คำว่า “กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิด หรือกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด” ตาม ป.อ. มาตรา 3 นั้น หมายถึงกฎหมายที่บัญญัติถึงการกระทำอันเป็นความผิดหรือบัญญัติถึงโทษ หรือโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิด ซึ่งในคดีนี้ได้แก่บทความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนกับฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และบทกฎหมายให้เพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิด หากมีการแก้ไขบทกฎหมายดังกล่าวในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด และมีผลให้จำเลยได้รับโทษน้อยลง ศาลก็มีอำนาจแก้ไขโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ภายในเงื่อนไขของมาตรา 3 (1) ในความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน กับฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลชั้นต้นวางโทษจำคุก 8 เดือน กับจำคุก 10 ปี และปรับ 700,000 บาท ตามลำดับ เมื่อโทษที่กำหนดในภายหลังสำหรับความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157/1 วรรคสอง ประกอบ ป.ยาเสพติด มาตรา 162 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน หรือปรับไม่เกิน 26,666.66 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นความผิดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท ดังนั้น โทษที่กำหนดตามคำพิพากษาจึงไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ความผิดทั้งสองฐานจึงไม่อยู่ในบังคับตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) ที่ศาลจะกำหนดโทษจำเลยใหม่ได้สำหรับประเด็นเรื่องการเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ถูกยกเลิกไปโดย พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 มาตรา 4 ส่วน ป. ยาเสพติด ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ก็ไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษได้ แม้กฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับยาเสพติดซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะมิได้บัญญัติเรื่องการเพิ่มโทษไว้ แต่ก็มิได้หมายความว่าศาลไม่อาจเพิ่มโทษตามบทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปตาม ป.อ. เมื่อจำเลยกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอีกโดยไม่เข็ดหลาบ และโจทก์มีคำขอให้เพิ่มโทษตามกฎหมายเดิมไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์จะขอเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบและได้กล่าวในฟ้องแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสาม ตาม ป.อ. มาตรา 92 ที่เป็นบททั่วไปได้ และถือว่าการเพิ่มโทษเป็นส่วนหนึ่งของโทษตามคำพิพากษา ที่ศาลชั้นต้นกำหนดโทษให้แก่จำเลยใหม่จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว หาใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาอันถึงที่สุดอันเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 190 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ไม่
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสอง, 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157/1 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157/1 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 91 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 8 เดือน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 10 ปี และปรับ 700,000 บาท เพิ่มโทษกระทงละกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 12 เดือน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 15 ปี และปรับ 1,050,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 6 เดือน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน และปรับ 525,000 บาท รวมจำคุก 7 ปี 12 เดือน และปรับ 525,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ให้พักใช้ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราวของจำเลย มีกำหนด 6 เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษา ริบเมทแอมเฟตามีน และกระเป๋าดินสอสีฟ้า ของกลาง คดีถึงที่สุด
จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกำหนดโทษใหม่เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 10 ปี และปรับ 700,000 บาท ฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 8 เดือน เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 13 ปี 4 เดือน และปรับ 933,333.33 บาท ฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 10 เดือน 20 วัน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน และปรับ 466,666.66 บาท ฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 5 เดือน 10 วัน รวมจำคุก 6 ปี 13 เดือน 10 วัน และปรับ 466,666.66 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า กรณีมีเหตุกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) หรือไม่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า “ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้วดังต่อไปนี้ (1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษ หรือกำลังรับโทษอยู่และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง... ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง...” ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า คำว่ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดหรือกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดดังกล่าวนั้น หมายถึง กฎหมายที่บัญญัติถึงการกระทำอันเป็นความผิด หรือบัญญัติถึงกำหนดโทษ หรือโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ซึ่งคดีนี้ได้แก่บทบัญญัติความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนกับฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 อันเป็นบทกฎหมายให้เพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดอีก หากมีการแก้ไขบทกฎหมายดังกล่าวในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดและมีผลที่จะทำให้จำเลยได้รับโทษน้อยลง ศาลก็มีอำนาจแก้ไขโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ภายในเงื่อนไขของมาตรา 3 (1) นั้น คดีนี้โจทก์ขอให้เพิ่มโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 แต่ได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับโดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทน เมื่อตามกฎหมายเดิม มาตรา 97 ที่บัญญัติให้ศาลเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งแก่ผู้กระทำความผิดอีกถูกยกเลิกไปแล้ว ส่วนประมวลกฎหมายยาเสพติดซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษได้เช่นเดิมอีก ดังนั้น ศาลจึงไม่อาจเพิ่มโทษทั้งตามกฎหมายเดิมที่ถูกยกเลิกไปแล้ว และตามกฎหมายใหม่ได้ เมื่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) บัญญัติให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งกรณีนี้ไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษได้เช่นเดิมอีก แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 บัญญัติว่า บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญาให้นำไปใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย ดังนั้น แม้กฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอันเป็นกฎหมายอื่นที่ไม่ใช่กฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้บัญญัติเรื่องเพิ่มโทษเพราะกระทำความผิดอีกไว้ ก็มิได้หมายความว่าศาลไม่อาจเพิ่มโทษตามบทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอีกโดยไม่เข็ดหลาบ และโจทก์ได้ขอเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายเดิม มาตรา 97 ไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์จะขอเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบและได้กล่าวในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 159 วรรคหนึ่ง แล้วด้วย ศาลย่อมมีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ที่เป็นบททั่วไปได้ สำหรับการกำหนดโทษความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน กับฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เมื่อคดีนี้ถึงที่สุดแล้ว ดังนั้น จะต้องปรากฏว่าโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง เมื่อคำพิพากษากำหนดโทษในความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 8 เดือน ซึ่งมีโทษตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157/1 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 162 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน หรือปรับไม่เกิน 26,666.66 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และคำพิพากษากำหนดโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 10 ปี และปรับ 700,000 บาท เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ด 6 ซอง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 7.790 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงเป็นความผิดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท ดังนั้น โทษที่กำหนดตามคำพิพากษาในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าว จึงไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวไม่อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่ศาลจะกำหนดโทษจำเลยใหม่ได้ เมื่อคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้กำหนดโทษใหม่นั้น ยังคงวางโทษสำหรับความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวตามคำพิพากษาเดิมโดยกำหนดโทษใหม่เฉพาะการเพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เท่านั้น ซึ่งถือว่าการเพิ่มโทษเป็นส่วนหนึ่งของโทษที่กำหนดตามคำพิพากษา คำสั่งศาลชั้นต้นที่กำหนดโทษจำเลยใหม่จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว หาใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว อันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 190 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องของจำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งกำหนดโทษใหม่ของศาลชั้นต้น
คำว่า “กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิด หรือกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด” ตาม ป.อ. มาตรา 3 นั้น หมายถึงกฎหมายที่บัญญัติถึงการกระทำอันเป็นความผิดหรือบัญญัติถึงโทษ หรือโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิด ซึ่งในคดีนี้ได้แก่บทความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนกับฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และบทกฎหมายให้เพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิด หากมีการแก้ไขบทกฎหมายดังกล่าวในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด และมีผลให้จำเลยได้รับโทษน้อยลง ศาลก็มีอำนาจแก้ไขโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ภายในเงื่อนไขของมาตรา 3 (1) ในความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน กับฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลชั้นต้นวางโทษจำคุก 8 เดือน กับจำคุก 10 ปี และปรับ 700,000 บาท ตามลำดับ เมื่อโทษที่กำหนดในภายหลังสำหรับความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157/1 วรรคสอง ประกอบ ป.ยาเสพติด มาตรา 162 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน หรือปรับไม่เกิน 26,666.66 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นความผิดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท ดังนั้น โทษที่กำหนดตามคำพิพากษาจึงไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ความผิดทั้งสองฐานจึงไม่อยู่ในบังคับตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) ที่ศาลจะกำหนดโทษจำเลยใหม่ได้สำหรับประเด็นเรื่องการเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ถูกยกเลิกไปโดย พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 มาตรา 4 ส่วน ป. ยาเสพติด ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ก็ไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษได้ แม้กฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับยาเสพติดซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะมิได้บัญญัติเรื่องการเพิ่มโทษไว้ แต่ก็มิได้หมายความว่าศาลไม่อาจเพิ่มโทษตามบทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปตาม ป.อ. เมื่อจำเลยกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอีกโดยไม่เข็ดหลาบ และโจทก์มีคำขอให้เพิ่มโทษตามกฎหมายเดิมไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์จะขอเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบและได้กล่าวในฟ้องแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสาม ตาม ป.อ. มาตรา 92 ที่เป็นบททั่วไปได้ และถือว่าการเพิ่มโทษเป็นส่วนหนึ่งของโทษตามคำพิพากษา ที่ศาลชั้นต้นกำหนดโทษให้แก่จำเลยใหม่จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว หาใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาอันถึงที่สุดอันเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 190 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ไม่
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสอง, 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157/1 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157/1 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 91 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 8 เดือน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 10 ปี และปรับ 700,000 บาท เพิ่มโทษกระทงละกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 12 เดือน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 15 ปี และปรับ 1,050,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 6 เดือน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน และปรับ 525,000 บาท รวมจำคุก 7 ปี 12 เดือน และปรับ 525,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ให้พักใช้ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราวของจำเลย มีกำหนด 6 เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษา ริบเมทแอมเฟตามีน และกระเป๋าดินสอสีฟ้า ของกลาง คดีถึงที่สุด
จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกำหนดโทษใหม่เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 10 ปี และปรับ 700,000 บาท ฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 8 เดือน เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 13 ปี 4 เดือน และปรับ 933,333.33 บาท ฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 10 เดือน 20 วัน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน และปรับ 466,666.66 บาท ฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 5 เดือน 10 วัน รวมจำคุก 6 ปี 13 เดือน 10 วัน และปรับ 466,666.66 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า กรณีมีเหตุกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) หรือไม่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า “ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้วดังต่อไปนี้ (1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษ หรือกำลังรับโทษอยู่และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง... ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง...” ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า คำว่ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดหรือกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดดังกล่าวนั้น หมายถึง กฎหมายที่บัญญัติถึงการกระทำอันเป็นความผิด หรือบัญญัติถึงกำหนดโทษ หรือโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ซึ่งคดีนี้ได้แก่บทบัญญัติความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนกับฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 อันเป็นบทกฎหมายให้เพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดอีก หากมีการแก้ไขบทกฎหมายดังกล่าวในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดและมีผลที่จะทำให้จำเลยได้รับโทษน้อยลง ศาลก็มีอำนาจแก้ไขโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ภายในเงื่อนไขของมาตรา 3 (1) นั้น คดีนี้โจทก์ขอให้เพิ่มโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 แต่ได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับโดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทน เมื่อตามกฎหมายเดิม มาตรา 97 ที่บัญญัติให้ศาลเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งแก่ผู้กระทำความผิดอีกถูกยกเลิกไปแล้ว ส่วนประมวลกฎหมายยาเสพติดซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษได้เช่นเดิมอีก ดังนั้น ศาลจึงไม่อาจเพิ่มโทษทั้งตามกฎหมายเดิมที่ถูกยกเลิกไปแล้ว และตามกฎหมายใหม่ได้ เมื่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) บัญญัติให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งกรณีนี้ไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษได้เช่นเดิมอีก แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 บัญญัติว่า บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญาให้นำไปใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย ดังนั้น แม้กฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอันเป็นกฎหมายอื่นที่ไม่ใช่กฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้บัญญัติเรื่องเพิ่มโทษเพราะกระทำความผิดอีกไว้ ก็มิได้หมายความว่าศาลไม่อาจเพิ่มโทษตามบทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอีกโดยไม่เข็ดหลาบ และโจทก์ได้ขอเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายเดิม มาตรา 97 ไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์จะขอเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบและได้กล่าวในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 159 วรรคหนึ่ง แล้วด้วย ศาลย่อมมีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ที่เป็นบททั่วไปได้ สำหรับการกำหนดโทษความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน กับฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เมื่อคดีนี้ถึงที่สุดแล้ว ดังนั้น จะต้องปรากฏว่าโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง เมื่อคำพิพากษากำหนดโทษในความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 8 เดือน ซึ่งมีโทษตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157/1 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 162 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน หรือปรับไม่เกิน 26,666.66 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และคำพิพากษากำหนดโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 10 ปี และปรับ 700,000 บาท เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ด 6 ซอง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 7.790 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงเป็นความผิดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท ดังนั้น โทษที่กำหนดตามคำพิพากษาในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าว จึงไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวไม่อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่ศาลจะกำหนดโทษจำเลยใหม่ได้ เมื่อคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้กำหนดโทษใหม่นั้น ยังคงวางโทษสำหรับความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวตามคำพิพากษาเดิมโดยกำหนดโทษใหม่เฉพาะการเพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เท่านั้น ซึ่งถือว่าการเพิ่มโทษเป็นส่วนหนึ่งของโทษที่กำหนดตามคำพิพากษา คำสั่งศาลชั้นต้นที่กำหนดโทษจำเลยใหม่จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว หาใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว อันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 190 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องของจำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งกำหนดโทษใหม่ของศาลชั้นต้น
การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่าย และฐานพยายามจําหน่ายเป็นหลายกรรม และการเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 นั้น เนื่องจากมี พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดที่ออกบังคับใช้ในภายหลังได้ยกเลิก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และรวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ ซึ่ง ป.ยาเสพติด มาตรา 1 บทนิยามคําว่า “จําหน่าย” มีความหมายรวมถึงการมีไว้เพื่อจําหน่ายด้วย ดังนั้น ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในความครอบครองเพื่อจําหน่ายและฐานพยายามจําหน่ายจึงเป็นความผิดอย่างเดียวกัน การที่ศาลปรับบทความผิดทั้งสองฐานเป็นหลายกรรม จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังซึ่งลงโทษจําเลยฐานจําหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพื่อการค้าตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (1) เพียงกรรมเดียว กรณีจึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) สำหรับบทบัญญัติเรื่องการเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ได้ยกเลิกไปแล้ว ส่วน ป.ยาเสพติดซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษได้เช่นเดิมอีก ดังนั้น ศาลจึงไม่อาจเพิ่มโทษทั้งตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดและกฎหมายที่ใช้ในภายหลังกระทำความผิดได้ กรณีจึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จําเลยใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) เช่นกัน แต่อย่างไรก็ดี เมื่อตาม ป.อ. มาตรา 17 บัญญัติว่า บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญาให้นําไปใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย ดังนั้น แม้กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอันเป็นกฎหมายอื่นที่มิใช่กฎหมายในประมวลกฎหมายอาญา ไม่ได้บัญญัติเรื่องการเพิ่มโทษเพราะการกระทำผิดซ้ำไว้ เมื่อจําเลยกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอีกเพราะไม่เข็ดหลาบ และโจทก์มีคําขอให้เพิ่มโทษตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์ขอเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบ ศาลย่อมมีอำนาจเพิ่มโทษจําเลยได้หนึ่งในสาม ตาม ป.อ. มาตรา 92 ที่เป็นบททั่วไปได้
