช ศรีสุวราภรณ์ ผู้ร้อง อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดชัยนาท
(ลงชื่อ) สันติ ทักราล (ลงชื่อ) เฉลิมชัย เกษมสันต์
(นายสันติ ทักราล) (หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) โภคิน พลกุล
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายโภคิน พลกุล)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
๔
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2542 มาตรา 25 วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช 2482 มาตรา 57 และมาตรา 58 วรรคหนึ่ง
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒/๒๕๔๔
วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒ และ ๙ วรรคหนึ่ง(๑)
ศาลจังหวัดน่าน
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดน่านได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง(๓) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้อง และศาลที่ส่งความเห็นและรับความเห็นมีความแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
นายอำนาจหรือพิเชษฐ์ ศรีเพชราวุธ โดยนายศรีสุวรรณ ฟ้าสะท้อน ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทย์ยื่นฟ้องนายประมวล สถิตเสถียร เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดน่าน จำเลยที่ ๑ นายนิพนธ์ ขันธปราบ รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน จำเลยที่ ๒ จังหวัดน่าน โดยร้อยตำรวจตรีธนะพงษ์ จักกะพาก ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน จำเลยที่ ๓ ต่อศาลจังหวัดน่าน อ้างว่า โจทย์เป็นเจ้าของที่ดินตามใบจอง (น.ส.๒) เลขที่ ๕๑๗ หมู่ที่ ๔ ตำบลไชยสถาน อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน โดยซื้อและรับมอบการครอบครองมาจากนางจินตนา เมษารักษ์ภิญโญ เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๓๗ ซึ่งซื้อและรับมอบการครอบครองมาจากนายศรีวรรณ ฟ้าสะท้อน ผู้มีชื่อเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินในใบจองอีกต่อหนึ่ง เมื่อวันที่ ๓๑มกราคม ๒๕๓๓ ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๑ จำเลยที่ ๑ ได้แจ้งโจทย์และนายศรีวรรณส่งมอบหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินใบจอง (น.ส. ๒) เลขที่ ๕๑๗ คืนและแจ้งว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๐๗ การออกใบจองดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทย์โต้แย้งและทำหนังสือชี้แจงจำเลยที่ ๑ แล้ว แต่จำเลยที่ ๑ ได้ออกคำสั่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดน่าน ที่ ๑๓/๒๕๔๒ ลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๐๗ เพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในใบจอง(น.ส. ๒) เลขที่ ๕๑๗ ของโจทย์ และแจ้งไปยังนายศรีวรรณทราบ ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้มีหนังสือแจ้งให้โจทย์ทราบว่าที่ดินที่โจทย์ถือครองอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ให้โจทย์รื้อถอนอุปกรณ์และสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินซึ่งเป็นพื้นที่ราชการ การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทย์เสียหาย ขอให้ศาลจังหวัดน่านพิพากษายกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดน่าน ที่ ๑๓/๒๕๔๒ ลงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๔๒ และสั่งว่าที่ดินตามใบจอง (น.ส. ๒) เลขที่ ๕๑๗ ของโจทย์ไม่ได้อยู่ในเขตป่าไม้ถาวร และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทย์
จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดีและอ้างว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลปกครองหรือคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ เมื่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลใช้บังคับ แต่ยังไม่มีการประกาศเปิดทำการศาลปกครอง บุคคลสามารถฟ้องคดีปกครองต่อศาลอื่นได้หรือไม่
คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้ว เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา๒๗๑ บัญญัติว่า "ศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวงเว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญนี้หรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่อำนาจของศาลอื่น " ส่วนมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า " ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย. ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ "ทั้งสองมาตรานี้เป็นบทบัญญัติที่กำหนดอำนาจของศาลยุติธรรมและศาลปกครองที่แตกต่างกัน กล่าวคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดให้ศาลยุติธรรมเป็นศาลที่มีอำนาจทั่วไปในการพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายกำหนดไม่ให้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ส่วนศาลปกครองเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเฉพาะประเภทตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนดเท่านั้น ศาลยุติธรรมที่มีอำนาจทั่วไปจึงมีอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดีที่ยังไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลหนึ่งศาลใดโดยเฉพาะ
คดีนี้โจทย์ฟ้องขอให้ยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดน่านที่ได้สั่งเพิกถอนใบจอง (น.ส.๒) หมู่ที่ ๔ ตำบลไชยสถาน อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน โดยอ้างว่าจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีลักษณะเป็นคดีปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งลงประกาศราชกิจจานุเบกษาในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๔๒ และมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๒ อันเป็นวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตามมาตรา๒ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โจทย์ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดน่านในวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๓ หลังจากที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลบังคับใช้แล้ว แต่ศาลปกครองเปิดทำการเมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๔ ขณะนั้นจึงยังไม่มีศาลปกครองที่มีเขตอำนาจเหนือคดีปกครอง ศาลยุติธรรมย่อมมีอำนาจในการรับคดีปกครองดังกล่าวไว้พิจารณาพิพากษาได้
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีปกครองที่เกิดขึ้นภายหลังพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลใช้บังคับ แต่ศาลปกครองยังไม่เปิดทำการ อยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม ศาลจังหวัดน่านจึงมีเขตอำนาจเหนือคดีนี้และต้องรับคดีไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
นายธวัชชัย พิทักษ์พล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
สำเนาถูกต้อง
วลัยมาศ แก้วศรชัย
(นางสาววลัยมาศ แก้วศรชัย)
นิติกร ๔
๒
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒/๒๕๔๔
วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒ และ ๙ วรรคหนึ่ง(๑)
ศาลจังหวัดน่าน
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดน่านได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง(๓) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้อง และศาลที่ส่งความเห็นและรับความเห็นมีความแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
นายอำนาจหรือพิเชษฐ์ ศรีเพชราวุธ โดยนายศรีสุวรรณ ฟ้าสะท้อน ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทย์ยื่นฟ้องนายประมวล สถิตเสถียร เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดน่าน จำเลยที่ ๑ นายนิพนธ์ ขันธปราบ รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน จำเลยที่ ๒ จังหวัดน่าน โดยร้อยตำรวจตรีธนะพงษ์ จักกะพาก ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน จำเลยที่ ๓ ต่อศาลจังหวัดน่าน อ้างว่า โจทย์เป็นเจ้าของที่ดินตามใบจอง (น.ส.๒) เลขที่ ๕๑๗ หมู่ที่ ๔ ตำบลไชยสถาน อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน โดยซื้อและรับมอบการครอบครองมาจากนางจินตนา เมษารักษ์ภิญโญ เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๓๗ ซึ่งซื้อและรับมอบการครอบครองมาจากนายศรีวรรณ ฟ้าสะท้อน ผู้มีชื่อเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินในใบจองอีกต่อหนึ่ง เมื่อวันที่ ๓๑มกราคม ๒๕๓๓ ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๑ จำเลยที่ ๑ ได้แจ้งโจทย์และนายศรีวรรณส่งมอบหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินใบจอง (น.ส. ๒) เลขที่ ๕๑๗ คืนและแจ้งว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๐๗ การออกใบจองดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทย์โต้แย้งและทำหนังสือชี้แจงจำเลยที่ ๑ แล้ว แต่จำเลยที่ ๑ ได้ออกคำสั่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดน่าน ที่ ๑๓/๒๕๔๒ ลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๐๗ เพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในใบจอง(น.ส. ๒) เลขที่ ๕๑๗ ของโจทย์ และแจ้งไปยังนายศรีวรรณทราบ ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้มีหนังสือแจ้งให้โจทย์ทราบว่าที่ดินที่โจทย์ถือครองอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ให้โจทย์รื้อถอนอุปกรณ์และสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินซึ่งเป็นพื้นที่ราชการ การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทย์เสียหาย ขอให้ศาลจังหวัดน่านพิพากษายกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดน่าน ที่ ๑๓/๒๕๔๒ ลงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๔๒ และสั่งว่าที่ดินตามใบจอง (น.ส. ๒) เลขที่ ๕๑๗ ของโจทย์ไม่ได้อยู่ในเขตป่าไม้ถาวร และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทย์
จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดีและอ้างว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลปกครองหรือคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ เมื่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลใช้บังคับ แต่ยังไม่มีการประกาศเปิดทำการศาลปกครอง บุคคลสามารถฟ้องคดีปกครองต่อศาลอื่นได้หรือไม่
คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้ว เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา๒๗๑ บัญญัติว่า "ศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวงเว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญนี้หรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่อำนาจของศาลอื่น " ส่วนมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า " ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย. ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ "ทั้งสองมาตรานี้เป็นบทบัญญัติที่กำหนดอำนาจของศาลยุติธรรมและศาลปกครองที่แตกต่างกัน กล่าวคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดให้ศาลยุติธรรมเป็นศาลที่มีอำนาจทั่วไปในการพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายกำหนดไม่ให้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ส่วนศาลปกครองเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเฉพาะประเภทตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนดเท่านั้น ศาลยุติธรรมที่มีอำนาจทั่วไปจึงมีอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดีที่ยังไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลหนึ่งศาลใดโดยเฉพาะ
คดีนี้โจทย์ฟ้องขอให้ยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดน่านที่ได้สั่งเพิกถอนใบจอง (น.ส.๒) หมู่ที่ ๔ ตำบลไชยสถาน อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน โดยอ้างว่าจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีลักษณะเป็นคดีปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งลงประกาศราชกิจจานุเบกษาในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๔๒ และมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๒ อันเป็นวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตามมาตรา๒ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โจทย์ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดน่านในวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๓ หลังจากที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลบังคับใช้แล้ว แต่ศาลปกครองเปิดทำการเมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๔ ขณะนั้นจึงยังไม่มีศาลปกครองที่มีเขตอำนาจเหนือคดีปกครอง ศาลยุติธรรมย่อมมีอำนาจในการรับคดีปกครองดังกล่าวไว้พิจารณาพิพากษาได้
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีปกครองที่เกิดขึ้นภายหลังพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลใช้บังคับ แต่ศาลปกครองยังไม่เปิดทำการ อยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม ศาลจังหวัดน่านจึงมีเขตอำนาจเหนือคดีนี้และต้องรับคดีไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
นายธวัชชัย พิทักษ์พล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
สำเนาถูกต้อง
วลัยมาศ แก้วศรชัย
(นางสาววลัยมาศ แก้วศรชัย)
นิติกร ๔
๒
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 2 และ 9 วรรคหนึ่ง (1)
ไม่มีย่อสั้น
สำเนา
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑/๒๕๔๔
วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และ ๕๘ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดปัตตานี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีอีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นเดียวกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๕ จังหวัดปัตตานีได้ประกาศให้เลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบลตันหยง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี กำหนดวันเลือกตั้งวันเสาร์ที่ ๑๒พฤษภาคม ๒๕๔๔ และกำหนดระยะเวลาสมัครรับเลือกตั้งตั้งแต่วันที่ ๒ ถึง ๘ เมษายน ๒๕๔๔มีผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งสิ้น ๑๘ คน ซึ่งเทศบาลตันหยงสามารถมีสมาชิกได้ ๑๒ คน และมีหน่วยเลือกตั้งจำนวน ๒ หน่วย โดยนายดอแม็ง ผู้ร้องที่ ๑ และนายอับดุลเลาะ วาเด็ง ผู้ร้องที่ ๒ เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเครื่องหมายประจำตัวผู้สมัคร ๙ และ ๑๐ ตามลำดับ ปรากฏว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งเครื่องหมายประจำตัว ๑, ๓, ๕, ๖, ๗, ๘, ๑๒, ๑๓, ๑๔, ๑๕, ๑๖ และ ๑๗ ได้รับการประกาศผลให้เป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบลตันหยง ผู้ร้องทั้งสองได้ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งต่อศาลจังหวัดปัตตานี กล่าวหาว่า คณะกรรมการตรวจนับคะแนนประจำหน่วยเลือกตั้งทั้งสองหน่วยอ่านเครื่องหมายประจำตัวผู้สมัครไม่ตรงกับเครื่องหมายที่ปรากฏในบัตรเลือกตั้งและไม่ได้ชูขึ้นให้ผู้สมัครและประชาชนซึ่งอยู่ในที่นับคะแนนได้เห็น เป็นผลให้ผู้ที่ได้รับการประกาศให้เป็นผู้ได้รับเลือกตั้งได้คะแนนมากกว่าที่เป็นจริงและผู้ร้องทั้งสองได้คะแนนน้อยกว่าที่เป็นจริง และขอให้ศาลจังหวัดปัตตานีไต่สวนและตรวจสอบการตรวจนับคะแนนหากรับฟังได้ว่ามีการกระทำโดยมิชอบเพื่อประโยชน์ของผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้งผู้หนึ่งผู้ใด ขอให้ศาลสั่งว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งนั้นเป็นผู้ได้รับเลือกโดยมิชอบ และสั่งให้ผู้ร้องทั้งสอบเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งโดยชอบ และหากรับฟังไม่ได้ว่าได้มีการกระทำโดยมิชอบเพื่อประโยชน์ของผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้งผู้หนึ่งผู้ใด ขอให้ศาลสั่งว่าไม่มีผู้สมัครรายใดได้รับการเลือกตั้ง ศาลจังหวัดปัตตานีเห็นว่า การที่ผู้ร้องทั้งสองขอให้ศาลจังหวัดปัตตานีมีคำสั่งว่าคำสั่งการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นคำสั่งทางปกครอง ไม่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมจึงไม่รับคำร้องของผู้ร้องทั้งสองไว้พิจารณา
ผู้ร้องทั้งสองจึงได้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเพื่อคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบลตันหยง ศาลปกครองกลางเห็นว่า ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้น่าจะเป็นศาลยุติธรรม ศาลปกครองกลางไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา จึงไม่รับคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ ศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. ๒๔๘๒มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง หมายความถึง ศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้ว เห็นว่า การคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตามมาตรา ๕๗ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. ๒๔๘๒ เป็นการคัดค้านหลังจากที่เทศบาลได้มีประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว อันเป็นการคัดค้านคำสั่งทางปกครองประการหนึ่ง เมื่อผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งยื่นคำร้องเพื่อขอให้ยกเลิกประกาศผลการเลือกตั้งของเทศบาล โดยอ้างว่า คณะกรรมการตรวจนับคะแนนประจำหน่วยเลือกตั้งทั้งสองหน่วยอ่านเครื่องหมายประจำตัวผู้สมัครไม่ตรงกับเครื่องหมายที่ปรากฏในบัตรเลือกตั้งและไม่ได้ชูขึ้นให้ผู้สมัครและประชาชนซึ่งอยู่ ณ ที่นับคะแนนได้เห็น เป็นผลให้ผู้ที่ได้รับการประกาศให้เป็นผู้ได้รับเลือกตั้งได้คะแนนมากกว่าที่เป็นจริงและผู้ร้องทั้งสองได้คะแนนน้อยกว่าที่เป็นจริง เป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) อย่างไรก็ตาม มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้บัญญัติว่า "เมื่อศาลได้รับคำร้องคัดค้านแล้ว ให้ดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเร็ว โดยให้เจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการเลือกตั้งหรือผู้ได้รับเลือกตั้งที่มีส่วนได้เสียมีโอกาสต่อสู้การคัดค้านนั้น.." เป็นการบัญญัติให้ศาลที่พิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลต้องดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเป็นวิธีพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บัญญัติกฎหมายยังมิได้ยกเลิกเขตอำนาจของศาลยุติธรรมในคดีนี้ และการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล วิธีพิจารณาคดีถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมาย หากให้ศาลปกครองต้องตัดสินคดีปกครองโดยใช้วิธีพิจารณาความแพ่งแทนที่จะใช้วิธีพิจารณาคดีปกครองย่อมจะไม่สอดคล้องกับระบบและ ความมุ่งหมายของกฎหมาย ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. ๒๔๘๒
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบลตันหยง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ของนายดอแม็ง ยูโซะ ผู้ร้องที่ ๑ และนายอับดุลเลาะ วาเด็ง ผู้ร้องที่ ๒ อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดปัตตานี
นายธวัชชัย พิทักษ์พล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
๓
ไม่มีย่อสั้น
สำเนา
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑/๒๕๔๔
วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และ ๕๘ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดปัตตานี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีอีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นเดียวกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๕ จังหวัดปัตตานีได้ประกาศให้เลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบลตันหยง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี กำหนดวันเลือกตั้งวันเสาร์ที่ ๑๒พฤษภาคม ๒๕๔๔ และกำหนดระยะเวลาสมัครรับเลือกตั้งตั้งแต่วันที่ ๒ ถึง ๘ เมษายน ๒๕๔๔มีผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งสิ้น ๑๘ คน ซึ่งเทศบาลตันหยงสามารถมีสมาชิกได้ ๑๒ คน และมีหน่วยเลือกตั้งจำนวน ๒ หน่วย โดยนายดอแม็ง ผู้ร้องที่ ๑ และนายอับดุลเลาะ วาเด็ง ผู้ร้องที่ ๒ เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเครื่องหมายประจำตัวผู้สมัคร ๙ และ ๑๐ ตามลำดับ ปรากฏว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งเครื่องหมายประจำตัว ๑, ๓, ๕, ๖, ๗, ๘, ๑๒, ๑๓, ๑๔, ๑๕, ๑๖ และ ๑๗ ได้รับการประกาศผลให้เป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบลตันหยง ผู้ร้องทั้งสองได้ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งต่อศาลจังหวัดปัตตานี กล่าวหาว่า คณะกรรมการตรวจนับคะแนนประจำหน่วยเลือกตั้งทั้งสองหน่วยอ่านเครื่องหมายประจำตัวผู้สมัครไม่ตรงกับเครื่องหมายที่ปรากฏในบัตรเลือกตั้งและไม่ได้ชูขึ้นให้ผู้สมัครและประชาชนซึ่งอยู่ในที่นับคะแนนได้เห็น เป็นผลให้ผู้ที่ได้รับการประกาศให้เป็นผู้ได้รับเลือกตั้งได้คะแนนมากกว่าที่เป็นจริงและผู้ร้องทั้งสองได้คะแนนน้อยกว่าที่เป็นจริง และขอให้ศาลจังหวัดปัตตานีไต่สวนและตรวจสอบการตรวจนับคะแนนหากรับฟังได้ว่ามีการกระทำโดยมิชอบเพื่อประโยชน์ของผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้งผู้หนึ่งผู้ใด ขอให้ศาลสั่งว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งนั้นเป็นผู้ได้รับเลือกโดยมิชอบ และสั่งให้ผู้ร้องทั้งสอบเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งโดยชอบ และหากรับฟังไม่ได้ว่าได้มีการกระทำโดยมิชอบเพื่อประโยชน์ของผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้งผู้หนึ่งผู้ใด ขอให้ศาลสั่งว่าไม่มีผู้สมัครรายใดได้รับการเลือกตั้ง ศาลจังหวัดปัตตานีเห็นว่า การที่ผู้ร้องทั้งสองขอให้ศาลจังหวัดปัตตานีมีคำสั่งว่าคำสั่งการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นคำสั่งทางปกครอง ไม่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมจึงไม่รับคำร้องของผู้ร้องทั้งสองไว้พิจารณา
ผู้ร้องทั้งสองจึงได้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเพื่อคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบลตันหยง ศาลปกครองกลางเห็นว่า ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้น่าจะเป็นศาลยุติธรรม ศาลปกครองกลางไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา จึงไม่รับคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ ศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. ๒๔๘๒มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง หมายความถึง ศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้ว เห็นว่า การคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตามมาตรา ๕๗ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. ๒๔๘๒ เป็นการคัดค้านหลังจากที่เทศบาลได้มีประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว อันเป็นการคัดค้านคำสั่งทางปกครองประการหนึ่ง เมื่อผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งยื่นคำร้องเพื่อขอให้ยกเลิกประกาศผลการเลือกตั้งของเทศบาล โดยอ้างว่า คณะกรรมการตรวจนับคะแนนประจำหน่วยเลือกตั้งทั้งสองหน่วยอ่านเครื่องหมายประจำตัวผู้สมัครไม่ตรงกับเครื่องหมายที่ปรากฏในบัตรเลือกตั้งและไม่ได้ชูขึ้นให้ผู้สมัครและประชาชนซึ่งอยู่ ณ ที่นับคะแนนได้เห็น เป็นผลให้ผู้ที่ได้รับการประกาศให้เป็นผู้ได้รับเลือกตั้งได้คะแนนมากกว่าที่เป็นจริงและผู้ร้องทั้งสองได้คะแนนน้อยกว่าที่เป็นจริง เป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) อย่างไรก็ตาม มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้บัญญัติว่า "เมื่อศาลได้รับคำร้องคัดค้านแล้ว ให้ดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเร็ว โดยให้เจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการเลือกตั้งหรือผู้ได้รับเลือกตั้งที่มีส่วนได้เสียมีโอกาสต่อสู้การคัดค้านนั้น.." เป็นการบัญญัติให้ศาลที่พิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลต้องดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเป็นวิธีพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บัญญัติกฎหมายยังมิได้ยกเลิกเขตอำนาจของศาลยุติธรรมในคดีนี้ และการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล วิธีพิจารณาคดีถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมาย หากให้ศาลปกครองต้องตัดสินคดีปกครองโดยใช้วิธีพิจารณาความแพ่งแทนที่จะใช้วิธีพิจารณาคดีปกครองย่อมจะไม่สอดคล้องกับระบบและ ความมุ่งหมายของกฎหมาย ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. ๒๔๘๒
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบลตันหยง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ของนายดอแม็ง ยูโซะ ผู้ร้องที่ ๑ และนายอับดุลเลาะ วาเด็ง ผู้ร้องที่ ๒ อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดปัตตานี
นายธวัชชัย พิทักษ์พล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
๓
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482 มาตรา 57 และมาตรา 58 วรรคหนึ่ง
โจทก์เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของ ส. โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าขณะทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง ส. อ่านพูดหรือเขียนหนังสือไม่ได้ ไม่สามารถแสดงเจตนาทำพินัยกรรมได้ พินัยกรรมจึงเป็นโมฆะ แต่จำเลยปฏิเสธ ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์ เมื่อพยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักให้รับฟังมากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ขณะทำพินัยกรรม ส. มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า พินัยกรรมมิได้ทำต่อหน้า ธ. ปลัดอำเภอรักษาราชการแทนนายอำเภอบ้านดุง พินัยกรรมจึงเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1658 และมาตรา 1705 นั้น แม้มิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น แต่ปัญหาว่าพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองทำถูกต้องตามแบบเป็นโมฆะหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์สามารถยกขึ้นอุทธรณ์ได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองของ ส. ประกอบคำเบิกความของ ภ. เจ้าหน้าที่ทะเบียนราษฎรของอำเภอบ้านดุง พยานจำเลยซึ่งเป็นพยานคนกลางแล้ว ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่า ส. ทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองต่อหน้า ธ. ซึ่งลงนามในพินัยกรรมในฐานะกรมการอำเภอเป็นปลัดอำเภอรักษาราชการแทนนายอำเภอโดยถูกต้องสมบูรณ์ครบถ้วนตามกฎหมาย พินัยกรรมจึงไม่เป็นโมฆะ