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, 91 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157/1 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนและฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 157/1 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 91 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 8 เดือน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี และปรับ 450,000 บาท ฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จ จำคุก 5 ปี เพิ่มโทษกระทงละกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 12 เดือน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 7 ปี 6 เดือน และปรับ 675,000 บาท ฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 7 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 14 ปี 24 เดือน และปรับ 675,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี 12 เดือน และปรับ 337,500 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบของกลาง คดีถึงที่สุด
จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกำหนดโทษจำเลยใหม่เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (1) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 8 เดือน ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพื่อการค้า จำคุก 5 ปี และปรับ 450,000 บาท รวมจำคุก 5 ปี 8 เดือน และปรับ 250,000 บาท (ที่ถูก ปรับ 450,000 บาท) เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 รวมจำคุก 7 ปี 6 เดือน 20 วัน และปรับ 600,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 9 เดือน 10 วัน และปรับ 300,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้เกินหนึ่งปีแต่ไม่เกินสองปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติด พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า กรณีมีเหตุกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า “ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้ว ดังต่อไปนี้ (1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษ หรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง... ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง...” ดังนั้น คำว่า กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดหรือกฎหมายที่ใช้ในภายหลังกระทำความผิดดังกล่าวนั้น หมายถึงกฎหมายที่บัญญัติถึงการกระทำอันเป็นความผิด หรือบัญญัติถึงกำหนดโทษหรือโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ซึ่งในคดีนี้ได้แก่บทบัญญัติความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม และบทบัญญัติเรื่องการเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 หากมีการแก้ไขบทกฎหมายดังกล่าวในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดและมีผลที่จะทำให้จำเลยได้รับโทษน้อยลง ศาลก็มีอำนาจแก้ไขโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ภายในเงื่อนไขของมาตรา 3 นั้น สำหรับความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน การกำหนดโทษใหม่จะต้องปรากฏว่าโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังคดีนี้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นกำหนดโทษในความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 8 เดือน ซึ่งมีโทษตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157/1 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 162 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน หรือปรับไม่เกิน 26,666.66 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และคำพิพากษาศาลชั้นต้นกำหนดโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี และปรับ 450,000 บาท และฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 5 ปี เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย 67 เม็ด และพยายามจำหน่ายไป 20 เม็ด บ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยมีไว้เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่จะได้รับจากการจำหน่ายเป็นการทั่วไป จึงเป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพื่อการค้า ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (1) มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 2,000,000 บาท ดังนั้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่กำหนดโทษฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว จึงไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง กรณีไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1)
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า สำหรับการปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรมและการเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 นั้น เนื่องจากได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับ โดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทนซึ่งตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย การจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและการพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ตาม จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันคือจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แตกต่างจากกฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะกระทำความผิดซึ่งแยกเป็นคนละฐานความผิด ดังนั้น การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพื่อการค้า ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (1) เพียงกรรมเดียว จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) สำหรับบทบัญญัติเรื่องการเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ส่วนประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษได้เช่นเดิมอีก ดังนั้น ศาลจึงไม่อาจเพิ่มโทษทั้งตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดที่ถูกยกเลิกไปแล้ว และตามกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดได้ การเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งจึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) เช่นกัน แต่อย่างใดก็ตามเมื่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 บัญญัติว่า บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญาให้นำไปใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย ดังนั้น แม้กฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอันเป็นกฎหมายอื่นที่ไม่ใช่กฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้บัญญัติเรื่องเพิ่มโทษเพราะกระทำความผิดอีกไว้ ก็มิได้หมายความว่า ศาลไม่อาจเพิ่มโทษตามบทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอีกโดยไม่เข็ดหลาบ และโจทก์ได้ขอเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิด มาตรา 97 ไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์จะขอเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบและได้กล่าวในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 159 วรรคหนึ่ง แล้วด้วย ศาลย่อมมีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ที่เป็นบททั่วไปได้ จึงถือว่า ความผิดอย่างเดียวกันฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน และการเพิ่มโทษเป็นส่วนหนึ่งของโทษที่กำหนดตามคำพิพากษา คำสั่งศาลชั้นต้นที่กำหนดโทษจำเลยใหม่ จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องของจำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งกำหนดโทษใหม่ของศาลชั้นต้น
การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่าย และฐานพยายามจําหน่ายเป็นหลายกรรม และการเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 นั้น เนื่องจากมี พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดที่ออกบังคับใช้ในภายหลังได้ยกเลิก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และรวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ ซึ่ง ป.ยาเสพติด มาตรา 1 บทนิยามคําว่า “จําหน่าย” มีความหมายรวมถึงการมีไว้เพื่อจําหน่ายด้วย ดังนั้น ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในความครอบครองเพื่อจําหน่ายและฐานพยายามจําหน่ายจึงเป็นความผิดอย่างเดียวกัน การที่ศาลปรับบทความผิดทั้งสองฐานเป็นหลายกรรม จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังซึ่งลงโทษจําเลยฐานจําหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพื่อการค้าตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (1) เพียงกรรมเดียว กรณีจึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) สำหรับบทบัญญัติเรื่องการเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ได้ยกเลิกไปแล้ว ส่วน ป.ยาเสพติดซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษได้เช่นเดิมอีก ดังนั้น ศาลจึงไม่อาจเพิ่มโทษทั้งตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดและกฎหมายที่ใช้ในภายหลังกระทำความผิดได้ กรณีจึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จําเลยใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) เช่นกัน แต่อย่างไรก็ดี เมื่อตาม ป.อ. มาตรา 17 บัญญัติว่า บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญาให้นําไปใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย ดังนั้น แม้กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอันเป็นกฎหมายอื่นที่มิใช่กฎหมายในประมวลกฎหมายอาญา ไม่ได้บัญญัติเรื่องการเพิ่มโทษเพราะการกระทำผิดซ้ำไว้ เมื่อจําเลยกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอีกเพราะไม่เข็ดหลาบ และโจทก์มีคําขอให้เพิ่มโทษตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์ขอเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบ ศาลย่อมมีอำนาจเพิ่มโทษจําเลยได้หนึ่งในสาม ตาม ป.อ. มาตรา 92 ที่เป็นบททั่วไปได้
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, 91 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157/1 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนและฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 157/1 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 91 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 8 เดือน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี และปรับ 450,000 บาท ฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จ จำคุก 5 ปี เพิ่มโทษกระทงละกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 12 เดือน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 7 ปี 6 เดือน และปรับ 675,000 บาท ฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 7 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 14 ปี 24 เดือน และปรับ 675,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี 12 เดือน และปรับ 337,500 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบของกลาง คดีถึงที่สุด
จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกำหนดโทษจำเลยใหม่เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (1) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 8 เดือน ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพื่อการค้า จำคุก 5 ปี และปรับ 450,000 บาท รวมจำคุก 5 ปี 8 เดือน และปรับ 250,000 บาท (ที่ถูก ปรับ 450,000 บาท) เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 รวมจำคุก 7 ปี 6 เดือน 20 วัน และปรับ 600,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 9 เดือน 10 วัน และปรับ 300,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้เกินหนึ่งปีแต่ไม่เกินสองปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติด พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า กรณีมีเหตุกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า “ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้ว ดังต่อไปนี้ (1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษ หรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง... ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง...” ดังนั้น คำว่า กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดหรือกฎหมายที่ใช้ในภายหลังกระทำความผิดดังกล่าวนั้น หมายถึงกฎหมายที่บัญญัติถึงการกระทำอันเป็นความผิด หรือบัญญัติถึงกำหนดโทษหรือโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ซึ่งในคดีนี้ได้แก่บทบัญญัติความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม และบทบัญญัติเรื่องการเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 หากมีการแก้ไขบทกฎหมายดังกล่าวในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดและมีผลที่จะทำให้จำเลยได้รับโทษน้อยลง ศาลก็มีอำนาจแก้ไขโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ภายในเงื่อนไขของมาตรา 3 นั้น สำหรับความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน การกำหนดโทษใหม่จะต้องปรากฏว่าโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังคดีนี้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นกำหนดโทษในความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 8 เดือน ซึ่งมีโทษตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157/1 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 162 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน หรือปรับไม่เกิน 26,666.66 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และคำพิพากษาศาลชั้นต้นกำหนดโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี และปรับ 450,000 บาท และฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 5 ปี เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย 67 เม็ด และพยายามจำหน่ายไป 20 เม็ด บ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยมีไว้เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่จะได้รับจากการจำหน่ายเป็นการทั่วไป จึงเป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพื่อการค้า ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (1) มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 2,000,000 บาท ดังนั้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่กำหนดโทษฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว จึงไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง กรณีไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1)
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า สำหรับการปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรมและการเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 นั้น เนื่องจากได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับ โดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทนซึ่งตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย การจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและการพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ตาม จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันคือจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แตกต่างจากกฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะกระทำความผิดซึ่งแยกเป็นคนละฐานความผิด ดังนั้น การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพื่อการค้า ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (1) เพียงกรรมเดียว จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) สำหรับบทบัญญัติเรื่องการเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ส่วนประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษได้เช่นเดิมอีก ดังนั้น ศาลจึงไม่อาจเพิ่มโทษทั้งตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดที่ถูกยกเลิกไปแล้ว และตามกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดได้ การเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งจึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) เช่นกัน แต่อย่างใดก็ตามเมื่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 บัญญัติว่า บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญาให้นำไปใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย ดังนั้น แม้กฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอันเป็นกฎหมายอื่นที่ไม่ใช่กฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้บัญญัติเรื่องเพิ่มโทษเพราะกระทำความผิดอีกไว้ ก็มิได้หมายความว่า ศาลไม่อาจเพิ่มโทษตามบทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอีกโดยไม่เข็ดหลาบ และโจทก์ได้ขอเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิด มาตรา 97 ไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์จะขอเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบและได้กล่าวในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 159 วรรคหนึ่ง แล้วด้วย ศาลย่อมมีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ที่เป็นบททั่วไปได้ จึงถือว่า ความผิดอย่างเดียวกันฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน และการเพิ่มโทษเป็นส่วนหนึ่งของโทษที่กำหนดตามคำพิพากษา คำสั่งศาลชั้นต้นที่กำหนดโทษจำเลยใหม่ จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องของจำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งกำหนดโทษใหม่ของศาลชั้นต้น
การที่จำเลยได้ชำระค่าปรับแก่ศาลไว้ แต่ต่อมามีกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด จำเลยมีสิทธิขอคืนเงินค่าปรับหรือไม่นั้น กรณีของจำเลยต้องตามบทบัญญัติของ ป.อ. มาตรา 2 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง การกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป ให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด และถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้น ถ้ารับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลง บทบัญญัติดังกล่าวได้แยกผลการกระทำความผิดและการบังคับโทษตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วจากกันต่างหาก กล่าวคือ ในส่วนของการบังคับตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดนั้น หากมีส่วนใดที่ยังค้างอยู่ระหว่างการบังคับก็ให้การบังคับนั้นสิ้นสุดลง ไม่มีการบังคับในส่วนที่ค้างอยู่ต่อไปเท่านั้น หาได้มีผลให้รื้อฟื้นการบังคับโทษที่เสร็จสิ้นไปแล้วขึ้นมาพิจารณาใหม่อีกแต่อย่างใด โทษที่ได้รับมาแล้วต้องถือว่ายุติไปตามผลของคำพิพากษา ดังนั้น ค่าปรับที่จำเลยชำระไปตามคำพิพากษาจนครบถ้วนแล้วจึงถือว่าการบังคับโทษปรับเสร็จสิ้นแล้ว ไม่อาจถอนคืนได้ จำเลยไม่มีสิทธิขอคืนเงินค่าปรับ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 26/2, 26/3, 75, 76, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 ริบกัญชาของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26/2 วรรคหนึ่ง, 26/3 วรรคหนึ่ง, 75 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานผลิตกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี และปรับ 80,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี และปรับ 40,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบกัญชาของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุก 4 เดือน และปรับ 20,000 บาท ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือน และปรับ 10,000 บาท ไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปแล้วหรือไม่ เห็นว่า เนื่องจากได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ. 2565 ออกใช้บังคับ ซึ่งมีผลให้พืชกัญชาไม่เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 อีกต่อไป การผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือมีพืชกัญชาไว้ในครอบครองจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26/2, 26/3, 75, 76 และ 76/1 และประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 93, 142 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 และเมื่อพืชกัญชาไม่เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 และไม่ใช่เครื่องมือเครื่องใช้ในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 134 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 จึงไม่อาจริบได้ ส่วนที่จำเลยได้ชำระค่าปรับแก่ศาลไว้ จำเลยมีสิทธิขอคืนเงินค่าปรับหรือไม่ เห็นว่า กรณีของจำเลยต้องตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง การกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป ให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด และถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้น ถ้ารับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลง บทบัญญัติดังกล่าวได้แยกผลการกระทำความผิดและการบังคับโทษตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วจากกันต่างหากกล่าวคือ ในส่วนของการบังคับตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดนั้น หากมีส่วนใดที่ยังค้างอยู่ระหว่างการบังคับก็ให้การบังคับนั้นสิ้นสุดลง ไม่มีการบังคับในส่วนที่ค้างอยู่ต่อไปเท่านั้น หาได้มีผลให้รื้อฟื้นการบังคับโทษที่เสร็จสิ้นไปแล้วขึ้นมาพิจารณาใหม่อีกแต่อย่างใด โทษที่ได้รับมาแล้วต้องถือว่ายุติไปตามผลของคำพิพากษา ดังนั้น ค่าปรับที่จำเลยชำระไปตามคำพิพากษาจนครบถ้วนแล้วจึงถือว่าการบังคับโทษปรับเสร็จสิ้นแล้ว ไม่อาจถอนคืนได้ จำเลยไม่มีสิทธิขอคืนเงินค่าปรับ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษายกฟ้อง ให้คืนพืชกัญชาของกลางแก่เจ้าของ แต่ไม่คืนเงินค่าปรับที่จำเลยชำระไว้แล้ว
การที่จำเลยได้ชำระค่าปรับแก่ศาลไว้ แต่ต่อมามีกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด จำเลยมีสิทธิขอคืนเงินค่าปรับหรือไม่นั้น กรณีของจำเลยต้องตามบทบัญญัติของ ป.อ. มาตรา 2 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง การกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป ให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด และถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้น ถ้ารับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลง บทบัญญัติดังกล่าวได้แยกผลการกระทำความผิดและการบังคับโทษตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วจากกันต่างหาก กล่าวคือ ในส่วนของการบังคับตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดนั้น หากมีส่วนใดที่ยังค้างอยู่ระหว่างการบังคับก็ให้การบังคับนั้นสิ้นสุดลง ไม่มีการบังคับในส่วนที่ค้างอยู่ต่อไปเท่านั้น หาได้มีผลให้รื้อฟื้นการบังคับโทษที่เสร็จสิ้นไปแล้วขึ้นมาพิจารณาใหม่อีกแต่อย่างใด โทษที่ได้รับมาแล้วต้องถือว่ายุติไปตามผลของคำพิพากษา ดังนั้น ค่าปรับที่จำเลยชำระไปตามคำพิพากษาจนครบถ้วนแล้วจึงถือว่าการบังคับโทษปรับเสร็จสิ้นแล้ว ไม่อาจถอนคืนได้ จำเลยไม่มีสิทธิขอคืนเงินค่าปรับ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 26/2, 26/3, 75, 76, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 ริบกัญชาของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26/2 วรรคหนึ่ง, 26/3 วรรคหนึ่ง, 75 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานผลิตกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี และปรับ 80,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี และปรับ 40,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบกัญชาของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุก 4 เดือน และปรับ 20,000 บาท ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือน และปรับ 10,000 บาท ไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปแล้วหรือไม่ เห็นว่า เนื่องจากได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ. 2565 ออกใช้บังคับ ซึ่งมีผลให้พืชกัญชาไม่เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 อีกต่อไป การผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือมีพืชกัญชาไว้ในครอบครองจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26/2, 26/3, 75, 76 และ 76/1 และประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 93, 142 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 และเมื่อพืชกัญชาไม่เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 และไม่ใช่เครื่องมือเครื่องใช้ในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 134 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 จึงไม่อาจริบได้ ส่วนที่จำเลยได้ชำระค่าปรับแก่ศาลไว้ จำเลยมีสิทธิขอคืนเงินค่าปรับหรือไม่ เห็นว่า กรณีของจำเลยต้องตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง การกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป ให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด และถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้น ถ้ารับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลง บทบัญญัติดังกล่าวได้แยกผลการกระทำความผิดและการบังคับโทษตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วจากกันต่างหากกล่าวคือ ในส่วนของการบังคับตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดนั้น หากมีส่วนใดที่ยังค้างอยู่ระหว่างการบังคับก็ให้การบังคับนั้นสิ้นสุดลง ไม่มีการบังคับในส่วนที่ค้างอยู่ต่อไปเท่านั้น หาได้มีผลให้รื้อฟื้นการบังคับโทษที่เสร็จสิ้นไปแล้วขึ้นมาพิจารณาใหม่อีกแต่อย่างใด โทษที่ได้รับมาแล้วต้องถือว่ายุติไปตามผลของคำพิพากษา ดังนั้น ค่าปรับที่จำเลยชำระไปตามคำพิพากษาจนครบถ้วนแล้วจึงถือว่าการบังคับโทษปรับเสร็จสิ้นแล้ว ไม่อาจถอนคืนได้ จำเลยไม่มีสิทธิขอคืนเงินค่าปรับ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษายกฟ้อง ให้คืนพืชกัญชาของกลางแก่เจ้าของ แต่ไม่คืนเงินค่าปรับที่จำเลยชำระไว้แล้ว
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ทรัพย์สินรายการที่ 147 ซึ่งเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 3630 ตกเป็นของแผ่นดิน และผู้คัดค้านอุทธรณ์โต้แย้งเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 147 แม้ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 147 เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เนื่องจากผู้คัดค้านมิได้ยื่นคำคัดค้านว่าไม่ใช่ทรัพย์สินของผู้คัดค้านมาตั้งแต่แรก แต่ตามคำแก้อุทธรณ์ของผู้ร้องได้ยอมรับข้อเท็จจริงแล้วว่า ทรัพย์สินรายการที่ 147 มีชื่อ ธ. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่ใช่ของผู้คัดค้านตามที่ผู้ร้องระบุในบัญชีรายการทรัพย์สิน จึงขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 147 ให้ถูกต้อง เห็นว่า หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำแก้อุทธรณ์ ผู้ร้องย่อมไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินรายการที่ 147 ตกเป็นของแผ่นดิน ปัญหาเรื่องอำนาจในการยื่นคำร้องของผู้ร้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 147 ตามคำแก้อุทธรณ์ของผู้ร้อง ซึ่งมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องหรือไม่ จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 56 วรรคท้าย
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินพร้อมดอกผลตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนและประกาศตามกฎหมายแล้ว
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทรัพย์สินรายการที่ 1 ถึงรายการที่ 7 รายการที่ 11 รายการที่ 12 รายการที่ 21 ถึงรายการที่ 23 รายการที่ 28 รายการที่ 45 และรายการที่ 138 ถึงรายการที่ 148 ตามบัญชีรายการทรัพย์สิน พร้อมดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินที่เกิดขึ้นตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง ส่วนทรัพย์สินรายการที่ 8 ถึงรายการที่ 10 รายการที่ 13 ถึงรายการที่ 20 รายการที่ 24 ถึงรายการที่ 27 รายการที่ 29 ถึงรายการที่ 44 และรายการที่ 46 ถึงรายการที่ 137 ให้คืนแก่เจ้าของ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา โดยศาลฎีกาอนุญาตให้ฎีกาเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 1 เฉพาะเงินสด 100,000 บาท และทรัพย์สินรายการที่ 146
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า ทรัพย์สินรายการที่ 1 เฉพาะเงินสด 100,000 บาท และทรัพย์สินรายการที่ 146 เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการทำความผิดมูลฐานในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่ เห็นว่า ในชั้นไต่สวนพยานผู้คัดค้านมีนางลอง มารดาผู้คัดค้านเบิกความว่า นางสาวน้ำผึ้งส่งเงินมาให้นางลองเดือนละ 10,000 ถึง 30,000 บาท โดยส่งผ่านมาทางบริษัท ว. แต่เอกสารต่าง ๆ เจ้าพนักงานตำรวจยึดไปจากบ้านเลขที่ 259 และตำรวจนำออกไปทิ้ง ภายหลังนางลองเห็นว่าเป็นเศษขยะจึงเผาทิ้งไปหมด ปี 2553 ผู้คัดค้านกลับมาพักที่บ้านเลขที่ 46 ผู้คัดค้านบอกนางลองว่าได้ตกลงซื้อที่ดิน 2 ไร่เศษ จากน้าสาวของนายอภิชาต ตกลงแบ่งกันคนละ 1 ไร่ ซื้อที่ดินราคา 300,000 บาท นางลองทราบว่ามีการโอนที่ดินกันเมื่อปี 2555 แต่ไม่ทราบเลขโฉนด ต่อมาภายหลังผู้คัดค้านบอกนางลองว่านายอภิชาตจะขายที่ดินให้แก่ผู้คัดค้านอีกในราคา 200,000 บาท แต่ผู้คัดค้านไม่มีเงินพอ นางลองจึงสอบถามนางสาวน้ำผึ้งซึ่งสามารถหาเงินมาซื้อได้ว่าสนใจอยากได้ที่ดินแปลงดังกล่าวหรือไม่ นางสาวน้ำผึ้งจึงโอนเงินให้นางลองซื้อที่ดินจากนายอภิชาต แต่พยานผู้คัคค้านไม่มีหลักฐานที่เป็นเอกสารแสดงรายละเอียดวันเวลาและจำนวนเงินที่โอนให้แก่นางลอง ส่วนที่ผู้คัดค้านอ้างว่าเงินที่นำไปซื้อที่ดินเป็นเงินรายได้จากการเป็นแม่บ้านทำความสะอาดดูแลรับเลี้ยงเด็กอ่อนและเงินที่ได้จากค่าเช่าที่ดินไม่ต่ำกว่าเดือนละ 30,000 บาท ก็ขัดแย้งกับคำเบิกความของนางลองที่เบิกความว่าผู้คัดค้านไม่มีเงินพอซื้อที่ดิน พยานผู้คัดค้านจึงเลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเป็นจริงและไม่สามารถหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51 วรรคสามได้ ที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าทรัพย์สินรายการที่ 1 และรายการที่ 146 เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ทรัพย์สินรายการที่ 147 ซึ่งเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 3630 ตกเป็นของแผ่นดิน และผู้คัดค้านอุทธรณ์โต้แย้งเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 147 แม้ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 147 เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เนื่องจากผู้คัดค้านมิได้ยื่นคำคัดค้านว่าไม่ใช่ทรัพย์สินของผู้คัดค้านมาตั้งแต่แรก แต่ตามคำแก้อุทธรณ์ของผู้ร้องได้ยอมรับข้อเท็จจริงแล้วว่า ทรัพย์สินรายการที่ 147 มีชื่อนางธนพรเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่ใช่ของผู้คัดค้านตามที่ผู้ร้องระบุในบัญชีรายการทรัพย์สิน จึงขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 147 ให้ถูกต้อง เห็นว่า หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำแก้อุทธรณ์ ผู้ร้องย่อมไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินรายการที่ 147 ตกเป็นของแผ่นดิน ปัญหาเรื่องอำนาจในการยื่นคำร้องของผู้ร้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 147 ตามคำแก้อุทธรณ์ของผู้ร้อง ซึ่งมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องหรือไม่ จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 56 วรรคท้าย เมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว เพื่อให้การพิจารณาและพิพากษาคดีของศาลเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็วและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำแก้อุทธรณ์ของผู้ร้องว่าทรัพย์สินรายการที่ 147 ซึ่งเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 3630 ไม่ใช่ของผู้คัดค้าน และปรากฏตามสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 3630 ท้ายคำแก้อุทธรณ์ ซึ่งมีรายการจดทะเบียนด้านหลังโฉนดที่ดินเลขที่ 3630 ว่านางธนพรเป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2553 จนกระทั่งต่อมาวันที่ 10 เมษายน 2557 นางธนพรได้จดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวไว้แก่ธนาคาร อ. เมื่อคำร้องของผู้ร้องไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้ขอให้ทรัพย์สินของนางธนพรตกเป็นของแผ่นดินโดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินรายการที่ 147 ตกเป็นของแผ่นดินจึงไม่เข้าเงื่อนไขตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินรายการที่ 147 ตกเป็นของแผ่นดินได้ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งให้ทรัพย์สินรายการที่ 147 ตกเป็นของแผ่นดินจึงเป็นการไม่ชอบอันเกิดจากการผิดหลงของผู้ร้อง ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนทรัพย์สินรายการที่ 147 ซึ่งเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 3630 แก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้ตกเป็นพับ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ทรัพย์สินรายการที่ 147 ซึ่งเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 3630 ตกเป็นของแผ่นดิน และผู้คัดค้านอุทธรณ์โต้แย้งเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 147 แม้ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 147 เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เนื่องจากผู้คัดค้านมิได้ยื่นคำคัดค้านว่าไม่ใช่ทรัพย์สินของผู้คัดค้านมาตั้งแต่แรก แต่ตามคำแก้อุทธรณ์ของผู้ร้องได้ยอมรับข้อเท็จจริงแล้วว่า ทรัพย์สินรายการที่ 147 มีชื่อ ธ. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่ใช่ของผู้คัดค้านตามที่ผู้ร้องระบุในบัญชีรายการทรัพย์สิน จึงขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 147 ให้ถูกต้อง เห็นว่า หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำแก้อุทธรณ์ ผู้ร้องย่อมไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินรายการที่ 147 ตกเป็นของแผ่นดิน ปัญหาเรื่องอำนาจในการยื่นคำร้องของผู้ร้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 147 ตามคำแก้อุทธรณ์ของผู้ร้อง ซึ่งมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องหรือไม่ จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 56 วรรคท้าย
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินพร้อมดอกผลตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนและประกาศตามกฎหมายแล้ว
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทรัพย์สินรายการที่ 1 ถึงรายการที่ 7 รายการที่ 11 รายการที่ 12 รายการที่ 21 ถึงรายการที่ 23 รายการที่ 28 รายการที่ 45 และรายการที่ 138 ถึงรายการที่ 148 ตามบัญชีรายการทรัพย์สิน พร้อมดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินที่เกิดขึ้นตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง ส่วนทรัพย์สินรายการที่ 8 ถึงรายการที่ 10 รายการที่ 13 ถึงรายการที่ 20 รายการที่ 24 ถึงรายการที่ 27 รายการที่ 29 ถึงรายการที่ 44 และรายการที่ 46 ถึงรายการที่ 137 ให้คืนแก่เจ้าของ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา โดยศาลฎีกาอนุญาตให้ฎีกาเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 1 เฉพาะเงินสด 100,000 บาท และทรัพย์สินรายการที่ 146
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า ทรัพย์สินรายการที่ 1 เฉพาะเงินสด 100,000 บาท และทรัพย์สินรายการที่ 146 เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการทำความผิดมูลฐานในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่ เห็นว่า ในชั้นไต่สวนพยานผู้คัดค้านมีนางลอง มารดาผู้คัดค้านเบิกความว่า นางสาวน้ำผึ้งส่งเงินมาให้นางลองเดือนละ 10,000 ถึง 30,000 บาท โดยส่งผ่านมาทางบริษัท ว. แต่เอกสารต่าง ๆ เจ้าพนักงานตำรวจยึดไปจากบ้านเลขที่ 259 และตำรวจนำออกไปทิ้ง ภายหลังนางลองเห็นว่าเป็นเศษขยะจึงเผาทิ้งไปหมด ปี 2553 ผู้คัดค้านกลับมาพักที่บ้านเลขที่ 46 ผู้คัดค้านบอกนางลองว่าได้ตกลงซื้อที่ดิน 2 ไร่เศษ จากน้าสาวของนายอภิชาต ตกลงแบ่งกันคนละ 1 ไร่ ซื้อที่ดินราคา 300,000 บาท นางลองทราบว่ามีการโอนที่ดินกันเมื่อปี 2555 แต่ไม่ทราบเลขโฉนด ต่อมาภายหลังผู้คัดค้านบอกนางลองว่านายอภิชาตจะขายที่ดินให้แก่ผู้คัดค้านอีกในราคา 200,000 บาท แต่ผู้คัดค้านไม่มีเงินพอ นางลองจึงสอบถามนางสาวน้ำผึ้งซึ่งสามารถหาเงินมาซื้อได้ว่าสนใจอยากได้ที่ดินแปลงดังกล่าวหรือไม่ นางสาวน้ำผึ้งจึงโอนเงินให้นางลองซื้อที่ดินจากนายอภิชาต แต่พยานผู้คัคค้านไม่มีหลักฐานที่เป็นเอกสารแสดงรายละเอียดวันเวลาและจำนวนเงินที่โอนให้แก่นางลอง ส่วนที่ผู้คัดค้านอ้างว่าเงินที่นำไปซื้อที่ดินเป็นเงินรายได้จากการเป็นแม่บ้านทำความสะอาดดูแลรับเลี้ยงเด็กอ่อนและเงินที่ได้จากค่าเช่าที่ดินไม่ต่ำกว่าเดือนละ 30,000 บาท ก็ขัดแย้งกับคำเบิกความของนางลองที่เบิกความว่าผู้คัดค้านไม่มีเงินพอซื้อที่ดิน พยานผู้คัดค้านจึงเลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเป็นจริงและไม่สามารถหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51 วรรคสามได้ ที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าทรัพย์สินรายการที่ 1 และรายการที่ 146 เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ทรัพย์สินรายการที่ 147 ซึ่งเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 3630 ตกเป็นของแผ่นดิน และผู้คัดค้านอุทธรณ์โต้แย้งเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 147 แม้ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 147 เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เนื่องจากผู้คัดค้านมิได้ยื่นคำคัดค้านว่าไม่ใช่ทรัพย์สินของผู้คัดค้านมาตั้งแต่แรก แต่ตามคำแก้อุทธรณ์ของผู้ร้องได้ยอมรับข้อเท็จจริงแล้วว่า ทรัพย์สินรายการที่ 147 มีชื่อนางธนพรเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่ใช่ของผู้คัดค้านตามที่ผู้ร้องระบุในบัญชีรายการทรัพย์สิน จึงขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 147 ให้ถูกต้อง เห็นว่า หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำแก้อุทธรณ์ ผู้ร้องย่อมไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินรายการที่ 147 ตกเป็นของแผ่นดิน ปัญหาเรื่องอำนาจในการยื่นคำร้องของผู้ร้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 147 ตามคำแก้อุทธรณ์ของผู้ร้อง ซึ่งมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องหรือไม่ จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 56 วรรคท้าย เมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว เพื่อให้การพิจารณาและพิพากษาคดีของศาลเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็วและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำแก้อุทธรณ์ของผู้ร้องว่าทรัพย์สินรายการที่ 147 ซึ่งเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 3630 ไม่ใช่ของผู้คัดค้าน และปรากฏตามสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 3630 ท้ายคำแก้อุทธรณ์ ซึ่งมีรายการจดทะเบียนด้านหลังโฉนดที่ดินเลขที่ 3630 ว่านางธนพรเป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2553 จนกระทั่งต่อมาวันที่ 10 เมษายน 2557 นางธนพรได้จดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวไว้แก่ธนาคาร อ. เมื่อคำร้องของผู้ร้องไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้ขอให้ทรัพย์สินของนางธนพรตกเป็นของแผ่นดินโดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินรายการที่ 147 ตกเป็นของแผ่นดินจึงไม่เข้าเงื่อนไขตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินรายการที่ 147 ตกเป็นของแผ่นดินได้ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งให้ทรัพย์สินรายการที่ 147 ตกเป็นของแผ่นดินจึงเป็นการไม่ชอบอันเกิดจากการผิดหลงของผู้ร้อง ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนทรัพย์สินรายการที่ 147 ซึ่งเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 3630 แก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้ตกเป็นพับ
กรณีเชื่อว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 มีเจตนาวางแผนร่วมกันนำเข้าสินค้าโดยแยกกันนำเข้าเพื่อประโยชน์ในการหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าและได้รับประโยชน์ทางธุรกิจร่วมกัน โดยในวันที่ 29 เมษายน 2547 วันที่ 13 พฤษภาคม 2547 วันที่ 27 พฤษภาคม 2547 วันที่ 3 มิถุนายน 2547 และวันที่ 14 มิถุนายน 2547 จำเลยที่ 1 สำแดงเป็นแชสซีที่มีเครื่องยนต์ (Chassis Fitted with Engine for Truck/Tractor) ประเภทพิกัด 8706.00 เสียอัตราอากรร้อยละ 10 ส่วนที่จำเลยที่ 2 สำแดงเป็นชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) พร้อมอุปกรณ์ (Parts and Accessories of Cab) ประเภทพิกัด 8707.900 ประเภทพิกัด 8708.400 ประเภทพิกัด 8708.940 และประเภทพิกัด 9401.200 เสียอัตราอากรร้อยละ 40 ร้อยละ 30 ร้อยละ 10 และร้อยละ 10 ตามลำดับ การสำแดงและแยกการนำเข้าดังกล่าวเป็นการกระทำที่แบ่งหน้าที่กันทำเพื่อให้ยากแก่การตรวจสอบและชักพาให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรผิดหลงในรายการสินค้าและประเภทพิกัดอัตราอากรขาเข้าเพื่อจะได้ชำระอากรขาเข้าเป็นเงินจำนวนน้อยกว่าอากรขาเข้าตามประเภทพิกัดอัตราอากรขาเข้าที่ถูกต้อง คือ ชิ้นส่วนของ Truck Tractor Chassis with Cab and Accessories of Cab เพื่อประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ครบชุดสมบูรณ์ทั้งคัน (CKD) เข้าประเภทพิกัด 8701.20 อัตราอากรร้อยละ 30 ถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่มีเจตนาจะฉ้ออากรที่ต้องเสียสำหรับของนั้น ๆ ส่วนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้เหตุผลว่า หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิสูจน์การกระทำความผิดในทางอาญาเป็นคนละส่วนกับหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาปัญหาประเภทพิกัด เมื่อในขณะนำเข้าสินค้าจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 แยกการนำเข้าต่างหากจากกัน การพิจารณาปัญหาพิกัดจึงต้องแยกการพิจารณาเป็นรายบริษัท คำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อยืนยันว่าจำเลยทั้งสี่ไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มี พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 3 บัญญัติว่า “ให้ยกเลิก (1) พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 และ (11) พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490” แต่ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 243 ยังบัญญัติให้การกระทำความผิดตามฟ้องยังเป็นความผิดอยู่ โดยมีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับเป็นเงินตั้งแต่ครึ่งเท่าแต่ไม่เกินสี่เท่าของค่าอากรที่ต้องเสียเพิ่ม หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่โทษตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือจำคุกไม่เกินสิบปี หรือทั้งปรับทั้งจำ จึงให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณทั้งกฎหมายเก่าในส่วนที่ให้ปรับรวมและกฎหมายใหม่ในส่วนโทษแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใดตาม ป.อ. มาตรา 3