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองของนางสังวาล ฉบับลงวันที่ 3 มิถุนายน 2547 เป็นโมฆะ และให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 9398 ตำบลอ้อมกอ อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี กลับคืนเป็นชื่อนางสังวาล หากจำเลยไม่ดำเนินการขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 เห็นว่า ได้ความจากนางสมบูรณ์พยานโจทก์ว่า โจทก์มีนิสัยเจ้าชู้ชอบเลี้ยงหญิงสาวและเล่นการพนัน น่าเชื่อว่าเป็นเหตุหนึ่งที่นางสังวาลต้องทำพินัยกรรมเพราะไม่ต้องการให้โจทก์เข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดิน และได้ความว่าก่อนทำพินัยกรรม นางสังวาลนำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองไว้และถูกทวงถามให้ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง เรื่องที่จำเลยต่อสู้ว่านางสังวาลขอให้จำเลยไถ่ถอนจำนองและจะยกที่ดินให้ เชื่อว่าเป็นความจริง จำเลยตกลงแต่ยังไม่สามารถชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองและรับโอนที่ดินได้เนื่องจากทำงานที่สาธารณรัฐเกาหลี นางสังวาลจึงแสดงเจตนาทำพินัยกรรมยกที่ดินให้แก่จำเลยแต่ผู้เดียว และแต่งตั้งนางหนูจันทร์บุตรนางทองคำ พี่สาวตนเป็นผู้จัดการมรดก โดยนางหนูจันทร์ไม่ได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกของนางสังวาล น่าเชื่อว่านางหนูจันทร์ทำตามคำสั่งของนางสังวาล โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าขณะทำพินัยกรรม นางสังวาลอ่านพูดหรือเขียนหนังสือไม่ได้ ไม่สามารถแสดงเจตนาทำพินัยกรรมได้ พินัยกรรมจึงเป็นโมฆะ แต่จำเลยปฏิเสธ ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามที่วินิจฉัยแล้วว่านางสังวาลต้องการทำพินัยกรรมยกที่ดินให้แก่จำเลย แต่นางสังวาลป่วยเป็นมะเร็งตับขั้นสุดท้าย จึงน่าจะเป็นสาเหตุให้นางสังวาลต้องการให้มีคนกลางซึ่งไม่มีส่วนได้เสียกับที่ดินของตนเป็นพยาน จึงแสดงเจตนาทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง โจทก์และนางสมบูรณ์พยานโจทก์ไม่อยู่ขณะนางสังวาลแสดงเจตนาทำพินัยกรรม ที่โจทก์อ้างว่าขณะนั้นนางสังวาลป่วยหนักไม่มีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ มีน้ำหนักน้อย จำเลยมีนางหนูจันทร์เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า ขณะทำพินัยกรรมนางสังวาลมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ และมีนางสุภาพรเจ้าหน้าที่ทะเบียนราษฎรของอำเภอบ้านดุงเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า พยานสอบถามแล้วนางสังวาลต้องการทำพินัยกรรมยกที่ดินให้แก่จำเลย และตั้งนางหนูจันทร์เป็นผู้จัดการมรดก นางสังวาลมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์สามารถทำพินัยกรรมได้ จึงพิมพ์พินัยกรรมให้ตามความประสงค์ แล้วให้นายธเชนทร์ปลัดอำเภอรักษาราชการแทนนายอำเภอบ้านดุงตรวจความถูกต้องก่อนอ่านให้นางสังวาลฟังและให้พิมพ์ลายนิ้วมือเป็นหลักฐาน นางหนูจันทร์และนางสุภาพรเป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสียกับที่ดินของนางสังวาล จึงมีน้ำหนักให้รับฟังมากกว่าพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ขณะทำพินัยกรรมนางสังวาลมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า พินัยกรรมมิได้ทำต่อหน้านายธเชนทร์ พินัยกรรมจึงเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1658 และมาตรา 1705 นั้น แม้มิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น แต่ปัญหาว่าพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองทำถูกต้องตามแบบเป็นโมฆะหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์สามารถยกขึ้นอุทธรณ์ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาพินัยกรรมแล้ว พบว่ามีพยานลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของนางสังวาลถูกต้องครบถ้วน โดยนายธเชนทร์ลงนามในพินัยกรรมในฐานะกรมการอำเภอเป็นปลัดอำเภอรักษาราชการแทนนายอำเภอ แม้นางสุภาพรจะเบิกความตอบคำถามค้านของทนายโจทก์สับสนไปว่า นายธเชนทร์ไม่ได้สอบถามวัตถุประสงค์ของนางสังวาลและจัดพิมพ์พินัยกรรมด้วยตนเอง แต่นางสุภาพรได้เบิกความตอบคำถามติงของทนายจำเลยว่า หลังจากให้นายธเชนทร์ตรวจดูพินัยกรรมแล้วได้อ่านพินัยกรรมให้นางสังวาลฟังต่อหน้านายธเชนทร์ นางญาณธร และพยาน การพิมพ์ลายนิ้วมือของนางสังวาลกระทำต่อหน้านายธเชนทร์ ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่า นางสังวาลทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองต่อหน้ากรมการอำเภอโดยถูกต้องสมบูรณ์ครบถ้วนตามกฎหมาย พินัยกรรมจึงไม่เป็นโมฆะ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของโจทก์ที่ว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่า ขณะทำพินัยกรรมนางสังวาลไม่มีสติสัมปชัญญะ การให้นางหนูจันทร์ซึ่งมิใช่บุตรเป็นผู้จัดการมรดก จึงมีพิรุธว่านางหนูจันทร์มีส่วนได้เสียกับเจ้าหน้าที่ในการทำพินัยกรรม การทำพินัยกรรมมิได้ทำต่อหน้านายธเชนทร์ปลัดอำเภอรักษาราชการแทนนายอำเภอบ้านดุง จึงมิชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1646 และมาตรา 1658 พินัยกรรมจึงเป็นโมฆะ เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไว้ถูกต้องและชอบด้วยเหตุผลแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา โจทก์ฎีกาโดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกา จึงไม่มีค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่ต้องคืนให้ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ
โจทก์เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของ ส. โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าขณะทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง ส. อ่านพูดหรือเขียนหนังสือไม่ได้ ไม่สามารถแสดงเจตนาทำพินัยกรรมได้ พินัยกรรมจึงเป็นโมฆะ แต่จำเลยปฏิเสธ ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์ เมื่อพยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักให้รับฟังมากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ขณะทำพินัยกรรม ส. มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า พินัยกรรมมิได้ทำต่อหน้า ธ. ปลัดอำเภอรักษาราชการแทนนายอำเภอบ้านดุง พินัยกรรมจึงเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1658 และมาตรา 1705 นั้น แม้มิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น แต่ปัญหาว่าพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองทำถูกต้องตามแบบเป็นโมฆะหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์สามารถยกขึ้นอุทธรณ์ได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองของ ส. ประกอบคำเบิกความของ ภ. เจ้าหน้าที่ทะเบียนราษฎรของอำเภอบ้านดุง พยานจำเลยซึ่งเป็นพยานคนกลางแล้ว ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่า ส. ทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองต่อหน้า ธ. ซึ่งลงนามในพินัยกรรมในฐานะกรมการอำเภอเป็นปลัดอำเภอรักษาราชการแทนนายอำเภอโดยถูกต้องสมบูรณ์ครบถ้วนตามกฎหมาย พินัยกรรมจึงไม่เป็นโมฆะ
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองของนางสังวาล ฉบับลงวันที่ 3 มิถุนายน 2547 เป็นโมฆะ และให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 9398 ตำบลอ้อมกอ อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี กลับคืนเป็นชื่อนางสังวาล หากจำเลยไม่ดำเนินการขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 เห็นว่า ได้ความจากนางสมบูรณ์พยานโจทก์ว่า โจทก์มีนิสัยเจ้าชู้ชอบเลี้ยงหญิงสาวและเล่นการพนัน น่าเชื่อว่าเป็นเหตุหนึ่งที่นางสังวาลต้องทำพินัยกรรมเพราะไม่ต้องการให้โจทก์เข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดิน และได้ความว่าก่อนทำพินัยกรรม นางสังวาลนำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองไว้และถูกทวงถามให้ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง เรื่องที่จำเลยต่อสู้ว่านางสังวาลขอให้จำเลยไถ่ถอนจำนองและจะยกที่ดินให้ เชื่อว่าเป็นความจริง จำเลยตกลงแต่ยังไม่สามารถชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองและรับโอนที่ดินได้เนื่องจากทำงานที่สาธารณรัฐเกาหลี นางสังวาลจึงแสดงเจตนาทำพินัยกรรมยกที่ดินให้แก่จำเลยแต่ผู้เดียว และแต่งตั้งนางหนูจันทร์บุตรนางทองคำ พี่สาวตนเป็นผู้จัดการมรดก โดยนางหนูจันทร์ไม่ได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกของนางสังวาล น่าเชื่อว่านางหนูจันทร์ทำตามคำสั่งของนางสังวาล โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าขณะทำพินัยกรรม นางสังวาลอ่านพูดหรือเขียนหนังสือไม่ได้ ไม่สามารถแสดงเจตนาทำพินัยกรรมได้ พินัยกรรมจึงเป็นโมฆะ แต่จำเลยปฏิเสธ ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามที่วินิจฉัยแล้วว่านางสังวาลต้องการทำพินัยกรรมยกที่ดินให้แก่จำเลย แต่นางสังวาลป่วยเป็นมะเร็งตับขั้นสุดท้าย จึงน่าจะเป็นสาเหตุให้นางสังวาลต้องการให้มีคนกลางซึ่งไม่มีส่วนได้เสียกับที่ดินของตนเป็นพยาน จึงแสดงเจตนาทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง โจทก์และนางสมบูรณ์พยานโจทก์ไม่อยู่ขณะนางสังวาลแสดงเจตนาทำพินัยกรรม ที่โจทก์อ้างว่าขณะนั้นนางสังวาลป่วยหนักไม่มีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ มีน้ำหนักน้อย จำเลยมีนางหนูจันทร์เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า ขณะทำพินัยกรรมนางสังวาลมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ และมีนางสุภาพรเจ้าหน้าที่ทะเบียนราษฎรของอำเภอบ้านดุงเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า พยานสอบถามแล้วนางสังวาลต้องการทำพินัยกรรมยกที่ดินให้แก่จำเลย และตั้งนางหนูจันทร์เป็นผู้จัดการมรดก นางสังวาลมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์สามารถทำพินัยกรรมได้ จึงพิมพ์พินัยกรรมให้ตามความประสงค์ แล้วให้นายธเชนทร์ปลัดอำเภอรักษาราชการแทนนายอำเภอบ้านดุงตรวจความถูกต้องก่อนอ่านให้นางสังวาลฟังและให้พิมพ์ลายนิ้วมือเป็นหลักฐาน นางหนูจันทร์และนางสุภาพรเป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสียกับที่ดินของนางสังวาล จึงมีน้ำหนักให้รับฟังมากกว่าพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ขณะทำพินัยกรรมนางสังวาลมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า พินัยกรรมมิได้ทำต่อหน้านายธเชนทร์ พินัยกรรมจึงเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1658 และมาตรา 1705 นั้น แม้มิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น แต่ปัญหาว่าพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองทำถูกต้องตามแบบเป็นโมฆะหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์สามารถยกขึ้นอุทธรณ์ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาพินัยกรรมแล้ว พบว่ามีพยานลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของนางสังวาลถูกต้องครบถ้วน โดยนายธเชนทร์ลงนามในพินัยกรรมในฐานะกรมการอำเภอเป็นปลัดอำเภอรักษาราชการแทนนายอำเภอ แม้นางสุภาพรจะเบิกความตอบคำถามค้านของทนายโจทก์สับสนไปว่า นายธเชนทร์ไม่ได้สอบถามวัตถุประสงค์ของนางสังวาลและจัดพิมพ์พินัยกรรมด้วยตนเอง แต่นางสุภาพรได้เบิกความตอบคำถามติงของทนายจำเลยว่า หลังจากให้นายธเชนทร์ตรวจดูพินัยกรรมแล้วได้อ่านพินัยกรรมให้นางสังวาลฟังต่อหน้านายธเชนทร์ นางญาณธร และพยาน การพิมพ์ลายนิ้วมือของนางสังวาลกระทำต่อหน้านายธเชนทร์ ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่า นางสังวาลทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองต่อหน้ากรมการอำเภอโดยถูกต้องสมบูรณ์ครบถ้วนตามกฎหมาย พินัยกรรมจึงไม่เป็นโมฆะ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของโจทก์ที่ว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่า ขณะทำพินัยกรรมนางสังวาลไม่มีสติสัมปชัญญะ การให้นางหนูจันทร์ซึ่งมิใช่บุตรเป็นผู้จัดการมรดก จึงมีพิรุธว่านางหนูจันทร์มีส่วนได้เสียกับเจ้าหน้าที่ในการทำพินัยกรรม การทำพินัยกรรมมิได้ทำต่อหน้านายธเชนทร์ปลัดอำเภอรักษาราชการแทนนายอำเภอบ้านดุง จึงมิชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1646 และมาตรา 1658 พินัยกรรมจึงเป็นโมฆะ เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไว้ถูกต้องและชอบด้วยเหตุผลแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา โจทก์ฎีกาโดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกา จึงไม่มีค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่ต้องคืนให้ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ
ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในเขตปกครองของโจทก์ จำเลยก่อตั้งสำนักสงฆ์ในที่ดินพิพาทโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางราชการ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ตาม พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2496 มาตรา 50 (9) ประกอบด้วย พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 มาตรา 122 และระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน พ.ศ.2553 ข้อ 6 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สิน และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ 27985 ตั้งอยู่ที่บ้านโนนจำปา หมู่ที่ 2 ตำบลสามัคคีพัฒนา อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร หากไม่สามารถรื้อถอนได้ให้ตกเป็นส่วนควบกับที่ดิน และห้ามจำเลยกับบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีก
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ 27985 ตั้งอยู่ที่บ้านโนนจำปา หมู่ที่ 2 ตำบลสามัคคีพัฒนา อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร หากจำเลยไม่ขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปหรือหากไม่สามารถรื้อถอนได้ให้ตกเป็นส่วนควบกับที่ดิน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินที่พิพาทจากทางราชการ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิก่อตั้งสำนักสงฆ์และอยู่ในที่ดินพิพาท เมื่อที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในเขตปกครองของเทศบาลตำบลสามัคคีพัฒนาโจทก์ และจำเลยก่อตั้งสำนักสงฆ์ในที่ดินพิพาทตามรูปแผนที่ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางราชการ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 มาตรา 50(9) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 มาตรา 122 และระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน พ.ศ.2553 ข้อ 6 วรรคสอง พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า การที่นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลสามัคคีพัฒนานำคดีมาฟ้องโดยไม่ได้รับความยินยอมเห็นชอบจากสภาเทศบาลตำบลสามัคคีพัฒนา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้วินิจฉัยไว้ถูกต้องแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในเขตปกครองของโจทก์ จำเลยก่อตั้งสำนักสงฆ์ในที่ดินพิพาทโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางราชการ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ตาม พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2496 มาตรา 50 (9) ประกอบด้วย พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 มาตรา 122 และระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน พ.ศ.2553 ข้อ 6 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สิน และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ 27985 ตั้งอยู่ที่บ้านโนนจำปา หมู่ที่ 2 ตำบลสามัคคีพัฒนา อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร หากไม่สามารถรื้อถอนได้ให้ตกเป็นส่วนควบกับที่ดิน และห้ามจำเลยกับบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีก
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ 27985 ตั้งอยู่ที่บ้านโนนจำปา หมู่ที่ 2 ตำบลสามัคคีพัฒนา อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร หากจำเลยไม่ขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปหรือหากไม่สามารถรื้อถอนได้ให้ตกเป็นส่วนควบกับที่ดิน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินที่พิพาทจากทางราชการ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิก่อตั้งสำนักสงฆ์และอยู่ในที่ดินพิพาท เมื่อที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในเขตปกครองของเทศบาลตำบลสามัคคีพัฒนาโจทก์ และจำเลยก่อตั้งสำนักสงฆ์ในที่ดินพิพาทตามรูปแผนที่ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางราชการ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 มาตรา 50(9) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 มาตรา 122 และระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน พ.ศ.2553 ข้อ 6 วรรคสอง พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า การที่นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลสามัคคีพัฒนานำคดีมาฟ้องโดยไม่ได้รับความยินยอมเห็นชอบจากสภาเทศบาลตำบลสามัคคีพัฒนา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้วินิจฉัยไว้ถูกต้องแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
ฎีกาของโจทก์ที่ว่า เงินค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระเป็นเงินค้างจ่าย มีกำหนดอายุความ 5 ปี จำเลยทั้งสองไม่อาจเรียกให้ชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางรายเดือนที่ค้างชำระก่อนเดือนกรกฎาคม 2552 เพราะพ้นอายุความเรียกร้องให้โจทก์ชำระได้ตามกฎหมาย และมีข้อโต้แย้งว่าค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระเป็นจำนวนเท่าใด อันหมายถึงจำเลยทั้งสองเรียกให้ชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางรายเดือนที่ค้างชำระได้บางส่วน แต่โจทก์ก็มิได้ขอชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ทั้งโจทก์ฎีกาด้วยว่า ไม่มีกฎหมายให้โจทก์ผู้ซื้อห้องชุดจากการขายทอดตลาดต้องชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระ และการให้โจทก์ผู้ซื้อห้องชุดพิพาทจากการขายทอดตลาดต้องชำระหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดเพื่อประโยชน์แก่ผู้พักอาศัยอยู่ก่อนย่อมไม่เป็นธรรม จึงขัดแย้งกันเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ห้องชุดเลขที่ 236/338 ชั้น 10 อาคารเลขที่ 5 นิติบุคคลอาคารชุดพัฒนาการคอมเพล็กซ์เฮ้าส์ อาคาร 5 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 240316 แขวงสวนหลวง (ที่ 8 พระโขนงฝั่งเหนือ) เขตประเวศ (พระโขนง) กรุงเทพมหานคร แก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองยกเลิกการระงับการให้บริการส่วนรวมและการใช้ทรัพย์ส่วนกลางและการออกเสียงในการประชุมใหญ่แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยทั้งสองชำระค่าขาดรายได้ 5,000 บาทต่อเดือน พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 18 วรรคสอง บัญญัติว่า เจ้าของร่วมต้องร่วมกันออกค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการให้บริการส่วนรวมและที่เกิดจากเครื่องมือ เครื่องใช้ ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษาและการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลาง ตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางตามมาตรา 14 หรือตามส่วนแห่งประโยชน์ที่มีต่อห้องชุด ทั้งนี้ตามที่กำหนดในข้อบังคับ และมาตรา 29 วรรคสอง บัญญัติว่า ในกรณีที่ขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดพนักงานเจ้าหน้าที่จะรับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้เมื่อห้องชุดปลอดจากหนี้อันเกิดจากค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 โดยต้องมีหนังสือรับรองการปลอดหนี้คราวที่สุดจากนิติบุคคลอาคารชุดมาแสดง และมาตรา 29 วรรคสาม บัญญัติว่า ผู้จัดการต้องดำเนินการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ตามวรรคสองให้แก่เจ้าของร่วมภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอและเจ้าของร่วมได้ชำระหนี้อันเกิดจากค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 ครบถ้วนแล้ว นอกจากนี้หลักเกณฑ์การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดนั้น กฎหมายบัญญัติไว้เป็นการทั่วไปโดยไม่มีข้อยกเว้น จึงย่อมนำมาใช้บังคับแก่กรณีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดอันเนื่องมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลด้วย มิใช่ใช้บังคับเฉพาะกรณีที่เจ้าของห้องชุดเป็นผู้ขอจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด ทั้งโดยสภาพของอาคารชุดเป็นอาคารที่ใช้สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยร่วมกันของคนจำนวนมาก บทกฎหมายและข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดเป็นข้อกำหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้อยู่อาศัยเพื่อประโยชน์แก่การอยู่อาศัยร่วมกันโดยปกติสุข เจ้าของร่วมจึงต้องมีส่วนรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายส่วนกลางและค่าปรับตามบทกฎหมายและข้อบังคับเท่าที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อห้องชุดต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของเจ้าของร่วมเดิม และต้องถือว่าค่าปรับอันเกิดจากการผิดนัดชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่โจทก์ต้องรับผิดชอบด้วย โจทก์จะอ้างว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าของห้องชุดคนเดิมต้องชำระหนี้ที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายส่วนกลางต่อจำเลยทั้งสองหรือเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีบุริมสิทธิ์ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการขายทอดตลาดห้องชุดเพื่อปัดความรับผิดหาได้ไม่ อีกทั้งจะถือว่าการที่จำเลยทั้งสองไม่ฟ้องร้องเจ้าของเดิมหรือไม่ให้การสู้คดีนี้ ถือว่าจำเลยทั้งสองไม่ติดใจเรียกร้องค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระแล้วไม่ได้ เพราะจำเลยทั้งสองไม่มีหน้าที่ต้องกระทำตามกฎหมาย เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระให้ครบถ้วน ตามมาตรา 29 วรรคสองและวรรคสาม จำเลยทั้งสองจึงยังไม่มีหน้าที่ออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ห้องชุดพิพาทให้แก่โจทก์ ไม่ถือว่าเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ อุทธรณ์ประเด็นอื่นเป็นประเด็นปลีกย่อยไม่เป็นสาระแก่คดี และไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของโจทก์ที่ว่า เงินค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระเป็นเงินค้างจ่าย มีกำหนดอายุความ 5 ปี จำเลยทั้งสองไม่อาจเรียกให้ชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางรายเดือนที่ค้างชำระก่อนเดือนกรกฎาคม 2552 เพราะพ้นอายุความเรียกร้องให้โจทก์ชำระได้ตามกฎหมายและมีข้อโต้แย้งว่าค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระเป็นจำนวนเท่าใด อันหมายถึงจำเลยทั้งสองเรียกให้ชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางรายเดือนที่ค้างชำระได้บางส่วน แต่โจทก์ก็มิได้ขอชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางดังกล่าว ทั้งโจทก์ฎีกาด้วยว่า ไม่มีกฎหมายให้โจทก์ผู้ซื้อห้องชุดจากการขายทอดตลาดต้องชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระและการให้โจทก์ผู้ซื้อห้องชุดพิพาทจากการขายทอดตลาดต้องชำระหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดเพื่อประโยชน์แก่ผู้พักอาศัยอยู่ก่อนย่อมไม่เป็นธรรม จึงขัดแย้งกันเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
ฎีกาของโจทก์ที่ว่า เงินค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระเป็นเงินค้างจ่าย มีกำหนดอายุความ 5 ปี จำเลยทั้งสองไม่อาจเรียกให้ชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางรายเดือนที่ค้างชำระก่อนเดือนกรกฎาคม 2552 เพราะพ้นอายุความเรียกร้องให้โจทก์ชำระได้ตามกฎหมาย และมีข้อโต้แย้งว่าค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระเป็นจำนวนเท่าใด อันหมายถึงจำเลยทั้งสองเรียกให้ชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางรายเดือนที่ค้างชำระได้บางส่วน แต่โจทก์ก็มิได้ขอชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ทั้งโจทก์ฎีกาด้วยว่า ไม่มีกฎหมายให้โจทก์ผู้ซื้อห้องชุดจากการขายทอดตลาดต้องชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระ และการให้โจทก์ผู้ซื้อห้องชุดพิพาทจากการขายทอดตลาดต้องชำระหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดเพื่อประโยชน์แก่ผู้พักอาศัยอยู่ก่อนย่อมไม่เป็นธรรม จึงขัดแย้งกันเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ห้องชุดเลขที่ 236/338 ชั้น 10 อาคารเลขที่ 5 นิติบุคคลอาคารชุดพัฒนาการคอมเพล็กซ์เฮ้าส์ อาคาร 5 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 240316 แขวงสวนหลวง (ที่ 8 พระโขนงฝั่งเหนือ) เขตประเวศ (พระโขนง) กรุงเทพมหานคร แก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองยกเลิกการระงับการให้บริการส่วนรวมและการใช้ทรัพย์ส่วนกลางและการออกเสียงในการประชุมใหญ่แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยทั้งสองชำระค่าขาดรายได้ 5,000 บาทต่อเดือน พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 18 วรรคสอง บัญญัติว่า เจ้าของร่วมต้องร่วมกันออกค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการให้บริการส่วนรวมและที่เกิดจากเครื่องมือ เครื่องใช้ ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษาและการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลาง ตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางตามมาตรา 14 หรือตามส่วนแห่งประโยชน์ที่มีต่อห้องชุด ทั้งนี้ตามที่กำหนดในข้อบังคับ และมาตรา 29 วรรคสอง บัญญัติว่า ในกรณีที่ขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดพนักงานเจ้าหน้าที่จะรับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้เมื่อห้องชุดปลอดจากหนี้อันเกิดจากค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 โดยต้องมีหนังสือรับรองการปลอดหนี้คราวที่สุดจากนิติบุคคลอาคารชุดมาแสดง และมาตรา 29 วรรคสาม บัญญัติว่า ผู้จัดการต้องดำเนินการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ตามวรรคสองให้แก่เจ้าของร่วมภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอและเจ้าของร่วมได้ชำระหนี้อันเกิดจากค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 ครบถ้วนแล้ว นอกจากนี้หลักเกณฑ์การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดนั้น กฎหมายบัญญัติไว้เป็นการทั่วไปโดยไม่มีข้อยกเว้น จึงย่อมนำมาใช้บังคับแก่กรณีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดอันเนื่องมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลด้วย มิใช่ใช้บังคับเฉพาะกรณีที่เจ้าของห้องชุดเป็นผู้ขอจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด ทั้งโดยสภาพของอาคารชุดเป็นอาคารที่ใช้สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยร่วมกันของคนจำนวนมาก บทกฎหมายและข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดเป็นข้อกำหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้อยู่อาศัยเพื่อประโยชน์แก่การอยู่อาศัยร่วมกันโดยปกติสุข เจ้าของร่วมจึงต้องมีส่วนรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายส่วนกลางและค่าปรับตามบทกฎหมายและข้อบังคับเท่าที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อห้องชุดต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของเจ้าของร่วมเดิม และต้องถือว่าค่าปรับอันเกิดจากการผิดนัดชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่โจทก์ต้องรับผิดชอบด้วย โจทก์จะอ้างว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าของห้องชุดคนเดิมต้องชำระหนี้ที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายส่วนกลางต่อจำเลยทั้งสองหรือเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีบุริมสิทธิ์ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการขายทอดตลาดห้องชุดเพื่อปัดความรับผิดหาได้ไม่ อีกทั้งจะถือว่าการที่จำเลยทั้งสองไม่ฟ้องร้องเจ้าของเดิมหรือไม่ให้การสู้คดีนี้ ถือว่าจำเลยทั้งสองไม่ติดใจเรียกร้องค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระแล้วไม่ได้ เพราะจำเลยทั้งสองไม่มีหน้าที่ต้องกระทำตามกฎหมาย เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระให้ครบถ้วน ตามมาตรา 29 วรรคสองและวรรคสาม จำเลยทั้งสองจึงยังไม่มีหน้าที่ออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ห้องชุดพิพาทให้แก่โจทก์ ไม่ถือว่าเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ อุทธรณ์ประเด็นอื่นเป็นประเด็นปลีกย่อยไม่เป็นสาระแก่คดี และไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของโจทก์ที่ว่า เงินค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระเป็นเงินค้างจ่าย มีกำหนดอายุความ 5 ปี จำเลยทั้งสองไม่อาจเรียกให้ชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางรายเดือนที่ค้างชำระก่อนเดือนกรกฎาคม 2552 เพราะพ้นอายุความเรียกร้องให้โจทก์ชำระได้ตามกฎหมายและมีข้อโต้แย้งว่าค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระเป็นจำนวนเท่าใด อันหมายถึงจำเลยทั้งสองเรียกให้ชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางรายเดือนที่ค้างชำระได้บางส่วน แต่โจทก์ก็มิได้ขอชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางดังกล่าว ทั้งโจทก์ฎีกาด้วยว่า ไม่มีกฎหมายให้โจทก์ผู้ซื้อห้องชุดจากการขายทอดตลาดต้องชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระและการให้โจทก์ผู้ซื้อห้องชุดพิพาทจากการขายทอดตลาดต้องชำระหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดเพื่อประโยชน์แก่ผู้พักอาศัยอยู่ก่อนย่อมไม่เป็นธรรม จึงขัดแย้งกันเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านเดินทางไปหาเสียงเลือกตั้งที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด หลังจากผู้คัดค้านเดินออกจากห้องประชุมไปแล้ว อ. ซึ่งมิได้มีชื่อเป็นคณะทำงานหาเสียงของผู้คัดค้านที่แจ้งต่อคณะกรรมการเลือกตั้งนำแผ่นซีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกป้อง 4 ป) ไปแจกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ของสมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด และ อ. ปราศรัยแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2556 สมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัดแต่ไม่ปรากฏว่า อ. มีการพูดเชิญชวนให้สมาชิกที่อยู่ในห้องประชุมที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัดเลือกผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้สมัครหมายเลข 1 ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง คงมีแต่เสียง อ. พูดในตอนต้นว่า เอาคนที่เรารู้จัก เอาคนที่เราเชื่อถือได้เป็น ส.ว. แล้วผมจะฝากงานหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องข้าว เรื่องเกษตรกรนะฮะ และ อ. เสนอตัวที่จะซื้อข้าว หอม กระเทียม และพริกจากเกษตรกร แล้วจัดใส่กระเช้าขายเป็นของขวัญ ของฝาก เพราะเป็นของดีของศรีสะเกษ ซึ่งเป็นโครงการที่จะช่วยเหลือกันระยะยาว และส่วนสุดท้ายพูดว่า ขอให้ช่วยกันดู พิจารณาเลือกตั้งอย่างมีสตินะฮะ ในมือของท่านมีเบอร์อะไรก็ให้เลือกเบอร์นั้นแล้วกัน ข้อความดังกล่าวไม่มีการพูดระบุถึงชื่อและหมายเลขของผู้คัดค้านแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่าการปราศรัยของ อ. ที่จะซื้อสินค้าทางการเกษตร และการที่ อ. นำแผ่นซีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกป้อง 4 ป) มาแจกจ่ายแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด น่าจะเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของ อ. เองโดยอาศัยเหตุการณ์ที่มีคนมาชุมนุมจำนวนมาก ส่วนข้อความในแผ่นซีดีนั้นก็ไม่มีความที่เชื่อมโยงว่าจะเป็นการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เลือกผู้คัดค้านแต่อย่างใด ทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด ได้ความเพียงว่า เมื่อผู้คัดค้านเข้ามาหาเสียงเลือกตั้งแล้วก็ออกจากห้องประชุมไป หลังจากนั้น อ. จึงเข้ามาในห้องประชุมทางประตูเดียวกันกับที่ผู้คัดค้านออกไปเท่านั้น ไม่ได้ความชัดเจนว่าผู้คัดค้านเกี่ยวข้องกับ อ.ในขณะนั้นอย่างไร กรณีจึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้ อ. โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยการให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด อันคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้านตามคำร้อง ส่วนเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2557 ที่โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์มีบุคคลมาต้อนรับ ช. โดยผู้คัดค้านไม่ได้เดินทางไปร่วมงานด้วย ในทางไต่สวนของผู้ร้องก็ไม่ปรากฏชัดเจนว่า ผู้คัดค้านหรือบุคคลใดที่เชื่อมโยงถึงผู้คัดค้านเป็นผู้แจกจ่ายสำเนาภาพของ ภ.ที่ยืนคู่กับท. ทั้งผู้คัดค้านก็นำสืบว่า มีบุคคลตัดต่อภาพของผู้คัดค้านไปยืนคู่กับ ท. เช่นเดียวกัน จึงอาจเป็นไปได้ว่า การตัดต่อภาพดังกล่าวเป็นการกระทำของผู้สมัครคนอื่น พยานหลักฐานของผู้ร้องจึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้ อ. โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยการให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใดเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้านอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557 ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปในวันที่ 30 มีนาคม 2557 หลังจากมีพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวแล้ว ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ หมายเลข 1 ต่อมาวันที่ 29 เมษายน 2557 ผู้ร้องประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ ก่อนการประกาศผลการเลือกตั้งดังกล่าว นายสมภพยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดศรีสะเกษว่า การเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากผู้คัดค้านได้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 โดยกล่าวหาว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยการให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด อันคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้าน ดังนี้ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านได้ไปหาเสียงเลือกตั้งที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ และได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์ นำแผ่นซีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกป้อง 4 ป) ไปแจกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2556 ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ของสมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านได้ไปหาเสียงเลือกตั้งที่โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ และได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์นำแผ่นซีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกป้อง 4 ป) ไปแจกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่และต้อนรับพลเอกชัยสิทธิ์ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์ปราศรัยแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2556 ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ของสมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด โดยกล่าวว่า "ให้เลือกบุคคลที่เรารู้จัก คือ นางสาววิลดา แล้วผมจะทำโครงการช่วยเหลือผลผลิตทางการเกษตรของสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด และชาวจังหวัดศรีสะเกษ คือ ข้าว หอม กระเทียมและพริก ให้มีตลาดจำหน่ายมากขึ้นและได้ราคาดีขึ้น" อันเป็นการให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด อันคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งมิใช่อำนาจหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภาและเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์และนายพรชัยหาเสียงด้วยวิธีการใส่ร้ายด้วยความเท็จและหลอกลวงผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่และต้อนรับพลเอกชัยสิทธิ์ด้วยการนำรูปภาพของนายสมภพที่ตัดต่อไว้กับรูปภาพของนายสุเทพ เลขาธิการ กปปส. พร้อมแนวร่วมคนอื่นเพื่อให้เห็นว่านายสมภพเป็นแนวร่วมกลุ่ม กปปส. และแสดงข้อความบนรูปภาพว่า"คุณสมภพบริจาค 2 ล้าน ต้านระบอบทักษิณ ผู้สมัคร ส.ว. ศรีสะเกษ เบอร์ 5" แล้วสำเนาภาพที่ปรากฏนั้นไปแจกจ่ายให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่ เพื่อจูงใจให้เข้าใจผิดในตัวของนายสมภพเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้าน จากพยานหลักฐานที่ผู้ร้องได้ดำเนินการสอบสวนแล้วเชื่อได้ว่าผู้คัดค้านได้ใช้ หรือรู้เห็นเป็นใจ และกระทำการหลอกลวงใส่ร้ายนายสมภพดังกล่าวเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้าน จึงขอให้มีคำสั่งตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 และมาตรา 112 โดยให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดเวลาห้าปี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้คัดค้านโดยไม่เป็นธรรม ไม่ชัดเจน ไม่ระบุรายละเอียดของการกระทำความผิดหรือความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงระหว่างนายพรชัย นายอริสมันต์ กับผู้คัดค้าน ทำให้ไม่เข้าใจและให้การแก้ข้อกล่าวหาได้ชัดเจนเป็นคำร้องที่เคลือบคลุม และการยื่นคำร้องของนายสมภพ ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดศรีสะเกษให้สอบสวนผู้คัดค้านว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้งเป็นการร้องโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมาย มีเจตนากลั่นแกล้งผู้คัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้วข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557 ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป หลังจากมีพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวแล้ว ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ หมายเลข 1 ผู้ร้องประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดศรีสะเกษ ก่อนการประกาศผลการเลือกตั้งดังกล่าว นายสมภพ ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดศรีสะเกษว่า การเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้าน มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากผู้คัดค้านได้กระทำการอันเป็นการฝ่า,ฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 โดยกล่าวหาว่าเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านได้ไปหาเสียงเลือกตั้งที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด จังหวัดศรีสะเกษ และได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์นำแผ่นซีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกป้อง 4 ป) ไปแจกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด และได้ก่อ สนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์ปราศรัยแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด ว่า "ให้เลือกบุคคลที่เรารู้จัก คือ นางสาววิลดาแล้วผมจะทำโครงการช่วยเหลือผลผลิตทางการเกษตรของสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด และชาวจังหวัดศรีสะเกษ คือ ข้าว หอม กระเทียมและพริก ให้มีตลาดจำหน่ายมากขึ้นและได้ราคาดีขึ้น" และเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านได้ไปหาเสียงเลือกตั้งที่โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์นำแผ่นซีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกป้อง 4 ป) ไปแจกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่และต้อนรับพลเอกชัยสิทธิ์และได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์และนายพรชัยหาเสียงด้วยวิธีการใส่ร้ายด้วยความเท็จ หลอกลวงผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาต้อนรับพลเอกชัยสิทธิ์ ด้วยการนำรูปภาพของนายสมภพที่ตัดต่อไว้กับรูปภาพของนายสุเทพ เลขาธิการ กปปส. พร้อมแนวร่วมคนอื่นเพื่อให้เห็นว่านายสมภพเป็นแนวร่วมกลุ่ม กปปส. แสดงข้อความบนรูปภาพว่า "คุณสมภพบริจาค 2 ล้าน ต้านระบอบทักษิณ ผู้สมัคร ส.ว.ศรีสะเกษ เบอร์ 5" แล้วแจกจ่ายสำเนาภาพนั้นให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่ เพื่อจูงใจให้เข้าใจผิดในตัวของนายสมภพและเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้าน ผู้ร้องไต่สวนแล้วเห็นว่าผู้คัดค้านกระทำผิดตามคำร้อง
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า คำร้องของผู้ร้องเคลือบคลุมหรือไม่
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำร้องของผู้ร้องโดยตลอดแล้ว เห็นว่า ผู้ร้องบรรยายในคำร้องเป็นที่เข้าใจว่าผู้คัดค้านได้กระทำความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งโดยก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์ โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยการให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด อันคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใดเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดด้าน และผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์และนายพรชัยหาเสียงด้วยวิธีการใส่ร้ายด้วยความเท็จ หลอกลวงผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาต้อนรับพลเอกชัยสิทธิ์ ด้วยการนำรูปภาพของนายสมภพที่ตัดต่อไว้กับรูปภาพของนายสุเทพ เลขาธิการ กปปส. พร้อมแนวร่วมคนอื่นเพื่อให้เห็นว่านายสมภพเป็นแนวร่วมกลุ่ม กปปส. เพื่อจูงใจให้เข้าใจผิดในตัวของนายสมภพและเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้าน ขอให้มีคำสั่งตามประกาศคณะรักษฺาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 และมาตรา 122 โดยมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดเวลาห้าปี อันมีรายละเอียดที่ชัดเจน เพียงพอที่จะทำให้ผู้คัดค้านเข้าใจและต่อสู้คดีได้ถูกต้อง นับได้ว่าคำร้องนั้นได้ระบุเรื่องอันเป็นเหตุให้ต้องใช้สิทธิ ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งเหตุผลสนับสนุนโดยชัดแจ้ง และมาตราของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเหตุในคำร้องกับทั้งคำขอที่ระบุความประสงค์จะให้ศาลดำเนินการอย่างใด กรณีต้องตามข้อ 6 ของระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 โดยชอบแล้ว คำร้องของผู้ร้องหาได้เคลือบคลุมตามที่ผู้คัดค้านต่อสู้แต่อย่างใดไม่
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า ผู้คัดค้านได้สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้มีการกระทำฝ่าฝืนตามคำร้องหรือไม่ ในวันที่ 21 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมาที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัดตามคำร้องโดยมาแนะนำตัวหาเสียงเลือกตั้งเท่านั้นไม่ได้แจกเอกสารหาเสียงใดๆ ไม่ได้มีพฤติการณ์กระทำใดที่เกี่ยวข้องกับนายอริสมันต์และนายพรชัยส่วนในวันที่ 25 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ได้ไปร่วมงานที่โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่ตามคำร้องผู้คัดค้านได้เดินทางไปหาเสียงเลือกตั้งที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด หลังจากผู้คัดค้านเดินออกจากห้องประชุมไปแล้ว นายอริสมันต์ซึ่งมิได้มีชื่อเป็นคณะทำงานหาเสียงของผู้คัดค้านที่แจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งนำแผ่นซีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกป้อง 4 ป) ไปแจกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ของสมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด และนายอริสมันต์ปราศรัยแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2556 สมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด โดยกล่าวว่า "ให้เลือกบุคคลที่เรารู้จักแล้วผมจะทำโครงการช่วยเหลือผลผลิตทางการเกษตรของสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด และชาวจังหวัดศรีสะเกษ คือ ข้าว หอม กระเทียมและพริก ให้มีตลาดจำหน่ายมากขึ้นและได้ราคาดีขึ้น"และที่โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ นายอริสมันต์
นำแผ่นซีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกป้อง 4 ป) ไปแจกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่และต้อนรับพลเอกชัยสิทธิ์โดยพบว่ามีเอกสาร รูปภาพของนายสมภพ ที่ตัดต่อไว้กับรูปภาพของนายสุเทพ เลขาธิการ กปปส. พร้อมแนวร่วมคนอื่นเพื่อให้เห็นว่านายสมภพเป็นแนวร่วมกลุ่ม กปปส. แสดงข้อความบนรูปภาพว่า "คุณสมภพบริจาค 2 ล้าน ต้านระบอบทักษิณ ผู้สมัคร ส.ว.ศรีสะเกษ เบอร์ 5" แจกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่และต้อนรับพลเอกชัยสิทธิ์ด้วยเช่นกัน เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องได้อ้างแผ่นซีดีรวม 3 แผ่นประกอบสำนวนการสืบสวนสอบสวนซึ่งเป็นแผ่นซีดีบันทักเสียงคำปราศรัยที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด แผ่นซีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกป้อง 4 ป) ของนายอริสมันต์ และ แผ่นซีดีที่เป็นภาพจากกล้องวงจรปิด บันทึกไว้ขณะมีการประชุมที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด โดยผู้ร้องได้จัดทำเป็นเอกสาร โดยไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านโต้แย้งคัดค้านข้อความตามเอกสารดังกล่าว จึงรับฟังได้ว่าข้อความตามเอกสารนั้นถูกต้องตรงกับข้อมูลในแผ่นซีดีที่ผู้ร้องอ้าง ศาลฎีกาพิจารณา แผ่นซีดีรวม 3 แผ่นที่ผู้ร้องอ้างประกอบเอกสารการถอดเทปแล้ว เห็นว่าเป็นเสียงคำปราศรัยของนายอริสมันต์ แต่ไม่ปรากฏว่านายอริสมันต์มีการพูดเชิญชวนให้สมาชิกที่อยู่ในห้องประชุมที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด เลือกผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้สมัคร หมายเลข 1 ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง คงมีแต่เสียงนายอริสมันต์พูดในตอนต้นว่าเอาคนที่เรารู้จัก เอาคนที่เราเชื่อถือได้เป็น ส.ว. แล้วผมจะฝากงานหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องข้าวเรื่องเกษตรกรนะฮะ และนายอริสมันต์เสนอตัวจะซื้อข้าว หอม กระเทียม และพริกจากเกษตรกร แล้วจัดใส่กระเช้าขายเป็น ของขวัญ ของฝาก เพราะเป็นของดีของศรีสะเกษ ซึ่งเป็นโครงการที่จะช่วยเหลือกันระยะยาว และในส่วนสุดท้ายพูดว่า ขอให้ช่วยกันดู พิจารณาเลือกตั้งอย่างมีสตินะฮะ ในมือของท่านมีเบอร์อะไรก็ให้เลือกเบอร์นั้นแล้วกัน ข้อความดังกล่าว ก็ไม่มีการพูดระบุถึงชื่อและหมายเลขของผู้คัดค้านแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังได้ความจากนายเฉิน กรรมการผู้จัดการบริษัทเม้งไต๋ อินเตอร์เนชั่นแนลเทรด จำกัด และประธานบริษัทเอ็มที เซ็นเตอร์เทรด จำกัด ซึ่งประกอบกิจการรับซื้อขายพืชผลทางการเกษตร พยานผู้คัดค้านว่านายอริสมันต์เป็นที่ปรึกษาทางการตลาดของบริษัท ต้นปี 2557 บริษัททั้งสองเตรียมจะขยายจุดรับซื้อพืชผลทางการเกษตรเพิ่มอีก 1 จุด ที่จังหวัดศรีสะเกษและจัดตั้งบริษัทใหม่ที่จังหวัดศรีสะเกษจึงให้นายอริสมันต์ช่วยหาสถานที่ที่จะเป็นจุดรับซื้อพืชผลทางการเกษตร ต่อมามีการรัฐประหาร หุ้นส่วนที่จะร่วมลงทุนจึงชะลอไปก่อน แสดงให้เห็นว่าการปราศรัยของนายอริสมันต์ที่จะซื้อสินค้าทางการเกษตร และการที่นายอริสมันต์นำแผ่นชีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกปัอง 4 ป) มาแจกจ่ายแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด และที่โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ตามคำร้องน่าจะเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของนายอริสมันต์เองโดยอาศัยเหตุการณ์ที่มีคนมาชุมนุมจำนวนมาก ส่วนข้อความในแผ่นซีดีนั้นก็ไม่มีความที่เชื่อมโยงว่าจะเป็นการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เลือกผู้คัดค้านแต่อย่างใด ทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัดได้ความเพียงว่า เมื่อผู้คัดค้านเข้ามาหาเสียงเลือกตั้งแล้วก็ออกจากห้องประชุมไป หลังจากนั้นนายอริสมันต์จึงเข้ามาในห้องประชุมทางประตูเดียวกันกับที่ผู้คัดค้านออกไปเท่านั้น ไม่ได้ความชัดเจนว่าผู้คัดค้านเกี่ยวข้องกับนายอริสมันต์ในขณะนั้นอย่างไร กรณีจึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์ โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยการให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้านตามคำร้อง
สำหรับเหตุการณ์ในวันที่ 25 มีนาคม 2557 ที่โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งมีบุคคลมาต้อนรับพลเอกชัยสิทธิ์ผู้ร้องนำสืบพยานผู้ร้องว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์และนายพรชัยหาเสียงด้วยวิธีการใส่ร้ายด้วยความเท็จ หลอกลวงผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาต้อนรับพลเอกชัยสิทธิ์ด้วยการนำรูปภาพของนายสมภพ ที่ตัดต่อไว้กับรูปภาพของนายสุเทพ เลขาธิการ กปปส. พร้อมแนวร่วมคนอื่นเพื่อให้เห็นว่านายสมภพเป็นแนวร่วมกลุ่ม กปปส. แสดงข้อความบนรูปภาพว่า "คุณสมภพบริจาค 2 ล้าน ต้านระบอบทักษิณ ผู้สมัคร ส.ว.ศรีสะเกษ เบอร์ 5" แล้วแจกจ่ายสำเนาภาพนั้นให้แก่ผู้มีสิทฺธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่นั้นได้ความตามทางไต่สวนผู้คัดค้านว่าผู้คัดค้านไม่ได้เดินทางไปร่วมงานด้วย สถานที่เกิดเหตุนี้มีผู้คนจำนวนมาก ทางไต่สวนผู้ร้องก็ไม่ปรากฏชัดเจนว่า ผู้คัดค้านหรือบุคคลใดที่เชื่อมโยงถึงผู้คัดค้านเป็นผู้แจกจ่ายสำเนาภาพของนายสมภพที่ยืนคู่กับนายสุเทพ ทั้งผู้คัดค้านก็นำสืบว่ามีบุคคลตัดต่อภาพของผู้คัดค้านไปยืนคู่กับนายสุเทพ เช่นเดียวกันและผู้คัดค้านได้แจ้งความเพื่อลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองศรีสะเกษเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2557 เห็นว่า ตามประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดศรีสะเกษ เรื่อง ผลการรวมคะแนนเลือกตั้งวุฒิสภา ผู้ที่ได้รับคะแนนเลือกตั้งลำดับ 4 คือ นายวนิชย์ หมายเลขประจำตัวผู้สมัคร หมายเลข 6 แสดงให้เห็นว่า มีผู้รับสมัครเลือกตั้งวุฒิสภา จังหวัดศรีสะเกษอย่างน้อย 6 คน แต่มีเพียงนายสมภพกับผู้คัดค้านที่ถูกตัดต่อภาพไปยืนคู่กับนายสุเทพ จึงอาจเป็นไปได้ว่า การตัดต่อภาพดังกล่าวเป็นการกระทำของผู้สมัครคนอื่นพยานหลักฐานของผู้ร้องจึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์ โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยการให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้านอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 ตามคำร้อง
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง.
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านเดินทางไปหาเสียงเลือกตั้งที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด หลังจากผู้คัดค้านเดินออกจากห้องประชุมไปแล้ว อ. ซึ่งมิได้มีชื่อเป็นคณะทำงานหาเสียงของผู้คัดค้านที่แจ้งต่อคณะกรรมการเลือกตั้งนำแผ่นซีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกป้อง 4 ป) ไปแจกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ของสมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด และ อ. ปราศรัยแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2556 สมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัดแต่ไม่ปรากฏว่า อ. มีการพูดเชิญชวนให้สมาชิกที่อยู่ในห้องประชุมที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัดเลือกผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้สมัครหมายเลข 1 ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง คงมีแต่เสียง อ. พูดในตอนต้นว่า เอาคนที่เรารู้จัก เอาคนที่เราเชื่อถือได้เป็น ส.ว. แล้วผมจะฝากงานหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องข้าว เรื่องเกษตรกรนะฮะ และ อ. เสนอตัวที่จะซื้อข้าว หอม กระเทียม และพริกจากเกษตรกร แล้วจัดใส่กระเช้าขายเป็นของขวัญ ของฝาก เพราะเป็นของดีของศรีสะเกษ ซึ่งเป็นโครงการที่จะช่วยเหลือกันระยะยาว และส่วนสุดท้ายพูดว่า ขอให้ช่วยกันดู พิจารณาเลือกตั้งอย่างมีสตินะฮะ ในมือของท่านมีเบอร์อะไรก็ให้เลือกเบอร์นั้นแล้วกัน ข้อความดังกล่าวไม่มีการพูดระบุถึงชื่อและหมายเลขของผู้คัดค้านแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่าการปราศรัยของ อ. ที่จะซื้อสินค้าทางการเกษตร และการที่ อ. นำแผ่นซีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกป้อง 4 ป) มาแจกจ่ายแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด น่าจะเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของ อ. เองโดยอาศัยเหตุการณ์ที่มีคนมาชุมนุมจำนวนมาก ส่วนข้อความในแผ่นซีดีนั้นก็ไม่มีความที่เชื่อมโยงว่าจะเป็นการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เลือกผู้คัดค้านแต่อย่างใด ทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด ได้ความเพียงว่า เมื่อผู้คัดค้านเข้ามาหาเสียงเลือกตั้งแล้วก็ออกจากห้องประชุมไป หลังจากนั้น อ. จึงเข้ามาในห้องประชุมทางประตูเดียวกันกับที่ผู้คัดค้านออกไปเท่านั้น ไม่ได้ความชัดเจนว่าผู้คัดค้านเกี่ยวข้องกับ อ.ในขณะนั้นอย่างไร กรณีจึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้ อ. โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยการให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด อันคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้านตามคำร้อง ส่วนเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2557 ที่โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์มีบุคคลมาต้อนรับ ช. โดยผู้คัดค้านไม่ได้เดินทางไปร่วมงานด้วย ในทางไต่สวนของผู้ร้องก็ไม่ปรากฏชัดเจนว่า ผู้คัดค้านหรือบุคคลใดที่เชื่อมโยงถึงผู้คัดค้านเป็นผู้แจกจ่ายสำเนาภาพของ ภ.ที่ยืนคู่กับท. ทั้งผู้คัดค้านก็นำสืบว่า มีบุคคลตัดต่อภาพของผู้คัดค้านไปยืนคู่กับ ท. เช่นเดียวกัน จึงอาจเป็นไปได้ว่า การตัดต่อภาพดังกล่าวเป็นการกระทำของผู้สมัครคนอื่น พยานหลักฐานของผู้ร้องจึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้ อ. โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยการให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใดเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้านอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557 ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปในวันที่ 30 มีนาคม 2557 หลังจากมีพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวแล้ว ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ หมายเลข 1 ต่อมาวันที่ 29 เมษายน 2557 ผู้ร้องประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ ก่อนการประกาศผลการเลือกตั้งดังกล่าว นายสมภพยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดศรีสะเกษว่า การเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากผู้คัดค้านได้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 โดยกล่าวหาว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยการให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด อันคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้าน ดังนี้ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านได้ไปหาเสียงเลือกตั้งที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ และได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์ นำแผ่นซีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกป้อง 4 ป) ไปแจกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2556 ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ของสมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านได้ไปหาเสียงเลือกตั้งที่โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ และได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์นำแผ่นซีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกป้อง 4 ป) ไปแจกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่และต้อนรับพลเอกชัยสิทธิ์ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์ปราศรัยแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2556 ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ของสมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด โดยกล่าวว่า "ให้เลือกบุคคลที่เรารู้จัก คือ นางสาววิลดา แล้วผมจะทำโครงการช่วยเหลือผลผลิตทางการเกษตรของสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด และชาวจังหวัดศรีสะเกษ คือ ข้าว หอม กระเทียมและพริก ให้มีตลาดจำหน่ายมากขึ้นและได้ราคาดีขึ้น" อันเป็นการให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด อันคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งมิใช่อำนาจหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภาและเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์และนายพรชัยหาเสียงด้วยวิธีการใส่ร้ายด้วยความเท็จและหลอกลวงผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่และต้อนรับพลเอกชัยสิทธิ์ด้วยการนำรูปภาพของนายสมภพที่ตัดต่อไว้กับรูปภาพของนายสุเทพ เลขาธิการ กปปส. พร้อมแนวร่วมคนอื่นเพื่อให้เห็นว่านายสมภพเป็นแนวร่วมกลุ่ม กปปส. และแสดงข้อความบนรูปภาพว่า"คุณสมภพบริจาค 2 ล้าน ต้านระบอบทักษิณ ผู้สมัคร ส.ว. ศรีสะเกษ เบอร์ 5" แล้วสำเนาภาพที่ปรากฏนั้นไปแจกจ่ายให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่ เพื่อจูงใจให้เข้าใจผิดในตัวของนายสมภพเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้าน จากพยานหลักฐานที่ผู้ร้องได้ดำเนินการสอบสวนแล้วเชื่อได้ว่าผู้คัดค้านได้ใช้ หรือรู้เห็นเป็นใจ และกระทำการหลอกลวงใส่ร้ายนายสมภพดังกล่าวเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้าน จึงขอให้มีคำสั่งตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 และมาตรา 112 โดยให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดเวลาห้าปี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้คัดค้านโดยไม่เป็นธรรม ไม่ชัดเจน ไม่ระบุรายละเอียดของการกระทำความผิดหรือความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงระหว่างนายพรชัย นายอริสมันต์ กับผู้คัดค้าน ทำให้ไม่เข้าใจและให้การแก้ข้อกล่าวหาได้ชัดเจนเป็นคำร้องที่เคลือบคลุม และการยื่นคำร้องของนายสมภพ ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดศรีสะเกษให้สอบสวนผู้คัดค้านว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้งเป็นการร้องโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมาย มีเจตนากลั่นแกล้งผู้คัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้วข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557 ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป หลังจากมีพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวแล้ว ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ หมายเลข 1 ผู้ร้องประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดศรีสะเกษ ก่อนการประกาศผลการเลือกตั้งดังกล่าว นายสมภพ ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดศรีสะเกษว่า การเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้าน มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากผู้คัดค้านได้กระทำการอันเป็นการฝ่า,ฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 โดยกล่าวหาว่าเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านได้ไปหาเสียงเลือกตั้งที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด จังหวัดศรีสะเกษ และได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์นำแผ่นซีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกป้อง 4 ป) ไปแจกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด และได้ก่อ สนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์ปราศรัยแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด ว่า "ให้เลือกบุคคลที่เรารู้จัก คือ นางสาววิลดาแล้วผมจะทำโครงการช่วยเหลือผลผลิตทางการเกษตรของสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด และชาวจังหวัดศรีสะเกษ คือ ข้าว หอม กระเทียมและพริก ให้มีตลาดจำหน่ายมากขึ้นและได้ราคาดีขึ้น" และเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านได้ไปหาเสียงเลือกตั้งที่โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์นำแผ่นซีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกป้อง 4 ป) ไปแจกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่และต้อนรับพลเอกชัยสิทธิ์และได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์และนายพรชัยหาเสียงด้วยวิธีการใส่ร้ายด้วยความเท็จ หลอกลวงผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาต้อนรับพลเอกชัยสิทธิ์ ด้วยการนำรูปภาพของนายสมภพที่ตัดต่อไว้กับรูปภาพของนายสุเทพ เลขาธิการ กปปส. พร้อมแนวร่วมคนอื่นเพื่อให้เห็นว่านายสมภพเป็นแนวร่วมกลุ่ม กปปส. แสดงข้อความบนรูปภาพว่า "คุณสมภพบริจาค 2 ล้าน ต้านระบอบทักษิณ ผู้สมัคร ส.ว.ศรีสะเกษ เบอร์ 5" แล้วแจกจ่ายสำเนาภาพนั้นให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่ เพื่อจูงใจให้เข้าใจผิดในตัวของนายสมภพและเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้าน ผู้ร้องไต่สวนแล้วเห็นว่าผู้คัดค้านกระทำผิดตามคำร้อง