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 243 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 15 วรรคสาม, 10 ทวิ, 87, 88 พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9 และให้จำเลยทั้งสี่จ่ายสินบนรางวัลนำจับแก่เจ้าพนักงานผู้จับที่มีสิทธิได้รับเงินรางวัลตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 243 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษปรับคนละ 5,017,356 บาท รวม 5 กระทง รวมเป็นปรับจำเลยทั้งสี่คนละ 25,086,780 บาท หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระค่าปรับ สำหรับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ส่วนจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 แทนค่าปรับให้กักขังเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี ได้ แต่ไม่เกิน 2 ปี คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า เหตุที่มีการจับกุมจำเลยทั้งสี่ดำเนินคดีนี้ สืบเนื่องจากกรมศุลกากรมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สืบสวนเกี่ยวกับกรณีที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอากร โดยจำเลยที่ 1 ซึ่งเคยมีประวัติการนำเข้ารถทรัคแทรกเตอร์ทั้งคันแต่ภายหลังจำเลยที่ 1 กลับสำแดงว่านำเข้าเฉพาะแชสซีกับเครื่องยนต์ ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้นำเข้าชิ้นส่วนหัวเก๋งหรือแค้ป เมื่อตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ที่มีการบรรทุกสินค้าพบว่าตู้สินค้าของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ถูกลากมาพร้อมกันหรือตามกันมาและมีการนำสินค้าที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 นำเข้าไปประกอบที่โรงงานของจำเลยที่ 2 เป็นรถทรัคแทรกเตอร์ ต่อมาเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรจึงขอให้ศาลมีคำสั่งออกหมายค้นบริษัทจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 พบเอกสารเกี่ยวกับการสั่งซื้อและการวางแผนภาษีให้น้อยลงจากการนำเข้าสินค้าแยกกัน โจทก์มีนายปรีชา และนายสมชาย นักวิชาการศุลกากร เป็นพยานเบิกความในทำนองเดียวกันว่า จากการสืบสวนหลังจากตรวจสอบประวัติการนำเข้าสินค้าของจำเลยที่ 1 บัญชีสินค้าของบริษัทตัวแทนเรือที่ท่าเรือแหลมฉบัง กลุ่มผู้ค้ารถ ตู้คอนเทนเนอร์ และซุ่มดูที่ที่ตั้งของจำเลยที่ 2 หลายครั้ง เห็นความผิดปกติในการหลีกเลี่ยงภาษีอากรจึงยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอออกหมายค้น เมื่อได้ตรวจค้นบริษัทจำเลยที่ 1 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 23/21 กรุงเทพมหานคร และตรวจค้นบริษัทจำเลยที่ 2 สำนักงานและโรงงานตั้งอยู่เลขที่ 7/14 จังหวัดฉะเชิงเทรา แล้ว พบเอกสารที่แสดงถึงข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดฐานหลีกเลี่ยงอากรโดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการสั่งซื้อชิ้นส่วนสินค้าจากบริษัท ก. ประเทศสวีเดน เพื่อมาประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ทั้งคัน โดยรู้อยู่แล้วว่าต้องเสียอากรในอัตราร้อยละ 30 แต่มีเจตนาหลีกเลี่ยงให้เสียอากรต่ำกว่าความเป็นจริงโดยแยกการนำเข้าให้จำเลยที่ 1 นำเข้าเฉพาะแชสซีกับเครื่องยนต์ ซึ่งมีอัตราอากรร้อยละ 10 ส่วนจำเลยที่ 2 ให้เป็นผู้นำเข้าชิ้นส่วนหัวเก๋งหรือแค้ปเสียภาษีอากรตามพิกัดและอัตราว่าด้วยของและอุปกรณ์นั้น ๆ และโจทก์มีนายนล เจ้าหน้าที่ประเมินอากร มีหน้าที่ตรวจสอบภายหลังการตรวจปล่อยสินค้าเป็นพยานเบิกความว่า พยานได้รับมอบหมายให้ตอบสำนักกฎหมายที่หารือมาเกี่ยวกับเรื่องการอุทธรณ์คดีของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จากการศึกษาแฟ้มคดีเก่าและเอกสารที่นำมาจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 พบว่าจำเลยที่ 1 ติดต่อสื่อสารทางอีเมลกับบริษัท ก. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่ประเทศสวีเดนของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับอัตราภาษีของรถทรัคแทรกเตอร์ที่นำเข้าหลายครั้ง โดยก่อนหน้านี้จำเลยที่ 1 ไปหารือกับพนักงานเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรเกี่ยวกับเรื่องพิกัดอัตราศุลกากรในการนำเข้ารถทรัคแทรกเตอร์ แชสซีกับเครื่องยนต์ และหัวเก๋งหรือแค้ป จำเลยที่ 1 จึงทำสรุปรายงานการหารือกับเจ้าหน้าที่เสนอที่ประชุมของจำเลยที่ 1 โดยมีอีเมลที่มีข้อความว่า จำเลยที่ 1 จะดำเนินการให้มีการนำเข้าของโดยแยกกันระหว่างส่วนแชสซีกับเครื่องยนต์และส่วนหัวเก๋ง โดยจำเลยที่ 1 นำเข้าส่วนแชสซี ส่วนบริษัท ส. นำเข้าส่วนหัวเก๋ง แต่หากทำเช่นนั้นจะทำให้เกิดความเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวพันระหว่าง 2 บริษัท และทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ศุลกากรทราบว่านำเข้าด้วยกันเพื่อประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ทั้งคันจึงให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้นำเข้าแทนบริษัท ส. พยานเห็นว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ทราบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับพิกัดอัตราศุลกากรในการนำเข้าทำให้มีการแยกการนำเข้าเพื่อให้ชำระอัตราอากรที่ถูกลงอันเป็นการหลีกเลี่ยงอากรจึงเสนอความเห็นตอบกลับไปยังสำนักกฎหมาย เห็นว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยที่ 1 เคยหารือกับกรมศุลกากรถึงการนำเข้ารถทรัคแทรกเตอร์ ได้รับคำอธิบายจากพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรว่า หากนำเข้าชิ้นส่วน CKD ของแชสซีที่มีเครื่องยนต์ติดตั้ง จะเข้าประเภทพิกัด 87.06 ได้รับลดอัตราอากรเหลือร้อยละ 10 ตามประกาศกระทรวงการคลัง ที่ ศก. 19/2542 เรื่อง ยกเลิกการลดอัตราอากรศุลกากรและการลดอัตราอากรศุลกากร แต่ต้องไม่มีส่วนของหัวเก๋งเข้ามาด้วย หากนำเข้าแชสซีพร้อมส่วนของหัวเก๋งหรือแค้ปเข้ามาในราชอาณาจักร จะเข้าประเภทพิกัด 87.01 ในฐานะชิ้นส่วนของ Truck Tractor Chassis with Cab หรือรถทรัคแทรกเตอร์ทั้งคัน (สินค้าครบสมบูรณ์) อัตราอากรร้อยละ 30 และหากนำเข้าหัวเก๋งหรือแค้ปที่มีการตัดแต่งแล้ว (Body Shell) จะเข้าประเภทพิกัด 87.07 อัตราอากรร้อยละ 80 ซึ่งจำเลยทั้งสี่ก็นำสืบรับในส่วนนี้ว่า จำเลยที่ 1 ได้สอบถามและหารือกับพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากร คือ นายพิทักษ์ และนายพงศักดิ์ หัวหน้างานชิ้นส่วนสมบูรณ์ ฝ่ายยกเว้นอากร อัตราศุลกากรจริง บริษัท ก. เป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศสวีเดน ตั้งบริษัทจำเลยที่ 1 และบริษัท ส. ขึ้นในประเทศไทย เพื่อให้เป็นผู้แทนจำหน่ายรถทรัคแทรกเตอร์ในประเทศไทย จำเลยที่ 1 เช่าพื้นที่โรงงานของบริษัท พ. และเป็นคู่สัญญารับจ้างประกอบแชสซีที่มีเครื่องยนต์ติดตั้ง เมื่อพิจารณาเอกสารที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรยึดมาจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเอกสารภายใน มีอีเมลหลายฉบับระหว่างจำเลยที่ 1 กับบริษัท ก. ประเทศสวีเดน ที่มีข้อความเป็นลำดับว่า บริษัท ส. อาจไม่สามารถนำส่วนของหัวเก๋งหรือแค้ปเข้ามาในประเทศไทยได้ ตามอีเมลฉบับลงวันที่ 22 ตุลาคม 2544 และต่อมามีเอกสารการประชุมของจำเลยที่ 1 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2544 ระบุถึงความเป็นไปได้ที่จะให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท พ. (PTM) เป็นผู้มีชื่อนำเข้าในส่วนของหัวเก๋งพร้อมอุปกรณ์โดยให้อยู่ในความควบคุมของจำเลยที่ 1 อันจะทำให้อากรลดลง และเอกสารบันทึกความเข้าใจฉบับลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2544 ระบุถึงการให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้นำเข้าหัวเก๋งพร้อมอุปกรณ์เอกสารที่ต้องใช้ระเบียบในการทำบัตรผ่านพิธีการ รวมถึงมีแผนภูมิการนำเข้าแนบท้ายที่แสดงอย่างชัดเจนว่าให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้นำเข้าแชสซีและเครื่องยนต์ ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้นำเข้าชิ้นส่วนหัวเก๋งและอุปกรณ์ เพื่อจะนำมาประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ทั้งคันโดยบริษัท พ. ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบและจำเลยทั้งสี่ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่า จำเลยที่ 1 เคยนำเข้าสินค้าโดยสำแดงเป็นประเภทพิกัดรถทรัคแทรกเตอร์ทั้งคัน จึงต้องรู้อยู่แล้วว่าสินค้ารถทรัคแทรกเตอร์ต้องเสียอากรในประเภทพิกัด 8701.20 อัตราอากรร้อยละ 30 แต่ภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 หารือกับพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรและประชุมภายในกับบริษัทในเครือ จำเลยที่ 1 กลับนำเข้าสินค้าโดยสำแดงสินค้าเป็นแชสซีที่มีเครื่องยนต์ (Chassis Fitted with Engine for Truck/Tractor) ในประเภทพิกัด 8706.00 อัตราอากรร้อยละ 10 ส่วนจำเลยที่ 2 นำเข้าสินค้าโดยสำแดงเป็นชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) พร้อมอุปกรณ์ (Parts and Accessories of Cab) ประเภทพิกัดและอัตราว่าด้วยของและอุปกรณ์นั้น ๆ ทำให้เมื่อรวมกันแล้วเสียค่าอากรน้อยลงกว่าจำนวนค่าอากรที่ต้องเสียตามความเป็นจริงของสินค้านำเข้า คือ ชิ้นส่วนเพื่อประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ครบชุดสมบูรณ์ อัตราอากรร้อยละ 30 ประกอบกับเมื่อพิจารณาในส่วนความสัมพันธ์ของจำเลยทั้งสี่ จำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 3 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน มีวัตถุประสงค์เพื่อทำการผลิตและประกอบยานยนต์ เครื่องบินท่าอากาศยานทุกชนิด ส่วนจำเลยที่ 2 มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 4 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการโรงงานผลิตและรับจ้างผลิตชิ้นส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ เห็นว่า แม้ตามหนังสือรับรองจำเลยที่ 1 จะมีสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 23/21 กรุงเทพมหานคร แต่กลับปรากฏตามหนังสือขอให้มาชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมและหนังสือขอรับเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงานนอกสถานที่ของจำเลยที่ 1 ว่า โรงงานของจำเลยที่ 1 ตั้งอยู่เลขที่ 7/14 จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นที่อยู่ที่เดียวกันกับที่ตั้งโรงงานและสำนักงานแห่งใหญ่ของจำเลยที่ 2 ที่ระบุอยู่ในหนังสือรับรอง และยังได้ความตามหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 2 ระบุว่า จำเลยที่ 2 และบริษัท พ. เป็นบริษัทในเครือธุรกิจกับบริษัท ศ. ซึ่งมีจำเลยที่ 4 เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัทจำเลยที่ 2 และบริษัท ศ. รับประกอบตัวถังรถโดยสารให้กับแชสซีที่มีเครื่องยนต์ติดตั้งยี่ห้อสแกนเนีย มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รองรับงานดังกล่าว ต่อมาจึงให้บริษัท พ. รับงานต่อตัวถังรถโดยสารให้กับแชสซีที่มีเครื่องยนต์ติดตั้งยี่ห้อสแกนเนีย นอกจากนี้ จำเลยที่ 3 ยังรับในคำให้การชั้นสอบสวนเพิ่มเติมว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เคยมีความสัมพันธ์ทางการค้ามาก่อน ส่วนจำเลยที่ 3 รู้จักคุ้นเคยเป็นการส่วนตัวกับจำเลยที่ 4 อันแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ยิ่งไปกว่านั้น จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 2 ก็มีความรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีถึงขนาดที่จำเลยที่ 4 มอบบัตรผู้จัดการที่ต้องใช้สำหรับการนำเข้าส่งออกสินค้าของกรมศุลกากรให้จำเลยที่ 3 แม้จำเลยทั้งสี่จะนำสืบต่อสู้ในทำนองว่า จำเลยที่ 2 ซื้อชิ้นส่วนอุปกรณ์หัวเก๋งเข้ามาประกอบเพื่อเป็นการขยายธุรกิจ และเพื่อให้ได้รับประโยชน์ในความรู้ด้านเทคโนโลยีในการผลิตจากเจ้าของสินค้าต่างประเทศ และจำเลยทั้งสี่มีนางสาวศุภพิชญ์ อดีตพนักงานของจำเลยที่ 1 เป็นพยานเบิกความว่า พยานมีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 มอบอำนาจให้พยานเป็นผู้ดำเนินการนำเข้าสินค้าประเภทหัวเก๋งพร้อมอุปกรณ์ในคดีนี้ เนื่องจากในช่วงระยะเวลาดังกล่าวจำเลยที่ 2 ยังไม่มีความชำนาญในการนำเข้าสินค้า ก็เป็นข้อกล่าวอ้างลอย ๆ และยังขัดแย้งกับสัญญาจ้างประกอบเอกสารที่มีข้อความระบุว่า บริษัท ส. เป็นบริษัทในเครือของบริษัท ก. โดยมีบริษัท ส. เป็นผู้นำเข้าส่วนประกอบหัวเก๋งของยานยนต์มายังประเทศไทย บริษัท พ. เป็นผู้รับจ้างประกอบแชสซีที่มีเครื่องยนต์ติดตั้งของยานยนต์ให้กับจำเลยที่ 1 โดยบริษัท ส. ประสงค์จะว่าจ้างให้บริษัท พ. เป็นผู้ประกอบหัวเก๋ง (Cab) และนำหัวเก๋งนี้ไปใส่หรือประกอบกับแชสซีที่มีเครื่องยนต์ติดตั้ง (Cab Fixed on the Chassis Fitted with Engine) ของยานยนต์ ซึ่งบริษัท พ. รับจ้างประกอบให้กับจำเลยที่ 1 ที่สำคัญในสัญญาจ้างประกอบฉบับดังกล่าวมีข้อความระบุว่า บริษัท ส. จะเป็นผู้นำเข้าชิ้นส่วนหัวเก๋งพร้อมอุปกรณ์ประกอบ โดยสงวนสิทธิให้เป็นทรัพย์สินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของตน ส่วนบริษัท พ. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของจำเลยที่ 2 จะไม่เข้าถือกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่น ๆ หรือก่อให้เกิดภาระผูกพันใด ๆ ต่อหัวเก๋งและส่วนประกอบต่าง ๆ ของหัวเก๋ง บริษัท พ. จะได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าบริการประกอบ จากเอกสารดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงว่าผู้ที่มีกรรมสิทธิ์และนำเข้าส่วนหัวเก๋งที่แท้จริง คือบริษัท ส. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของจำเลยที่ 1 ดังนั้น แม้ไม่พบใบสั่งซื้อบางส่วนก็ไม่ได้เป็นข้อหักล้างความสัมพันธ์ของจำเลยทั้งสี่ว่าไม่ได้ร่วมกันนำเข้าสินค้าพิพาท อีกทั้งยังได้ความจากนางสาวศุภพิชญ์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ถามติงว่า จำเลยที่ 2 สั่งซื้อสินค้าผ่านจำเลยที่ 1 เพราะจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีอำนาจในการสั่งซื้อสินค้าจาก บริษัท ก. ประเทศสวีเดน แต่เพียงรายเดียว และเบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า บริษัทผู้ได้รับอนุญาตให้นำเข้าเพียงผู้เดียวในประเทศไทยเท่านั้นที่จะสั่งสินค้าจากบริษัท ก. ประเทศสวีเดน ได้ แต่ขณะที่มีการนำเข้าสินค้าของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้นั้น จำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจสั่งซื้อด้วยตนเอง เนื่องจากจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย จากพยานหลักฐานดังกล่าวข้างต้น เชื่อว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 มีเจตนาวางแผนร่วมกันนำเข้าสินค้าโดยแยกกันนำเข้าเพื่อประโยชน์ในการหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าและได้รับประโยชน์ทางธุรกิจร่วมกัน โดยในวันที่ 29 เมษายน 2547 วันที่ 13 พฤษภาคม 2547 วันที่ 27 พฤษภาคม 2547 วันที่ 3 มิถุนายน 2547 และวันที่ 14 มิถุนายน 2547 จำเลยที่ 1 สำแดงเป็นแชสซีที่มีเครื่องยนต์ (Chassis Fitted with Engine for Truck/Tractor) ประเภทพิกัด 8706.00 เสียอัตราอากรร้อยละ 10 ส่วนที่จำเลยที่ 2 สำแดงเป็นชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) พร้อมอุปกรณ์ (Parts and Accessories of Cab) ประเภทพิกัด 8707.900 ประเภทพิกัด 8708.400 ประเภทพิกัด 8708.940 และประเภทพิกัด 9401.200 เสียอัตราอากรร้อยละ 40 ร้อยละ 30 ร้อยละ 10 และร้อยละ 10 ตามลำดับ การสำแดงและแยกการนำเข้าดังกล่าวเป็นการกระทำที่แบ่งหน้าที่กันทำเพื่อให้ยากแก่การตรวจสอบและชักพาให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรผิดหลงในรายการสินค้าและประเภทพิกัดอัตราอากรขาเข้า เพื่อจะได้ชำระอากรขาเข้าเป็นเงินจำนวนน้อยกว่าอากรขาเข้าตามประเภทพิกัดอัตราอากรขาเข้าที่ถูกต้อง คือ ชิ้นส่วนของ Truck Tractor Chassis with Cab and Accessories of Cab เพื่อประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ครบชุดสมบูรณ์ทั้งคัน (CKD) เข้าประเภทพิกัด 8701.20 อัตราอากรร้อยละ 30 ถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่มีเจตนาจะฉ้ออากรที่ต้องเสียสำหรับของนั้น ๆ ส่วนที่จำเลยทั้งสี่นำสืบว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของกรมศุลกากรเคยมีคำวินิจฉัยในเรื่องสินค้าแชสซีและเครื่องยนต์สำหรับรถทรัคแทรกเตอร์ที่จำเลยที่ 1 นำเข้าเช่นในคดีนี้ว่า ให้เพิกถอนการประเมินอากรของพนักงานเจ้าหน้าที่และให้จัดสินค้าเป็นแชสซีสำหรับรถทรัคแทรกเตอร์ เข้าประเภทพิกัด 8708.99 ในฐานะเป็นส่วนประกอบของยานยนต์ ตามประเภท 87.01 และเป็นเครื่องยนต์ สำหรับรถทรัคแทรกเตอร์ประเภทพิกัด 8408.20 ในฐานะเป็นเครื่องยนต์ชนิดที่ใช้ขับเคลื่อนยานบกในตอนที่ 87 สินค้าที่จำเลยที่ 1 นำเข้าจึงไม่ใช่ชิ้นส่วนของ Truck Tractor Chassis with Cab and Accessories of Cab เพื่อประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ครบชุดสมบูรณ์ทั้งคัน (CKD) เข้าประเภทพิกัด 8701.20 อัตราอากรร้อยละ 30 ตามที่โจทก์ฟ้อง นั้น เห็นว่า ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้เหตุผลว่า หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิสูจน์การกระทำความผิดในทางอาญาเป็นคนละส่วนกับหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาปัญหาประเภทพิกัด เมื่อในขณะนำเข้าสินค้าจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 แยกการนำเข้าต่างหากจากกัน การพิจารณาปัญหาพิกัดจึงต้องแยกการพิจารณาเป็นรายบริษัท คำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อยืนยันว่าจำเลยทั้งสี่ไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง เมื่อจำเลยที่ 1 นำเข้าสินค้า คือ แชสซีสำหรับรถทรัคแทรกเตอร์ (Chassis for Truck/Tractor “Scania Brand”) และเครื่องยนต์สำหรับรถทรัคแทรกเตอร์ (Engine for Truck/Tractor “Scania Brand”) เพื่อมาประกอบกับส่วนหัวเก๋งที่จำเลยที่ 2 นำเข้ามา จึงยิ่งรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันนำชิ้นส่วนที่เป็นสาระสำคัญของรถทรัคแทรกเตอร์ประเภทพิกัด 87.01 ตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 1 ข้อ 2 (ก) วรรคหนึ่ง ที่ว่า “ประเภทที่ระบุถึงของใด ให้หมายรวมถึงของนั้นที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ หากว่าในขณะนำเข้ามีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วและให้หมายรวมถึงของที่สมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว (หรือที่จำแนกเข้าประเภทของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วตามนัยแห่งหลักเกณฑ์นี้) ที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน” ส่วนการใช้ส่วนประกอบภายในประเทศสำหรับงานผลิตเป็นชิ้นงานสำเร็จก็มีเพียง 2 รายการ คือ แบตเตอรี่รถยนต์และยางรถยนต์ ซึ่งไม่ถือเป็นชิ้นส่วนที่เป็นสาระสำคัญของรถทรัคแทรกเตอร์ ตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 1 ข้อ 2 (ก) ส่วนที่จำเลยทั้งสี่นำสืบโต้แย้งว่า จำเลยที่ 2 นำเข้าชิ้นส่วนหัวเก๋งพร้อมอุปกรณ์เช่นเดียวกับสินค้าในคดีนี้ หลังนำเข้าจำเลยที่ 2 นำสินค้ารวมถึงอุปกรณ์อื่นที่ซื้อในประเทศมาประกอบเพื่อให้เป็นสินค้าหัวเก๋งและขายให้แก่ผู้ซื้อ เพื่อนำไปเป็นอุปกรณ์ประกอบหัวเก๋งและรถทรัคแทรกเตอร์ ในการประกอบนั้นมีขั้นตอนการประกอบถึงร้อยกว่าขั้นตอน ยุ่งยากซับซ้อนและยังต้องมีการทำงานเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นสินค้าสำเร็จโดยทำการเจาะที่ด้านหลังและด้านข้างของหัวเก๋งเพื่อมาติดตั้งบังลมข้าง (Air Deflector) ที่ติดตั้งเพื่อให้รถยนต์มีคุณสมบัติดีขึ้น รวมถึงแผ่นป้ายทะเบียนการผลิตของจำเลยที่ 2 เข้าไปอีกด้วย สินค้าที่จำเลยที่ 2 นำเข้าจึงเป็นอุปกรณ์ที่มีการกำหนดประเภทพิกัดศุลกากรเป็นสินค้ารายชิ้นว่าด้วยของนั้น ๆ เห็นว่า การพิจารณาว่าของหรือสินค้าที่นำเข้ามาเป็นชิ้นส่วนที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ หรือเป็นชิ้นส่วนที่ถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกันมีจำนวนและลักษณะเพียงพอที่ถือว่าเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว อันส่งผลให้ประเภทพิกัดอัตราศุลกากรของของที่นำเข้าเปลี่ยนจาก “ชิ้นส่วนของของหรือสินค้า” กลายเป็น “ของหรือสินค้าที่ครบสมบูรณ์” แล้ว ตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 1 ข้อ 2 (ก) มิได้หมายถึงเฉพาะการนำเข้าแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จรูปหรือนำเข้าชิ้นส่วนแค้ปทั้งหมดทุกรายการเท่านั้น แต่ยังหมายความรวมถึงการนำเข้าชิ้นส่วนแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่มีจำนวนเพียงพอที่เมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้วมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จสามารถนำไปใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องนำไปทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จแล้ว ย่อมถือได้ว่าเป็นการนำเข้าแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่เป็นชิ้นส่วนอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว สินค้านำเข้าเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2547 วันที่ 13 พฤษภาคม 2547 วันที่ 27 พฤษภาคม 2547 วันที่ 3 มิถุนายน 2547 และวันที่ 14 มิถุนายน 2547 ที่จำเลยที่ 2 สำแดงเป็นชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) พร้อมอุปกรณ์ (Parts and Accessories of Cab) ในประเภทพิกัด 8707.900 ประเภทพิกัด 8708.400 ประเภทพิกัด 8708.940 และประเภทพิกัด 9401.200 อัตราร้อยละ 40 ร้อยละ 30 ร้อยละ 10 และร้อยละ 10 ตามลำดับ ตามใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 2801 004478 0824 จำนวน 6 ชุด ใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 2801 005478 0368 จำนวน 6 ชุด ใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 2801 005478 0838 จำนวน 6 ชุด ใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 2801 006478 0019 จำนวน 6 ชุด และใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 2801 006478 0454 จำนวน 12 ชุด นั้น เมื่อพิจารณาหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 2 ประกอบเหตุผลตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์แล้ว สินค้าที่จำเลยที่ 2 นำเข้าสามารถนำเข้าสู่กระบวนการประกอบหัวเก๋ง (Cab) ได้ทันทีด้วยการนำไปประกอบยึดติดชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ส่วนการเจาะที่ด้านหลังและด้านข้างของหัวเก๋งเพื่อมาติดตั้งบังลมข้าง (Air Deflector) ก็ไม่ถือเป็นกระบวนการจัดทำเพิ่มเติม (Further Working Operation) ที่จำเป็นเพื่อให้ชิ้นส่วนนั้นครบสมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จก่อนนำไปประกอบเป็นหัวเก๋ง ตัวลู่บังลม (Air Deflector) ตามที่จำเลยที่ 2 อ้าง เป็นเพียงอุปกรณ์เสริมที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตัวรถ ส่วนไฟสัญญาณและแผ่นป้ายทะเบียนการผลิต ถือเป็นอุปกรณ์เสริมในการขับขี่และอุปกรณ์แสดงถึงผู้ผลิตที่ไม่ได้มีสาระสำคัญต่อการทำงานของหัวเก๋ง (Cab) การเจาะติดตัวลู่บังลม (Air Deflector) ไฟสัญญาณและแผ่นป้ายทะเบียนการผลิต จึงไม่ถือเป็นจัดทำเพิ่มเติม (Further Working Operation) เพื่อให้เป็นชิ้นส่วนที่สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จในความหมายของหลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) ชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) และอุปกรณ์ของหัวเก๋ง (Parts and Accessories of Cab) ที่จำเลยที่ 2 นำเข้ามาดังกล่าวข้างต้นจึงถือเป็นลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ปและนำไปประกอบเป็นแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ซึ่งอยู่ในประเภทพิกัด 8707.90 ตามที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ คดีในส่วนแพ่งจำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาปัญหาประเภทพิกัดในส่วนแพ่ง ซึ่งเมื่อเจตนานำมาประกอบกับแชสซีและเครื่องยนต์ที่จำเลยที่ 1 นำเข้าจึงครบเป็นชิ้นส่วนที่เป็นสาระสำคัญของรถทรัคแทรกเตอร์ที่ครบสมบูรณ์ กรณีรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดฐานนำของเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาษีศุลกากรหรืออากร โดยเจตนาจะฉ้ออากรที่ต้องเสียสำหรับของนั้น ๆ รวม 5 กระทง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มีพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 3 บัญญัติว่า “ให้ยกเลิก (1) พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 และ (11) พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490” แต่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 243 ยังบัญญัติให้การกระทำความผิดตามฟ้องยังเป็นความผิดอยู่ โดยมีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับเป็นเงินตั้งแต่ครึ่งเท่าแต่ไม่เกินสี่เท่าของค่าอากรที่ต้องเสียเพิ่ม หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่โทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือจำคุกไม่เกินสิบปี หรือทั้งปรับทั้งจำ จึงให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณทั้งกฎหมายเก่าในส่วนที่ให้ปรับรวมและกฎหมายใหม่ในส่วนโทษแก่ผู้กระทำความผิด ไม่ว่าในทางใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 243 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 5 กระทง ปรับจำเลยทั้งสี่รวมเป็นเงิน 18,000,000 บาท หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระค่าปรับ สำหรับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ส่วนจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 แทนค่าปรับ ให้กักขังเป็นเวลาเกินกว่าหนึ่งปี แต่ไม่เกินสองปี คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