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า คำร้องของผู้ร้องเคลือบคลุมหรือไม่
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำร้องของผู้ร้องโดยตลอดแล้ว เห็นว่า ผู้ร้องบรรยายในคำร้องเป็นที่เข้าใจว่าผู้คัดค้านได้กระทำความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งโดยก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์ โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยการให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด อันคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใดเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดด้าน และผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์และนายพรชัยหาเสียงด้วยวิธีการใส่ร้ายด้วยความเท็จ หลอกลวงผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาต้อนรับพลเอกชัยสิทธิ์ ด้วยการนำรูปภาพของนายสมภพที่ตัดต่อไว้กับรูปภาพของนายสุเทพ เลขาธิการ กปปส. พร้อมแนวร่วมคนอื่นเพื่อให้เห็นว่านายสมภพเป็นแนวร่วมกลุ่ม กปปส. เพื่อจูงใจให้เข้าใจผิดในตัวของนายสมภพและเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้าน ขอให้มีคำสั่งตามประกาศคณะรักษฺาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 และมาตรา 122 โดยมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดเวลาห้าปี อันมีรายละเอียดที่ชัดเจน เพียงพอที่จะทำให้ผู้คัดค้านเข้าใจและต่อสู้คดีได้ถูกต้อง นับได้ว่าคำร้องนั้นได้ระบุเรื่องอันเป็นเหตุให้ต้องใช้สิทธิ ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งเหตุผลสนับสนุนโดยชัดแจ้ง และมาตราของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเหตุในคำร้องกับทั้งคำขอที่ระบุความประสงค์จะให้ศาลดำเนินการอย่างใด กรณีต้องตามข้อ 6 ของระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 โดยชอบแล้ว คำร้องของผู้ร้องหาได้เคลือบคลุมตามที่ผู้คัดค้านต่อสู้แต่อย่างใดไม่
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า ผู้คัดค้านได้สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้มีการกระทำฝ่าฝืนตามคำร้องหรือไม่ ในวันที่ 21 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมาที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัดตามคำร้องโดยมาแนะนำตัวหาเสียงเลือกตั้งเท่านั้นไม่ได้แจกเอกสารหาเสียงใดๆ ไม่ได้มีพฤติการณ์กระทำใดที่เกี่ยวข้องกับนายอริสมันต์และนายพรชัยส่วนในวันที่ 25 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ได้ไปร่วมงานที่โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่ตามคำร้องผู้คัดค้านได้เดินทางไปหาเสียงเลือกตั้งที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด หลังจากผู้คัดค้านเดินออกจากห้องประชุมไปแล้ว นายอริสมันต์ซึ่งมิได้มีชื่อเป็นคณะทำงานหาเสียงของผู้คัดค้านที่แจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งนำแผ่นซีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกป้อง 4 ป) ไปแจกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ของสมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด และนายอริสมันต์ปราศรัยแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2556 สมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด โดยกล่าวว่า "ให้เลือกบุคคลที่เรารู้จักแล้วผมจะทำโครงการช่วยเหลือผลผลิตทางการเกษตรของสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด และชาวจังหวัดศรีสะเกษ คือ ข้าว หอม กระเทียมและพริก ให้มีตลาดจำหน่ายมากขึ้นและได้ราคาดีขึ้น"และที่โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ นายอริสมันต์
นำแผ่นซีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกป้อง 4 ป) ไปแจกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่และต้อนรับพลเอกชัยสิทธิ์โดยพบว่ามีเอกสาร รูปภาพของนายสมภพ ที่ตัดต่อไว้กับรูปภาพของนายสุเทพ เลขาธิการ กปปส. พร้อมแนวร่วมคนอื่นเพื่อให้เห็นว่านายสมภพเป็นแนวร่วมกลุ่ม กปปส. แสดงข้อความบนรูปภาพว่า "คุณสมภพบริจาค 2 ล้าน ต้านระบอบทักษิณ ผู้สมัคร ส.ว.ศรีสะเกษ เบอร์ 5" แจกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่และต้อนรับพลเอกชัยสิทธิ์ด้วยเช่นกัน เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องได้อ้างแผ่นซีดีรวม 3 แผ่นประกอบสำนวนการสืบสวนสอบสวนซึ่งเป็นแผ่นซีดีบันทักเสียงคำปราศรัยที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด แผ่นซีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกป้อง 4 ป) ของนายอริสมันต์ และ แผ่นซีดีที่เป็นภาพจากกล้องวงจรปิด บันทึกไว้ขณะมีการประชุมที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด โดยผู้ร้องได้จัดทำเป็นเอกสาร โดยไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านโต้แย้งคัดค้านข้อความตามเอกสารดังกล่าว จึงรับฟังได้ว่าข้อความตามเอกสารนั้นถูกต้องตรงกับข้อมูลในแผ่นซีดีที่ผู้ร้องอ้าง ศาลฎีกาพิจารณา แผ่นซีดีรวม 3 แผ่นที่ผู้ร้องอ้างประกอบเอกสารการถอดเทปแล้ว เห็นว่าเป็นเสียงคำปราศรัยของนายอริสมันต์ แต่ไม่ปรากฏว่านายอริสมันต์มีการพูดเชิญชวนให้สมาชิกที่อยู่ในห้องประชุมที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด เลือกผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้สมัคร หมายเลข 1 ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง คงมีแต่เสียงนายอริสมันต์พูดในตอนต้นว่าเอาคนที่เรารู้จัก เอาคนที่เราเชื่อถือได้เป็น ส.ว. แล้วผมจะฝากงานหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องข้าวเรื่องเกษตรกรนะฮะ และนายอริสมันต์เสนอตัวจะซื้อข้าว หอม กระเทียม และพริกจากเกษตรกร แล้วจัดใส่กระเช้าขายเป็น ของขวัญ ของฝาก เพราะเป็นของดีของศรีสะเกษ ซึ่งเป็นโครงการที่จะช่วยเหลือกันระยะยาว และในส่วนสุดท้ายพูดว่า ขอให้ช่วยกันดู พิจารณาเลือกตั้งอย่างมีสตินะฮะ ในมือของท่านมีเบอร์อะไรก็ให้เลือกเบอร์นั้นแล้วกัน ข้อความดังกล่าว ก็ไม่มีการพูดระบุถึงชื่อและหมายเลขของผู้คัดค้านแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังได้ความจากนายเฉิน กรรมการผู้จัดการบริษัทเม้งไต๋ อินเตอร์เนชั่นแนลเทรด จำกัด และประธานบริษัทเอ็มที เซ็นเตอร์เทรด จำกัด ซึ่งประกอบกิจการรับซื้อขายพืชผลทางการเกษตร พยานผู้คัดค้านว่านายอริสมันต์เป็นที่ปรึกษาทางการตลาดของบริษัท ต้นปี 2557 บริษัททั้งสองเตรียมจะขยายจุดรับซื้อพืชผลทางการเกษตรเพิ่มอีก 1 จุด ที่จังหวัดศรีสะเกษและจัดตั้งบริษัทใหม่ที่จังหวัดศรีสะเกษจึงให้นายอริสมันต์ช่วยหาสถานที่ที่จะเป็นจุดรับซื้อพืชผลทางการเกษตร ต่อมามีการรัฐประหาร หุ้นส่วนที่จะร่วมลงทุนจึงชะลอไปก่อน แสดงให้เห็นว่าการปราศรัยของนายอริสมันต์ที่จะซื้อสินค้าทางการเกษตร และการที่นายอริสมันต์นำแผ่นชีดี (มีธรรมาธิปไตย ปกปัอง 4 ป) มาแจกจ่ายแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่สมาชิกสหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัด และที่โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ตามคำร้องน่าจะเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของนายอริสมันต์เองโดยอาศัยเหตุการณ์ที่มีคนมาชุมนุมจำนวนมาก ส่วนข้อความในแผ่นซีดีนั้นก็ไม่มีความที่เชื่อมโยงว่าจะเป็นการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เลือกผู้คัดค้านแต่อย่างใด ทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดที่สหกรณ์การเกษตรห้วยทับทัน จำกัดได้ความเพียงว่า เมื่อผู้คัดค้านเข้ามาหาเสียงเลือกตั้งแล้วก็ออกจากห้องประชุมไป หลังจากนั้นนายอริสมันต์จึงเข้ามาในห้องประชุมทางประตูเดียวกันกับที่ผู้คัดค้านออกไปเท่านั้น ไม่ได้ความชัดเจนว่าผู้คัดค้านเกี่ยวข้องกับนายอริสมันต์ในขณะนั้นอย่างไร กรณีจึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์ โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยการให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้านตามคำร้อง
สำหรับเหตุการณ์ในวันที่ 25 มีนาคม 2557 ที่โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งมีบุคคลมาต้อนรับพลเอกชัยสิทธิ์ผู้ร้องนำสืบพยานผู้ร้องว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์และนายพรชัยหาเสียงด้วยวิธีการใส่ร้ายด้วยความเท็จ หลอกลวงผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาต้อนรับพลเอกชัยสิทธิ์ด้วยการนำรูปภาพของนายสมภพ ที่ตัดต่อไว้กับรูปภาพของนายสุเทพ เลขาธิการ กปปส. พร้อมแนวร่วมคนอื่นเพื่อให้เห็นว่านายสมภพเป็นแนวร่วมกลุ่ม กปปส. แสดงข้อความบนรูปภาพว่า "คุณสมภพบริจาค 2 ล้าน ต้านระบอบทักษิณ ผู้สมัคร ส.ว.ศรีสะเกษ เบอร์ 5" แล้วแจกจ่ายสำเนาภาพนั้นให้แก่ผู้มีสิทฺธิเลือกตั้งที่มาประชุมใหญ่นั้นได้ความตามทางไต่สวนผู้คัดค้านว่าผู้คัดค้านไม่ได้เดินทางไปร่วมงานด้วย สถานที่เกิดเหตุนี้มีผู้คนจำนวนมาก ทางไต่สวนผู้ร้องก็ไม่ปรากฏชัดเจนว่า ผู้คัดค้านหรือบุคคลใดที่เชื่อมโยงถึงผู้คัดค้านเป็นผู้แจกจ่ายสำเนาภาพของนายสมภพที่ยืนคู่กับนายสุเทพ ทั้งผู้คัดค้านก็นำสืบว่ามีบุคคลตัดต่อภาพของผู้คัดค้านไปยืนคู่กับนายสุเทพ เช่นเดียวกันและผู้คัดค้านได้แจ้งความเพื่อลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองศรีสะเกษเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2557 เห็นว่า ตามประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดศรีสะเกษ เรื่อง ผลการรวมคะแนนเลือกตั้งวุฒิสภา ผู้ที่ได้รับคะแนนเลือกตั้งลำดับ 4 คือ นายวนิชย์ หมายเลขประจำตัวผู้สมัคร หมายเลข 6 แสดงให้เห็นว่า มีผู้รับสมัครเลือกตั้งวุฒิสภา จังหวัดศรีสะเกษอย่างน้อย 6 คน แต่มีเพียงนายสมภพกับผู้คัดค้านที่ถูกตัดต่อภาพไปยืนคู่กับนายสุเทพ จึงอาจเป็นไปได้ว่า การตัดต่อภาพดังกล่าวเป็นการกระทำของผู้สมัครคนอื่นพยานหลักฐานของผู้ร้องจึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายอริสมันต์ โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยการให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้านอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 ตามคำร้อง
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง.
ผู้ร้องมี บ. ที่เบิกความยืนยันว่าในวันดังกล่าวเห็น จ. ยื่นบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านหมู่บ้านละ 1 ปึก และพูดว่าให้ช่วยกัน และ จ. ยื่นเงินธนบัตรให้คนละ 500 บาท ส่วน สพ.เบิกความยืนยันว่าเห็นเหตุการณ์ในบ้าน สท. มีการถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอไว้ แต่ไม่ปรากฏภาพชัดเจนว่ามีการแจกบัตรแนะนำตัวและธนบัตร อีกทั้งผู้ร้องไม่มีบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านและเงินมาแสดงเป็นพยานหลักฐานสนับสนุน ส่วนพยานผู้ร้องทั้งสี่ปากแม้เคยให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่า ในวันที่ 26 มีนาคม 2557 มีการแจกบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านและแจกเงินคนละ 500 บาท แต่มาเบิกความต่อศาลปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งการให้ถ้อยคำในครั้งแรกเกิดขึ้นหลังเกิดเหตุไม่นานนัก พยานไม่มีเวลาคิดปรุงแต่งข้อเท็จจริงหรือผู้มีส่วนได้เสียพูดจาโน้มน้าวชักชวน แม้น่าเชื่อว่าจะเป็นจริงมากกว่า แต่ถ้อยคำดังกล่าวก็ไม่ชี้ชัดว่า สท., ว, หรือ จ. เป็นผู้แจกเงินให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุม หากมีการแจกบัตรแนะนำตัวหรือเงินดังอ้าง พยานหลักฐานของผู้ร้องก็ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าผู้กระทำมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างไรกับผู้คัดค้าน สท., ว, หรือ จ. ประกอบกับผู้ร้องไม่มีบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านและเงินเป็นพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาล สำหรับข้อเท็จจริงที่ว่า ว. ไปที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ขณะผู้คัดค้านชี้แจงข้อกล่าวหาคดีนี้ ก็เป็นเพียงการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ไม่มีข้อเท็จจริงใดแสดงว่า ว. กระทำการช่วยเหลือผู้คัดค้านตามคำร้อง พยานหลักฐานของผู้ร้องตามทางไต่สวนไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้คัดค้านเกี่ยวข้องอย่างไรกับการกระทำตามคำร้อง มิอาจเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านดังคำร้องของผู้ร้องได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557 ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปในวันที่ 30 มีนาคม 2557 ในการเลือกตั้งดังกล่าว ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเพชรบูรณ์ หมายเลข 1 และผู้ร้องได้ประกาศผลเลือกตั้งเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2557 ให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2557 เวลาประมาณ 9 นาฬิกา ถึง 10 นาฬิกา ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายสุทัศน์ และนายวิศัลย์ เรียกประชุมผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล และผู้นำชุมชนในเขตตำบลวังชมภู ตำบลระวิง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ มาประชุมที่บ้านนายสุทัศน์ เลขที่ 19 ถนนสันคูเมือง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ และเวลาประมาณ 16 นาฬิกา เรียกประชุมผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลและผู้นำชุมชนในเขตตำบลนายม อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ มาประชุมที่บ้านนายวิศัลย์ เลขที่ 105 ถนนเพชรรัตน์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ในการประชุมดังกล่าวมีการจ่ายเงินให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุมคนละ 500 บาท และมีการพูดหาเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้าน และเวลาประมาณ 16 นาฬิกา ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือ รู้เห็นเป็นใจให้นายจักรัตน์ เรียกประชุมผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล และผู้นำชุมชนในเขตตำบลหนองไขว่ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ มาประชุมที่สำนักงานนายจักรัตน์ ในการประชุมดังกล่าวนายจักรัตน์เรียกประชุมทีละหมู่บ้านโดยให้เข้าพบในห้องและมีการพูดหาเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้าน มีการแจกบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านและแจกเงินให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุมคนละ 500 บาท เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้าน อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต เพื่อให้ผู้คัดค้านได้รับการเลือกตั้ง มีผลให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเพชรบูรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ขอให้มีคำสั่งตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 และมาตรา 112 (ที่ถูก มาตรา 122) ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นผู้ก่อ สนับสนุน รู้เห็นเป็นใจ
ให้นายสุทัศน์ นายวิศัลย์ และนายจักรัตน์ เรียกประชุมคณะบุคคลผู้นำท้องถิ่นและแจกเงินซื้อเสียงคนละ 500 บาท เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเสียงให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเพชรบูรณ์ บุคคลทั้งสามไม่ได้ช่วยหาเสียงให้แก่ผู้คัดค้าน แม้จะเป็นคนรู้จักแต่ไม่สนิทสนม การที่คณะบุคคลเดินทางไปหานายสุทัศน์ นายวิศัลย์และนายจักรัตน์ ตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าวผู้คัดค้านทราบภายหลังว่าไม่ได้เกิดจากการนัดประชุมล่วงหน้า แต่เป็นเรื่องปกติที่จะมีชาวบ้านไปขอความช่วยเหลือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งไม่ได้แจกบัตรแนะนำตัวผู้สมัคร และแจกเงินซื้อเสียง ผู้คัดค้านไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดต่อกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งตามที่ผู้ร้องกล่าวหา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยในประเด็นเดียวว่า ผู้คัดค้าน ได้ก่อ สนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจให้มีการกระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 ทำให้ผู้คัดค้านได้รับประโยชน์ในการเลือกตั้ง มีผลทำให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเพชรบูรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมอันเป็นเหตุเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปีหรือไม่ ทางไต่สวนได้ความจากนายสัมพันธ์ พยานผู้ร้อง หัวหน้างานสืบสวนสอบสวนประจำสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ และได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ทำหน้าที่ประธานกรรมการสืบสวนสอบสวนว่าในการสืบหาข้อเท็จจริงตามคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งคดีนี้ พยานได้ไปที่บ้านของนายสุทัศน์ เนื่องจากได้รับแจ้งจากผู้ไม่ประสงค์จะออกนามว่ามีการเรียกผู้นำชุมชนต่างๆ มาที่บ้านหลังดังกล่าว น่าเชื่อว่ามีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง พยานรายงานต่อผู้บังคับบัญชาและผู้บังคับบัญชาสั่งให้พยานไปตรวจสอบบ้านหลังดังกล่าวในทันที เมื่อไปถึงขณะนำรถยนต์จอดในซอยบริเวณใกล้เคียง พบนายวิศัลย์ ได้ทักทายกัน พยานกับนายวิศัลย์เข้าไปในบ้านของนายสุทัศน์พร้อมกัน โดยพยานเดินตามและสังเกตการณ์บริเวณหน้าบ้านนายสุทัศน์ เห็นผู้นำชุมชนต่างๆ เช่นผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเดินเข้าไปในบ้าน พยานบันทึกภาพวิดีโอไว้ ต่อมานายสุทัศน์เห็นพยานและเดินเข้ามาทักทาย พยานนั่งพูดคุยที่ร้านกาแฟเยื้องบ้านนายสุทัศน์ นายสุทัศน์เดินกลับเข้าไปในบ้าน พยานเห็นผู้นำชุมชนที่เดินเข้าไปในบ้านแล้วเดินออกมาส่วนใหญ่ถือบัตรแนะนำตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านออกมาด้วย พยานแอบถ่ายภาพไว้ นอกจากนี้มีนางบัวขาว พยานผู้ร้องเบิกความว่า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2557 เวลาประมาณ 16 นาฬิกา พยานไปที่สำนักงานนายจักรัตน์ เมื่อไปถึงมีคนอยู่ก่อนแล้วประมาณ 6 ถึง 7 คน มีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหมู่ที่ 8 และหมู่ที่ 12 ส่วนคนอื่นๆ พยานไม่ได้สังเกต จากนั้นมีประชาชนตำบลหนอง
ไขว่ทยอยมา เป็นผู้ใหญ่บ้านกับสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเกือบทุกหมู่บ้าน เข้าไปในห้องประชุม ทีมงานของนายสุทัศน์ได้สอบถามว่า มาครบกันแล้วหรือไม่ จากนั้นเรียกผู้เข้าร่วมประชุม
เข้าไปในห้องเล็กซึ่งมีนายจักรัตน์และทีมงานอยู่ด้วย โดยเรียกผู้ใหญ่บ้าน 1 คนและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล 2 คน เข้าไปพบในห้องส่วนตัว พยานเข้าไปพบในลำดับที่ 4 พร้อมนายสมบูรณ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 14 นายอัมรินทร์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหมู่เดียวกับพยาน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 จำนวน 2 คน และพร้อมสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหมู่ที่ 4 อีก 2 คน และเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองไขว่ พยานและพวกเข้าไปในห้อง นายจักรัตน์พูดเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมาในทำนองว่าไม่เป็นที่พอใจ รอบนี้ช่วยผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาหมายเลข 1 คือ ผู้คัดค้าน จากนั้น นายจักรัตน์ยื่นบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านหมู่บ้านละ 1 ปึก และพูดว่าให้ช่วยกัน นายจักรัตน์ยื่นเงินธนบัตรให้คนละ 500 บาท พยานเคยให้การต่อผู้ร้องตามเอกสารหมาย ร.1 แผ่นที่ 23 ถึง 26 ส่วนผู้คัดค้านมีผู้คัดค้านเบิกความว่า ผู้คัดค้านไม่ได้กระทำความผิด แต่ถูกนายเสถียร ร้องเรียน โดยร่วมมือกับกลุ่มผู้สนับสนุนและเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ สร้างเรื่องราวอันเป็นเท็จ ทำหนังสือร้องเรียนบิดเบือนข้อเท็จจริง พยานไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นผู้ก่อ สนับสนุน รู้เห็นเป็นใจ ให้นายสุทัศน์ นายวิศัลย์ และนายจักรัตน์ เรียกประชุมคณะบุคคล ผู้นำท้องถิ่น และแจกเงินซื้อเสียงคนละ 500 บาท ที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า มีการแจกบัตรแนะนำตัวพยานในวันเวลา สถานที่เกิดเหตุ พยานไม่ยืนยันว่าจะเป็นบัตรแนะนำตัวของจริงหรือไม่ อาจมีการกลั่นแกล้งพยาน เจ้าหน้าที่ของผู้ร้องทำบันทึกถ้อยคำของพยานบุคคลในส่วนที่อ้างว่าได้รับเงินซื้อเสียงคนละ 500 บาท ไม่เป็นความจริง นายสุทัศน์ พยานผู้คัดค้านเบิกความว่าในวันเกิดเหตุ พยานไม่ได้เป็นผู้นัดหมายหรือมอบหมายให้ผู้ใดนัดหมายให้มีการจัดประชุมเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ปกติในขณะที่พยานดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบูรณ์มีประชาชนทั่วไปเข้าพบหลายกลุ่มเพื่อปรึกษาหารือขอความช่วยเหลือและพูดคุยแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ส่วนนายวิศัลย์มาที่บ้านพยานในวันเกิดเหตุเนื่องจากประชาชนมีความสนใจเรื่องคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ พยานไม่ใช่นักกฎหมาย แต่นายวิศัลย์เป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านกฎหมายของจังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อมาเครื่องปรับอากาศที่บ้านพยานเสีย การบรรยายเผยแพร่ความรู้ของนายวิศัลย์กำลังติดพัน จึงย้ายสถานที่มาที่บ้านนายวิศัลย์ นายวิศัลย์ พยานผู้คัดค้านเบิกความว่า พยานไปบ้านนายสุทัศน์เพราะได้รับคำเชิญทางโทรศัพท์ เพื่อไปเผยแพร่ความรู้และแสดงความคิดเห็นเรื่องศาลรัฐธรรมนูญในช่วงเช้ามีประชาชนที่มาพบนายสุทัศน์ ทยอยเข้ามาฟังเป็นกลุ่มๆ เสร็จแล้วกลับไป และมีกลุ่มใหม่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ช่วงบ่ายเครื่องปรับอากาศที่บ้านนายสุทัศน์เสีย เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าพยานเสนอตัวให้ย้ายสถานที่มาที่บ้านของพยาน พยานยืนยันว่าวันดังกล่าวไม่มีการซื้อสิทธิ ขายเสียง อันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง นายจักรัตน์ พยานผู้คัดค้านเบิกความว่า พยานไม่ได้ร่วมกระทำความผิดกับผู้คัดค้าน ในวันที่ 26 มีนาคม 2557 มีประชาชนมาที่สำนักงานของพยานจริงซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะพยานเป็นนักการเมืองอดีตเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบูรณ์ พยานไม่ได้นัดประชุมประชาชน ผู้นำท้องถิ่น ไม่มีการจ่ายเงินซื้อเสียง และแจกบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้าน พยานเชื่อว่าถูกกลั่นแกล้ง สาเหตุมาจากเรื่องการเมือง เพราะนายเสถียร ผู้ร้องเรียน เป็นผู้สมัครพรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามซึ่งเป็นคู่แข่งของพยานให้การสนับสนุน ทำให้พยานได้รับความเสียหาย เห็นว่า ผู้ร้องมีนางบัวขาว ที่เบิกความยืนยันว่าในวันดังกล่าวเห็นนายจักรัตน์ยื่นบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านหมู่บ้านละ 1 ปึก และพูดว่าให้ช่วยกัน และนายจักรัตน์ยื่นเงินธนบัตรให้คนละ 500 บาท ส่วนนายสัมพันธ์เบิกความยืนยันว่าเห็นเหตุการณ์ในบ้านนายสุทัศน์ มีการถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอไว้ แต่ไม่ปรากฏภาพชัดเจนว่ามีการแจกบัตรแนะนำตัวและธนบัตร อีกทั้งผู้ร้องไม่มีบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านและเงินมาแสดงเป็นพยานหลักฐานสนับสนุน ส่วนพยานผู้ร้องปากนายบุญเจิด นายเพ็ชร นายวิชัย และนายประสิทธิ์ แม้เคยให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่า ในวันที่ 26 มีนาคม 2557 มีการแจกบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านและแจกเงินคนละ 500 บาท แต่มาเบิกความต่อศาลปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าวซึ่งการให้ถ้อยคำในครั้งแรกเกิดขึ้นหลังเกิดเหตุไม่นานนัก พยานไม่มีเวลาคิดปรุงแต่งข้อเท็จจริงหรือผู้มีส่วนได้เสียพูดจาโน้มน้าวชักชวน แม้น่าเชื่อว่าจะเป็นจริงมากกว่า แต่ถ้อยคำดังกล่าวก็ไม่ชี้ชัดว่านายสุทัศน์ นายวิศัลย์ หรือนายจักรัตน์ เป็นผู้แจกเงินให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุม หากมีการแจกบัตรแนะนำตัวหรือเงินดังอ้าง พยานหลักฐานของผู้ร้องก็ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าผู้กระทำมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างไรกับผู้คัดค้าน นายสุทัศน์ นายวิศัลย์ และนายจักรัตน์ ประกอบกับผู้ร้องไม่มีบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านและเงินเป็นพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาล สำหรับข้อเท็จจริงที่ว่านายวิศัลย์ไปที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ขณะผู้คัดค้านชี้แจงข้อกล่าวหาคดีนี้ ก็เป็นเพียงการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ไม่มีข้อเท็จจริงใดแสดงว่านายวิศัลย์กระทำการช่วยเหลือผู้คัดค้านตามคำร้อง พยานหลักฐานของผู้ร้องตามทางไต่สวนไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้คัดค้านเกี่ยวข้องอย่างไรกับการกระทำตามคำร้อง มิอาจเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านดังคำร้องของผู้ร้องได้
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง.
ผู้ร้องมี บ. ที่เบิกความยืนยันว่าในวันดังกล่าวเห็น จ. ยื่นบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านหมู่บ้านละ 1 ปึก และพูดว่าให้ช่วยกัน และ จ. ยื่นเงินธนบัตรให้คนละ 500 บาท ส่วน สพ.เบิกความยืนยันว่าเห็นเหตุการณ์ในบ้าน สท. มีการถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอไว้ แต่ไม่ปรากฏภาพชัดเจนว่ามีการแจกบัตรแนะนำตัวและธนบัตร อีกทั้งผู้ร้องไม่มีบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านและเงินมาแสดงเป็นพยานหลักฐานสนับสนุน ส่วนพยานผู้ร้องทั้งสี่ปากแม้เคยให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่า ในวันที่ 26 มีนาคม 2557 มีการแจกบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านและแจกเงินคนละ 500 บาท แต่มาเบิกความต่อศาลปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งการให้ถ้อยคำในครั้งแรกเกิดขึ้นหลังเกิดเหตุไม่นานนัก พยานไม่มีเวลาคิดปรุงแต่งข้อเท็จจริงหรือผู้มีส่วนได้เสียพูดจาโน้มน้าวชักชวน แม้น่าเชื่อว่าจะเป็นจริงมากกว่า แต่ถ้อยคำดังกล่าวก็ไม่ชี้ชัดว่า สท., ว, หรือ จ. เป็นผู้แจกเงินให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุม หากมีการแจกบัตรแนะนำตัวหรือเงินดังอ้าง พยานหลักฐานของผู้ร้องก็ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าผู้กระทำมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างไรกับผู้คัดค้าน สท., ว, หรือ จ. ประกอบกับผู้ร้องไม่มีบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านและเงินเป็นพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาล สำหรับข้อเท็จจริงที่ว่า ว. ไปที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ขณะผู้คัดค้านชี้แจงข้อกล่าวหาคดีนี้ ก็เป็นเพียงการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ไม่มีข้อเท็จจริงใดแสดงว่า ว. กระทำการช่วยเหลือผู้คัดค้านตามคำร้อง พยานหลักฐานของผู้ร้องตามทางไต่สวนไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้คัดค้านเกี่ยวข้องอย่างไรกับการกระทำตามคำร้อง มิอาจเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านดังคำร้องของผู้ร้องได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557 ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปในวันที่ 30 มีนาคม 2557 ในการเลือกตั้งดังกล่าว ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเพชรบูรณ์ หมายเลข 1 และผู้ร้องได้ประกาศผลเลือกตั้งเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2557 ให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2557 เวลาประมาณ 9 นาฬิกา ถึง 10 นาฬิกา ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายสุทัศน์ และนายวิศัลย์ เรียกประชุมผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล และผู้นำชุมชนในเขตตำบลวังชมภู ตำบลระวิง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ มาประชุมที่บ้านนายสุทัศน์ เลขที่ 19 ถนนสันคูเมือง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ และเวลาประมาณ 16 นาฬิกา เรียกประชุมผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลและผู้นำชุมชนในเขตตำบลนายม อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ มาประชุมที่บ้านนายวิศัลย์ เลขที่ 105 ถนนเพชรรัตน์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ในการประชุมดังกล่าวมีการจ่ายเงินให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุมคนละ 500 บาท และมีการพูดหาเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้าน และเวลาประมาณ 16 นาฬิกา ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือ รู้เห็นเป็นใจให้นายจักรัตน์ เรียกประชุมผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล และผู้นำชุมชนในเขตตำบลหนองไขว่ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ มาประชุมที่สำนักงานนายจักรัตน์ ในการประชุมดังกล่าวนายจักรัตน์เรียกประชุมทีละหมู่บ้านโดยให้เข้าพบในห้องและมีการพูดหาเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้าน มีการแจกบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านและแจกเงินให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุมคนละ 500 บาท เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้าน อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต เพื่อให้ผู้คัดค้านได้รับการเลือกตั้ง มีผลให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเพชรบูรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ขอให้มีคำสั่งตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 และมาตรา 112 (ที่ถูก มาตรา 122) ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นผู้ก่อ สนับสนุน รู้เห็นเป็นใจ
ให้นายสุทัศน์ นายวิศัลย์ และนายจักรัตน์ เรียกประชุมคณะบุคคลผู้นำท้องถิ่นและแจกเงินซื้อเสียงคนละ 500 บาท เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเสียงให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเพชรบูรณ์ บุคคลทั้งสามไม่ได้ช่วยหาเสียงให้แก่ผู้คัดค้าน แม้จะเป็นคนรู้จักแต่ไม่สนิทสนม การที่คณะบุคคลเดินทางไปหานายสุทัศน์ นายวิศัลย์และนายจักรัตน์ ตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าวผู้คัดค้านทราบภายหลังว่าไม่ได้เกิดจากการนัดประชุมล่วงหน้า แต่เป็นเรื่องปกติที่จะมีชาวบ้านไปขอความช่วยเหลือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งไม่ได้แจกบัตรแนะนำตัวผู้สมัคร และแจกเงินซื้อเสียง ผู้คัดค้านไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดต่อกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งตามที่ผู้ร้องกล่าวหา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยในประเด็นเดียวว่า ผู้คัดค้าน ได้ก่อ สนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจให้มีการกระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 ทำให้ผู้คัดค้านได้รับประโยชน์ในการเลือกตั้ง มีผลทำให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเพชรบูรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมอันเป็นเหตุเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปีหรือไม่ ทางไต่สวนได้ความจากนายสัมพันธ์ พยานผู้ร้อง หัวหน้างานสืบสวนสอบสวนประจำสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ และได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ทำหน้าที่ประธานกรรมการสืบสวนสอบสวนว่าในการสืบหาข้อเท็จจริงตามคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งคดีนี้ พยานได้ไปที่บ้านของนายสุทัศน์ เนื่องจากได้รับแจ้งจากผู้ไม่ประสงค์จะออกนามว่ามีการเรียกผู้นำชุมชนต่างๆ มาที่บ้านหลังดังกล่าว น่าเชื่อว่ามีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง พยานรายงานต่อผู้บังคับบัญชาและผู้บังคับบัญชาสั่งให้พยานไปตรวจสอบบ้านหลังดังกล่าวในทันที เมื่อไปถึงขณะนำรถยนต์จอดในซอยบริเวณใกล้เคียง พบนายวิศัลย์ ได้ทักทายกัน พยานกับนายวิศัลย์เข้าไปในบ้านของนายสุทัศน์พร้อมกัน โดยพยานเดินตามและสังเกตการณ์บริเวณหน้าบ้านนายสุทัศน์ เห็นผู้นำชุมชนต่างๆ เช่นผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเดินเข้าไปในบ้าน พยานบันทึกภาพวิดีโอไว้ ต่อมานายสุทัศน์เห็นพยานและเดินเข้ามาทักทาย พยานนั่งพูดคุยที่ร้านกาแฟเยื้องบ้านนายสุทัศน์ นายสุทัศน์เดินกลับเข้าไปในบ้าน พยานเห็นผู้นำชุมชนที่เดินเข้าไปในบ้านแล้วเดินออกมาส่วนใหญ่ถือบัตรแนะนำตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านออกมาด้วย พยานแอบถ่ายภาพไว้ นอกจากนี้มีนางบัวขาว พยานผู้ร้องเบิกความว่า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2557 เวลาประมาณ 16 นาฬิกา พยานไปที่สำนักงานนายจักรัตน์ เมื่อไปถึงมีคนอยู่ก่อนแล้วประมาณ 6 ถึง 7 คน มีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหมู่ที่ 8 และหมู่ที่ 12 ส่วนคนอื่นๆ พยานไม่ได้สังเกต จากนั้นมีประชาชนตำบลหนอง
ไขว่ทยอยมา เป็นผู้ใหญ่บ้านกับสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเกือบทุกหมู่บ้าน เข้าไปในห้องประชุม ทีมงานของนายสุทัศน์ได้สอบถามว่า มาครบกันแล้วหรือไม่ จากนั้นเรียกผู้เข้าร่วมประชุม
เข้าไปในห้องเล็กซึ่งมีนายจักรัตน์และทีมงานอยู่ด้วย โดยเรียกผู้ใหญ่บ้าน 1 คนและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล 2 คน เข้าไปพบในห้องส่วนตัว พยานเข้าไปพบในลำดับที่ 4 พร้อมนายสมบูรณ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 14 นายอัมรินทร์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหมู่เดียวกับพยาน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 จำนวน 2 คน และพร้อมสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหมู่ที่ 4 อีก 2 คน และเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองไขว่ พยานและพวกเข้าไปในห้อง นายจักรัตน์พูดเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมาในทำนองว่าไม่เป็นที่พอใจ รอบนี้ช่วยผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาหมายเลข 1 คือ ผู้คัดค้าน จากนั้น นายจักรัตน์ยื่นบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านหมู่บ้านละ 1 ปึก และพูดว่าให้ช่วยกัน นายจักรัตน์ยื่นเงินธนบัตรให้คนละ 500 บาท พยานเคยให้การต่อผู้ร้องตามเอกสารหมาย ร.1 แผ่นที่ 23 ถึง 26 ส่วนผู้คัดค้านมีผู้คัดค้านเบิกความว่า ผู้คัดค้านไม่ได้กระทำความผิด แต่ถูกนายเสถียร ร้องเรียน โดยร่วมมือกับกลุ่มผู้สนับสนุนและเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ สร้างเรื่องราวอันเป็นเท็จ ทำหนังสือร้องเรียนบิดเบือนข้อเท็จจริง พยานไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นผู้ก่อ สนับสนุน รู้เห็นเป็นใจ ให้นายสุทัศน์ นายวิศัลย์ และนายจักรัตน์ เรียกประชุมคณะบุคคล ผู้นำท้องถิ่น และแจกเงินซื้อเสียงคนละ 500 บาท ที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า มีการแจกบัตรแนะนำตัวพยานในวันเวลา สถานที่เกิดเหตุ พยานไม่ยืนยันว่าจะเป็นบัตรแนะนำตัวของจริงหรือไม่ อาจมีการกลั่นแกล้งพยาน เจ้าหน้าที่ของผู้ร้องทำบันทึกถ้อยคำของพยานบุคคลในส่วนที่อ้างว่าได้รับเงินซื้อเสียงคนละ 500 บาท ไม่เป็นความจริง นายสุทัศน์ พยานผู้คัดค้านเบิกความว่าในวันเกิดเหตุ พยานไม่ได้เป็นผู้นัดหมายหรือมอบหมายให้ผู้ใดนัดหมายให้มีการจัดประชุมเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ปกติในขณะที่พยานดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบูรณ์มีประชาชนทั่วไปเข้าพบหลายกลุ่มเพื่อปรึกษาหารือขอความช่วยเหลือและพูดคุยแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ส่วนนายวิศัลย์มาที่บ้านพยานในวันเกิดเหตุเนื่องจากประชาชนมีความสนใจเรื่องคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ พยานไม่ใช่นักกฎหมาย แต่นายวิศัลย์เป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านกฎหมายของจังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อมาเครื่องปรับอากาศที่บ้านพยานเสีย การบรรยายเผยแพร่ความรู้ของนายวิศัลย์กำลังติดพัน จึงย้ายสถานที่มาที่บ้านนายวิศัลย์ นายวิศัลย์ พยานผู้คัดค้านเบิกความว่า พยานไปบ้านนายสุทัศน์เพราะได้รับคำเชิญทางโทรศัพท์ เพื่อไปเผยแพร่ความรู้และแสดงความคิดเห็นเรื่องศาลรัฐธรรมนูญในช่วงเช้ามีประชาชนที่มาพบนายสุทัศน์ ทยอยเข้ามาฟังเป็นกลุ่มๆ เสร็จแล้วกลับไป และมีกลุ่มใหม่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ช่วงบ่ายเครื่องปรับอากาศที่บ้านนายสุทัศน์เสีย เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าพยานเสนอตัวให้ย้ายสถานที่มาที่บ้านของพยาน พยานยืนยันว่าวันดังกล่าวไม่มีการซื้อสิทธิ ขายเสียง อันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง นายจักรัตน์ พยานผู้คัดค้านเบิกความว่า พยานไม่ได้ร่วมกระทำความผิดกับผู้คัดค้าน ในวันที่ 26 มีนาคม 2557 มีประชาชนมาที่สำนักงานของพยานจริงซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะพยานเป็นนักการเมืองอดีตเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบูรณ์ พยานไม่ได้นัดประชุมประชาชน ผู้นำท้องถิ่น ไม่มีการจ่ายเงินซื้อเสียง และแจกบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้าน พยานเชื่อว่าถูกกลั่นแกล้ง สาเหตุมาจากเรื่องการเมือง เพราะนายเสถียร ผู้ร้องเรียน เป็นผู้สมัครพรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามซึ่งเป็นคู่แข่งของพยานให้การสนับสนุน ทำให้พยานได้รับความเสียหาย เห็นว่า ผู้ร้องมีนางบัวขาว ที่เบิกความยืนยันว่าในวันดังกล่าวเห็นนายจักรัตน์ยื่นบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านหมู่บ้านละ 1 ปึก และพูดว่าให้ช่วยกัน และนายจักรัตน์ยื่นเงินธนบัตรให้คนละ 500 บาท ส่วนนายสัมพันธ์เบิกความยืนยันว่าเห็นเหตุการณ์ในบ้านนายสุทัศน์ มีการถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอไว้ แต่ไม่ปรากฏภาพชัดเจนว่ามีการแจกบัตรแนะนำตัวและธนบัตร อีกทั้งผู้ร้องไม่มีบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านและเงินมาแสดงเป็นพยานหลักฐานสนับสนุน ส่วนพยานผู้ร้องปากนายบุญเจิด นายเพ็ชร นายวิชัย และนายประสิทธิ์ แม้เคยให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่า ในวันที่ 26 มีนาคม 2557 มีการแจกบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านและแจกเงินคนละ 500 บาท แต่มาเบิกความต่อศาลปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าวซึ่งการให้ถ้อยคำในครั้งแรกเกิดขึ้นหลังเกิดเหตุไม่นานนัก พยานไม่มีเวลาคิดปรุงแต่งข้อเท็จจริงหรือผู้มีส่วนได้เสียพูดจาโน้มน้าวชักชวน แม้น่าเชื่อว่าจะเป็นจริงมากกว่า แต่ถ้อยคำดังกล่าวก็ไม่ชี้ชัดว่านายสุทัศน์ นายวิศัลย์ หรือนายจักรัตน์ เป็นผู้แจกเงินให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุม หากมีการแจกบัตรแนะนำตัวหรือเงินดังอ้าง พยานหลักฐานของผู้ร้องก็ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าผู้กระทำมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างไรกับผู้คัดค้าน นายสุทัศน์ นายวิศัลย์ และนายจักรัตน์ ประกอบกับผู้ร้องไม่มีบัตรแนะนำตัวผู้คัดค้านและเงินเป็นพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาล สำหรับข้อเท็จจริงที่ว่านายวิศัลย์ไปที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ขณะผู้คัดค้านชี้แจงข้อกล่าวหาคดีนี้ ก็เป็นเพียงการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ไม่มีข้อเท็จจริงใดแสดงว่านายวิศัลย์กระทำการช่วยเหลือผู้คัดค้านตามคำร้อง พยานหลักฐานของผู้ร้องตามทางไต่สวนไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้คัดค้านเกี่ยวข้องอย่างไรกับการกระทำตามคำร้อง มิอาจเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านดังคำร้องของผู้ร้องได้
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง.
ผู้คัดค้านเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภามาแล้วถึงสามครั้ง หลังจากที่ผู้คัดค้านไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแทนตำแหน่งที่ว่างในปี 2556 ผู้คัดค้านก็ได้พบปะกับพี่น้องประชาชนและเข้าร่วมกิจกรรมกับพี่น้องประชาชนในโอกาสต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้คัดค้านย่อมทราบได้ว่าสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองจะครบวาระในวันที่ 2 มีนาคม 2557 และพึงคาดหมายได้ว่าจะต้องมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปขึ้น เนื่องจากถึงคราวครบวาระของสมาชิกวุฒิสภา การที่ผู้คัดค้านจัดทำปฏิทินประจำปี 2557 ขึ้นเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไปในจังหวัดระนอง เมื่อพิจารณาปฏิทินประจำปี 2557 ที่มีรูปหรือตราสัญลักษณ์พรรคประชาธิปัตย์ และภาพ ว. ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ปรากฏอยู่ส่วนบนและภาพของผู้คัดค้านอยู่ส่วนกลางแล้ว ย่อมทำให้บุคคลทั่วไปเยี่ยงวิญญูชนที่พบเห็นเข้าใจได้ว่า ผู้คัดค้านเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ และ ว. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองพรรคประชาธิปัตย์หรือได้รับความช่วยเหลือหรือสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ และ ว. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองพรรคประชาธิปัตย์ หากผู้คัดค้านไม่ประสงค์ที่จะให้ผู้ที่พบเห็นปฏิทินดังกล่าวเข้าใจเช่นว่านั้นก็คงไม่มีเหตุผลใดที่ผู้คัดค้านจะต้องจัดทำปฏิทินที่ปรากฏภาพดังกล่าวเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไปในพื้นที่จังหวัดระนอง และปฏิทินปรากฏอยู่จนถึงวันเลือกตั้ง ดังนั้น การแจกปฏิทินที่มีตราสัญลักษณ์พรรคการเมืองกับภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนั้น ซึ่งสังกัดพรรคการเมืองจึงฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของกฎหมาย เป็นการอ้างหรือทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าพรรคการเมืองดังกล่าวสนับสนุนตนทั้งที่พรรคการเมืองไม่อาจสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาคนใดได้ การกระทำดังกล่าวไม่ว่าจะเกิดขึ้นในเวลาใดๆ ก่อนเลือกตั้งหากเป็นการกระทำเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิลงคะแนนให้เลือกตั้งตนเอง ย่อมเข้าหลักเกณฑ์ตาม พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 ประกอบมาตรา 122 กล่าวคือผู้สมัครผู้ใดกระทำการใดๆ โดยไม่สุจริตเพื่อที่จะให้ตนเองได้รับการเลือกตั้ง...ฝ่าฝืน พรบ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองทำให้การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557 มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปในวันที่ 30 มีนาคม 2557 โดยในการเลือกตั้งดังกล่าว ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง หมายเลข 1 ต่อมาเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2557 ผู้ร้องได้ประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง แต่ปรากฏว่าการเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากผู้คัดค้านได้แจกหรือเป็นผู้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลอื่นแจกปฏิทินประจำปี 2557 ซึ่งปฏิทินนั้นมีรูปหรือตราสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และภาพนายวิรัช ขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนอง พรรคประชาธิปัตย์ การแจกปฏิทินดังกล่าวของผู้คัดค้านให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นการเอาเปรียบผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองรายอื่นเป็นการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้านและมีเจตนาในการจัดทำปฏิทินดังกล่าวเพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งโดยให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทราบว่าผู้คัดค้านได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 (1) ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตเพื่อที่จะให้ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้งมีผลให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ขอให้คำสั่งตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 เรื่อง ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 และมาตรา 122 ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านได้จัดทำปฏิทินประจำปี 2557 ตามคำร้อง และมอบหมายให้นายปิยะรับไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนทั่วไปที่อำเภอละอุ่น 2,500 ฉบับ ที่อำเภอเมือง 6,200 ฉบับ นายประสิทธิ์รับไปแจกจ่ายที่อำเภอกระบุรี 6,000 ฉบับ นายสมเกียรติรับไปแจกจ่ายที่อำเภอสุขสำราญ 1,800 ฉบับ และนายสุมิตรรับไปแจกจ่ายที่อำเภอกะเปอร์ 3,500 ฉบับ แต่ได้แจกจ่ายเสร็จสิ้นก่อนระยะเวลาเก้าสิบวันก่อนวันครบวาระสมาชิกวุฒิสภา และการแจกปฏิทินดังกล่าวไม่เป็นเหตุที่จะจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้านแต่ประการใด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557 มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 ก่อนมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ดังกล่าวผู้คัดค้านได้จัดทำปฏิทินประจำปี 2557 และมอบหมายให้นายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ และนายสุมิตร รับปฏิทินดังกล่าวไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนทั่วไปในท้องที่จังหวัดระนอง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าที่ผู้คัดค้านมอบหมายให้นายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ และนายสุมิตร ไปแจกจ่ายปฏิทินประจำปี 2557ตามคำร้องให้แก่ประชาชนทั่วไปในท้องที่จังหวัดระนอง ทำให้ผู้คัดค้านได้รับประโยชน์ในการเลือกตั้งมีผลทำให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่ ที่ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่าผู้คัดค้านได้แจกจ่ายปฏิทินประจำปี 2557 ตามคำร้องให้แก่ประชาชนทั่วไปในท้องที่จังหวัดระนองแต่ได้แจกจ่ายเสร็จสิ้นก่อนระยะเวลาเก้าสิบวัน ก่อนวันครบวาระสมาชิกวุฒิสภา และการแจกปฏิทินดังกล่าวไม่เป็นมูลเหตุให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้านนั้นได้ความจากนายชนซึ่งให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่าขณะที่ช่วยหาเสียงแนะนำตัวให้แก่นายคำนึงผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง หมายเลข 4 เมื่อไปถึงบ้านของนายวิโรฒ พบปฏิทินประจำปี 2557 ตามคำร้องแขวนไว้ที่ฝาผนังด้านนอกบ้านของนายวิโรฒ พยานจึงสอบถามนายวิโรฒถึงการได้รับปฏิทินดังกล่าวได้ความว่าได้รับแจกปฏิทินไม่ทราบว่าได้รับจากผู้ใด และนายวิโรฒได้มอบปฏิทินให้แก่พยาน ต่อมามีนายกาหริ่มนำปฏิทินตามคำร้องมามอบให้พยานบริเวณตลาดเทศบาลตำบลหงาว นายโสภณให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่า ขณะที่พยานและนายชนนเดินทางไปแจกแผ่นพับที่เทศบาลตำบลหงาวเพื่อแจกแผ่นพับแนะนำตัวนายคำนึง ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง หมายเลข 4 ได้พบกับนายกาหริ่มคนเคยรู้จักกันจึงได้แจกแผ่นพับให้และแสดงปฏิทินที่ได้รับจากนายวิโรฒให้นายกาหริ่มดู ซึ่งนายกาหริ่มบอกว่าที่บ้านก็มี เดี๋ยวจะเอามาให้ จากนั้นประมาณ 10 นาที นายกาหริ่มก็นำปฏิทินตามคำร้องมามอบให้แก่พยาน และนายวิโรฒให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่าพยานออกมาทำธุระส่วนตัวนอกบ้านและกลับถึงบ้านช่วงบ่ายพบปฏิทินดังกล่าววางอยู่ในกล่องรับจดหมายหน้าบ้านของพยานแต่ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้นำปฏิทินมาใส่ในกล่องจดหมายและวันดังกล่าวไม่มีใครอยู่ที่บ้าน พยานจึงนำปฏิทินไปแขวนไว้ที่ฝาผนังบ้าน นายกาหริ่ม ให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่า พยานออกมาทำธุระนอกบ้านกลับถึงบ้านช่วงบ่ายพบปฏิทินดังกล่าวเสียบอยู่ใต้หลังคาบ้าน พยานไม่ทราบว่าใครเป็นผู้นำปฏิทินมาเสียบไว้และได้ความจากผู้คัดค้านซึ่งให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่า ผู้คัดค้านเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภามาแล้ว 3 ครั้ง แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ผู้คัดค้านว่าจ้างบริษัทโรงพิมพ์ทองกมล จำกัด จัดทำปฏิทินประจำปี 2557 เพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไป ผู้คัดค้านได้รับปฏิทินเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2556 แล้วมอบหมายให้นายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ นายสุมิตร ซึ่งเป็นบุคคลที่รู้จักและไว้ใจไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนโดยทั่วไปในพื้นที่รับผิดชอบ และผู้คัดค้านได้กำชับให้ทำการแจกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2556 ซึ่งอยู่นอกกรอบเวลาเก้าสิบวัน ก่อนวันครบวาระสมาชิกวุฒิสภา เห็นว่าจากข้อเท็จจริงที่ได้ความตามบันทึกถ้อยคำของพยานและผู้คัดค้านดังกล่าวข้างต้นผู้คัดค้านซึ่งเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภามาแล้วถึงสามครั้ง ทั้งยังได้ความตามบันทึกถ้อยคำของผู้คัดค้านพร้อมบันทึกชี้แจงข้อกล่าวหาว่า หลังจากที่ผู้คัดค้านไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแทนตำแหน่งที่ว่างในปี 2556ผู้คัดค้านก็ได้พบปะกับพี่น้องประชาชนและเข้าร่วมกิจกรรมกับพี่น้องประชาชนในโอกาสต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้คัดค้านยังคงมีความสนใจและหวังผลในการสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งทางการเมืองในคราวถัดไป ผู้คัดค้านย่อมทราบได้ว่าสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองจะครบวาระในวันที่ 2 มีนาคม 2557 ขึ้นเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไปในจังหวัดระนอง ทั้งยังได้กำชับให้นายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ นายสุมิตร ซึ่งเป็นบุคคลที่รู้จักและไว้ใจไปแจกจ่ายปฏิทินดังกล่าวให้แก่ประชาชนทั่วไปในพื้นที่รับผิดชอบให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2556 อันเป็นระยะเวลาก่อนเก้าสิบวันก่อนวันครบวาระสมาชิกวุฒิสภาทำให้เชื่อได้ว่าผู้คัดค้านมีความประสงค์ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองในคราวถัดไป และจงใจกระทำการเพื่อหลีกเลี่ยงข้อห้ามตามมาตรา 49 (1) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 เมื่อพิจารณาปฏิทินประจำปี 2557 ตามเอกสารหมาย ร.39 แผ่นที่ 3 ที่มีรูปหรือตราสัญลักษณ์พรรคประชาธิปัตย์ และภาพนายวิรัช ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ปรากฏอยู่ส่วนบนและภาพของผู้คัดค้านอยู่ส่วนกลางแล้ว ย่อมทำให้บุคคลทั่วไปเยี่ยงวิญญูชนที่พบเห็นเข้าใจได้ว่า ผู้คัดค้านเกี่ยวข้องพรรคประชาธิปัตย์ และนายวิรัชสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองพรรคประชาธิปัตย์ หรือได้รับความช่วยเหลือหรือสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ และนายวิรัชสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองพรรคประชาธิปัตย์ หากผู้คัดค้านไม่ประสงค์ที่จะให้ผู้ที่พบเห็นปฏิทินดังกล่าวเข้าใจเช่นว่านั้น ก็คงไม่มีเหตุผลใดที่ผู้คัดค้านจะต้องจัดทำปฏิทินที่ปรากฏภาพดังกล่าวเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไปในพื้นที่จังหวัดระนอง และปฏิทินปรากฏอยู่จนถึงวันเลือกตั้งนอกจากนั้นยังได้ความว่านายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ นายสุมิตร ซึ่งเป็นผู้ที่ผู้คัดค้านมอบหมายให้ไป แจกปฏิทินประจำปี 2557 ดังกล่าวในพื้นที่ที่แต่ละคนรับผิดชอบนั้นล้วนแต่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 43 บัญญัติว่า "ห้ามมิให้พรรคการเมือง กรรมการบริหาร พรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมืองช่วยเหลือหรือสนับสนุนผู้สมัครรับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาเพื่อให้ได้รับการเลือกตั้งหรือได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม" และมีโทษทางอาญาตามมาตรา 111 ซึ่งบัญญัติว่า "กรรมการบริหารพรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมืองผู้ใด ช่วยเหลือหรือสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา 43 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ" ส่วนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 49 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "...วิธีการหาเสียงเลือกตั้ง...ให้เป็นไปตามบทบัญญัติ ในส่วนนี้และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง" ซึ่งบทบัญญัติ ในมาตรา 122ให้นำมาใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ดังนั้น การแจกปฏิทินที่มีตราสัญลักษณ์พรรคการเมืองกับภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดซึ่งสังกัดพรรคการเมืองจึงฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของกฎหมาย เป็นการอ้างหรือทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าพรรคการเมืองดังกล่าวสนับสนุนตน ทั้งที่พรรคการเมืองไม่อาจสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาคนใดได้ การกระทำดังกล่าวไม่ว่าจะเกิดขึ้นในเวลาใดๆ ก่อนเลือกตั้ง หากเป็นการกระทำเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิลงคะแนนให้เลือกตั้งตนเอง ย่อมเข้าหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 ประกอบมาตรา 122 กล่าวคือ ผู้สมัครผู้ใดกระทำการใดๆ โดยไม่สุจริตเพื่อที่จะให้ตนเองได้รับการเลือกตั้ง... ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยพรรคการเมืองทำให้การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมจึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้คดีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ากรณีเป็นไปตามคำร้องของผู้ร้องคำคัดค้านของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายศักดาผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปีนับแต่วันมีคำสั่ง