กรณีเชื่อว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 มีเจตนาวางแผนร่วมกันนำเข้าสินค้าโดยแยกกันนำเข้าเพื่อประโยชน์ในการหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าและได้รับประโยชน์ทางธุรกิจร่วมกัน โดยในวันที่ 29 เมษายน 2547 วันที่ 13 พฤษภาคม 2547 วันที่ 27 พฤษภาคม 2547 วันที่ 3 มิถุนายน 2547 และวันที่ 14 มิถุนายน 2547 จำเลยที่ 1 สำแดงเป็นแชสซีที่มีเครื่องยนต์ (Chassis Fitted with Engine for Truck/Tractor) ประเภทพิกัด 8706.00 เสียอัตราอากรร้อยละ 10 ส่วนที่จำเลยที่ 2 สำแดงเป็นชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) พร้อมอุปกรณ์ (Parts and Accessories of Cab) ประเภทพิกัด 8707.900 ประเภทพิกัด 8708.400 ประเภทพิกัด 8708.940 และประเภทพิกัด 9401.200 เสียอัตราอากรร้อยละ 40 ร้อยละ 30 ร้อยละ 10 และร้อยละ 10 ตามลำดับ การสำแดงและแยกการนำเข้าดังกล่าวเป็นการกระทำที่แบ่งหน้าที่กันทำเพื่อให้ยากแก่การตรวจสอบและชักพาให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรผิดหลงในรายการสินค้าและประเภทพิกัดอัตราอากรขาเข้าเพื่อจะได้ชำระอากรขาเข้าเป็นเงินจำนวนน้อยกว่าอากรขาเข้าตามประเภทพิกัดอัตราอากรขาเข้าที่ถูกต้อง คือ ชิ้นส่วนของ Truck Tractor Chassis with Cab and Accessories of Cab เพื่อประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ครบชุดสมบูรณ์ทั้งคัน (CKD) เข้าประเภทพิกัด 8701.20 อัตราอากรร้อยละ 30 ถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่มีเจตนาจะฉ้ออากรที่ต้องเสียสำหรับของนั้น ๆ ส่วนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้เหตุผลว่า หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิสูจน์การกระทำความผิดในทางอาญาเป็นคนละส่วนกับหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาปัญหาประเภทพิกัด เมื่อในขณะนำเข้าสินค้าจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 แยกการนำเข้าต่างหากจากกัน การพิจารณาปัญหาพิกัดจึงต้องแยกการพิจารณาเป็นรายบริษัท คำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อยืนยันว่าจำเลยทั้งสี่ไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มี พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 3 บัญญัติว่า “ให้ยกเลิก (1) พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 และ (11) พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490” แต่ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 243 ยังบัญญัติให้การกระทำความผิดตามฟ้องยังเป็นความผิดอยู่ โดยมีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับเป็นเงินตั้งแต่ครึ่งเท่าแต่ไม่เกินสี่เท่าของค่าอากรที่ต้องเสียเพิ่ม หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่โทษตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือจำคุกไม่เกินสิบปี หรือทั้งปรับทั้งจำ จึงให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณทั้งกฎหมายเก่าในส่วนที่ให้ปรับรวมและกฎหมายใหม่ในส่วนโทษแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใดตาม ป.อ. มาตรา 3
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 243 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 15 วรรคสาม, 10 ทวิ, 87, 88 พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9 และให้จำเลยทั้งสี่จ่ายสินบนรางวัลนำจับแก่เจ้าพนักงานผู้จับที่มีสิทธิได้รับเงินรางวัลตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 243 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษปรับคนละ 5,017,356 บาท รวม 5 กระทง รวมเป็นปรับจำเลยทั้งสี่คนละ 25,086,780 บาท หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระค่าปรับ สำหรับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ส่วนจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 แทนค่าปรับให้กักขังเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี ได้ แต่ไม่เกิน 2 ปี คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า เหตุที่มีการจับกุมจำเลยทั้งสี่ดำเนินคดีนี้ สืบเนื่องจากกรมศุลกากรมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สืบสวนเกี่ยวกับกรณีที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอากร โดยจำเลยที่ 1 ซึ่งเคยมีประวัติการนำเข้ารถทรัคแทรกเตอร์ทั้งคันแต่ภายหลังจำเลยที่ 1 กลับสำแดงว่านำเข้าเฉพาะแชสซีกับเครื่องยนต์ ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้นำเข้าชิ้นส่วนหัวเก๋งหรือแค้ป เมื่อตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ที่มีการบรรทุกสินค้าพบว่าตู้สินค้าของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ถูกลากมาพร้อมกันหรือตามกันมาและมีการนำสินค้าที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 นำเข้าไปประกอบที่โรงงานของจำเลยที่ 2 เป็นรถทรัคแทรกเตอร์ ต่อมาเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรจึงขอให้ศาลมีคำสั่งออกหมายค้นบริษัทจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 พบเอกสารเกี่ยวกับการสั่งซื้อและการวางแผนภาษีให้น้อยลงจากการนำเข้าสินค้าแยกกัน โจทก์มีนายปรีชา และนายสมชาย นักวิชาการศุลกากร เป็นพยานเบิกความในทำนองเดียวกันว่า จากการสืบสวนหลังจากตรวจสอบประวัติการนำเข้าสินค้าของจำเลยที่ 1 บัญชีสินค้าของบริษัทตัวแทนเรือที่ท่าเรือแหลมฉบัง กลุ่มผู้ค้ารถ ตู้คอนเทนเนอร์ และซุ่มดูที่ที่ตั้งของจำเลยที่ 2 หลายครั้ง เห็นความผิดปกติในการหลีกเลี่ยงภาษีอากรจึงยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอออกหมายค้น เมื่อได้ตรวจค้นบริษัทจำเลยที่ 1 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 23/21 กรุงเทพมหานคร และตรวจค้นบริษัทจำเลยที่ 2 สำนักงานและโรงงานตั้งอยู่เลขที่ 7/14 จังหวัดฉะเชิงเทรา แล้ว พบเอกสารที่แสดงถึงข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดฐานหลีกเลี่ยงอากรโดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการสั่งซื้อชิ้นส่วนสินค้าจากบริษัท ก. ประเทศสวีเดน เพื่อมาประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ทั้งคัน โดยรู้อยู่แล้วว่าต้องเสียอากรในอัตราร้อยละ 30 แต่มีเจตนาหลีกเลี่ยงให้เสียอากรต่ำกว่าความเป็นจริงโดยแยกการนำเข้าให้จำเลยที่ 1 นำเข้าเฉพาะแชสซีกับเครื่องยนต์ ซึ่งมีอัตราอากรร้อยละ 10 ส่วนจำเลยที่ 2 ให้เป็นผู้นำเข้าชิ้นส่วนหัวเก๋งหรือแค้ปเสียภาษีอากรตามพิกัดและอัตราว่าด้วยของและอุปกรณ์นั้น ๆ และโจทก์มีนายนล เจ้าหน้าที่ประเมินอากร มีหน้าที่ตรวจสอบภายหลังการตรวจปล่อยสินค้าเป็นพยานเบิกความว่า พยานได้รับมอบหมายให้ตอบสำนักกฎหมายที่หารือมาเกี่ยวกับเรื่องการอุทธรณ์คดีของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จากการศึกษาแฟ้มคดีเก่าและเอกสารที่นำมาจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 พบว่าจำเลยที่ 1 ติดต่อสื่อสารทางอีเมลกับบริษัท ก. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่ประเทศสวีเดนของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับอัตราภาษีของรถทรัคแทรกเตอร์ที่นำเข้าหลายครั้ง โดยก่อนหน้านี้จำเลยที่ 1 ไปหารือกับพนักงานเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรเกี่ยวกับเรื่องพิกัดอัตราศุลกากรในการนำเข้ารถทรัคแทรกเตอร์ แชสซีกับเครื่องยนต์ และหัวเก๋งหรือแค้ป จำเลยที่ 1 จึงทำสรุปรายงานการหารือกับเจ้าหน้าที่เสนอที่ประชุมของจำเลยที่ 1 โดยมีอีเมลที่มีข้อความว่า จำเลยที่ 1 จะดำเนินการให้มีการนำเข้าของโดยแยกกันระหว่างส่วนแชสซีกับเครื่องยนต์และส่วนหัวเก๋ง โดยจำเลยที่ 1 นำเข้าส่วนแชสซี ส่วนบริษัท ส. นำเข้าส่วนหัวเก๋ง แต่หากทำเช่นนั้นจะทำให้เกิดความเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวพันระหว่าง 2 บริษัท และทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ศุลกากรทราบว่านำเข้าด้วยกันเพื่อประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ทั้งคันจึงให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้นำเข้าแทนบริษัท ส. พยานเห็นว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ทราบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับพิกัดอัตราศุลกากรในการนำเข้าทำให้มีการแยกการนำเข้าเพื่อให้ชำระอัตราอากรที่ถูกลงอันเป็นการหลีกเลี่ยงอากรจึงเสนอความเห็นตอบกลับไปยังสำนักกฎหมาย เห็นว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยที่ 1 เคยหารือกับกรมศุลกากรถึงการนำเข้ารถทรัคแทรกเตอร์ ได้รับคำอธิบายจากพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรว่า หากนำเข้าชิ้นส่วน CKD ของแชสซีที่มีเครื่องยนต์ติดตั้ง จะเข้าประเภทพิกัด 87.06 ได้รับลดอัตราอากรเหลือร้อยละ 10 ตามประกาศกระทรวงการคลัง ที่ ศก. 19/2542 เรื่อง ยกเลิกการลดอัตราอากรศุลกากรและการลดอัตราอากรศุลกากร แต่ต้องไม่มีส่วนของหัวเก๋งเข้ามาด้วย หากนำเข้าแชสซีพร้อมส่วนของหัวเก๋งหรือแค้ปเข้ามาในราชอาณาจักร จะเข้าประเภทพิกัด 87.01 ในฐานะชิ้นส่วนของ Truck Tractor Chassis with Cab หรือรถทรัคแทรกเตอร์ทั้งคัน (สินค้าครบสมบูรณ์) อัตราอากรร้อยละ 30 และหากนำเข้าหัวเก๋งหรือแค้ปที่มีการตัดแต่งแล้ว (Body Shell) จะเข้าประเภทพิกัด 87.07 อัตราอากรร้อยละ 80 ซึ่งจำเลยทั้งสี่ก็นำสืบรับในส่วนนี้ว่า จำเลยที่ 1 ได้สอบถามและหารือกับพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากร คือ นายพิทักษ์ และนายพงศักดิ์ หัวหน้างานชิ้นส่วนสมบูรณ์ ฝ่ายยกเว้นอากร อัตราศุลกากรจริง บริษัท ก. เป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศสวีเดน ตั้งบริษัทจำเลยที่ 1 และบริษัท ส. ขึ้นในประเทศไทย เพื่อให้เป็นผู้แทนจำหน่ายรถทรัคแทรกเตอร์ในประเทศไทย จำเลยที่ 1 เช่าพื้นที่โรงงานของบริษัท พ. และเป็นคู่สัญญารับจ้างประกอบแชสซีที่มีเครื่องยนต์ติดตั้ง เมื่อพิจารณาเอกสารที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรยึดมาจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเอกสารภายใน มีอีเมลหลายฉบับระหว่างจำเลยที่ 1 กับบริษัท ก. ประเทศสวีเดน ที่มีข้อความเป็นลำดับว่า บริษัท ส. อาจไม่สามารถนำส่วนของหัวเก๋งหรือแค้ปเข้ามาในประเทศไทยได้ ตามอีเมลฉบับลงวันที่ 22 ตุลาคม 2544 และต่อมามีเอกสารการประชุมของจำเลยที่ 1 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2544 ระบุถึงความเป็นไปได้ที่จะให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท พ. (PTM) เป็นผู้มีชื่อนำเข้าในส่วนของหัวเก๋งพร้อมอุปกรณ์โดยให้อยู่ในความควบคุมของจำเลยที่ 1 อันจะทำให้อากรลดลง และเอกสารบันทึกความเข้าใจฉบับลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2544 ระบุถึงการให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้นำเข้าหัวเก๋งพร้อมอุปกรณ์เอกสารที่ต้องใช้ระเบียบในการทำบัตรผ่านพิธีการ รวมถึงมีแผนภูมิการนำเข้าแนบท้ายที่แสดงอย่างชัดเจนว่าให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้นำเข้าแชสซีและเครื่องยนต์ ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้นำเข้าชิ้นส่วนหัวเก๋งและอุปกรณ์ เพื่อจะนำมาประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ทั้งคันโดยบริษัท พ. ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบและจำเลยทั้งสี่ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่า จำเลยที่ 1 เคยนำเข้าสินค้าโดยสำแดงเป็นประเภทพิกัดรถทรัคแทรกเตอร์ทั้งคัน จึงต้องรู้อยู่แล้วว่าสินค้ารถทรัคแทรกเตอร์ต้องเสียอากรในประเภทพิกัด 8701.20 อัตราอากรร้อยละ 30 แต่ภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 หารือกับพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรและประชุมภายในกับบริษัทในเครือ จำเลยที่ 1 กลับนำเข้าสินค้าโดยสำแดงสินค้าเป็นแชสซีที่มีเครื่องยนต์ (Chassis Fitted with Engine for Truck/Tractor) ในประเภทพิกัด 8706.00 อัตราอากรร้อยละ 10 ส่วนจำเลยที่ 2 นำเข้าสินค้าโดยสำแดงเป็นชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) พร้อมอุปกรณ์ (Parts and Accessories of Cab) ประเภทพิกัดและอัตราว่าด้วยของและอุปกรณ์นั้น ๆ ทำให้เมื่อรวมกันแล้วเสียค่าอากรน้อยลงกว่าจำนวนค่าอากรที่ต้องเสียตามความเป็นจริงของสินค้านำเข้า คือ ชิ้นส่วนเพื่อประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ครบชุดสมบูรณ์ อัตราอากรร้อยละ 30 ประกอบกับเมื่อพิจารณาในส่วนความสัมพันธ์ของจำเลยทั้งสี่ จำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 3 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน มีวัตถุประสงค์เพื่อทำการผลิตและประกอบยานยนต์ เครื่องบินท่าอากาศยานทุกชนิด ส่วนจำเลยที่ 2 มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 4 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการโรงงานผลิตและรับจ้างผลิตชิ้นส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ เห็นว่า แม้ตามหนังสือรับรองจำเลยที่ 1 จะมีสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 23/21 กรุงเทพมหานคร แต่กลับปรากฏตามหนังสือขอให้มาชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมและหนังสือขอรับเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงานนอกสถานที่ของจำเลยที่ 1 ว่า โรงงานของจำเลยที่ 1 ตั้งอยู่เลขที่ 7/14 จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นที่อยู่ที่เดียวกันกับที่ตั้งโรงงานและสำนักงานแห่งใหญ่ของจำเลยที่ 2 ที่ระบุอยู่ในหนังสือรับรอง และยังได้ความตามหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 2 ระบุว่า จำเลยที่ 2 และบริษัท พ. เป็นบริษัทในเครือธุรกิจกับบริษัท ศ. ซึ่งมีจำเลยที่ 4 เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัทจำเลยที่ 2 และบริษัท ศ. รับประกอบตัวถังรถโดยสารให้กับแชสซีที่มีเครื่องยนต์ติดตั้งยี่ห้อสแกนเนีย มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รองรับงานดังกล่าว ต่อมาจึงให้บริษัท พ. รับงานต่อตัวถังรถโดยสารให้กับแชสซีที่มีเครื่องยนต์ติดตั้งยี่ห้อสแกนเนีย นอกจากนี้ จำเลยที่ 3 ยังรับในคำให้การชั้นสอบสวนเพิ่มเติมว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เคยมีความสัมพันธ์ทางการค้ามาก่อน ส่วนจำเลยที่ 3 รู้จักคุ้นเคยเป็นการส่วนตัวกับจำเลยที่ 4 อันแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ยิ่งไปกว่านั้น จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 2 ก็มีความรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีถึงขนาดที่จำเลยที่ 4 มอบบัตรผู้จัดการที่ต้องใช้สำหรับการนำเข้าส่งออกสินค้าของกรมศุลกากรให้จำเลยที่ 3 แม้จำเลยทั้งสี่จะนำสืบต่อสู้ในทำนองว่า จำเลยที่ 2 ซื้อชิ้นส่วนอุปกรณ์หัวเก๋งเข้ามาประกอบเพื่อเป็นการขยายธุรกิจ และเพื่อให้ได้รับประโยชน์ในความรู้ด้านเทคโนโลยีในการผลิตจากเจ้าของสินค้าต่างประเทศ และจำเลยทั้งสี่มีนางสาวศุภพิชญ์ อดีตพนักงานของจำเลยที่ 1 เป็นพยานเบิกความว่า พยานมีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 มอบอำนาจให้พยานเป็นผู้ดำเนินการนำเข้าสินค้าประเภทหัวเก๋งพร้อมอุปกรณ์ในคดีนี้ เนื่องจากในช่วงระยะเวลาดังกล่าวจำเลยที่ 2 ยังไม่มีความชำนาญในการนำเข้าสินค้า ก็เป็นข้อกล่าวอ้างลอย ๆ และยังขัดแย้งกับสัญญาจ้างประกอบเอกสารที่มีข้อความระบุว่า บริษัท ส. เป็นบริษัทในเครือของบริษัท ก. โดยมีบริษัท ส. เป็นผู้นำเข้าส่วนประกอบหัวเก๋งของยานยนต์มายังประเทศไทย บริษัท พ. เป็นผู้รับจ้างประกอบแชสซีที่มีเครื่องยนต์ติดตั้งของยานยนต์ให้กับจำเลยที่ 1 โดยบริษัท ส. ประสงค์จะว่าจ้างให้บริษัท พ. เป็นผู้ประกอบหัวเก๋ง (Cab) และนำหัวเก๋งนี้ไปใส่หรือประกอบกับแชสซีที่มีเครื่องยนต์ติดตั้ง (Cab Fixed on the Chassis Fitted with Engine) ของยานยนต์ ซึ่งบริษัท พ. รับจ้างประกอบให้กับจำเลยที่ 1 ที่สำคัญในสัญญาจ้างประกอบฉบับดังกล่าวมีข้อความระบุว่า บริษัท ส. จะเป็นผู้นำเข้าชิ้นส่วนหัวเก๋งพร้อมอุปกรณ์ประกอบ โดยสงวนสิทธิให้เป็นทรัพย์สินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของตน ส่วนบริษัท พ. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของจำเลยที่ 2 จะไม่เข้าถือกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่น ๆ หรือก่อให้เกิดภาระผูกพันใด ๆ ต่อหัวเก๋งและส่วนประกอบต่าง ๆ ของหัวเก๋ง บริษัท พ. จะได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าบริการประกอบ จากเอกสารดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงว่าผู้ที่มีกรรมสิทธิ์และนำเข้าส่วนหัวเก๋งที่แท้จริง คือบริษัท ส. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของจำเลยที่ 1 ดังนั้น แม้ไม่พบใบสั่งซื้อบางส่วนก็ไม่ได้เป็นข้อหักล้างความสัมพันธ์ของจำเลยทั้งสี่ว่าไม่ได้ร่วมกันนำเข้าสินค้าพิพาท อีกทั้งยังได้ความจากนางสาวศุภพิชญ์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ถามติงว่า จำเลยที่ 2 สั่งซื้อสินค้าผ่านจำเลยที่ 1 เพราะจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีอำนาจในการสั่งซื้อสินค้าจาก บริษัท ก. ประเทศสวีเดน แต่เพียงรายเดียว และเบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า บริษัทผู้ได้รับอนุญาตให้นำเข้าเพียงผู้เดียวในประเทศไทยเท่านั้นที่จะสั่งสินค้าจากบริษัท ก. ประเทศสวีเดน ได้ แต่ขณะที่มีการนำเข้าสินค้าของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้นั้น จำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจสั่งซื้อด้วยตนเอง เนื่องจากจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย จากพยานหลักฐานดังกล่าวข้างต้น เชื่อว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 มีเจตนาวางแผนร่วมกันนำเข้าสินค้าโดยแยกกันนำเข้าเพื่อประโยชน์ในการหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าและได้รับประโยชน์ทางธุรกิจร่วมกัน โดยในวันที่ 29 เมษายน 2547 วันที่ 13 พฤษภาคม 2547 วันที่ 27 พฤษภาคม 2547 วันที่ 3 มิถุนายน 2547 และวันที่ 14 มิถุนายน 2547 จำเลยที่ 1 สำแดงเป็นแชสซีที่มีเครื่องยนต์ (Chassis Fitted with Engine for Truck/Tractor) ประเภทพิกัด 8706.00 เสียอัตราอากรร้อยละ 10 ส่วนที่จำเลยที่ 2 สำแดงเป็นชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) พร้อมอุปกรณ์ (Parts and Accessories of Cab) ประเภทพิกัด 8707.900 ประเภทพิกัด 8708.400 ประเภทพิกัด 8708.940 และประเภทพิกัด 9401.200 เสียอัตราอากรร้อยละ 40 ร้อยละ 30 ร้อยละ 10 และร้อยละ 10 ตามลำดับ การสำแดงและแยกการนำเข้าดังกล่าวเป็นการกระทำที่แบ่งหน้าที่กันทำเพื่อให้ยากแก่การตรวจสอบและชักพาให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรผิดหลงในรายการสินค้าและประเภทพิกัดอัตราอากรขาเข้า เพื่อจะได้ชำระอากรขาเข้าเป็นเงินจำนวนน้อยกว่าอากรขาเข้าตามประเภทพิกัดอัตราอากรขาเข้าที่ถูกต้อง คือ ชิ้นส่วนของ Truck Tractor Chassis with Cab and Accessories of Cab เพื่อประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ครบชุดสมบูรณ์ทั้งคัน (CKD) เข้าประเภทพิกัด 8701.20 อัตราอากรร้อยละ 30 ถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่มีเจตนาจะฉ้ออากรที่ต้องเสียสำหรับของนั้น ๆ ส่วนที่จำเลยทั้งสี่นำสืบว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของกรมศุลกากรเคยมีคำวินิจฉัยในเรื่องสินค้าแชสซีและเครื่องยนต์สำหรับรถทรัคแทรกเตอร์ที่จำเลยที่ 1 นำเข้าเช่นในคดีนี้ว่า ให้เพิกถอนการประเมินอากรของพนักงานเจ้าหน้าที่และให้จัดสินค้าเป็นแชสซีสำหรับรถทรัคแทรกเตอร์ เข้าประเภทพิกัด 8708.99 ในฐานะเป็นส่วนประกอบของยานยนต์ ตามประเภท 87.01 และเป็นเครื่องยนต์ สำหรับรถทรัคแทรกเตอร์ประเภทพิกัด 8408.20 ในฐานะเป็นเครื่องยนต์ชนิดที่ใช้ขับเคลื่อนยานบกในตอนที่ 87 สินค้าที่จำเลยที่ 1 นำเข้าจึงไม่ใช่ชิ้นส่วนของ Truck Tractor Chassis with Cab and Accessories of Cab เพื่อประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ครบชุดสมบูรณ์ทั้งคัน (CKD) เข้าประเภทพิกัด 8701.20 อัตราอากรร้อยละ 30 ตามที่โจทก์ฟ้อง นั้น เห็นว่า ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้เหตุผลว่า หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิสูจน์การกระทำความผิดในทางอาญาเป็นคนละส่วนกับหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาปัญหาประเภทพิกัด เมื่อในขณะนำเข้าสินค้าจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 แยกการนำเข้าต่างหากจากกัน การพิจารณาปัญหาพิกัดจึงต้องแยกการพิจารณาเป็นรายบริษัท คำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อยืนยันว่าจำเลยทั้งสี่ไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง เมื่อจำเลยที่ 1 นำเข้าสินค้า คือ แชสซีสำหรับรถทรัคแทรกเตอร์ (Chassis for Truck/Tractor “Scania Brand”) และเครื่องยนต์สำหรับรถทรัคแทรกเตอร์ (Engine for Truck/Tractor “Scania Brand”) เพื่อมาประกอบกับส่วนหัวเก๋งที่จำเลยที่ 2 นำเข้ามา จึงยิ่งรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันนำชิ้นส่วนที่เป็นสาระสำคัญของรถทรัคแทรกเตอร์ประเภทพิกัด 87.01 ตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 1 ข้อ 2 (ก) วรรคหนึ่ง ที่ว่า “ประเภทที่ระบุถึงของใด ให้หมายรวมถึงของนั้นที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ หากว่าในขณะนำเข้ามีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วและให้หมายรวมถึงของที่สมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว (หรือที่จำแนกเข้าประเภทของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วตามนัยแห่งหลักเกณฑ์นี้) ที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน” ส่วนการใช้ส่วนประกอบภายในประเทศสำหรับงานผลิตเป็นชิ้นงานสำเร็จก็มีเพียง 2 รายการ คือ แบตเตอรี่รถยนต์และยางรถยนต์ ซึ่งไม่ถือเป็นชิ้นส่วนที่เป็นสาระสำคัญของรถทรัคแทรกเตอร์ ตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 1 ข้อ 2 (ก) ส่วนที่จำเลยทั้งสี่นำสืบโต้แย้งว่า จำเลยที่ 2 นำเข้าชิ้นส่วนหัวเก๋งพร้อมอุปกรณ์เช่นเดียวกับสินค้าในคดีนี้ หลังนำเข้าจำเลยที่ 2 นำสินค้ารวมถึงอุปกรณ์อื่นที่ซื้อในประเทศมาประกอบเพื่อให้เป็นสินค้าหัวเก๋งและขายให้แก่ผู้ซื้อ เพื่อนำไปเป็นอุปกรณ์ประกอบหัวเก๋งและรถทรัคแทรกเตอร์ ในการประกอบนั้นมีขั้นตอนการประกอบถึงร้อยกว่าขั้นตอน ยุ่งยากซับซ้อนและยังต้องมีการทำงานเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นสินค้าสำเร็จโดยทำการเจาะที่ด้านหลังและด้านข้างของหัวเก๋งเพื่อมาติดตั้งบังลมข้าง (Air Deflector) ที่ติดตั้งเพื่อให้รถยนต์มีคุณสมบัติดีขึ้น รวมถึงแผ่นป้ายทะเบียนการผลิตของจำเลยที่ 2 เข้าไปอีกด้วย สินค้าที่จำเลยที่ 2 นำเข้าจึงเป็นอุปกรณ์ที่มีการกำหนดประเภทพิกัดศุลกากรเป็นสินค้ารายชิ้นว่าด้วยของนั้น ๆ เห็นว่า การพิจารณาว่าของหรือสินค้าที่นำเข้ามาเป็นชิ้นส่วนที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ หรือเป็นชิ้นส่วนที่ถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกันมีจำนวนและลักษณะเพียงพอที่ถือว่าเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว อันส่งผลให้ประเภทพิกัดอัตราศุลกากรของของที่นำเข้าเปลี่ยนจาก “ชิ้นส่วนของของหรือสินค้า” กลายเป็น “ของหรือสินค้าที่ครบสมบูรณ์” แล้ว ตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 1 ข้อ 2 (ก) มิได้หมายถึงเฉพาะการนำเข้าแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จรูปหรือนำเข้าชิ้นส่วนแค้ปทั้งหมดทุกรายการเท่านั้น แต่ยังหมายความรวมถึงการนำเข้าชิ้นส่วนแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่มีจำนวนเพียงพอที่เมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้วมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จสามารถนำไปใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องนำไปทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จแล้ว ย่อมถือได้ว่าเป็นการนำเข้าแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่เป็นชิ้นส่วนอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว สินค้านำเข้าเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2547 วันที่ 13 พฤษภาคม 2547 วันที่ 27 พฤษภาคม 2547 วันที่ 3 มิถุนายน 2547 และวันที่ 14 มิถุนายน 2547 ที่จำเลยที่ 2 สำแดงเป็นชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) พร้อมอุปกรณ์ (Parts and Accessories of Cab) ในประเภทพิกัด 8707.900 ประเภทพิกัด 8708.400 ประเภทพิกัด 8708.940 และประเภทพิกัด 9401.200 อัตราร้อยละ 40 ร้อยละ 30 ร้อยละ 10 และร้อยละ 10 ตามลำดับ ตามใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 2801 004478 0824 จำนวน 6 ชุด ใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 2801 005478 0368 จำนวน 6 ชุด ใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 2801 005478 0838 จำนวน 6 ชุด ใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 2801 006478 0019 จำนวน 6 ชุด และใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 2801 006478 0454 จำนวน 12 ชุด นั้น เมื่อพิจารณาหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 2 ประกอบเหตุผลตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์แล้ว สินค้าที่จำเลยที่ 2 นำเข้าสามารถนำเข้าสู่กระบวนการประกอบหัวเก๋ง (Cab) ได้ทันทีด้วยการนำไปประกอบยึดติดชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ส่วนการเจาะที่ด้านหลังและด้านข้างของหัวเก๋งเพื่อมาติดตั้งบังลมข้าง (Air Deflector) ก็ไม่ถือเป็นกระบวนการจัดทำเพิ่มเติม (Further Working Operation) ที่จำเป็นเพื่อให้ชิ้นส่วนนั้นครบสมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จก่อนนำไปประกอบเป็นหัวเก๋ง ตัวลู่บังลม (Air Deflector) ตามที่จำเลยที่ 2 อ้าง เป็นเพียงอุปกรณ์เสริมที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตัวรถ ส่วนไฟสัญญาณและแผ่นป้ายทะเบียนการผลิต ถือเป็นอุปกรณ์เสริมในการขับขี่และอุปกรณ์แสดงถึงผู้ผลิตที่ไม่ได้มีสาระสำคัญต่อการทำงานของหัวเก๋ง (Cab) การเจาะติดตัวลู่บังลม (Air Deflector) ไฟสัญญาณและแผ่นป้ายทะเบียนการผลิต จึงไม่ถือเป็นจัดทำเพิ่มเติม (Further Working Operation) เพื่อให้เป็นชิ้นส่วนที่สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จในความหมายของหลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) ชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) และอุปกรณ์ของหัวเก๋ง (Parts and Accessories of Cab) ที่จำเลยที่ 2 นำเข้ามาดังกล่าวข้างต้นจึงถือเป็นลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ปและนำไปประกอบเป็นแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ซึ่งอยู่ในประเภทพิกัด 8707.90 ตามที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ คดีในส่วนแพ่งจำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาปัญหาประเภทพิกัดในส่วนแพ่ง ซึ่งเมื่อเจตนานำมาประกอบกับแชสซีและเครื่องยนต์ที่จำเลยที่ 1 นำเข้าจึงครบเป็นชิ้นส่วนที่เป็นสาระสำคัญของรถทรัคแทรกเตอร์ที่ครบสมบูรณ์ กรณีรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดฐานนำของเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาษีศุลกากรหรืออากร โดยเจตนาจะฉ้ออากรที่ต้องเสียสำหรับของนั้น ๆ รวม 5 กระทง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มีพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 3 บัญญัติว่า “ให้ยกเลิก (1) พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 และ (11) พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490” แต่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 243 ยังบัญญัติให้การกระทำความผิดตามฟ้องยังเป็นความผิดอยู่ โดยมีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับเป็นเงินตั้งแต่ครึ่งเท่าแต่ไม่เกินสี่เท่าของค่าอากรที่ต้องเสียเพิ่ม หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่โทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือจำคุกไม่เกินสิบปี หรือทั้งปรับทั้งจำ จึงให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณทั้งกฎหมายเก่าในส่วนที่ให้ปรับรวมและกฎหมายใหม่ในส่วนโทษแก่ผู้กระทำความผิด ไม่ว่าในทางใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 243 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 5 กระทง ปรับจำเลยทั้งสี่รวมเป็นเงิน 18,000,000 บาท หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระค่าปรับ สำหรับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ส่วนจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 แทนค่าปรับ ให้กักขังเป็นเวลาเกินกว่าหนึ่งปี แต่ไม่เกินสองปี คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
กองบังคับการปราบปรามนั้น ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2552 จึงมีอำนาจสอบสวนคดีได้ทั่วราชอาณาจักรตามกฎหมายอยู่แล้ว เพียงแต่เพื่อที่จะไม่ให้ขัดแย้งหรือซ้ำซ้อนกับอำนาจของพนักงานสอบสวนในพื้นที่เกิดเหตุโดยตรง โดยให้คดีในลักษณะต่าง ๆ ที่ถือว่ามีความสำคัญหรือยุ่งยากเป็นพิเศษ เพื่อให้อยู่ในอำนาจสอบสวนของพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เช่น เมื่อได้มีการรับเรื่องร้องทุกข์ไว้ดำเนินการแล้ว พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามก็มีอำนาจทำการสอบสวนไปได้ก่อนในเบื้องต้นพร้อมทั้งทำเรื่องรายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นเพื่อทราบและให้มีคำสั่งอนุญาตให้ทำการสอบสวนต่อไปตามระเบียบ ดังนั้น เอกสารที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามรวบรวมไว้ ย่อมเป็นเอกสารที่ได้มาโดยถูกต้องชอบดัวยกฎหมาย แม้ภายหลังผู้บังคับบัญชาจะมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทำการสอบสวนต่อไป ก็เป็นเพียงเรื่องภายในของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีระเบียบกำหนดให้คดีในลักษณะดังกล่าวต้องมีการส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุดำเนินการต่อไปเท่านั้น ต่อมาพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรี ก็ได้มีการเรียกโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายให้มาดำเนินการร้องทุกข์ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยในลักษณะที่คล้ายกับว่าพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรีเริ่มดำเนินการสอบสวนใหม่เองทั้งหมด ส่วนเอกสารหลักฐานที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามส่งมาให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรีก็รวบรวมไว้ในสำนวนการสอบสวนในลักษณะเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่ง เพื่อนำมาใช้พิจารณาประกอบดุลพินิจในการสั่งสำนวนเท่านั้น หากเห็นว่า ยังขาดตกบกพร่องอยู่ในส่วนใดก็สามารถใช้ดุลพินิจดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมหรือสอบสวนใหม่ได้ หรือหากเห็นว่าหลักฐานที่รวบรวมไว้โดยพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามและส่งมาให้รวมไว้ในสำนวนการสอบสวนมีความชัดเจนเพียงพอแล้วก็สามารถใช้เอกสารหลักฐานดังกล่าวเป็นกลักฐานในสำนวนการสอบสวนต่อไปเพื่อใช้ประกอบดุลพินิจในการสั่งคดีได้ โดยไม่ต้องทำการสอบสวนเพิ่มเติมได้เช่นเดียวกัน
การที่จำเลยทั้งสามร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ร่วมกันปลอมเอกสาร รวมทั้งร่วมกันใช้เอกสารปลอม และสำหรับจำเลยที่ 2 ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทจำกัด กระทำหรือยินยอมให้กระทำการปลอมเอกสารหรือลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัทหรือที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัดบริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 นั้น การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องโดยมีเจตนาเดียวกันคือเพียงเพื่อต้องการให้นายทะเบียน สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดชลบุรีจดทะเบียนแก้ไขจำนวนผู้ถือหุ้น แก้ไขจำนวนกรรมการเข้าและออก และแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนหรือชื่อกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันบริษัท พ. จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายบท ต้องลงโทษจำเลยทั้งสามตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 แม้จำเลยทั้งสามมิได้ฎีกา แต่ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และกรณีเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี จึงให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ด้วย
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงจำเลยทั้งสามโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 137, 264, 267, 268 พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42 และนับโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7143/2561 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 3 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นางณิชาภา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 (เดิม), 264 วรรคแรก (เดิม), 267 (เดิม), 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 (เดิม), 83 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42 (1) (2) การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ และความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ จำคุกคนละ 1 ปี ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามความผิดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันปลอมเอกสารและร่วมกันใช้เอกสารปลอม จำเลยทั้งสามเป็นตัวการร่วมกันปลอมและใช้เอกสารที่ปลอมขึ้นเอง ลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 (เดิม) จำคุกคนละ 2 ปี รวมจำเลยที่ 1 และที่ 3 จำคุกคนละ 3 ปี จำเลยที่ 2 จำคุก 4 ปี คำเบิกความของจำเลยที่ 2 และคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทงละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 ปี 3 เดือน นับโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7143/2561 ของศาลชั้นต้น ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ร่วมและจำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้เป็นยุติว่า เดิมโจทก์ร่วมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และเป็นกรรมการแต่เพียงผู้เดียวซึ่งมีอำนาจกระทำการแทนของบริษัท พ. ซึ่งบริษัทดังกล่าวดำเนินกิจการเกี่ยวกับการรับจ้างขุดดิน ถมดิน ประมาณปี 2556 นายทวีศักดิ์ ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของบริษัทได้แนะนำให้โจทก์ร่วมรู้จักจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นนายหน้าติดต่อขายสนามกอล์ฟ ก. เนื่องจากได้ทราบว่าโจทก์ร่วมสนใจที่จะซื้อสนามกอล์ฟดังกล่าวในนามของบริษัท พ. ต่อมานายทวีศักดิ์ได้แนะนำให้โจทก์ร่วมรู้จักจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายหน้า และดำเนินกิจการเกี่ยวกับการขุดดิน ถมดินเช่นเดียวกัน และจำเลยที่ 1 แนะนำให้โจทก์ร่วมรู้จักจำเลยที่ 2 จนได้มีการชักชวนให้เข้ามาลงทุนร่วมกับโจทก์ร่วมในกิจการของบริษัท พ. โดยจำเลยที่ 2 นำเงินเข้ามาร่วมลงทุน 10,000,000 บาท จึงได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงให้จำเลยที่ 2 เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นบางส่วน และเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท พ. ร่วมกับโจทก์ร่วมด้วย นอกจากนี้โจทก์ร่วมยังได้เข้าลงทุนในบริษัท อ. ร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ที่ 3 และนายพิศิษฐ์หรือพลพิสิทธิ์ ได้นัดและไปพบกันที่สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดชลบุรี ได้มีการยื่นเอกสารเป็นหนังสือมอบอำนาจ คำขอจดทะเบียนแก้ไขจำนวนกรรมการบริษัท รายการจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติม และ/หรือมติพิเศษ ใบกรรมการเข้าใหม่ คำร้องขอจดทะเบียน และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 โจทก์ร่วม และนายพิศิษฐ์ พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวสมาชิกสภาทนายความของนายพิศิษฐ์ ต่อนางสาวบังอร นายทะเบียนสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดชลบุรี เพื่อขอจดทะเบียนแก้ไขจำนวนผู้ถือหุ้น และเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท พ. โดยเอาชื่อโจทก์ร่วมและจำเลยที่ 2 ออก และให้จำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียวเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทได้ ซึ่งนางสาวบังอรได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงข้อมูลของบริษัท พ. ให้ตามที่ขอเพราะเชื่อถือตามเอกสารหลักฐานที่ยื่นขอดังกล่าว คดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาจึงถึงที่สุดไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ในประการแรกว่า เอกสารหมาย จ.1 จ.2 จ.4 และ จ.6 เป็นเอกสารที่สามารถรับฟังได้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า กองบังคับการปราบปรามนั้น ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2552 กำหนดให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับความผิดอาญา และความผิดที่มีโทษทางอาญาทั่วราชอาณาจักร หรือตามที่ได้รับมอบหมาย พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามจึงมีอำนาจสอบสวนคดีได้ทั่วราชอาณาจักรตามกฎหมายอยู่แล้ว เพียงแต่เพื่อที่จะไม่ให้ขัดแย้งหรือซ้ำซ้อนกับอำนาจของพนักงานสอบสวนในพื้นที่เกิดเหตุโดยตรง จึงมีระเบียบภายในของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง กำหนดให้คดีในลักษณะต่าง ๆ ที่ถือว่ามีความสำคัญหรือยุ่งยากเป็นพิเศษ เพื่อให้อยู่ในอำนาจสอบสวนของพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม เช่น เป็นคดีที่สำคัญในลักษณะต่าง ๆ ทุนทรัพย์สูงมาก หรือมีความเสียหายเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และต้องได้รับอนุญาตให้ทำการสอบสวนโดยเฉพาะด้วย โดยเมื่อได้มีการรับเรื่องร้องทุกข์ไว้ดำเนินการแล้ว พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามก็มีอำนาจทำการสอบสวนไปได้ก่อนในเบื้องต้นพร้อมทั้งทำเรื่องรายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นเพื่อทราบและให้มีคำสั่งอนุญาตให้ทำการสอบสวนต่อไปตามระเบียบ ดังนั้น เอกสารที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามรวบรวมไว้ ย่อมเป็นเอกสารที่ได้มาโดยถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย แม้ภายหลังผู้บังคับบัญชาจะมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทำการสอบสวนต่อไป ก็เป็นเพียงเรื่องภายในของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีระเบียบกำหนดให้คดีในลักษณะดังกล่าวต้องมีการส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุดำเนินการต่อไปเท่านั้น ซึ่งในคดีนี้ก็ได้ความว่า หลังจากผู้บังคับบัญชามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทำการสอบสวน พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามก็ได้มีการส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรีดำเนินการต่อแล้ว โดยได้ส่งเอกสารต่าง ๆ ที่ได้รวบรวมไว้เป็นพยานหลักฐานก่อนแล้วไปให้พร้อมกันด้วย และต่อมาพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรี ก็ได้มีการเรียกโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายให้มาดำเนินการร้องทุกข์ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วย ในลักษณะที่คล้ายกับว่า พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรีเริ่มดำเนินการสอบสวนใหม่เองทั้งหมด ส่วนเอกสารหลักฐานที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามส่งมาให้ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรีก็รวบรวมไว้ในสำนวนการสอบสวนในลักษณะเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่ง เพื่อนำมาใช้พิจารณาประกอบดุลพินิจในการสั่งสำนวนเท่านั้น หากเห็นว่ายังขาดตกบกพร่องอยู่ในส่วนใดก็สามารถใช้ดุลพินิจดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมหรือสอบสวนใหม่ได้ โดยเรียกเอกสารหรือพยานบุคคลมาให้ปากคำเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้นจนเห็นว่าเพียงพอที่สามารถใช้ดุลพินิจสั่งคดีได้ หรือหากเห็นว่าหลักฐานที่รวบรวมไว้โดยพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามและส่งมาให้รวมไว้ในสำนวนการสอบสวนมีความชัดเจนเพียงพอแล้ว ก็สามารถใช้เอกสารหลักฐานดังกล่าวเป็นหลักฐานในสำนวนการสอบสวนต่อไปเพื่อใช้ประกอบดุลพินิจในการสั่งคดีได้ โดยไม่ต้องทำการสอบสวนเพิ่มเติมได้เช่นเดียวกัน สำหรับเอกสารหมาย จ.1 จ.2 จ.4 และ จ.6 โดยข้อเท็จจริงแล้ว เป็นเอกสารซึ่งพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามส่งหลักฐานเกี่ยวกับลายมือชื่อของโจทก์ร่วมไปให้ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ชำนาญการกองพิสูจน์หลักฐานทำการตรวจพิสูจน์ เนื่องจากขณะโจทก์ร่วมแจ้งความไว้นั้น ได้ยืนยันว่าลายมือชื่อของโจทก์ร่วมที่ลงไว้ในเอกสารต่าง ๆ ที่ยื่นต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดชลบุรีในขณะเกิดเหตุตามเอกสารหมาย จ.4 เป็นลายมือชื่อปลอม เนื่องจากโจทก์ร่วมไม่เคยลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว พนักงานสอบสวนจึงต้องส่งไปให้ผู้ชำนาญการตรวจพิสูจน์เพื่อจะได้ทราบว่าลายมือชื่อที่โจทก์ร่วมอ้างนั้นเป็นลายมือชื่อปลอมตามที่อ้างจริงหรือไม่ โดยที่ผู้ชำนาญการของกองพิสูจน์หลักฐานเป็นข้าราชการ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติงานไปตามอำนาจหน้าที่ ก็ได้ทำการตรวจพิสูจน์ตามหลักวิชาการและทำความเห็นไว้ตามอำนาจหน้าที่ของตนโดยถูกต้องแล้ว ไม่มีข้อเท็จจริงใดที่จะทำให้มีข้อสงสัยว่าการตรวจพิสูจน์ดำเนินการโดยไม่ถูกต้องหรือดำเนินการไปโดยผิดกฎหมายแต่อย่างใด และที่สำคัญเอกสารรายงานการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวย่อมเป็นเพียงพยานหลักฐานชิ้นหนึ่งเท่านั้น ซึ่งพนักงานสอบสวนก็ยังคงต้องใช้ดุลพินิจในการรับฟังเอกสารดังกล่าวประกอบพยานหลักฐานอื่นเพื่อสั่งคดีด้วย ไม่ใช่จะใช้เฉพาะรายงานการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวเพียงอย่างเดียวเท่านั้นในการสั่งคดี ดังนั้น เมื่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรีเห็นว่าเอกสารที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามส่งมอบมาให้ในส่วนที่เกี่ยวกับการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของโจทก์ร่วมดังกล่าวเพียงพอแล้ว ก็สามารถใช้เอกสารรายงานการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่ง โดยนำรวมไว้ในสำนวนการสอบสวนได้ เอกสารหมาย จ.1 จ.2 จ.4 และ จ.6 จึงเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานเอกสารเกี่ยวกับการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของโจทก์ร่วมดังกล่าวย่อมเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น และคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการต่อไปว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 หรือไม่ โดยที่จำเลยที่ 2 ยอมรับข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งมีการนำไปยื่นต่อนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดชลบุรี เพื่อให้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายชื่อผู้ถือหุ้นและกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท พ. จริง โดยที่จำเลยที่ 2 ไม่ทราบมาก่อนว่าลายมือชื่อของโจทก์ร่วมที่ได้ลงไว้ก่อนแล้วนั้นเป็นลายมือชื่อปลอมหรือไม่ จำเลยที่ 2 เพียงแต่ลงลายมือชื่อไปเพื่อต้องการโอนหุ้นในส่วนของจำเลยที่ 2 เองให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อหักกลบลบหนี้ค่าซื้อขายยางพาราที่ค้างชำระอยู่แก่จำเลยที่ 1 รวมประมาณ 10,000,000 บาท เท่านั้น แม้พยานโจทก์และโจทก์ร่วมที่นำสืบมาจะไม่มีพยานหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ปลอมลายมือชื่อของโจทก์ร่วมในเอกสารหมาย จ.4 แต่เนื่องจากคดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 โดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันปลอมลายมือชื่อและใช้ลายมือชื่อปลอมของโจทก์ร่วมตามเอกสารหมาย จ.4 ในการยื่นขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นและกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนของบริษัท พ. คดีจึงต้องวินิจฉัยในชั้นนี้เพียงว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในการกระทำความผิดดังกล่าวด้วยหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 รู้จักสนิทสนมกันมาก่อน จนถึงขนาดที่ทำให้โจทก์ร่วมเข้าใจว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นสามีภริยากัน การที่จำเลยที่ 2 รู้จักและเข้าไปร่วมงานกับโจทก์ร่วมได้ก็โดยการแนะนำของจำเลยที่ 1 โดยขณะนั้นโจทก์ร่วมซึ่งเป็นกรรมการเพียงผู้เดียวที่มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท พ. กำลังดำเนินการเพื่อต้องการซื้อโครงการสนามกอล์ฟ ก. ซึ่งการซื้อสนามกอล์ฟดังกล่าวต้องดำเนินการในชื่อของบริษัท พ. เท่านั้น เนื่องจากเป็นคู่สัญญาโดยทำข้อตกลงกันไว้แล้วตามเอกสารหมาย จ.9 จึงชักชวนให้จำเลยที่ 2 เข้ามาร่วมลงทุนด้วย ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็ตกลงและได้มีการโอนเงินลงทุนบางส่วนให้แล้วจำนวน 10,000,000 บาท โจทก์ร่วมก็โอนหุ้นในบริษัทบางส่วน 5,000 หุ้น ให้จำเลยที่ 2 รวมถึงยินยอมจดทะเบียนให้จำเลยที่ 2 เข้ามาเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทร่วมกับโจทก์ร่วมด้วย วัตถุประสงค์หลักที่ตกลงร่วมกันระหว่างโจทก์ร่วมและจำเลยที่ 2 ก็คือเพื่อที่ต้องการจะร่วมกันดำเนินกิจการในสนามกอล์ฟ ก. นั่นเอง นอกจากนี้โจทก์ร่วมและจำเลยที่ 2 ยังร่วมกันดำเนินกิจการในบริษัท อ. ด้วย ซึ่งบริษัทดังกล่าวก็ดำเนินกิจการในลักษณะเดียวกันกับบริษัท พ. โดยโจทก์ร่วมก็โอนเงินลงทุนให้จำเลยที่ 2 จำนวน 14,000,000 บาท จึงได้มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการในบริษัท อ. แล้วเช่นกันตามเอกสารหมาย จ.16 และ จ.17 ต่อมาภายหลังปรากฏว่ามีปัญหาขัดแย้งกัน โจทก์ร่วมได้โอนหุ้นในบริษัท อ. จำกัด ตามที่ตกลงกันคืนให้แก่จำเลยที่ 2 โดยให้ใส่ไว้ในชื่อนายธงชัย บุตรของจำเลยที่ 2 โดยโจทก์ร่วมอ้างว่าเป็นไปตามข้อตกลงที่จำเลยที่ 2 ก็จะต้องโอนหุ้นของตนในบริษัท พ. คืนให้โจทก์ร่วมเป็นการตอบแทนเช่นเดียวกัน แต่จำเลยที่ 2 อ้างว่าไม่เคยมีข้อตกลงดังกล่าว เพียงโจทก์ร่วมได้ขายหุ้นในบริษัท อ. ให้กับจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 ให้ใส่ชื่อนายธงชัยไว้แทนเท่านั้น จำเลยที่ 2 โอนหุ้นในบริษัท พ. ให้จำเลยที่ 1 เพียงเพื่อหักหนี้ค่าซื้อขายยางพาราที่มีต่อกัน โดยจำเลยที่ 1 แจ้งให้ทราบก่อนแล้วว่าโจทก์ร่วมจะโอนหุ้นของโจทก์ร่วมในบริษัท พ. ให้จำเลยที่ 1 เพื่อตอบแทนที่จำเลยที่ 1 รับสมอ้างยอมเป็นผู้ต้องหาแทนโจทก์ร่วมในคดีเกี่ยวกับการขุดทรายในจังหวัดระยอง จำเลยที่ 2 จึงลงชื่อในเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งคนส่งเอกสารนำมาให้ลงชื่อ โดยเห็นว่าเอกสารต่าง ๆ มีลายมือชื่อโจทก์ร่วมลงไว้ก่อน พร้อมประทับตราสำคัญของบริษัทไว้ครบถ้วนแล้ว เห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 มีความสนิทสนมกับจำเลยที่ 1 มาก ทำธุรกิจการค้าร่วมกันในวงเงินจำนวนมาก มีหนี้สินต่อกันมากกว่า 