ผู้คัดค้านเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภามาแล้วถึงสามครั้ง หลังจากที่ผู้คัดค้านไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแทนตำแหน่งที่ว่างในปี 2556 ผู้คัดค้านก็ได้พบปะกับพี่น้องประชาชนและเข้าร่วมกิจกรรมกับพี่น้องประชาชนในโอกาสต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้คัดค้านย่อมทราบได้ว่าสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองจะครบวาระในวันที่ 2 มีนาคม 2557 และพึงคาดหมายได้ว่าจะต้องมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปขึ้น เนื่องจากถึงคราวครบวาระของสมาชิกวุฒิสภา การที่ผู้คัดค้านจัดทำปฏิทินประจำปี 2557 ขึ้นเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไปในจังหวัดระนอง เมื่อพิจารณาปฏิทินประจำปี 2557 ที่มีรูปหรือตราสัญลักษณ์พรรคประชาธิปัตย์ และภาพ ว. ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ปรากฏอยู่ส่วนบนและภาพของผู้คัดค้านอยู่ส่วนกลางแล้ว ย่อมทำให้บุคคลทั่วไปเยี่ยงวิญญูชนที่พบเห็นเข้าใจได้ว่า ผู้คัดค้านเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ และ ว. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองพรรคประชาธิปัตย์หรือได้รับความช่วยเหลือหรือสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ และ ว. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองพรรคประชาธิปัตย์ หากผู้คัดค้านไม่ประสงค์ที่จะให้ผู้ที่พบเห็นปฏิทินดังกล่าวเข้าใจเช่นว่านั้นก็คงไม่มีเหตุผลใดที่ผู้คัดค้านจะต้องจัดทำปฏิทินที่ปรากฏภาพดังกล่าวเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไปในพื้นที่จังหวัดระนอง และปฏิทินปรากฏอยู่จนถึงวันเลือกตั้ง ดังนั้น การแจกปฏิทินที่มีตราสัญลักษณ์พรรคการเมืองกับภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนั้น ซึ่งสังกัดพรรคการเมืองจึงฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของกฎหมาย เป็นการอ้างหรือทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าพรรคการเมืองดังกล่าวสนับสนุนตนทั้งที่พรรคการเมืองไม่อาจสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาคนใดได้ การกระทำดังกล่าวไม่ว่าจะเกิดขึ้นในเวลาใดๆ ก่อนเลือกตั้งหากเป็นการกระทำเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิลงคะแนนให้เลือกตั้งตนเอง ย่อมเข้าหลักเกณฑ์ตาม พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 ประกอบมาตรา 122 กล่าวคือผู้สมัครผู้ใดกระทำการใดๆ โดยไม่สุจริตเพื่อที่จะให้ตนเองได้รับการเลือกตั้ง...ฝ่าฝืน พรบ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองทำให้การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557 มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปในวันที่ 30 มีนาคม 2557 โดยในการเลือกตั้งดังกล่าว ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง หมายเลข 1 ต่อมาเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2557 ผู้ร้องได้ประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง แต่ปรากฏว่าการเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากผู้คัดค้านได้แจกหรือเป็นผู้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลอื่นแจกปฏิทินประจำปี 2557 ซึ่งปฏิทินนั้นมีรูปหรือตราสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และภาพนายวิรัช ขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนอง พรรคประชาธิปัตย์ การแจกปฏิทินดังกล่าวของผู้คัดค้านให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นการเอาเปรียบผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองรายอื่นเป็นการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้านและมีเจตนาในการจัดทำปฏิทินดังกล่าวเพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งโดยให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทราบว่าผู้คัดค้านได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 (1) ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตเพื่อที่จะให้ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้งมีผลให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ขอให้คำสั่งตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 เรื่อง ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 และมาตรา 122 ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านได้จัดทำปฏิทินประจำปี 2557 ตามคำร้อง และมอบหมายให้นายปิยะรับไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนทั่วไปที่อำเภอละอุ่น 2,500 ฉบับ ที่อำเภอเมือง 6,200 ฉบับ นายประสิทธิ์รับไปแจกจ่ายที่อำเภอกระบุรี 6,000 ฉบับ นายสมเกียรติรับไปแจกจ่ายที่อำเภอสุขสำราญ 1,800 ฉบับ และนายสุมิตรรับไปแจกจ่ายที่อำเภอกะเปอร์ 3,500 ฉบับ แต่ได้แจกจ่ายเสร็จสิ้นก่อนระยะเวลาเก้าสิบวันก่อนวันครบวาระสมาชิกวุฒิสภา และการแจกปฏิทินดังกล่าวไม่เป็นเหตุที่จะจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้านแต่ประการใด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557 มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 ก่อนมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ดังกล่าวผู้คัดค้านได้จัดทำปฏิทินประจำปี 2557 และมอบหมายให้นายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ และนายสุมิตร รับปฏิทินดังกล่าวไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนทั่วไปในท้องที่จังหวัดระนอง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าที่ผู้คัดค้านมอบหมายให้นายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ และนายสุมิตร ไปแจกจ่ายปฏิทินประจำปี 2557ตามคำร้องให้แก่ประชาชนทั่วไปในท้องที่จังหวัดระนอง ทำให้ผู้คัดค้านได้รับประโยชน์ในการเลือกตั้งมีผลทำให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่ ที่ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่าผู้คัดค้านได้แจกจ่ายปฏิทินประจำปี 2557 ตามคำร้องให้แก่ประชาชนทั่วไปในท้องที่จังหวัดระนองแต่ได้แจกจ่ายเสร็จสิ้นก่อนระยะเวลาเก้าสิบวัน ก่อนวันครบวาระสมาชิกวุฒิสภา และการแจกปฏิทินดังกล่าวไม่เป็นมูลเหตุให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้านนั้นได้ความจากนายชนซึ่งให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่าขณะที่ช่วยหาเสียงแนะนำตัวให้แก่นายคำนึงผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง หมายเลข 4 เมื่อไปถึงบ้านของนายวิโรฒ พบปฏิทินประจำปี 2557 ตามคำร้องแขวนไว้ที่ฝาผนังด้านนอกบ้านของนายวิโรฒ พยานจึงสอบถามนายวิโรฒถึงการได้รับปฏิทินดังกล่าวได้ความว่าได้รับแจกปฏิทินไม่ทราบว่าได้รับจากผู้ใด และนายวิโรฒได้มอบปฏิทินให้แก่พยาน ต่อมามีนายกาหริ่มนำปฏิทินตามคำร้องมามอบให้พยานบริเวณตลาดเทศบาลตำบลหงาว นายโสภณให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่า ขณะที่พยานและนายชนนเดินทางไปแจกแผ่นพับที่เทศบาลตำบลหงาวเพื่อแจกแผ่นพับแนะนำตัวนายคำนึง ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง หมายเลข 4 ได้พบกับนายกาหริ่มคนเคยรู้จักกันจึงได้แจกแผ่นพับให้และแสดงปฏิทินที่ได้รับจากนายวิโรฒให้นายกาหริ่มดู ซึ่งนายกาหริ่มบอกว่าที่บ้านก็มี เดี๋ยวจะเอามาให้ จากนั้นประมาณ 10 นาที นายกาหริ่มก็นำปฏิทินตามคำร้องมามอบให้แก่พยาน และนายวิโรฒให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่าพยานออกมาทำธุระส่วนตัวนอกบ้านและกลับถึงบ้านช่วงบ่ายพบปฏิทินดังกล่าววางอยู่ในกล่องรับจดหมายหน้าบ้านของพยานแต่ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้นำปฏิทินมาใส่ในกล่องจดหมายและวันดังกล่าวไม่มีใครอยู่ที่บ้าน พยานจึงนำปฏิทินไปแขวนไว้ที่ฝาผนังบ้าน นายกาหริ่ม ให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่า พยานออกมาทำธุระนอกบ้านกลับถึงบ้านช่วงบ่ายพบปฏิทินดังกล่าวเสียบอยู่ใต้หลังคาบ้าน พยานไม่ทราบว่าใครเป็นผู้นำปฏิทินมาเสียบไว้และได้ความจากผู้คัดค้านซึ่งให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนว่า ผู้คัดค้านเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภามาแล้ว 3 ครั้ง แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ผู้คัดค้านว่าจ้างบริษัทโรงพิมพ์ทองกมล จำกัด จัดทำปฏิทินประจำปี 2557 เพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไป ผู้คัดค้านได้รับปฏิทินเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2556 แล้วมอบหมายให้นายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ นายสุมิตร ซึ่งเป็นบุคคลที่รู้จักและไว้ใจไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนโดยทั่วไปในพื้นที่รับผิดชอบ และผู้คัดค้านได้กำชับให้ทำการแจกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2556 ซึ่งอยู่นอกกรอบเวลาเก้าสิบวัน ก่อนวันครบวาระสมาชิกวุฒิสภา เห็นว่าจากข้อเท็จจริงที่ได้ความตามบันทึกถ้อยคำของพยานและผู้คัดค้านดังกล่าวข้างต้นผู้คัดค้านซึ่งเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภามาแล้วถึงสามครั้ง ทั้งยังได้ความตามบันทึกถ้อยคำของผู้คัดค้านพร้อมบันทึกชี้แจงข้อกล่าวหาว่า หลังจากที่ผู้คัดค้านไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแทนตำแหน่งที่ว่างในปี 2556ผู้คัดค้านก็ได้พบปะกับพี่น้องประชาชนและเข้าร่วมกิจกรรมกับพี่น้องประชาชนในโอกาสต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้คัดค้านยังคงมีความสนใจและหวังผลในการสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งทางการเมืองในคราวถัดไป ผู้คัดค้านย่อมทราบได้ว่าสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองจะครบวาระในวันที่ 2 มีนาคม 2557 ขึ้นเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไปในจังหวัดระนอง ทั้งยังได้กำชับให้นายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ นายสุมิตร ซึ่งเป็นบุคคลที่รู้จักและไว้ใจไปแจกจ่ายปฏิทินดังกล่าวให้แก่ประชาชนทั่วไปในพื้นที่รับผิดชอบให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2556 อันเป็นระยะเวลาก่อนเก้าสิบวันก่อนวันครบวาระสมาชิกวุฒิสภาทำให้เชื่อได้ว่าผู้คัดค้านมีความประสงค์ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนองในคราวถัดไป และจงใจกระทำการเพื่อหลีกเลี่ยงข้อห้ามตามมาตรา 49 (1) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 เมื่อพิจารณาปฏิทินประจำปี 2557 ตามเอกสารหมาย ร.39 แผ่นที่ 3 ที่มีรูปหรือตราสัญลักษณ์พรรคประชาธิปัตย์ และภาพนายวิรัช ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ปรากฏอยู่ส่วนบนและภาพของผู้คัดค้านอยู่ส่วนกลางแล้ว ย่อมทำให้บุคคลทั่วไปเยี่ยงวิญญูชนที่พบเห็นเข้าใจได้ว่า ผู้คัดค้านเกี่ยวข้องพรรคประชาธิปัตย์ และนายวิรัชสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองพรรคประชาธิปัตย์ หรือได้รับความช่วยเหลือหรือสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ และนายวิรัชสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนองพรรคประชาธิปัตย์ หากผู้คัดค้านไม่ประสงค์ที่จะให้ผู้ที่พบเห็นปฏิทินดังกล่าวเข้าใจเช่นว่านั้น ก็คงไม่มีเหตุผลใดที่ผู้คัดค้านจะต้องจัดทำปฏิทินที่ปรากฏภาพดังกล่าวเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไปในพื้นที่จังหวัดระนอง และปฏิทินปรากฏอยู่จนถึงวันเลือกตั้งนอกจากนั้นยังได้ความว่านายปิยะ นายประสิทธิ์ นายสมเกียรติ นายสุมิตร ซึ่งเป็นผู้ที่ผู้คัดค้านมอบหมายให้ไป แจกปฏิทินประจำปี 2557 ดังกล่าวในพื้นที่ที่แต่ละคนรับผิดชอบนั้นล้วนแต่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 43 บัญญัติว่า "ห้ามมิให้พรรคการเมือง กรรมการบริหาร พรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมืองช่วยเหลือหรือสนับสนุนผู้สมัครรับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาเพื่อให้ได้รับการเลือกตั้งหรือได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม" และมีโทษทางอาญาตามมาตรา 111 ซึ่งบัญญัติว่า "กรรมการบริหารพรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมืองผู้ใด ช่วยเหลือหรือสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา 43 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ" ส่วนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 49 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "...วิธีการหาเสียงเลือกตั้ง...ให้เป็นไปตามบทบัญญัติ ในส่วนนี้และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง" ซึ่งบทบัญญัติ ในมาตรา 122ให้นำมาใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ดังนั้น การแจกปฏิทินที่มีตราสัญลักษณ์พรรคการเมืองกับภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดซึ่งสังกัดพรรคการเมืองจึงฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของกฎหมาย เป็นการอ้างหรือทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าพรรคการเมืองดังกล่าวสนับสนุนตน ทั้งที่พรรคการเมืองไม่อาจสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาคนใดได้ การกระทำดังกล่าวไม่ว่าจะเกิดขึ้นในเวลาใดๆ ก่อนเลือกตั้ง หากเป็นการกระทำเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิลงคะแนนให้เลือกตั้งตนเอง ย่อมเข้าหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 ประกอบมาตรา 122 กล่าวคือ ผู้สมัครผู้ใดกระทำการใดๆ โดยไม่สุจริตเพื่อที่จะให้ตนเองได้รับการเลือกตั้ง... ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยพรรคการเมืองทำให้การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมจึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้คดีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ากรณีเป็นไปตามคำร้องของผู้ร้องคำคัดค้านของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายศักดาผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปีนับแต่วันมีคำสั่ง
บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ม. มิได้ลงพิมพ์ว่า ผู้คัดค้านมิได้ จ้าง วาน ใช้ให้ลงพิมพ์ข้อความดังกล่าว เพียงแต่ปฏิเสธว่าข้อความที่ลงพิมพ์นั้น มิได้หาเสียงให้ผู้สมัครรายใด จึงเชื่อได้ว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้ ส. บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ม. กระทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โดยมีข้อความอันเป็นการหาเสียงเลือกตั้งดังที่ผู้ร้องกล่าวหา และเมื่อพิจารณาข้อความโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งของผู้คัดค้าน เห็นว่า ข้อความดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารอันเป็นการกำหนดนโยบายของพรรคการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 วรรคหนึ่ง ทั้งข้อความดังกล่าวยังเป็นการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้านอันส่งผลให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมเพื่อให้ ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้ง คดีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ากรณีเป็นไปตามคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปในวันที่ 30 มีนาคม 2557 โดยในการเลือกตั้งดังกล่าว ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย หมายเลข 3 ต่อมาเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2557 ผู้ร้องได้ประกาศผลการเลือกตั้งให้นายสมศักดิ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย หมายเลข 2 เป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย โดยผู้คัดค้านไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งดังกล่าว ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายสมาน กระทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งผ่านทางสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น คือ หนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย ปีที่ 24 ฉบับที่ 506 ประจำวันที่ 1 ถึง 15 มีนาคม 2557 หน้าที่ 11 โดยมีข้อความว่า "หน้าที่สมาชิกสภา อยากผลักดันเรื่องกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง และเสนอให้สร้างอ่างเก็บน้ำชลประทานขนาดใหญ่ 5 โครงการ โครงการที่ผ่านมาได้ผลและลงมือก่อสร้าง 1 โครงการที่ต้นแม่น้ำเลยงบประมาณ 200 กว่าล้านบาท และอีกโครงการอยู่ระหว่างการดำเนินการเวนคืนที่ดินที่อำเภอด่านซ้าย ราคาก่อสร้างประมาณ 4 - 5 ร้อยล้านบาท อยู่ระหว่างการเวนคืนที่ดินแล้วเสร็จถึงจะเปิดประมูลก่อสร้างได้" และย่อหน้าถัดมามีข้อความว่า "หน้าที่สมาชิกสภาจังหวัด การพัฒนาประเทศ (บ้านเมือง) ทำไม่ได้เลย ถ้าไม่พัฒนาประชาธิปไตย สมาชิกสภาจังหวัดถือเป็นองค์กรสำคัญของระบบการปกครอง ในการนำเสนอปัญหาความต้องการของประชาชนไปสู่รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในสมัยโลกาภิวัฒน์นี้ มติมหาชนถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการกำหนดนโยบายและการบริหารบ้านเมือง" ซึ่งเป็นการหาเสียงเลือกตั้งในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภาอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 ขอให้มีคำสั่งตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 57/2557 เรื่อง ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 และมาตรา 122 ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน มีกำหนดห้าปี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านไม่ได้ก่อ จ้างวานใช้ รู้เห็นเป็นใจ หรือสนับสนุน นายสมาน ให้ทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยลงข้อความในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ตามคำร้องของผู้ร้อง เมื่อผู้คัดค้านทราบว่ามีการลงข้อความอันเป็นมูลคดีที่มีปัญหาดังกล่าว ผู้คัดค้านได้ดำเนินการทักท้วงนายสมาน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ว่าลงข้อความเกินที่แจ้งไปโดยพลการ และแจ้งต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองเลยให้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานว่าผู้คัดค้านไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับการลงโฆษณาโดยพลการของนายสมานดังกล่าว ขอให้ยกคำร้อง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยเป็นประการแรกว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายสมาน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย กระทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โดยมีข้อความอันเป็นการหาเสียงเลือกตั้งหรือไม่ โดยผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านทราบว่ามีการลงข้อความดังกล่าวเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2557 จึงได้ต่อว่านายสมานว่าลงข้อความโดยพลการ และในวันเดียวกัน เวลา 15.30 นาฬิกา ผู้คัดค้านได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองเลยไว้เป็นหลักฐานว่าผู้คัดค้านไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับการลงโฆษณาดังกล่าว เห็นว่า หนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย ปีที่ 24 ฉบับที่ 506 ประจำวันที่ 1 ถึง 15 มีนาคม 2557 เอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 14 มีรูปถ่ายผู้คัดค้านอยู่ในหน้าแรกส่วนบน ใต้ชื่อหนังสือพิมพ์ร่วมกับรูปถ่ายของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลยอื่นอีก 2 คน ทั้งในหน้าที่ 11 ก็มีรูปถ่ายผู้คัดค้าน ประวัติผู้คัดค้านและข้อความดังกล่าวอยู่ถึงครึ่งหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ในแนวตั้ง นอกจากนี้ยังได้ความจากนายสมาน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย ตามบันทึกคำให้การพยานต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน เอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 50 ว่า หนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย พิมพ์เผยแพร่จำนวน 1,700 ฉบับ มีสมาชิกทั้งที่เป็นภาครัฐและเอกชนประมาณ 300 ราย และวางจำหน่ายตามแผงหนังสือทั่วไปในเขตอำเภอเมืองเลยในราคาฉบับละ 10 บาท และฉบับที่ 506 ประจำวันที่ 1 ถึง 15 มีนาคม 2557 ออกจำหน่ายในวันที่ 18 ถึง 20 มีนาคม 2557 แต่ผู้คัดค้านเพิ่งมีหนังสือแจ้งบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2557 ตามเอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 64 ว่ามีการพิมพ์ข้อความที่คลาดเคลื่อน และแจ้งความไว้เป็นหลักฐานต่อพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2557 ตามเอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 67 ว่าตนมิได้รู้เห็นเป็นใจในการโฆษณาดังกล่าว จึงผิดวิสัยที่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ทั้งเคยเป็นประธานหอการค้าจังหวัดเลย จะไม่ทราบถึงการโฆษณาตนเองในการลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลยในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่วางจำหน่ายแพร่หลายในจังหวัดเลยในทันทีที่มีการวางจำหน่าย แต่เพิ่งมาทราบหลังจากจำหน่าย จ่าย แจก แล้วถึง 4 วัน ประกอบกับในคอลัมน์บรรณาธิการแถลง ในหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลยปีที่ 24 ฉบับที่ 507 ประจำวันที่ 16 ถึง 31 มีนาคม 2557 หน้าที่ 5 เอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 77ลงพิมพ์ว่า "...ข้อความนอกกรอบที่พิมพ์ลงไปนั้นความจริงพิจารณาแล้วก็มิได้หาเสียงให้ใครหรือสนับสนุนผู้สมัครเบอร์ใดแม้แต่นิดเดียว คงยึดมั่นให้ความเป็นกลางสนับสนุนทุกเบอร์ ถ้าท่านได้รับการพิจารณาเลือกจากประชาชนชาวจังหวัดเลย..."จากบทบรรณาธิการดังกล่าวจึงเห็นได้ว่า บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทเลย เมืองเลย ก็มิได้ลงพิมพ์ว่า ผู้คัดค้านมิได้ จ้าง วาน ใช้ ให้ลงพิมพ์ข้อความดังกล่าว เพียงแต่ปฏิเสธว่าข้อความที่ลงพิมพ์นั้น มิได้หาเสียงให้ผู้สมัครรายใด จึงเชื่อได้ว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายสมาน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย กระทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โดยมีข้อความอันเป็นการหาเสียงเลือกตั้งดังที่ผู้ร้องกล่าวหา
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยเป็นประการสุดท้ายว่า ข้อความตามคำร้องว่าผู้คัดค้าน ใช้ในการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง ผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น นั้น เป็นการหาเสียงเลือกตั้งในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตเพื่อที่จะให้ผู้คัดค้านได้รับการเลือกตั้ง มีผลให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา สามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา" และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการหาเสียง ข้อควรปฏิบัติ และข้อห้ามมิให้ปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาและการดำเนินการใดๆของผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้มีสิทธิเลือกตั้ง พ.ศ. 2551 ข้อ 5 กำหนดว่า "ในการหาเสียงเลือกตั้ง ผู้สมัครหรือบุคคลผู้ช่วยในการหาเสียงเลือกตั้งสามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 เช่น อำนาจในด้านนิติบัญญัติ อำนาจในการควบคุมการตรากฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน การให้ความเห็นชอบในเรื่องสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของแผ่นดิน การพิจารณาเลือกตั้ง แต่งตั้ง ให้คำแนะนำให้ความเห็นชอบบุคคลในองค์กรต่างๆ อำนาจในการถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เป็นต้น..." แต่เมื่อพิจารณาถ้อยคำที่ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย ปีที่ 24 ฉบับที่ 506 ประจำวันที่ 1 ถึง 15 มีนาคม 2557 หน้าที่ 11 ตามคำร้องของผู้ร้องแล้ว เห็นว่า ข้อความดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารอันเป็นการกำหนดนโยบายของพรรคการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 วรรคหนึ่ง ทั้งข้อความดังกล่าวยังเป็นการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้านอันส่งผลให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมเพื่อให้ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้ง คดีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ากรณีเป็นไปตามคำร้องของผู้ร้อง คำคัดค้านของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายสุเครื่อง ผู้คัดค้าน มีกำหนดห้าปี นับแต่วันมีคำสั่ง.
บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ม. มิได้ลงพิมพ์ว่า ผู้คัดค้านมิได้ จ้าง วาน ใช้ให้ลงพิมพ์ข้อความดังกล่าว เพียงแต่ปฏิเสธว่าข้อความที่ลงพิมพ์นั้น มิได้หาเสียงให้ผู้สมัครรายใด จึงเชื่อได้ว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้ ส. บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ม. กระทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โดยมีข้อความอันเป็นการหาเสียงเลือกตั้งดังที่ผู้ร้องกล่าวหา และเมื่อพิจารณาข้อความโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งของผู้คัดค้าน เห็นว่า ข้อความดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารอันเป็นการกำหนดนโยบายของพรรคการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 วรรคหนึ่ง ทั้งข้อความดังกล่าวยังเป็นการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้านอันส่งผลให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมเพื่อให้ ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้ง คดีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ากรณีเป็นไปตามคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปในวันที่ 30 มีนาคม 2557 โดยในการเลือกตั้งดังกล่าว ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย หมายเลข 3 ต่อมาเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2557 ผู้ร้องได้ประกาศผลการเลือกตั้งให้นายสมศักดิ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย หมายเลข 2 เป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย โดยผู้คัดค้านไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งดังกล่าว ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายสมาน กระทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งผ่านทางสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น คือ หนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย ปีที่ 24 ฉบับที่ 506 ประจำวันที่ 1 ถึง 15 มีนาคม 2557 หน้าที่ 11 โดยมีข้อความว่า "หน้าที่สมาชิกสภา อยากผลักดันเรื่องกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง และเสนอให้สร้างอ่างเก็บน้ำชลประทานขนาดใหญ่ 5 โครงการ โครงการที่ผ่านมาได้ผลและลงมือก่อสร้าง 1 โครงการที่ต้นแม่น้ำเลยงบประมาณ 200 กว่าล้านบาท และอีกโครงการอยู่ระหว่างการดำเนินการเวนคืนที่ดินที่อำเภอด่านซ้าย ราคาก่อสร้างประมาณ 4 - 5 ร้อยล้านบาท อยู่ระหว่างการเวนคืนที่ดินแล้วเสร็จถึงจะเปิดประมูลก่อสร้างได้" และย่อหน้าถัดมามีข้อความว่า "หน้าที่สมาชิกสภาจังหวัด การพัฒนาประเทศ (บ้านเมือง) ทำไม่ได้เลย ถ้าไม่พัฒนาประชาธิปไตย สมาชิกสภาจังหวัดถือเป็นองค์กรสำคัญของระบบการปกครอง ในการนำเสนอปัญหาความต้องการของประชาชนไปสู่รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในสมัยโลกาภิวัฒน์นี้ มติมหาชนถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการกำหนดนโยบายและการบริหารบ้านเมือง" ซึ่งเป็นการหาเสียงเลือกตั้งในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภาอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 ขอให้มีคำสั่งตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 57/2557 เรื่อง ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 111 และมาตรา 122 ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน มีกำหนดห้าปี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านไม่ได้ก่อ จ้างวานใช้ รู้เห็นเป็นใจ หรือสนับสนุน นายสมาน ให้ทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยลงข้อความในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ตามคำร้องของผู้ร้อง เมื่อผู้คัดค้านทราบว่ามีการลงข้อความอันเป็นมูลคดีที่มีปัญหาดังกล่าว ผู้คัดค้านได้ดำเนินการทักท้วงนายสมาน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ว่าลงข้อความเกินที่แจ้งไปโดยพลการ และแจ้งต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองเลยให้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานว่าผู้คัดค้านไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับการลงโฆษณาโดยพลการของนายสมานดังกล่าว ขอให้ยกคำร้อง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยเป็นประการแรกว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายสมาน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย กระทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โดยมีข้อความอันเป็นการหาเสียงเลือกตั้งหรือไม่ โดยผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านทราบว่ามีการลงข้อความดังกล่าวเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2557 จึงได้ต่อว่านายสมานว่าลงข้อความโดยพลการ และในวันเดียวกัน เวลา 15.30 นาฬิกา ผู้คัดค้านได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองเลยไว้เป็นหลักฐานว่าผู้คัดค้านไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับการลงโฆษณาดังกล่าว เห็นว่า หนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย ปีที่ 24 ฉบับที่ 506 ประจำวันที่ 1 ถึง 15 มีนาคม 2557 เอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 14 มีรูปถ่ายผู้คัดค้านอยู่ในหน้าแรกส่วนบน ใต้ชื่อหนังสือพิมพ์ร่วมกับรูปถ่ายของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลยอื่นอีก 2 คน ทั้งในหน้าที่ 11 ก็มีรูปถ่ายผู้คัดค้าน ประวัติผู้คัดค้านและข้อความดังกล่าวอยู่ถึงครึ่งหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ในแนวตั้ง นอกจากนี้ยังได้ความจากนายสมาน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย ตามบันทึกคำให้การพยานต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน เอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 50 ว่า หนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย พิมพ์เผยแพร่จำนวน 1,700 ฉบับ มีสมาชิกทั้งที่เป็นภาครัฐและเอกชนประมาณ 300 ราย และวางจำหน่ายตามแผงหนังสือทั่วไปในเขตอำเภอเมืองเลยในราคาฉบับละ 10 บาท และฉบับที่ 506 ประจำวันที่ 1 ถึง 15 มีนาคม 2557 ออกจำหน่ายในวันที่ 18 ถึง 20 มีนาคม 2557 แต่ผู้คัดค้านเพิ่งมีหนังสือแจ้งบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2557 ตามเอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 64 ว่ามีการพิมพ์ข้อความที่คลาดเคลื่อน และแจ้งความไว้เป็นหลักฐานต่อพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2557 ตามเอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 67 ว่าตนมิได้รู้เห็นเป็นใจในการโฆษณาดังกล่าว จึงผิดวิสัยที่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ทั้งเคยเป็นประธานหอการค้าจังหวัดเลย จะไม่ทราบถึงการโฆษณาตนเองในการลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลยในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่วางจำหน่ายแพร่หลายในจังหวัดเลยในทันทีที่มีการวางจำหน่าย แต่เพิ่งมาทราบหลังจากจำหน่าย จ่าย แจก แล้วถึง 4 วัน ประกอบกับในคอลัมน์บรรณาธิการแถลง ในหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลยปีที่ 24 ฉบับที่ 507 ประจำวันที่ 16 ถึง 31 มีนาคม 2557 หน้าที่ 5 เอกสารหมาย รค.1 แผ่นที่ 77ลงพิมพ์ว่า "...ข้อความนอกกรอบที่พิมพ์ลงไปนั้นความจริงพิจารณาแล้วก็มิได้หาเสียงให้ใครหรือสนับสนุนผู้สมัครเบอร์ใดแม้แต่นิดเดียว คงยึดมั่นให้ความเป็นกลางสนับสนุนทุกเบอร์ ถ้าท่านได้รับการพิจารณาเลือกจากประชาชนชาวจังหวัดเลย..."จากบทบรรณาธิการดังกล่าวจึงเห็นได้ว่า บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทเลย เมืองเลย ก็มิได้ลงพิมพ์ว่า ผู้คัดค้านมิได้ จ้าง วาน ใช้ ให้ลงพิมพ์ข้อความดังกล่าว เพียงแต่ปฏิเสธว่าข้อความที่ลงพิมพ์นั้น มิได้หาเสียงให้ผู้สมัครรายใด จึงเชื่อได้ว่า ผู้คัดค้านได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายสมาน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย กระทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โดยมีข้อความอันเป็นการหาเสียงเลือกตั้งดังที่ผู้ร้องกล่าวหา
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยเป็นประการสุดท้ายว่า ข้อความตามคำร้องว่าผู้คัดค้าน ใช้ในการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง ผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น นั้น เป็นการหาเสียงเลือกตั้งในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตเพื่อที่จะให้ผู้คัดค้านได้รับการเลือกตั้ง มีผลให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา สามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา" และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการหาเสียง ข้อควรปฏิบัติ และข้อห้ามมิให้ปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาและการดำเนินการใดๆของผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้มีสิทธิเลือกตั้ง พ.ศ. 2551 ข้อ 5 กำหนดว่า "ในการหาเสียงเลือกตั้ง ผู้สมัครหรือบุคคลผู้ช่วยในการหาเสียงเลือกตั้งสามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 เช่น อำนาจในด้านนิติบัญญัติ อำนาจในการควบคุมการตรากฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน การให้ความเห็นชอบในเรื่องสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของแผ่นดิน การพิจารณาเลือกตั้ง แต่งตั้ง ให้คำแนะนำให้ความเห็นชอบบุคคลในองค์กรต่างๆ อำนาจในการถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เป็นต้น..." แต่เมื่อพิจารณาถ้อยคำที่ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์มหาชนไทเลย เมืองเลย ปีที่ 24 ฉบับที่ 506 ประจำวันที่ 1 ถึง 15 มีนาคม 2557 หน้าที่ 11 ตามคำร้องของผู้ร้องแล้ว เห็นว่า ข้อความดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารอันเป็นการกำหนดนโยบายของพรรคการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 123 วรรคหนึ่ง ทั้งข้อความดังกล่าวยังเป็นการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้านอันส่งผลให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเลย ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมเพื่อให้ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้ง คดีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ากรณีเป็นไปตามคำร้องของผู้ร้อง คำคัดค้านของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายสุเครื่อง ผู้คัดค้าน มีกำหนดห้าปี นับแต่วันมีคำสั่ง.
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ ต่อมา ส. ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าการเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 496/2555 ว่า ผู้คัดค้านมีความผิดตาม พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี ผู้คัดค้านจึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ผู้ร้องเห็นว่าควรสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน ขอให้มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปี ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านยังมิได้เป็นผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เนื่องจากคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค3คดียังไม่ถึงที่สุด ขอให้ยกคำร้อง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) มาตรา 102 (3) และมาตรา 115 (8) กับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 119 มาตรา 139 และมาตรา 122 ยังมีผลใช้บังคับหรือไม่ เห็นว่าเมื่อการกระทำของผู้คัดค้านที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2557 ก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะเข้าควบคุมอำนาจการปกครอง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลงยกเว้นหมวด 2 แล้ว แต่ต่อมาได้มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งในข้อ 1 กำหนดให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มีผลบังคับใช้ ต่อเนื่องต่อไป โดยมิได้สะดุดลงจนกว่าจะมีกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกกับทั้งไม่ปรากฏว่าก่อนที่จะมีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 สิ้นสุดลงไปไม่พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวยังคงมีผลใช้บังคับต่อเนื่องตลอดมา เมื่อมาตรา 119 ได้บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็น ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายที่บัญญัติให้ผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจในการจัดให้มีการเลือกตั้งวุฒิสภาและยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาหากปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีการฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวได้
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำคุก ผู้คัดค้านมีกำหนด 5 ปี และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้คัดค้าน 10 ปี โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจะถือว่าผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา... (8) เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 102 ...(3)..." โดยมาตรา 102 (3) บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร... (3) เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 100 (1) (2) หรือ (4)..." และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง...(2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง..." แสดงให้เห็นว่า บุคคลที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจะต้องถูกจำกัดสิทธิต้องห้ามมิให้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา การบังคับตามคำพิพากษาของศาลที่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเช่นนี้ จะบังคับได้โดยเด็ดขาดต่อเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว กรณีของผู้คัดค้าน แม้จะได้ความว่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2555 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ซึ่งพิพากษาว่าผู้คัดค้านมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี ก็ตาม แต่เมื่อคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา คดียังไม่ถึงที่สุด ไม่อาจบังคับคดีได้โดยเด็ดขาด จึงไม่ถือว่าผู้คัดค้านอยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ผู้คัดค้านมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ผู้คัดค้านไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังที่ผู้ร้องอ้าง
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ หมายเลข 1 ต่อมาวันที่ 28 เมษายน 2557 นายสมภพ ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดศรีสะเกษว่า การเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2555 ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 496/2555 ว่า ผู้คัดค้านมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี ผู้คัดค้านจึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ครั้นวันที่ 29 เมษายน 2557 ผู้ร้องประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ ผู้ร้องเห็นว่าควรสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน ขอให้มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านยังมิได้เป็นผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เนื่องจากคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดียังไม่ถึงที่สุด ผู้คัดค้านสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยสุจริต มิได้ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) มาตรา 102 (3) และมาตรา 115 (8) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 119 ขณะที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแจ้งข้อกล่าวหาและยื่นคำร้องดำเนินคดีนี้ บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) มาตรา 102 (3) และมาตรา 115 (8)ได้ถูกยกเลิกและสิ้นสุดลงแล้ว ตามประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำสั่งให้รวมวินิจฉัยเมื่อมีคำสั่ง
ในวันนัดตรวจพยานหลักฐาน ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งสอบข้อเท็จจริงจากผู้ร้องและ ผู้คัดค้านแล้ว เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องไต่สวนพยานอีก
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 โดยกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปในวันที่ 30 มีนาคม 2557 หลังจากมีพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวแล้ว วันที่ 2 มีนาคม 2557 ประธานกรรมการการเลือกตั้งประกาศรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา เขตเลือกตั้งจังหวัดศรีสะเกษ หมายเลข 1 และผู้ร้องได้ประกาศผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2557 ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา แต่ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดศรีสะเกษได้รับคำร้องคัดค้านจากนายสมภพ มั่นคงผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาเขตเลือกตั้งจังหวัดศรีสะเกษ หมายเลข 5 ว่า การเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ผู้คัดค้านกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53 เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 496/2555 ว่า ผู้คัดค้านมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี ผู้คัดค้านจึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา วันที่ 9 ตุลาคม 2557 ผู้ร้องมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้คัดค้าน
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) มาตรา 102 (3) และมาตรา 115 (8) กับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 119 มาตรา 139 และมาตรา 122 ยังมีผลใช้บังคับหรือไม่ เห็นว่าเมื่อการกระทำของผู้คัดค้านที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2557 ก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะเข้าควบคุมอำนาจการปกครอง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลงยกเว้นหมวด 2 แล้ว แต่ต่อมาได้มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งในข้อ 1 กำหนดให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มีผลบังคับใช้ต่อเนื่องต่อไป โดยมิได้สะดุดลงจนกว่าจะมีกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิก กับทั้งไม่ปรากฏว่าก่อนที่จะมีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 สิ้นสุดลงไปไม่พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวยังคงมีผลใช้บังคับต่อเนื่องตลอดมา เมื่อมาตรา 119 ได้บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายที่บัญญัติให้ผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจในการจัดให้มีการเลือกตั้งวุฒิสภาและยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาหากปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีการฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวได้
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำคุกผู้คัดค้านมีกำหนด 5 ปี และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้คัดค้าน 10 ปี โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจะถือว่าผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา... (8) เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 102 ...(3)..." โดยมาตรา 102 (3) บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร... (3) เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 100 (1) (2) หรือ (4)..." และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ... (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง..." แสดงให้เห็นว่า บุคคลที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจะต้องถูกจำกัดสิทธิ ต้องห้ามมิให้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา การบังคับตามคำพิพากษาของศาลที่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเช่นนี้ จะบังคับได้โดยเด็ดขาดต่อเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว กรณีของผู้คัดค้าน แม้จะได้ความว่า เมื่อวันที่ 26เมษายน 2555 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 3 ซึ่งพิพากษาว่าผู้คัดค้านมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี ก็ตาม แต่เมื่อคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา คดียังไม่ถึงที่สุด ไม่อาจบังคับคดีได้โดยเด็ดขาด จึงไม่ถือว่าผู้คัดค้านอยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ผู้คัดค้านมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ผู้คัดค้านไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังที่ผู้ร้องอ้าง
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง.
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ ต่อมา ส. ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าการเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 496/2555 ว่า ผู้คัดค้านมีความผิดตาม พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี ผู้คัดค้านจึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ผู้ร้องเห็นว่าควรสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน ขอให้มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปี ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านยังมิได้เป็นผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เนื่องจากคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค3คดียังไม่ถึงที่สุด ขอให้ยกคำร้อง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) มาตรา 102 (3) และมาตรา 115 (8) กับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 119 มาตรา 139 และมาตรา 122 ยังมีผลใช้บังคับหรือไม่ เห็นว่าเมื่อการกระทำของผู้คัดค้านที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2557 ก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะเข้าควบคุมอำนาจการปกครอง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลงยกเว้นหมวด 2 แล้ว แต่ต่อมาได้มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งในข้อ 1 กำหนดให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มีผลบังคับใช้ ต่อเนื่องต่อไป โดยมิได้สะดุดลงจนกว่าจะมีกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกกับทั้งไม่ปรากฏว่าก่อนที่จะมีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 สิ้นสุดลงไปไม่พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวยังคงมีผลใช้บังคับต่อเนื่องตลอดมา เมื่อมาตรา 119 ได้บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็น ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายที่บัญญัติให้ผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจในการจัดให้มีการเลือกตั้งวุฒิสภาและยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาหากปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีการฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวได้
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำคุก ผู้คัดค้านมีกำหนด 5 ปี และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้คัดค้าน 10 ปี โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจะถือว่าผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา... (8) เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 102 ...(3)..." โดยมาตรา 102 (3) บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร... (3) เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 100 (1) (2) หรือ (4)..." และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง...(2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง..." แสดงให้เห็นว่า บุคคลที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจะต้องถูกจำกัดสิทธิต้องห้ามมิให้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา การบังคับตามคำพิพากษาของศาลที่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเช่นนี้ จะบังคับได้โดยเด็ดขาดต่อเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว กรณีของผู้คัดค้าน แม้จะได้ความว่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2555 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ซึ่งพิพากษาว่าผู้คัดค้านมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี ก็ตาม แต่เมื่อคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา คดียังไม่ถึงที่สุด ไม่อาจบังคับคดีได้โดยเด็ดขาด จึงไม่ถือว่าผู้คัดค้านอยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ผู้คัดค้านมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ผู้คัดค้านไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังที่ผู้ร้องอ้าง
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ หมายเลข 1 ต่อมาวันที่ 28 เมษายน 2557 นายสมภพ ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดศรีสะเกษว่า การเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2555 ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 496/2555 ว่า ผู้คัดค้านมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี ผู้คัดค้านจึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ครั้นวันที่ 29 เมษายน 2557 ผู้ร้องประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ ผู้ร้องเห็นว่าควรสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน ขอให้มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดห้าปี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านยังมิได้เป็นผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เนื่องจากคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดียังไม่ถึงที่สุด ผู้คัดค้านสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยสุจริต มิได้ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) มาตรา 102 (3) และมาตรา 115 (8) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 119 ขณะที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแจ้งข้อกล่าวหาและยื่นคำร้องดำเนินคดีนี้ บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) มาตรา 102 (3) และมาตรา 115 (8)ได้ถูกยกเลิกและสิ้นสุดลงแล้ว ตามประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำสั่งให้รวมวินิจฉัยเมื่อมีคำสั่ง
ในวันนัดตรวจพยานหลักฐาน ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งสอบข้อเท็จจริงจากผู้ร้องและ ผู้คัดค้านแล้ว เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องไต่สวนพยานอีก
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 โดยกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไปในวันที่ 30 มีนาคม 2557 หลังจากมีพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวแล้ว วันที่ 2 มีนาคม 2557 ประธานกรรมการการเลือกตั้งประกาศรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา เขตเลือกตั้งจังหวัดศรีสะเกษ หมายเลข 1 และผู้ร้องได้ประกาศผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2557 ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา แต่ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดศรีสะเกษได้รับคำร้องคัดค้านจากนายสมภพ มั่นคงผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาเขตเลือกตั้งจังหวัดศรีสะเกษ หมายเลข 5 ว่า การเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ผู้คัดค้านกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53 เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 496/2555 ว่า ผู้คัดค้านมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี ผู้คัดค้านจึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา วันที่ 9 ตุลาคม 2557 ผู้ร้องมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้คัดค้าน
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) มาตรา 102 (3) และมาตรา 115 (8) กับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 119 มาตรา 139 และมาตรา 122 ยังมีผลใช้บังคับหรือไม่ เห็นว่าเมื่อการกระทำของผู้คัดค้านที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2557 ก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะเข้าควบคุมอำนาจการปกครอง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลงยกเว้นหมวด 2 แล้ว แต่ต่อมาได้มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งในข้อ 1 กำหนดให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มีผลบังคับใช้ต่อเนื่องต่อไป โดยมิได้สะดุดลงจนกว่าจะมีกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิก กับทั้งไม่ปรากฏว่าก่อนที่จะมีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 สิ้นสุดลงไปไม่พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวยังคงมีผลใช้บังคับต่อเนื่องตลอดมา เมื่อมาตรา 119 ได้บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายที่บัญญัติให้ผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจในการจัดให้มีการเลือกตั้งวุฒิสภาและยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาหากปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีการฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวได้
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำคุกผู้คัดค้านมีกำหนด 5 ปี และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้คัดค้าน 10 ปี โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจะถือว่าผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา... (8) เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 102 ...(3)..." โดยมาตรา 102 (3) บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร... (3) เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 100 (1) (2) หรือ (4)..." และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 100 (2) บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ... (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง..." แสดงให้เห็นว่า บุคคลที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจะต้องถูกจำกัดสิทธิ ต้องห้ามมิให้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา การบังคับตามคำพิพากษาของศาลที่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเช่นนี้ จะบังคับได้โดยเด็ดขาดต่อเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว กรณีของผู้คัดค้าน แม้จะได้ความว่า เมื่อวันที่ 26เมษายน 2555 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 3 ซึ่งพิพากษาว่าผู้คัดค้านมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี ก็ตาม แต่เมื่อคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา คดียังไม่ถึงที่สุด ไม่อาจบังคับคดีได้โดยเด็ดขาด จึงไม่ถือว่าผู้คัดค้านอยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ผู้คัดค้านมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ผู้คัดค้านไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังที่ผู้ร้องอ้าง
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา....(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" ที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นตามความในมาตรา 115 (9) มิได้หมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ผู้ร้องจึงเป็นบุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามนั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้....(4) สมาชิกวุฒิสภา...." จะเห็นได้ว่า มาตรา 259 (4) บัญญัติไว้ชัดเจนว่าสมาชิกวุฒิสภาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แม้มาตรา 115 บัญญัติในหมวด 6 รัฐสภาส่วนที่ 3 วุฒิสภา แต่บทบัญญัติมาตราดังกล่าว เป็นบัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลผู้ที่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ดังนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นที่ระบุในมาตราดังกล่าวหมายถึงตำแหน่งทางการเมืองทุกตำแหน่งที่ไม่ใช่ตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งหมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ซึ่งแตกต่างกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 116 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติไว้ว่า "สมาชิกวุฒิสภาจะเป็นรัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น...มิได้" อันมีความหมายว่า ผู้ที่มีสมาชิกภาพเป็นสมาชิกวุฒิสภาอยู่ในขณะนั้นจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หรือตำแหน่งทางการเมืองอื่นใดอีกมิได้ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับมาตรา 117 วรรคสอง ที่บัญญัติห้ามมิให้สมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าหนึ่งวาระซึ่งเป็นเจตนารมณ์โดยชัดแจ้งของรัฐธรรมนูญที่ไม่ประสงค์จะให้สมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าหนึ่งวาระ ส่วนมาตรา 297 ก็เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาในวาระเริ่มแรกเท่านั้นที่มิให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการห้ามดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินหนึ่งวาระ มาใช้บังคับกับบุคคลดังกล่าวในการสรรหาในคราวถัดไปหลังจากสิ้นสุดสมาชิกภาพ หากบุคคลผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาก็ต้องพิจารณาว่ามีคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 115 หรือไม่ เมื่อรับฟังเป็นที่ยุติว่า ตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา หมายความรวมถึง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ตามความหมายในมาตรา 115 (9) ด้วยแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงรับก็ฟังได้ว่าผู้ร้องสิ้นสุดสมาชิกภาพจากการเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 นับถึงวันเลือกตั้งยังไม่เกินห้าปี ผู้ร้องจึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านที่ 2 มีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างเหตุว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาประเภทสรรหาเมื่อปี 2551 และสิ้นสุดสมาชิกภาพตามวาระเมื่อปี 2554 ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ร้องเห็นว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นตามความในมาตรา 115 (9) ไม่ได้หมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาหรือผู้เคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุพรรณบุรี
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาและพ้นตำแหน่งยังไม่เกินห้าปี จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2551 และสิ้นสุดสมาชิกภาพเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 ถือว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นและพ้นตำแหน่งยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา.... (9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" ที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นตามความในมาตรา 115 (9) มิได้หมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ผู้ร้องจึงเป็นบุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามนั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้....(4) สมาชิกวุฒิสภา...." จะเห็นได้ว่า มาตรา 259 (4) บัญญัติไว้ชัดเจนว่าสมาชิกวุฒิสภาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แม้มาตรา 115 บัญญัติในหมวด 6 รัฐสภาส่วนที่ 3 วุฒิสภาแต่บทบัญญัติมาตราดังกล่าว เป็นบัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลผู้ที่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ดังนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นที่ระบุในมาตราดังกล่าวหมายถึงตำแหน่งทางการเมืองทุกตำแหน่งที่ไม่ใช่ตำแหน่งรัฐมนตรีซึ่งหมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ซึ่งแตกต่างกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 116 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติไว้ว่า "สมาชิกวุฒิสภาจะเป็นรัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น...มิได้" อันมีความหมายว่า ผู้ที่มีสมาชิกภาพเป็นสมาชิกวุฒิสภาอยู่ในขณะนั้นจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หรือตำแหน่งทางการเมืองอื่นใดอีกมิได้ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับมาตรา 117วรรคสอง ที่บัญญัติห้ามมิให้สมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าหนึ่งวาระซึ่งเป็นเจตนารมณ์โดยชัดแจ้งของรัฐธรรมนูญที่ไม่ประสงค์จะให้สมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าหนึ่งวาระส่วนมาตรา 297 ก็เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาในวาระเริ่มแรกเท่านั้นที่มิให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการห้ามดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินหนึ่งวาระ มาใช้บังคับกับบุคคลดังกล่าวในการสรรหาในคราวถัดไปหลังจากสิ้นสุดสมาชิกภาพ หากบุคคลผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาก็ต้องพิจารณาว่ามีคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 115 หรือไม่ เมื่อรับฟังเป็นที่ยุติว่า ตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา หมายความรวมถึง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นตามความหมายในมาตรา 115 (9) ด้วยแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงรับก็ฟังได้ว่าผู้ร้องสิ้นสุดสมาชิกภาพจากการเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 นับถึงวันเลือกตั้งยังไม่เกินห้าปี ผู้ร้องจึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้นชอบแล้ว คำร้องของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา....(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" ที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นตามความในมาตรา 115 (9) มิได้หมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ผู้ร้องจึงเป็นบุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามนั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้....(4) สมาชิกวุฒิสภา...." จะเห็นได้ว่า มาตรา 259 (4) บัญญัติไว้ชัดเจนว่าสมาชิกวุฒิสภาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แม้มาตรา 115 บัญญัติในหมวด 6 รัฐสภาส่วนที่ 3 วุฒิสภา แต่บทบัญญัติมาตราดังกล่าว เป็นบัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลผู้ที่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ดังนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นที่ระบุในมาตราดังกล่าวหมายถึงตำแหน่งทางการเมืองทุกตำแหน่งที่ไม่ใช่ตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งหมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ซึ่งแตกต่างกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 116 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติไว้ว่า "สมาชิกวุฒิสภาจะเป็นรัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น...มิได้" อันมีความหมายว่า ผู้ที่มีสมาชิกภาพเป็นสมาชิกวุฒิสภาอยู่ในขณะนั้นจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หรือตำแหน่งทางการเมืองอื่นใดอีกมิได้ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับมาตรา 117 วรรคสอง ที่บัญญัติห้ามมิให้สมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าหนึ่งวาระซึ่งเป็นเจตนารมณ์โดยชัดแจ้งของรัฐธรรมนูญที่ไม่ประสงค์จะให้สมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าหนึ่งวาระ ส่วนมาตรา 297 ก็เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาในวาระเริ่มแรกเท่านั้นที่มิให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการห้ามดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินหนึ่งวาระ มาใช้บังคับกับบุคคลดังกล่าวในการสรรหาในคราวถัดไปหลังจากสิ้นสุดสมาชิกภาพ หากบุคคลผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาก็ต้องพิจารณาว่ามีคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 115 หรือไม่ เมื่อรับฟังเป็นที่ยุติว่า ตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา หมายความรวมถึง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ตามความหมายในมาตรา 115 (9) ด้วยแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงรับก็ฟังได้ว่าผู้ร้องสิ้นสุดสมาชิกภาพจากการเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 นับถึงวันเลือกตั้งยังไม่เกินห้าปี ผู้ร้องจึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านที่ 2 มีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างเหตุว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาประเภทสรรหาเมื่อปี 2551 และสิ้นสุดสมาชิกภาพตามวาระเมื่อปี 2554 ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ร้องเห็นว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นตามความในมาตรา 115 (9) ไม่ได้หมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาหรือผู้เคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุพรรณบุรี
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาและพ้นตำแหน่งยังไม่เกินห้าปี จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2551 และสิ้นสุดสมาชิกภาพเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 ถือว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นและพ้นตำแหน่งยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา.... (9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" ที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นตามความในมาตรา 115 (9) มิได้หมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ผู้ร้องจึงเป็นบุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามนั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้....(4) สมาชิกวุฒิสภา...." จะเห็นได้ว่า มาตรา 259 (4) บัญญัติไว้ชัดเจนว่าสมาชิกวุฒิสภาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แม้มาตรา 115 บัญญัติในหมวด 6 รัฐสภาส่วนที่ 3 วุฒิสภาแต่บทบัญญัติมาตราดังกล่าว เป็นบัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลผู้ที่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ดังนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นที่ระบุในมาตราดังกล่าวหมายถึงตำแหน่งทางการเมืองทุกตำแหน่งที่ไม่ใช่ตำแหน่งรัฐมนตรีซึ่งหมายความรวมถึงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาด้วย ซึ่งแตกต่างกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 116 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติไว้ว่า "สมาชิกวุฒิสภาจะเป็นรัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น...มิได้" อันมีความหมายว่า ผู้ที่มีสมาชิกภาพเป็นสมาชิกวุฒิสภาอยู่ในขณะนั้นจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หรือตำแหน่งทางการเมืองอื่นใดอีกมิได้ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับมาตรา 117วรรคสอง ที่บัญญัติห้ามมิให้สมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าหนึ่งวาระซึ่งเป็นเจตนารมณ์โดยชัดแจ้งของรัฐธรรมนูญที่ไม่ประสงค์จะให้สมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าหนึ่งวาระส่วนมาตรา 297 ก็เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาในวาระเริ่มแรกเท่านั้นที่มิให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการห้ามดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินหนึ่งวาระ มาใช้บังคับกับบุคคลดังกล่าวในการสรรหาในคราวถัดไปหลังจากสิ้นสุดสมาชิกภาพ หากบุคคลผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาก็ต้องพิจารณาว่ามีคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 115 หรือไม่ เมื่อรับฟังเป็นที่ยุติว่า ตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา หมายความรวมถึง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นตามความหมายในมาตรา 115 (9) ด้วยแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงรับก็ฟังได้ว่าผู้ร้องสิ้นสุดสมาชิกภาพจากการเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 นับถึงวันเลือกตั้งยังไม่เกินห้าปี ผู้ร้องจึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้นชอบแล้ว คำร้องของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจาย อำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็น ผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2557 เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดบุรีรัมย์ ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริงผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555 และได้ลาออกโดยได้รับหนังสืออนุญาตจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์แล้ว เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัคร ผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดบุรีรัมย์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมายังไม่เกินห้าปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม มิให้เป็น ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดบุรีรัมย์ ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555 และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา... (9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ จะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง..(6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่งดังกล่าว เป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่นั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็น เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจาย อำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็น ผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2557 เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดบุรีรัมย์ ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริงผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555 และได้ลาออกโดยได้รับหนังสืออนุญาตจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์แล้ว เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัคร ผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดบุรีรัมย์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมายังไม่เกินห้าปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม มิให้เป็น ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดบุรีรัมย์ ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555 และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา... (9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ จะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง..(6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่งดังกล่าว เป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่นั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็น เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 284วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ช่วยปฏิบัติราชการในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะช่วยเหลือผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกันเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียง ผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่าเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นเลขานุการนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดเพื่อปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหาร ท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ ๘ มีนาคม 2557 เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุโขทัย ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริง ผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน2556 และได้ลาออกโดยได้รับหนังสืออนุญาตจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยแล้วเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้ง จังหวัดสุโขทัย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมายังไม่เกินห้าปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุโขทัย ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้ง ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่า ผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา...(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย จะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง... (6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า"ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยจึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่งดังกล่าวเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่นั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 284วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ช่วยปฏิบัติราชการในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะช่วยเหลือผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกันเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่าเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่าบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพื่อปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภา ไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจาย อำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัคร ผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 284วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ช่วยปฏิบัติราชการในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะช่วยเหลือผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกันเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียง ผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่าเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นเลขานุการนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดเพื่อปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหาร ท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ ๘ มีนาคม 2557 เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุโขทัย ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริง ผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน2556 และได้ลาออกโดยได้รับหนังสืออนุญาตจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยแล้วเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้ง จังหวัดสุโขทัย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมายังไม่เกินห้าปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุโขทัย ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้ง ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่า ผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา...(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย จะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง... (6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า"ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยจึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่งดังกล่าวเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่นั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 284วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ช่วยปฏิบัติราชการในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะช่วยเหลือผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกันเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่าเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่าบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพื่อปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภา ไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจาย อำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัคร ผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น ซึ่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามกรอบนโยบายที่ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย และบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด จึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่น ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรีที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดราชบุรี ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้ง การไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี ความจริงผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2556 และได้ลาออกโดยได้รับหนังสืออนุญาตจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรีแล้ว เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของ ผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดราชบุรี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดราชบุรี ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2556 และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรียังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็น ผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา..(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นหรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรีจะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง ..(6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี จึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่งดังกล่าวเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่นั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น ซึ่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย และบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลง ข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น อันเป็นการแสดง ให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่น ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้นอาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรีที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น ซึ่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามกรอบนโยบายที่ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย และบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด จึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่น ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรีที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดราชบุรี ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้ง การไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี ความจริงผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2556 และได้ลาออกโดยได้รับหนังสืออนุญาตจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรีแล้ว เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของ ผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดราชบุรี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดราชบุรี ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2556 และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรียังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็น ผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา..(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นหรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรีจะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง ..(6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี จึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่งดังกล่าวเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่นั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น ซึ่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย และบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลง ข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น อันเป็นการแสดง ให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่น ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้นอาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรีที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดแลมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่าเมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปีจึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีกทั้งการแปลความเช่นนั้นอาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องการรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภากำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดพิจิตร ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาอ้างว่า ผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริงแม้ผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรและได้ลาออกยังไม่เกินห้าปีก็ตามแต่ตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดถือว่าเป็นตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่นแล้ว ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดพิจิตร
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดพิจิตร ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่า ผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา... (9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว มาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรจะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง... (6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดและที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่าเมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจาย อำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่น มาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็น ผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดแลมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่าเมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปีจึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีกทั้งการแปลความเช่นนั้นอาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องการรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภากำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดพิจิตร ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาอ้างว่า ผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริงแม้ผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรและได้ลาออกยังไม่เกินห้าปีก็ตามแต่ตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดถือว่าเป็นตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่นแล้ว ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดพิจิตร
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดพิจิตร ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่า ผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา... (9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว มาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรจะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง... (6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดและที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่าเมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจาย อำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่น มาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็น ผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกันโดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตาม มาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็น เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ตามมาตรา44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปีจึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีก ทั้งการแปลความเช่นนั้นอาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือ เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภากำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่า ผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นและพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริงผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ และพ้นจากตำแหน่งแล้วเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดเพชรบูรณ์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้ง จังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ ยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา...(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์จะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง... (6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่งดังกล่าวเป็นผู้บริหารท้องถิ่น หรือไม่นั้นเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตาม พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึง คณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติ แห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่ง ดังกล่าวมาแล้วห้าปีจึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีก ทั้งการ แปลความเช่นนั้นอาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ
จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหาร ท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกันโดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตาม มาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็น เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ตามมาตรา44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปีจึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีก ทั้งการแปลความเช่นนั้นอาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือ เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 30 มีนาคม 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภากำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่า ผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นและพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริงผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ และพ้นจากตำแหน่งแล้วเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดเพชรบูรณ์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้ง จังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ และผู้ร้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ ยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา...(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์จะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง... (6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่งดังกล่าวเป็นผู้บริหารท้องถิ่น หรือไม่นั้นเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตาม พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึง คณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติ แห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่ง ดังกล่าวมาแล้วห้าปีจึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกันอีก ทั้งการ แปลความเช่นนั้นอาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ
จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหาร ท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็น การกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะ ผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลง ข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วน
จังหวัดหากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันทีย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า ตามที่ได้มีประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4มีนาคม2557 ถึงวันที่ 8 มีนาคม2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดนครสวรรค์ ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริงผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2555 และได้ลาออกโดยได้รับหนังสืออนุญาตจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์แล้ว เมื่อวันที่ 3 มีนาคม2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดนครสวรรค์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดนครสวรรค์ ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2555 และผู้ร้องได้ลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา...(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นหรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ จะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง... (6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่นรองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่ง ดังกล่าวเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่นั้น เห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และ ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะ ผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่า รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหาร ท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้นต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อนผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็น การกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะ ผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลง ข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้น ต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วน
จังหวัดหากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันทีย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อน ผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9)
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า ตามที่ได้มีประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งใดยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้น ระหว่างวันที่ 4มีนาคม2557 ถึงวันที่ 8 มีนาคม2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดนครสวรรค์ ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม2557 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งการไม่รับสมัครผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อ้างว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) เนื่องจากผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง ความจริงผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2555 และได้ลาออกโดยได้รับหนังสืออนุญาตจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์แล้ว เมื่อวันที่ 3 มีนาคม2557 ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว คำสั่งของผู้คัดค้านไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดนครสวรรค์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เหตุที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั่วไป ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดนครสวรรค์ ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าผู้ร้องเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2555 และผู้ร้องได้ลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ยังไม่เกินห้าปี จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าผู้ร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และผู้ร้องเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา...(9) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นหรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี" และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" การที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ จะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 259 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองดังต่อไปนี้ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง... (6) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่นรองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554ซึ่งออกตามความใน (7) และ (8) ของบทนิยามคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ในมาตรา 4แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ จึงถือว่าผู้ร้องเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนจะถือว่าตำแหน่ง ดังกล่าวเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่นั้น เห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 284 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ผู้บริหารท้องถิ่นหมายความรวมถึงคณะผู้บริหารท้องถิ่น แม้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกรอบนโยบายที่นายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 39/1 วรรคท้าย แต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 44/3 บัญญัติห้ามนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และ ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทำการอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44/3 (1) ถึง (3) แสดงให้เห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในฐานะ ผู้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบคดีละเมิดข้อบัญญัติได้ตามมาตรา 40 และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 44 อีกทั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีสิทธิเข้าประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุมได้ ตามมาตรา 44/1 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมายเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่า รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยู่ในฐานะเป็นผู้บริหาร ท้องถิ่นด้วย ประกอบกับการพิจารณาว่ารองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้บริหารท้องถิ่นตามความหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) หรือไม่นั้นต้องแปลความไปในทางที่เป็นคุณโดยพิจารณาถึงข้อที่ว่า เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หากลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ทันที ย่อมไม่มีเหตุผลให้แปลความว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะต้องถูกจำกัดสิทธิโดยต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วห้าปี จึงจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ให้เกิดความลักลั่นกัน อีกทั้งการแปลความเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องการจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ประสงค์ที่จะมาดำรงตำแหน่งและทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในอันที่จะเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ จึงต้องถือว่าตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ที่ผู้ร้องเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นด้วย เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมาก่อนผู้ร้องจึงไม่ขาดคุณสมบัติหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช2550 มาตรา 115 (9) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครผู้ร้องและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไม่เห็นพ้องด้วย คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น
จึงมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้อง และประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย.
ข้อเท็จจริงได้ความจากผู้คัดค้านว่า จากข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบถึงวันที่ 4 มีนาคม 2557 ตามเอกสารท้ายคำคัดค้านหมายเลข 6 ปรากฏว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 เมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2553 ซึ่งตามมาตรา 19 วรรคท้ายแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นทะเบียนที่ถูกต้องและแท้จริงตามกฎหมาย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นอย่างอื่น การที่ผู้ร้องอ้างว่า ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยตั้งแต่ปี 2551 จึงขัดกับข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบดังกล่าว กรณีจึงเป็นการโต้แย้งว่าทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองไม่ถูกต้อง แต่ผู้ร้องไม่มีหลักฐานใด ๆ มาแสดงให้ศาลเห็นว่าทะเบียนสมาชิกดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือแท้จริงอย่างใด ทั้งระยะเวลาที่ระบุว่าผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยก็เป็นระยะเวลา หลังจากที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกแล้ว การที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยจึงเป็นกรณีที่ขัดต่อความเป็นจริง นอกจากนี้ทางพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคที่ยื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแต่อย่างใด ฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2553 และยังไม่พ้นจากการเป็นสมาชิกภาพ ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (6)
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า เมื่อวันที่ 4มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ต่อมาผู้คัดค้านตรวจหลักฐานการสมัครคุณสมบัติและสอบสวนการสมัครรับเลือกตั้งของผู้ร้องแล้ว เห็นว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ความจริงแล้ว ผู้ร้องเคยสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่เมื่อประมาณปี 2551 ต่อมาพรรคการเมืองใหม่เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยโดยมีผู้ร้องเป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2553 ซึ่งเป็นข้อมูลที่พรรคสังคมประชาธิปไตยไทยแจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยผู้ร้องไม่มีเจตนาและต้องการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เนื่องจากผู้ร้องได้ลาออกจากพรรคการเมืองใหม่แล้วเพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และไม่ได้ทำกิจกรรมใด ๆ กับพรรคอีก ตามเอกสารบันทึกความจริงของแกนนำพรรคต่อกรรมการพรรคการเมืองใหม่ทั้งสามคนตามเอกสาร ท้ายคำร้อง ขอให้มีคำสั่งคืนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านตรวจสอบจากระบบบริหารฐานข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพบว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2553 เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 จึงต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (6)และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 30 มีนาคม 2557 เมื่อวันที่ 4มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งดังกล่าวอ้างว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 โดยสมัครเป็นสมาชิกวันที่ 4มิถุนายน 2553 เดิมพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยใช้ชื่อว่า พรรคการเมืองใหม่ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทฺธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ เห็นว่าตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 20 วรรคสอง บัญญัติว่า "การลาออกจากสมาชิกตามวรรคหนึ่ง (2) ให้ถือว่าสมบูรณ์เมื่อได้ยื่นใบลาออกต่อนายทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง" มาตรา 19 วรรคสี่ บัญญัติว่า "ให้หัวหน้าพรรคการเมืองแจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วยรายชื่ออาชีพและที่อยู่ของสมาชิกดังกล่าว ตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนด ..." และตามประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่อง การรับสมัครสมาชิกพรรคการเมือง การจัดทำและแบบทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง และวิธีการแจ้งจำนวนสมาชิกพรรคการเมืองที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 กำหนดให้การแจ้งดังกล่าวต้องกระทำภายในวันที่ 7 ของทุก 3 เดือน โดยการส่งเอกสารหรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ ที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยแล้วตั้งแต่ปี 2551 นั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากผู้คัดค้านว่า จากข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบถึงวันที่ 4มีนาคม 2557 ตามเอกสารท้ายคำคัดค้านหมายเลข 6 ปรากฏว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 เมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2553 ซึ่งตามมาตรา 19 วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นทะเบียนที่ถูกต้องและแท้จริงตามกฎหมาย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นอย่างอื่น การที่ผู้ร้องอ้างว่าได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยตั้งแต่ปี 2551 จึงขัดกับข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบดังกล่าว กรณีจึงเป็นการโต้แย้งว่าทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองไม่ถูกต้อง แต่ผู้ร้องไม่มีหลักฐานใด ๆ มาแสดงให้ศาลเห็นว่าทะเบียนสมาชิกดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือแท้จริงอย่างใด ทั้งระยะเวลาที่ระบุว่าผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยก็เป็นระยะเวลา หลังจากที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกแล้ว การที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยจึงเป็นกรณีที่ขัดต่อความเป็นจริง นอกจากนี้ทางพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคที่ยื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแต่อย่างใด ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องไม่เคยรู้จักพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย ไม่เคยมีส่วนร่วมกับพรรคดังกล่าว ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อ พยานหลักฐานของผู้ร้องไม่สามารถหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยตั้งแต่วันที่ 4มิถุนายน 2553 และยังไม่พ้นจากการเป็นสมาชิกภาพ ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (6) การที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัคร ผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาชอบแล้ว
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง.
ข้อเท็จจริงได้ความจากผู้คัดค้านว่า จากข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบถึงวันที่ 4 มีนาคม 2557 ตามเอกสารท้ายคำคัดค้านหมายเลข 6 ปรากฏว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 เมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2553 ซึ่งตามมาตรา 19 วรรคท้ายแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นทะเบียนที่ถูกต้องและแท้จริงตามกฎหมาย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นอย่างอื่น การที่ผู้ร้องอ้างว่า ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยตั้งแต่ปี 2551 จึงขัดกับข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบดังกล่าว กรณีจึงเป็นการโต้แย้งว่าทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองไม่ถูกต้อง แต่ผู้ร้องไม่มีหลักฐานใด ๆ มาแสดงให้ศาลเห็นว่าทะเบียนสมาชิกดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือแท้จริงอย่างใด ทั้งระยะเวลาที่ระบุว่าผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยก็เป็นระยะเวลา หลังจากที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกแล้ว การที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยจึงเป็นกรณีที่ขัดต่อความเป็นจริง นอกจากนี้ทางพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคที่ยื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแต่อย่างใด ฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2553 และยังไม่พ้นจากการเป็นสมาชิกภาพ ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (6)
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า เมื่อวันที่ 4มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ต่อมาผู้คัดค้านตรวจหลักฐานการสมัครคุณสมบัติและสอบสวนการสมัครรับเลือกตั้งของผู้ร้องแล้ว เห็นว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ความจริงแล้ว ผู้ร้องเคยสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่เมื่อประมาณปี 2551 ต่อมาพรรคการเมืองใหม่เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยโดยมีผู้ร้องเป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2553 ซึ่งเป็นข้อมูลที่พรรคสังคมประชาธิปไตยไทยแจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยผู้ร้องไม่มีเจตนาและต้องการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เนื่องจากผู้ร้องได้ลาออกจากพรรคการเมืองใหม่แล้วเพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และไม่ได้ทำกิจกรรมใด ๆ กับพรรคอีก ตามเอกสารบันทึกความจริงของแกนนำพรรคต่อกรรมการพรรคการเมืองใหม่ทั้งสามคนตามเอกสาร ท้ายคำร้อง ขอให้มีคำสั่งคืนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านตรวจสอบจากระบบบริหารฐานข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพบว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2553 เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 จึงต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (6)และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 30 มีนาคม 2557 เมื่อวันที่ 4มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งดังกล่าวอ้างว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 โดยสมัครเป็นสมาชิกวันที่ 4มิถุนายน 2553 เดิมพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยใช้ชื่อว่า พรรคการเมืองใหม่ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทฺธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ เห็นว่าตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 20 วรรคสอง บัญญัติว่า "การลาออกจากสมาชิกตามวรรคหนึ่ง (2) ให้ถือว่าสมบูรณ์เมื่อได้ยื่นใบลาออกต่อนายทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง" มาตรา 19 วรรคสี่ บัญญัติว่า "ให้หัวหน้าพรรคการเมืองแจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วยรายชื่ออาชีพและที่อยู่ของสมาชิกดังกล่าว ตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนด ..." และตามประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่อง การรับสมัครสมาชิกพรรคการเมือง การจัดทำและแบบทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง และวิธีการแจ้งจำนวนสมาชิกพรรคการเมืองที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 กำหนดให้การแจ้งดังกล่าวต้องกระทำภายในวันที่ 7 ของทุก 3 เดือน โดยการส่งเอกสารหรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ ที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยแล้วตั้งแต่ปี 2551 นั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากผู้คัดค้านว่า จากข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบถึงวันที่ 4มีนาคม 2557 ตามเอกสารท้ายคำคัดค้านหมายเลข 6 ปรากฏว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 เมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2553 ซึ่งตามมาตรา 19 วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นทะเบียนที่ถูกต้องและแท้จริงตามกฎหมาย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นอย่างอื่น การที่ผู้ร้องอ้างว่าได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยตั้งแต่ปี 2551 จึงขัดกับข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบดังกล่าว กรณีจึงเป็นการโต้แย้งว่าทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองไม่ถูกต้อง แต่ผู้ร้องไม่มีหลักฐานใด ๆ มาแสดงให้ศาลเห็นว่าทะเบียนสมาชิกดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือแท้จริงอย่างใด ทั้งระยะเวลาที่ระบุว่าผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยก็เป็นระยะเวลา หลังจากที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกแล้ว การที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยจึงเป็นกรณีที่ขัดต่อความเป็นจริง นอกจากนี้ทางพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคที่ยื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแต่อย่างใด ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องไม่เคยรู้จักพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย ไม่เคยมีส่วนร่วมกับพรรคดังกล่าว ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อ พยานหลักฐานของผู้ร้องไม่สามารถหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยตั้งแต่วันที่ 4มิถุนายน 2553 และยังไม่พ้นจากการเป็นสมาชิกภาพ ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (6) การที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัคร ผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาชอบแล้ว
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง.
ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยและตั้งจำเลยเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จและส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แม้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) บัญญัติว่า นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณา ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ ในกรณีที่มีการฟ้องคดีไว้ก่อนแล้ว ให้งดการพิจารณาไว้ แต่จำเลยและผู้ร้องต่างไม่แจ้งให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลย และไม่ปรากฎว่าศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกาว่า คดีล้มละลายอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลย กรณีจึงต้องตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ที่ศาลฎีกาต้องงดการพิจารณาคดีไว้ก่อน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 95,418,454.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 47,597,938.37 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระขอให้ยึดทรัพย์จำนองคือ สิ่งปลูกสร้างอาคารศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค บางแค เลขที่ 110, 110/5 ถึง 110/6 หมู่ที่ 9 ถนนเพชรเกษม ซอย 33 ถึง 35 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร และสิ่งปลูกสร้างอื่นที่มีอยู่แล้วและที่จะมีขึ้นต่อไปในภายหน้า ซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 457, 458, 459, 477, 3604, 4258, 476, 50568, 6105, 37854, 42205, 50566, 53856, 53855, 50567, 39663, 66542, 66541, 66540,66539, 57779, 57778, 57777, 39664, 39665, 39666, 4259, 95238, 95239, 95240, 95241, 39667, 95242, 95243, 3041, 33834, 33837, 3602, 33835, 33836, 12331 เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทพุฒิแก้ว จำกัด โฉนดเลขที่ 4261 เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัททรัพย์กวี จำกัด และโฉนดเลขที่ 478 เป็นกรรมสิทธิ์ของนางกวีนี โดยที่ดินทั้งหมดตั้งอยู่ที่แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 66,855,779.19 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.50 ต่อปี ของต้นเงิน 47,597,938.37 บาท นับแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 47,597,938.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.50 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 30 พฤษภาคม 2545) ย้อนหลังไปไม่เกิน 5 ปี โดยคิดอัตราดังกล่าวถึงวันที่ 24 กรกฎาคม 2542 และจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยตามอัตราในบัญชีเงินกู้และรายการชำระหนี้ กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.50 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 12,000 บาท แทนโจทก์ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังว่า หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จำเลยอุทธรณ์ ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยและตั้งจำเลยเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อสำนักฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ต่อมาที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการและคดีอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟู ส่วนคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2551 อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ ตามคำร้องของผู้ร้อง แต่โจทก์ จำเลย และผู้ร้องไม่ได้แถลงให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ทราบว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลย ศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จและส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้น้อยกว่าเดิม ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่กระทำหลังจากวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 โดยอ้างว่าขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ศาลชั้นต้นนัดไต่สวน ก่อนถึงวันนัดผู้ร้องยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกา จำเลยยื่นคำแก้ฎีกาแล้ว
ผู้ร้องฎีกาข้อแรกว่า เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยแล้ว ศาลที่พิจารณาคดีนี้จะต้องงดการพิจารณาไว้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) การที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีหลังวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 จนถึงวันที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา รวมทั้งการที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 เป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลฎีกาเพิกถอนกระบวนพิจารณาหลังวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์แล้ว แม้พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับของมาตรา 90/13 และมาตรา 90/14 นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณาจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผน หรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผน หรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอ หรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ หรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดตามความในหมวดนี้...(4) ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้... ถ้ามูลแห่งหนี้นั้นเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน...ในกรณีที่มีการฟ้องคดี...ไว้ก่อนแล้ว ให้งดการพิจารณาไว้ เว้นแต่ศาลที่รับคำร้องขอจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น..." แต่จำเลยซึ่งเป็นผู้ร้องขอฟื้นฟูกิจการและผู้ร้องซึ่งได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายต่างไม่แจ้งให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ และไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกาว่าคดีล้มละลายอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลย กรณีจึงต้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ที่ศาลฎีกาต้องงดการพิจารณาคดีไว้ก่อน และเมื่อไม่แน่ชัดว่าคดีล้มละลายจะเสร็จเมื่อไร จึงเห็นสมควรให้จำหน่ายคดี โดยไม่จำต้องวินิจฉัยข้ออื่นของผู้ร้องอีก
ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกา หากต่อมาปรากฏว่ามีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องพิจารณาคดีต่อไป ให้ผู้ร้องแถลงต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาคดีต่อไป
ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยและตั้งจำเลยเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จและส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แม้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) บัญญัติว่า นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณา ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ ในกรณีที่มีการฟ้องคดีไว้ก่อนแล้ว ให้งดการพิจารณาไว้ แต่จำเลยและผู้ร้องต่างไม่แจ้งให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลย และไม่ปรากฎว่าศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกาว่า คดีล้มละลายอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลย กรณีจึงต้องตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ที่ศาลฎีกาต้องงดการพิจารณาคดีไว้ก่อน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 95,418,454.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 47,597,938.37 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระขอให้ยึดทรัพย์จำนองคือ สิ่งปลูกสร้างอาคารศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค บางแค เลขที่ 110, 110/5 ถึง 110/6 หมู่ที่ 9 ถนนเพชรเกษม ซอย 33 ถึง 35 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร และสิ่งปลูกสร้างอื่นที่มีอยู่แล้วและที่จะมีขึ้นต่อไปในภายหน้า ซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 457, 458, 459, 477, 3604, 4258, 476, 50568, 6105, 37854, 42205, 50566, 53856, 53855, 50567, 39663, 66542, 66541, 66540,66539, 57779, 57778, 57777, 39664, 39665, 39666, 4259, 95238, 95239, 95240, 95241, 39667, 95242, 95243, 3041, 33834, 33837, 3602, 33835, 33836, 12331 เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทพุฒิแก้ว จำกัด โฉนดเลขที่ 4261 เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัททรัพย์กวี จำกัด และโฉนดเลขที่ 478 เป็นกรรมสิทธิ์ของนางกวีนี โดยที่ดินทั้งหมดตั้งอยู่ที่แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 66,855,779.19 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.50 ต่อปี ของต้นเงิน 47,597,938.37 บาท นับแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 47,597,938.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.50 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 30 พฤษภาคม 2545) ย้อนหลังไปไม่เกิน 5 ปี โดยคิดอัตราดังกล่าวถึงวันที่ 24 กรกฎาคม 2542 และจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยตามอัตราในบัญชีเงินกู้และรายการชำระหนี้ กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.50 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 12,000 บาท แทนโจทก์ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังว่า หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จำเลยอุทธรณ์ ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยและตั้งจำเลยเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อสำนักฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ต่อมาที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการและคดีอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟู ส่วนคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2551 อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ ตามคำร้องของผู้ร้อง แต่โจทก์ จำเลย และผู้ร้องไม่ได้แถลงให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ทราบว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลย ศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จและส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้น้อยกว่าเดิม ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่กระทำหลังจากวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 โดยอ้างว่าขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ศาลชั้นต้นนัดไต่สวน ก่อนถึงวันนัดผู้ร้องยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกา จำเลยยื่นคำแก้ฎีกาแล้ว
ผู้ร้องฎีกาข้อแรกว่า เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยแล้ว ศาลที่พิจารณาคดีนี้จะต้องงดการพิจารณาไว้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) การที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีหลังวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 จนถึงวันที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา รวมทั้งการที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 เป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลฎีกาเพิกถอนกระบวนพิจารณาหลังวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์แล้ว แม้พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับของมาตรา 90/13 และมาตรา 90/14 นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณาจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผน หรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผน หรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอ หรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ หรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดตามความในหมวดนี้...(4) ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้... ถ้ามูลแห่งหนี้นั้นเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน...ในกรณีที่มีการฟ้องคดี...ไว้ก่อนแล้ว ให้งดการพิจารณาไว้ เว้นแต่ศาลที่รับคำร้องขอจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น..." แต่จำเลยซึ่งเป็นผู้ร้องขอฟื้นฟูกิจการและผู้ร้องซึ่งได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายต่างไม่แจ้งให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ และไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกาว่าคดีล้มละลายอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลย กรณีจึงต้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ที่ศาลฎีกาต้องงดการพิจารณาคดีไว้ก่อน และเมื่อไม่แน่ชัดว่าคดีล้มละลายจะเสร็จเมื่อไร จึงเห็นสมควรให้จำหน่ายคดี โดยไม่จำต้องวินิจฉัยข้ออื่นของผู้ร้องอีก
ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกา หากต่อมาปรากฏว่ามีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องพิจารณาคดีต่อไป ให้ผู้ร้องแถลงต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาคดีต่อไป
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|