10,000,000 บาท โดยไม่ได้มีหลักฐานใด ๆ ต่อกันเลย การโอนหุ้นในบริษัทไปให้จำเลยที่ 1 ที่อ้างว่าเพื่อหักกลบลบหนี้กันมากถึงประมาณ 10,000,000 บาท ก็ไม่มีการทำหลักฐานหรือบันทึกข้อตกลงใด ๆ และสำหรับในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 3 ก็ปรากฏว่า ภายหลังจำเลยที่ 2 ไว้วางใจจำเลยที่ 3 อย่างมาก โดยมอบหมายให้จำเลยที่ 3 ฟ้องร้องโจทก์ร่วมแทนด้วยตามเอกสารหมาย จ.21 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามมีความสนิทสนมกัน ทำธุรกิจการค้าขายร่วมกันตลอดมา โดยเฉพาะการเข้ามาทำกิจการที่เกี่ยวข้องกับบริษัท พ. ก็มีเจตนาร่วมกันเพื่อจะได้สิทธิในการซื้อกิจการสนามกอล์ฟ ก. นั้น ซึ่งข้อนี้ฝ่ายจำเลยที่ 2 ก็ยอมรับตรงกันว่า การจะได้สิทธิในการซื้อสนามกอล์ฟ ก. ต้องดำเนินการโดยบริษัท พ. เท่านั้น จำเลยที่ 2 อ้างว่า การลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.4 เพียงเพื่อต้องการโอนหุ้นของตนในบริษัทให้จำเลยที่ 1 เท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเอกสารหมาย จ.4 เป็นการขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงข้อมูลของบริษัทหลายอย่าง รวมทั้งมีการโอนหุ้นของโจทก์ร่วมทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 1 ด้วย ซึ่งจำเลยที่ 2 อ้างว่าทราบจากจำเลยที่ 1 ว่าโจทก์ร่วมจะโอนหุ้นให้จำเลยที่ 1 ก่อนประมาณ 2 เดือนแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะต้องมาดำเนินการจดทะเบียนพร้อมกับการโอนหุ้นของจำเลยที่ 2 ให้แก่จำเลยที่ 1 เช่นนี้ ทั้งที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท จากโจทก์ร่วมและจำเลยที่ 2 มาเป็นจำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียว ซึ่งการที่ให้จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทแต่เพียงผู้เดียวเช่นนี้ ย่อมเท่ากับว่าจำเลยที่ 1 ได้สิทธิในการเป็นผู้ซื้อสนามกอล์ฟ ก. แล้วนั่นเอง นอกจากนี้การที่จำเลยที่ 1 ส่งสำเนารายชื่อผู้ถือหุ้น ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2557 ตามเอกสารหมาย จ.7 หน้า 37 และหน้า 38 แสดงให้เห็นว่าเป็นการเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว เพราะขณะนั้นจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้เป็นกรรมการของบริษัท พ. แต่อย่างใด โดยข้อเท็จจริงเพิ่งมีการยื่นขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงตามเอกสารหมาย จ.4 เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2557 เท่านั้น การที่จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของบริษัทร่วมกับโจทก์ร่วม แต่กลับขอให้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการเป็นจำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียวเช่นนี้ จำเลยที่ 2 ควรต้องสอบถามโจทก์ร่วมก่อนว่าต้องการดำเนินการดังกล่าวจริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงกลับไม่มีการสอบถามหรือแจ้งให้โจทก์ร่วมทราบ ตรงกันข้ามจำเลยที่ 2 กลับอ้างว่าก่อนลงชื่อในเอกสารได้โทรศัพท์ไปสอบถามจำเลยที่ 1 และลงชื่อให้ตามที่จำเลยที่ 1 แจ้งให้ลงชื่อ ยิ่งแสดงให้เห็นแน่ชัดว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย ที่สำคัญข้อความในเอกสารหมาย จ.4 ที่ขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงข้อมูลของบริษัทนั้น อ้างถึงการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท ครั้งที่ 1/2557 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2557 ซึ่งระบุว่า จำเลยที่ 2 เป็นประธานในที่ประชุม จำเลยที่ 2 ย่อมต้องทราบดีอยู่แล้วว่าข้อเท็จจริงไม่ได้มีการประชุมตามที่ระบุในเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด แต่จำเลยที่ 2 กลับยินยอมลงลายมือชื่อในเอกสารให้ไปทั้ง ๆ ที่รู้ดีอยู่แล้วว่าไม่ได้มีการประชุมตามที่ระบุในเอกสาร ย่อมทำให้เห็นแน่ชัดยิ่งขึ้นว่าจำเลยที่ 2 ร่วมรู้เห็นยินยอมด้วยกับจำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 1 ได้บริษัท พ. ของโจทก์ร่วมไป ซึ่งภายหลังเมื่อได้ทราบข้อเท็จจริงแล้ว โจทก์ร่วมก็ได้ดำเนินการฟ้องเป็นคดีแพ่ง จนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงข้อมูลของบริษัท พ. ที่ดำเนินการโดยอาศัยเอกสารหมาย จ.4 แล้ว ตามสำเนาคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.24 นอกจากนี้ข้ออ้างที่ว่าจำเลยที่ 1 รับสมอ้างยอมเป็นผู้ต้องหาแทนโจทก์ร่วมเกี่ยวกับการขุดทรายที่จังหวัดระยองก็ไม่สมเหตุผล โจทก์ร่วมลงทุนมากมายเพื่อให้ได้สิทธิในการซื้อโครงการสนามกอล์ฟ ก. ในชื่อบริษัท พ. ย่อมไม่สมเหตุผลที่โจทก์ร่วมจะยินยอมยกบริษัทดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 เพียงแค่ตอบแทนที่จำเลยที่ 1 รับสมอ้างเป็นผู้ต้องหาแทนเท่านั้น เนื่องจากในความผิดเกี่ยวกับการขุดทรายดังกล่าว สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยองแจ้งให้ทราบแล้วว่า คดีดังกล่าวคณะกรรมการเปรียบเทียบคดีสามารถเปรียบเทียบปรับได้ และจะส่งผลให้คดีเสร็จเด็ดขาดนำมาฟ้องร้องอีกไม่ได้ตามมาตรา 65 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ตามเอกสารหมาย ล.8 ซึ่งโทษปรับสูงสุดของความผิดดังกล่าวเป็นเงินเพียง 200,000 บาท เท่านั้น โจทก์ร่วมน่าจะยอมเสียค่าปรับจำนวนดังกล่าวได้ ดีกว่าที่จะต้องยินยอมเสียบริษัท พ. ให้แก่จำเลยที่ 1 ข้ออ้างดังกล่าวไม่สมเหตุสมผลจึงไม่อาจรับฟังได้ แต่จำเลยที่ 2 กลับเชื่อตามที่จำเลยที่ 1 อ้าง ตรงกันข้ามข้อเท็จจริงนี้กลับไปสอดคล้องกับคำรับของจำเลยที่ 3 ในชั้นสอบสวน ที่เขียนขึ้นด้วยลายมือของตนเองตามเอกสารหมาย จ.6 แผ่นที่ 31 โดยระบุแน่ชัดว่าการดำเนินการของจำเลยที่ 1 ที่เตรียมเอกสารต่าง ๆ ตามเอกสารหมาย จ.4 มาดำเนินการจดทะเบียนนั้น ก็เพื่อต้องการให้ได้สิทธิของบริษัท พ. ในการซื้อโครงการสนามกอล์ฟ ก. เห็นว่า จากพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วม รวมถึงพฤติการณ์ดังวินิจฉัยมาแล้วข้างต้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้อย่างชัดแจ้งไม่มีพิรุธน่าสงสัยแต่อย่างใด เชื่อได้แน่ชัดว่าการที่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในเอกสารต่าง ๆ ตามที่ปรากฏในเอกสารหมาย จ.4 นั้น จำเลยที่ 2 รู้ดีอยู่แล้วว่าลายมือชื่อของโจทก์ร่วมและตราสำคัญของบริษัทที่ประทับลงไว้ในเอกสารนั้นเป็นลายมือชื่อและตราประทับปลอมที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันจัดทำขึ้น เพื่อต้องการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงข้อมูลของบริษัท พ. ให้จำเลยที่ 1 ได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทแต่เพียงผู้เดียว เพื่อสิทธิในการซื้อโครงการสนามกอล์ฟ ก. จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ด้วย พยานหลักฐานที่จำเลยที่ 2 นำสืบและข้อกล่าวอ้างในฎีกาของจำเลยที่ 2 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดนั้นชอบแล้ว แต่ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันและเรียงกระทงลงโทษจำเลยทั้งสามมานั้นยังไม่ชอบ เพราะแม้ว่าโจทก์จะบรรยายฟ้องแยกการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามต่างกรรมต่างวาระกันโดยชัดแจ้ง แต่การที่จำเลยทั้งสามร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ร่วมกันปลอมเอกสาร รวมทั้งร่วมกันใช้เอกสารปลอม และสำหรับจำเลยที่ 2 ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทจำกัด กระทำหรือยินยอมให้กระทำการปลอมเอกสารหรือลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัท หรือที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 นั้น การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องโดยมีเจตนาเดียวกัน คือเพียงเพื่อต้องการให้นายทะเบียน สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดชลบุรีจดทะเบียนแก้ไขจำนวนผู้ถือหุ้น แก้ไขจำนวนกรรมการเข้าและออก และแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนหรือชื่อกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันบริษัท พ. จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษจำเลยทั้งสามตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แม้จำเลยทั้งสามมิได้ฎีกา แต่ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และกรณีเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดีจึงให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอมและฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 มีระวางโทษต่างกัน ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอม จำคุกคนละ 2 ปี ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี เมื่อลดโทษให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2
กองบังคับการปราบปรามนั้น ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2552 จึงมีอำนาจสอบสวนคดีได้ทั่วราชอาณาจักรตามกฎหมายอยู่แล้ว เพียงแต่เพื่อที่จะไม่ให้ขัดแย้งหรือซ้ำซ้อนกับอำนาจของพนักงานสอบสวนในพื้นที่เกิดเหตุโดยตรง โดยให้คดีในลักษณะต่าง ๆ ที่ถือว่ามีความสำคัญหรือยุ่งยากเป็นพิเศษ เพื่อให้อยู่ในอำนาจสอบสวนของพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เช่น เมื่อได้มีการรับเรื่องร้องทุกข์ไว้ดำเนินการแล้ว พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามก็มีอำนาจทำการสอบสวนไปได้ก่อนในเบื้องต้นพร้อมทั้งทำเรื่องรายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นเพื่อทราบและให้มีคำสั่งอนุญาตให้ทำการสอบสวนต่อไปตามระเบียบ ดังนั้น เอกสารที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามรวบรวมไว้ ย่อมเป็นเอกสารที่ได้มาโดยถูกต้องชอบดัวยกฎหมาย แม้ภายหลังผู้บังคับบัญชาจะมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทำการสอบสวนต่อไป ก็เป็นเพียงเรื่องภายในของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีระเบียบกำหนดให้คดีในลักษณะดังกล่าวต้องมีการส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุดำเนินการต่อไปเท่านั้น ต่อมาพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรี ก็ได้มีการเรียกโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายให้มาดำเนินการร้องทุกข์ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยในลักษณะที่คล้ายกับว่าพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรีเริ่มดำเนินการสอบสวนใหม่เองทั้งหมด ส่วนเอกสารหลักฐานที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามส่งมาให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรีก็รวบรวมไว้ในสำนวนการสอบสวนในลักษณะเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่ง เพื่อนำมาใช้พิจารณาประกอบดุลพินิจในการสั่งสำนวนเท่านั้น หากเห็นว่า ยังขาดตกบกพร่องอยู่ในส่วนใดก็สามารถใช้ดุลพินิจดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมหรือสอบสวนใหม่ได้ หรือหากเห็นว่าหลักฐานที่รวบรวมไว้โดยพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามและส่งมาให้รวมไว้ในสำนวนการสอบสวนมีความชัดเจนเพียงพอแล้วก็สามารถใช้เอกสารหลักฐานดังกล่าวเป็นกลักฐานในสำนวนการสอบสวนต่อไปเพื่อใช้ประกอบดุลพินิจในการสั่งคดีได้ โดยไม่ต้องทำการสอบสวนเพิ่มเติมได้เช่นเดียวกัน
การที่จำเลยทั้งสามร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ร่วมกันปลอมเอกสาร รวมทั้งร่วมกันใช้เอกสารปลอม และสำหรับจำเลยที่ 2 ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทจำกัด กระทำหรือยินยอมให้กระทำการปลอมเอกสารหรือลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัทหรือที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัดบริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 นั้น การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องโดยมีเจตนาเดียวกันคือเพียงเพื่อต้องการให้นายทะเบียน สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดชลบุรีจดทะเบียนแก้ไขจำนวนผู้ถือหุ้น แก้ไขจำนวนกรรมการเข้าและออก และแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนหรือชื่อกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันบริษัท พ. จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายบท ต้องลงโทษจำเลยทั้งสามตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 แม้จำเลยทั้งสามมิได้ฎีกา แต่ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และกรณีเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี จึงให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ด้วย
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงจำเลยทั้งสามโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 137, 264, 267, 268 พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42 และนับโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7143/2561 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 3 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นางณิชาภา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 (เดิม), 264 วรรคแรก (เดิม), 267 (เดิม), 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 (เดิม), 83 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42 (1) (2) การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ และความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ จำคุกคนละ 1 ปี ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามความผิดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันปลอมเอกสารและร่วมกันใช้เอกสารปลอม จำเลยทั้งสามเป็นตัวการร่วมกันปลอมและใช้เอกสารที่ปลอมขึ้นเอง ลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 (เดิม) จำคุกคนละ 2 ปี รวมจำเลยที่ 1 และที่ 3 จำคุกคนละ 3 ปี จำเลยที่ 2 จำคุก 4 ปี คำเบิกความของจำเลยที่ 2 และคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทงละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 ปี 3 เดือน นับโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7143/2561 ของศาลชั้นต้น ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ร่วมและจำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้เป็นยุติว่า เดิมโจทก์ร่วมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และเป็นกรรมการแต่เพียงผู้เดียวซึ่งมีอำนาจกระทำการแทนของบริษัท พ. ซึ่งบริษัทดังกล่าวดำเนินกิจการเกี่ยวกับการรับจ้างขุดดิน ถมดิน ประมาณปี 2556 นายทวีศักดิ์ ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของบริษัทได้แนะนำให้โจทก์ร่วมรู้จักจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นนายหน้าติดต่อขายสนามกอล์ฟ ก. เนื่องจากได้ทราบว่าโจทก์ร่วมสนใจที่จะซื้อสนามกอล์ฟดังกล่าวในนามของบริษัท พ. ต่อมานายทวีศักดิ์ได้แนะนำให้โจทก์ร่วมรู้จักจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายหน้า และดำเนินกิจการเกี่ยวกับการขุดดิน ถมดินเช่นเดียวกัน และจำเลยที่ 1 แนะนำให้โจทก์ร่วมรู้จักจำเลยที่ 2 จนได้มีการชักชวนให้เข้ามาลงทุนร่วมกับโจทก์ร่วมในกิจการของบริษัท พ. โดยจำเลยที่ 2 นำเงินเข้ามาร่วมลงทุน 10,000,000 บาท จึงได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงให้จำเลยที่ 2 เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นบางส่วน และเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท พ. ร่วมกับโจทก์ร่วมด้วย นอกจากนี้โจทก์ร่วมยังได้เข้าลงทุนในบริษัท อ. ร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ที่ 3 และนายพิศิษฐ์หรือพลพิสิทธิ์ ได้นัดและไปพบกันที่สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดชลบุรี ได้มีการยื่นเอกสารเป็นหนังสือมอบอำนาจ คำขอจดทะเบียนแก้ไขจำนวนกรรมการบริษัท รายการจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติม และ/หรือมติพิเศษ ใบกรรมการเข้าใหม่ คำร้องขอจดทะเบียน และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 โจทก์ร่วม และนายพิศิษฐ์ พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวสมาชิกสภาทนายความของนายพิศิษฐ์ ต่อนางสาวบังอร นายทะเบียนสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดชลบุรี เพื่อขอจดทะเบียนแก้ไขจำนวนผู้ถือหุ้น และเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท พ. โดยเอาชื่อโจทก์ร่วมและจำเลยที่ 2 ออก และให้จำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียวเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทได้ ซึ่งนางสาวบังอรได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงข้อมูลของบริษัท พ. ให้ตามที่ขอเพราะเชื่อถือตามเอกสารหลักฐานที่ยื่นขอดังกล่าว คดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาจึงถึงที่สุดไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ในประการแรกว่า เอกสารหมาย จ.1 จ.2 จ.4 และ จ.6 เป็นเอกสารที่สามารถรับฟังได้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า กองบังคับการปราบปรามนั้น ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2552 กำหนดให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับความผิดอาญา และความผิดที่มีโทษทางอาญาทั่วราชอาณาจักร หรือตามที่ได้รับมอบหมาย พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามจึงมีอำนาจสอบสวนคดีได้ทั่วราชอาณาจักรตามกฎหมายอยู่แล้ว เพียงแต่เพื่อที่จะไม่ให้ขัดแย้งหรือซ้ำซ้อนกับอำนาจของพนักงานสอบสวนในพื้นที่เกิดเหตุโดยตรง จึงมีระเบียบภายในของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง กำหนดให้คดีในลักษณะต่าง ๆ ที่ถือว่ามีความสำคัญหรือยุ่งยากเป็นพิเศษ เพื่อให้อยู่ในอำนาจสอบสวนของพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม เช่น เป็นคดีที่สำคัญในลักษณะต่าง ๆ ทุนทรัพย์สูงมาก หรือมีความเสียหายเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และต้องได้รับอนุญาตให้ทำการสอบสวนโดยเฉพาะด้วย โดยเมื่อได้มีการรับเรื่องร้องทุกข์ไว้ดำเนินการแล้ว พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามก็มีอำนาจทำการสอบสวนไปได้ก่อนในเบื้องต้นพร้อมทั้งทำเรื่องรายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นเพื่อทราบและให้มีคำสั่งอนุญาตให้ทำการสอบสวนต่อไปตามระเบียบ ดังนั้น เอกสารที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามรวบรวมไว้ ย่อมเป็นเอกสารที่ได้มาโดยถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย แม้ภายหลังผู้บังคับบัญชาจะมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทำการสอบสวนต่อไป ก็เป็นเพียงเรื่องภายในของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีระเบียบกำหนดให้คดีในลักษณะดังกล่าวต้องมีการส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุดำเนินการต่อไปเท่านั้น ซึ่งในคดีนี้ก็ได้ความว่า หลังจากผู้บังคับบัญชามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทำการสอบสวน พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามก็ได้มีการส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรีดำเนินการต่อแล้ว โดยได้ส่งเอกสารต่าง ๆ ที่ได้รวบรวมไว้เป็นพยานหลักฐานก่อนแล้วไปให้พร้อมกันด้วย และต่อมาพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรี ก็ได้มีการเรียกโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายให้มาดำเนินการร้องทุกข์ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วย ในลักษณะที่คล้ายกับว่า พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรีเริ่มดำเนินการสอบสวนใหม่เองทั้งหมด ส่วนเอกสารหลักฐานที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามส่งมาให้ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรีก็รวบรวมไว้ในสำนวนการสอบสวนในลักษณะเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่ง เพื่อนำมาใช้พิจารณาประกอบดุลพินิจในการสั่งสำนวนเท่านั้น หากเห็นว่ายังขาดตกบกพร่องอยู่ในส่วนใดก็สามารถใช้ดุลพินิจดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมหรือสอบสวนใหม่ได้ โดยเรียกเอกสารหรือพยานบุคคลมาให้ปากคำเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้นจนเห็นว่าเพียงพอที่สามารถใช้ดุลพินิจสั่งคดีได้ หรือหากเห็นว่าหลักฐานที่รวบรวมไว้โดยพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามและส่งมาให้รวมไว้ในสำนวนการสอบสวนมีความชัดเจนเพียงพอแล้ว ก็สามารถใช้เอกสารหลักฐานดังกล่าวเป็นหลักฐานในสำนวนการสอบสวนต่อไปเพื่อใช้ประกอบดุลพินิจในการสั่งคดีได้ โดยไม่ต้องทำการสอบสวนเพิ่มเติมได้เช่นเดียวกัน สำหรับเอกสารหมาย จ.1 จ.2 จ.4 และ จ.6 โดยข้อเท็จจริงแล้ว เป็นเอกสารซึ่งพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามส่งหลักฐานเกี่ยวกับลายมือชื่อของโจทก์ร่วมไปให้ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ชำนาญการกองพิสูจน์หลักฐานทำการตรวจพิสูจน์ เนื่องจากขณะโจทก์ร่วมแจ้งความไว้นั้น ได้ยืนยันว่าลายมือชื่อของโจทก์ร่วมที่ลงไว้ในเอกสารต่าง ๆ ที่ยื่นต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดชลบุรีในขณะเกิดเหตุตามเอกสารหมาย จ.4 เป็นลายมือชื่อปลอม เนื่องจากโจทก์ร่วมไม่เคยลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว พนักงานสอบสวนจึงต้องส่งไปให้ผู้ชำนาญการตรวจพิสูจน์เพื่อจะได้ทราบว่าลายมือชื่อที่โจทก์ร่วมอ้างนั้นเป็นลายมือชื่อปลอมตามที่อ้างจริงหรือไม่ โดยที่ผู้ชำนาญการของกองพิสูจน์หลักฐานเป็นข้าราชการ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติงานไปตามอำนาจหน้าที่ ก็ได้ทำการตรวจพิสูจน์ตามหลักวิชาการและทำความเห็นไว้ตามอำนาจหน้าที่ของตนโดยถูกต้องแล้ว ไม่มีข้อเท็จจริงใดที่จะทำให้มีข้อสงสัยว่าการตรวจพิสูจน์ดำเนินการโดยไม่ถูกต้องหรือดำเนินการไปโดยผิดกฎหมายแต่อย่างใด และที่สำคัญเอกสารรายงานการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวย่อมเป็นเพียงพยานหลักฐานชิ้นหนึ่งเท่านั้น ซึ่งพนักงานสอบสวนก็ยังคงต้องใช้ดุลพินิจในการรับฟังเอกสารดังกล่าวประกอบพยานหลักฐานอื่นเพื่อสั่งคดีด้วย ไม่ใช่จะใช้เฉพาะรายงานการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวเพียงอย่างเดียวเท่านั้นในการสั่งคดี ดังนั้น เมื่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรีเห็นว่าเอกสารที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามส่งมอบมาให้ในส่วนที่เกี่ยวกับการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของโจทก์ร่วมดังกล่าวเพียงพอแล้ว ก็สามารถใช้เอกสารรายงานการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่ง โดยนำรวมไว้ในสำนวนการสอบสวนได้ เอกสารหมาย จ.1 จ.2 จ.4 และ จ.6 จึงเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานเอกสารเกี่ยวกับการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของโจทก์ร่วมดังกล่าวย่อมเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น และคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการต่อไปว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 หรือไม่ โดยที่จำเลยที่ 2 ยอมรับข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งมีการนำไปยื่นต่อนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดชลบุรี เพื่อให้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายชื่อผู้ถือหุ้นและกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท พ. จริง โดยที่จำเลยที่ 2 ไม่ทราบมาก่อนว่าลายมือชื่อของโจทก์ร่วมที่ได้ลงไว้ก่อนแล้วนั้นเป็นลายมือชื่อปลอมหรือไม่ จำเลยที่ 2 เพียงแต่ลงลายมือชื่อไปเพื่อต้องการโอนหุ้นในส่วนของจำเลยที่ 2 เองให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อหักกลบลบหนี้ค่าซื้อขายยางพาราที่ค้างชำระอยู่แก่จำเลยที่ 1 รวมประมาณ 10,000,000 บาท เท่านั้น แม้พยานโจทก์และโจทก์ร่วมที่นำสืบมาจะไม่มีพยานหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ปลอมลายมือชื่อของโจทก์ร่วมในเอกสารหมาย จ.4 แต่เนื่องจากคดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 โดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันปลอมลายมือชื่อและใช้ลายมือชื่อปลอมของโจทก์ร่วมตามเอกสารหมาย จ.4 ในการยื่นขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นและกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนของบริษัท พ. คดีจึงต้องวินิจฉัยในชั้นนี้เพียงว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในการกระทำความผิดดังกล่าวด้วยหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 รู้จักสนิทสนมกันมาก่อน จนถึงขนาดที่ทำให้โจทก์ร่วมเข้าใจว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นสามีภริยากัน การที่จำเลยที่ 2 รู้จักและเข้าไปร่วมงานกับโจทก์ร่วมได้ก็โดยการแนะนำของจำเลยที่ 1 โดยขณะนั้นโจทก์ร่วมซึ่งเป็นกรรมการเพียงผู้เดียวที่มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท พ. กำลังดำเนินการเพื่อต้องการซื้อโครงการสนามกอล์ฟ ก. ซึ่งการซื้อสนามกอล์ฟดังกล่าวต้องดำเนินการในชื่อของบริษัท พ. เท่านั้น เนื่องจากเป็นคู่สัญญาโดยทำข้อตกลงกันไว้แล้วตามเอกสารหมาย จ.9 จึงชักชวนให้จำเลยที่ 2 เข้ามาร่วมลงทุนด้วย ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็ตกลงและได้มีการโอนเงินลงทุนบางส่วนให้แล้วจำนวน 10,000,000 บาท โจทก์ร่วมก็โอนหุ้นในบริษัทบางส่วน 5,000 หุ้น ให้จำเลยที่ 2 รวมถึงยินยอมจดทะเบียนให้จำเลยที่ 2 เข้ามาเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทร่วมกับโจทก์ร่วมด้วย วัตถุประสงค์หลักที่ตกลงร่วมกันระหว่างโจทก์ร่วมและจำเลยที่ 2 ก็คือเพื่อที่ต้องการจะร่วมกันดำเนินกิจการในสนามกอล์ฟ ก. นั่นเอง นอกจากนี้โจทก์ร่วมและจำเลยที่ 2 ยังร่วมกันดำเนินกิจการในบริษัท อ. ด้วย ซึ่งบริษัทดังกล่าวก็ดำเนินกิจการในลักษณะเดียวกันกับบริษัท พ. โดยโจทก์ร่วมก็โอนเงินลงทุนให้จำเลยที่ 2 จำนวน 14,000,000 บาท จึงได้มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการในบริษัท อ. แล้วเช่นกันตามเอกสารหมาย จ.16 และ จ.17 ต่อมาภายหลังปรากฏว่ามีปัญหาขัดแย้งกัน โจทก์ร่วมได้โอนหุ้นในบริษัท อ. จำกัด ตามที่ตกลงกันคืนให้แก่จำเลยที่ 2 โดยให้ใส่ไว้ในชื่อนายธงชัย บุตรของจำเลยที่ 2 โดยโจทก์ร่วมอ้างว่าเป็นไปตามข้อตกลงที่จำเลยที่ 2 ก็จะต้องโอนหุ้นของตนในบริษัท พ. คืนให้โจทก์ร่วมเป็นการตอบแทนเช่นเดียวกัน แต่จำเลยที่ 2 อ้างว่าไม่เคยมีข้อตกลงดังกล่าว เพียงโจทก์ร่วมได้ขายหุ้นในบริษัท อ. ให้กับจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 ให้ใส่ชื่อนายธงชัยไว้แทนเท่านั้น จำเลยที่ 2 โอนหุ้นในบริษัท พ. ให้จำเลยที่ 1 เพียงเพื่อหักหนี้ค่าซื้อขายยางพาราที่มีต่อกัน โดยจำเลยที่ 1 แจ้งให้ทราบก่อนแล้วว่าโจทก์ร่วมจะโอนหุ้นของโจทก์ร่วมในบริษัท พ. ให้จำเลยที่ 1 เพื่อตอบแทนที่จำเลยที่ 1 รับสมอ้างยอมเป็นผู้ต้องหาแทนโจทก์ร่วมในคดีเกี่ยวกับการขุดทรายในจังหวัดระยอง จำเลยที่ 2 จึงลงชื่อในเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งคนส่งเอกสารนำมาให้ลงชื่อ โดยเห็นว่าเอกสารต่าง ๆ มีลายมือชื่อโจทก์ร่วมลงไว้ก่อน พร้อมประทับตราสำคัญของบริษัทไว้ครบถ้วนแล้ว เห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 มีความสนิทสนมกับจำเลยที่ 1 มาก ทำธุรกิจการค้าร่วมกันในวงเงินจำนวนมาก มีหนี้สินต่อกันมากกว่า 10,000,000 บาท โดยไม่ได้มีหลักฐานใด ๆ ต่อกันเลย การโอนหุ้นในบริษัทไปให้จำเลยที่ 1 ที่อ้างว่าเพื่อหักกลบลบหนี้กันมากถึงประมาณ 10,000,000 บาท ก็ไม่มีการทำหลักฐานหรือบันทึกข้อตกลงใด ๆ และสำหรับในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 3 ก็ปรากฏว่า ภายหลังจำเลยที่ 2 ไว้วางใจจำเลยที่ 3 อย่างมาก โดยมอบหมายให้จำเลยที่ 3 ฟ้องร้องโจทก์ร่วมแทนด้วยตามเอกสารหมาย จ.21 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามมีความสนิทสนมกัน ทำธุรกิจการค้าขายร่วมกันตลอดมา โดยเฉพาะการเข้ามาทำกิจการที่เกี่ยวข้องกับบริษัท พ. ก็มีเจตนาร่วมกันเพื่อจะได้สิทธิในการซื้อกิจการสนามกอล์ฟ ก. นั้น ซึ่งข้อนี้ฝ่ายจำเลยที่ 2 ก็ยอมรับตรงกันว่า การจะได้สิทธิในการซื้อสนามกอล์ฟ ก. ต้องดำเนินการโดยบริษัท พ. เท่านั้น จำเลยที่ 2 อ้างว่า การลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.4 เพียงเพื่อต้องการโอนหุ้นของตนในบริษัทให้จำเลยที่ 1 เท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเอกสารหมาย จ.4 เป็นการขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงข้อมูลของบริษัทหลายอย่าง รวมทั้งมีการโอนหุ้นของโจทก์ร่วมทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 1 ด้วย ซึ่งจำเลยที่ 2 อ้างว่าทราบจากจำเลยที่ 1 ว่าโจทก์ร่วมจะโอนหุ้นให้จำเลยที่ 1 ก่อนประมาณ 2 เดือนแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะต้องมาดำเนินการจดทะเบียนพร้อมกับการโอนหุ้นของจำเลยที่ 2 ให้แก่จำเลยที่ 1 เช่นนี้ ทั้งที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท จากโจทก์ร่วมและจำเลยที่ 2 มาเป็นจำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียว ซึ่งการที่ให้จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทแต่เพียงผู้เดียวเช่นนี้ ย่อมเท่ากับว่าจำเลยที่ 1 ได้สิทธิในการเป็นผู้ซื้อสนามกอล์ฟ ก. แล้วนั่นเอง นอกจากนี้การที่จำเลยที่ 1 ส่งสำเนารายชื่อผู้ถือหุ้น ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2557 ตามเอกสารหมาย จ.7 หน้า 37 และหน้า 38 แสดงให้เห็นว่าเป็นการเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว เพราะขณะนั้นจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้เป็นกรรมการของบริษัท พ. แต่อย่างใด โดยข้อเท็จจริงเพิ่งมีการยื่นขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงตามเอกสารหมาย จ.4 เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2557 เท่านั้น การที่จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของบริษัทร่วมกับโจทก์ร่วม แต่กลับขอให้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการเป็นจำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียวเช่นนี้ จำเลยที่ 2 ควรต้องสอบถามโจทก์ร่วมก่อนว่าต้องการดำเนินการดังกล่าวจริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงกลับไม่มีการสอบถามหรือแจ้งให้โจทก์ร่วมทราบ ตรงกันข้ามจำเลยที่ 2 กลับอ้างว่าก่อนลงชื่อในเอกสารได้โทรศัพท์ไปสอบถามจำเลยที่ 1 และลงชื่อให้ตามที่จำเลยที่ 1 แจ้งให้ลงชื่อ ยิ่งแสดงให้เห็นแน่ชัดว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย ที่สำคัญข้อความในเอกสารหมาย จ.4 ที่ขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงข้อมูลของบริษัทนั้น อ้างถึงการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท ครั้งที่ 1/2557 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2557 ซึ่งระบุว่า จำเลยที่ 2 เป็นประธานในที่ประชุม จำเลยที่ 2 ย่อมต้องทราบดีอยู่แล้วว่าข้อเท็จจริงไม่ได้มีการประชุมตามที่ระบุในเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด แต่จำเลยที่ 2 กลับยินยอมลงลายมือชื่อในเอกสารให้ไปทั้ง ๆ ที่รู้ดีอยู่แล้วว่าไม่ได้มีการประชุมตามที่ระบุในเอกสาร ย่อมทำให้เห็นแน่ชัดยิ่งขึ้นว่าจำเลยที่ 2 ร่วมรู้เห็นยินยอมด้วยกับจำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 1 ได้บริษัท พ. ของโจทก์ร่วมไป ซึ่งภายหลังเมื่อได้ทราบข้อเท็จจริงแล้ว โจทก์ร่วมก็ได้ดำเนินการฟ้องเป็นคดีแพ่ง จนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงข้อมูลของบริษัท พ. ที่ดำเนินการโดยอาศัยเอกสารหมาย จ.4 แล้ว ตามสำเนาคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.24 นอกจากนี้ข้ออ้างที่ว่าจำเลยที่ 1 รับสมอ้างยอมเป็นผู้ต้องหาแทนโจทก์ร่วมเกี่ยวกับการขุดทรายที่จังหวัดระยองก็ไม่สมเหตุผล โจทก์ร่วมลงทุนมากมายเพื่อให้ได้สิทธิในการซื้อโครงการสนามกอล์ฟ ก. ในชื่อบริษัท พ. ย่อมไม่สมเหตุผลที่โจทก์ร่วมจะยินยอมยกบริษัทดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 เพียงแค่ตอบแทนที่จำเลยที่ 1 รับสมอ้างเป็นผู้ต้องหาแทนเท่านั้น เนื่องจากในความผิดเกี่ยวกับการขุดทรายดังกล่าว สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยองแจ้งให้ทราบแล้วว่า คดีดังกล่าวคณะกรรมการเปรียบเทียบคดีสามารถเปรียบเทียบปรับได้ และจะส่งผลให้คดีเสร็จเด็ดขาดนำมาฟ้องร้องอีกไม่ได้ตามมาตรา 65 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ตามเอกสารหมาย ล.8 ซึ่งโทษปรับสูงสุดของความผิดดังกล่าวเป็นเงินเพียง 200,000 บาท เท่านั้น โจทก์ร่วมน่าจะยอมเสียค่าปรับจำนวนดังกล่าวได้ ดีกว่าที่จะต้องยินยอมเสียบริษัท พ. ให้แก่จำเลยที่ 1 ข้ออ้างดังกล่าวไม่สมเหตุสมผลจึงไม่อาจรับฟังได้ แต่จำเลยที่ 2 กลับเชื่อตามที่จำเลยที่ 1 อ้าง ตรงกันข้ามข้อเท็จจริงนี้กลับไปสอดคล้องกับคำรับของจำเลยที่ 3 ในชั้นสอบสวน ที่เขียนขึ้นด้วยลายมือของตนเองตามเอกสารหมาย จ.6 แผ่นที่ 31 โดยระบุแน่ชัดว่าการดำเนินการของจำเลยที่ 1 ที่เตรียมเอกสารต่าง ๆ ตามเอกสารหมาย จ.4 มาดำเนินการจดทะเบียนนั้น ก็เพื่อต้องการให้ได้สิทธิของบริษัท พ. ในการซื้อโครงการสนามกอล์ฟ ก. เห็นว่า จากพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วม รวมถึงพฤติการณ์ดังวินิจฉัยมาแล้วข้างต้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้อย่างชัดแจ้งไม่มีพิรุธน่าสงสัยแต่อย่างใด เชื่อได้แน่ชัดว่าการที่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในเอกสารต่าง ๆ ตามที่ปรากฏในเอกสารหมาย จ.4 นั้น จำเลยที่ 2 รู้ดีอยู่แล้วว่าลายมือชื่อของโจทก์ร่วมและตราสำคัญของบริษัทที่ประทับลงไว้ในเอกสารนั้นเป็นลายมือชื่อและตราประทับปลอมที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันจัดทำขึ้น เพื่อต้องการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงข้อมูลของบริษัท พ. ให้จำเลยที่ 1 ได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทแต่เพียงผู้เดียว เพื่อสิทธิในการซื้อโครงการสนามกอล์ฟ ก. จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ด้วย พยานหลักฐานที่จำเลยที่ 2 นำสืบและข้อกล่าวอ้างในฎีกาของจำเลยที่ 2 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดนั้นชอบแล้ว แต่ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันและเรียงกระทงลงโทษจำเลยทั้งสามมานั้นยังไม่ชอบ เพราะแม้ว่าโจทก์จะบรรยายฟ้องแยกการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามต่างกรรมต่างวาระกันโดยชัดแจ้ง แต่การที่จำเลยทั้งสามร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ร่วมกันปลอมเอกสาร รวมทั้งร่วมกันใช้เอกสารปลอม และสำหรับจำเลยที่ 2 ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทจำกัด กระทำหรือยินยอมให้กระทำการปลอมเอกสารหรือลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัท หรือที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 นั้น การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องโดยมีเจตนาเดียวกัน คือเพียงเพื่อต้องการให้นายทะเบียน สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดชลบุรีจดทะเบียนแก้ไขจำนวนผู้ถือหุ้น แก้ไขจำนวนกรรมการเข้าและออก และแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนหรือชื่อกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันบริษัท พ. จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษจำเลยทั้งสามตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แม้จำเลยทั้งสามมิได้ฎีกา แต่ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และกรณีเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดีจึงให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอมและฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 มีระวางโทษต่างกัน ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอม จำคุกคนละ 2 ปี ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี เมื่อลดโทษให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดตั๋วเงิน 25,000,000 บาท หากผิดนัดยอมชำระเงินที่ได้รับจากการขายตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ย โดยมีจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ และมีข้อตกลงว่า หากโจทก์บังคับเอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ยอมรับผิดชอบรับใช้เงินที่ขาดให้แก่โจทก์จนครบถ้วน โจทก์จึงเป็นทั้งเจ้าหนี้สามัญผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินทั่วไปของลูกหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 214 และเป็นเจ้าหนี้จำนองผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญโดยมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นที่ไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำนองด้วย เมื่อโจทก์ฟ้องโดยใช้สิทธิทั้งสองประการดังกล่าวและมีคำขอท้ายฟ้องว่า หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน อันเป็นการฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องตามสิทธิที่โจทก์มีอยู่ ซึ่งแม้ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเต็มตามคำขอท้ายฟ้อง แต่การบังคับคดีโจทก์ก็ยังต้องอยู่ในบังคับของ ป.วิ.พ. มาตรา 300 ที่ห้ามไม่ให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่นซึ่งทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ได้มาจากการยึดหรืออายัดหลายรายเกินกว่าที่พอจะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา พร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมและค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน ซึ่งมีผลเป็นการกำหนดขั้นตอนในการบังคับชำระหนี้โดยให้โจทก์ต้องบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อน เมื่อไม่พอจึงจะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสาม อันเป็นการพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิในการบังคับชำระหนี้น้อยกว่าสิทธิที่มีอยู่ ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องมาแล้ว จึงเป็นการไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 30,849,949.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 19,576,749.82 บาท นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การขอให้ปรับลดในส่วนดอกเบี้ยให้แก่จำเลยทั้งสาม (ที่ถูก จำเลยที่ 1 และที่ 2)
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 30,849,949.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปี ของต้นเงิน 19,576,749.82 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 กันยายน 2562) (จนกว่าจะชำระเสร็จ) หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน หากขายทอดตลาดทรัพย์จำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบถ้วน กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระเงินหรือชำระเงินไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน หากขายทอดตลาดทรัพย์จำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบถ้วน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นบริษัทมหาชนจำกัด จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 3 เป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 2 วันที่ 27 กันยายน 2553 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งถึงกำหนดใช้เงิน 25,000,000 บาท วันที่ 6 ตุลาคม 2553 มีจำเลยที่ 2 ค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมและจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและมีจำเลยที่ 3 ค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาและทำหนังสือสัญญารับสภาพหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้กับโจทก์วันที่ 5 กรกฎาคม 2561
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดให้โจทก์บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองของจำเลยที่ 2 ก่อน ชอบหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดตั๋วเงิน 25,000,000 บาท หากผิดนัดยอมชำระเงินที่ได้รับจากการขายตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ย โดยมีจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมและจำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ และมีข้อตกลงว่า หากโจทก์บังคับเอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ยอมรับผิดชอบรับใช้เงินที่ขาดให้แก่โจทก์จนครบถ้วน โจทก์จึงเป็นทั้งเจ้าหนี้สามัญผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินทั่วไปของลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 214 และเป็นเจ้าหนี้จำนองผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญโดยมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นที่ไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำนองด้วย เมื่อโจทก์ฟ้องโดยใช้สิทธิทั้งสองประการดังกล่าวและมีคำขอท้ายฟ้องว่า หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน อันเป็นการฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องตามสิทธิที่โจทก์มีอยู่ ซึ่งแม้ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเต็มตามคำขอท้ายฟ้อง แต่การบังคับคดีโจทก์ก็ยังต้องอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 300 ที่ห้ามไม่ให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่นซึ่งทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ได้มาจากการยึดหรืออายัดหลายรายเกินกว่าที่พอจะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา พร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมและค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน ซึ่งมีผลเป็นการกำหนดขั้นตอนในการบังคับชำระหนี้ โดยให้โจทก์ต้องบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อน เมื่อไม่พอจึงจะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสาม อันเป็นการพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิในการบังคับชำระหนี้น้อยกว่าสิทธิที่มีอยู่ ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องมาแล้ว จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระเงินหรือชำระเงินไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดตั๋วเงิน 25,000,000 บาท หากผิดนัดยอมชำระเงินที่ได้รับจากการขายตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ย โดยมีจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ และมีข้อตกลงว่า หากโจทก์บังคับเอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ยอมรับผิดชอบรับใช้เงินที่ขาดให้แก่โจทก์จนครบถ้วน โจทก์จึงเป็นทั้งเจ้าหนี้สามัญผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินทั่วไปของลูกหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 214 และเป็นเจ้าหนี้จำนองผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญโดยมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นที่ไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำนองด้วย เมื่อโจทก์ฟ้องโดยใช้สิทธิทั้งสองประการดังกล่าวและมีคำขอท้ายฟ้องว่า หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน อันเป็นการฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องตามสิทธิที่โจทก์มีอยู่ ซึ่งแม้ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเต็มตามคำขอท้ายฟ้อง แต่การบังคับคดีโจทก์ก็ยังต้องอยู่ในบังคับของ ป.วิ.พ. มาตรา 300 ที่ห้ามไม่ให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่นซึ่งทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ได้มาจากการยึดหรืออายัดหลายรายเกินกว่าที่พอจะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา พร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมและค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน ซึ่งมีผลเป็นการกำหนดขั้นตอนในการบังคับชำระหนี้โดยให้โจทก์ต้องบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อน เมื่อไม่พอจึงจะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสาม อันเป็นการพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิในการบังคับชำระหนี้น้อยกว่าสิทธิที่มีอยู่ ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องมาแล้ว จึงเป็นการไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 30,849,949.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 19,576,749.82 บาท นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การขอให้ปรับลดในส่วนดอกเบี้ยให้แก่จำเลยทั้งสาม (ที่ถูก จำเลยที่ 1 และที่ 2)
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 30,849,949.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปี ของต้นเงิน 19,576,749.82 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 กันยายน 2562) (จนกว่าจะชำระเสร็จ) หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน หากขายทอดตลาดทรัพย์จำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบถ้วน กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระเงินหรือชำระเงินไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน หากขายทอดตลาดทรัพย์จำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบถ้วน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นบริษัทมหาชนจำกัด จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 3 เป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 2 วันที่ 27 กันยายน 2553 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งถึงกำหนดใช้เงิน 25,000,000 บาท วันที่ 6 ตุลาคม 2553 มีจำเลยที่ 2 ค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมและจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและมีจำเลยที่ 3 ค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาและทำหนังสือสัญญารับสภาพหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้กับโจทก์วันที่ 5 กรกฎาคม 2561
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดให้โจทก์บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองของจำเลยที่ 2 ก่อน ชอบหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดตั๋วเงิน 25,000,000 บาท หากผิดนัดยอมชำระเงินที่ได้รับจากการขายตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ย โดยมีจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมและจำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ และมีข้อตกลงว่า หากโจทก์บังคับเอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ยอมรับผิดชอบรับใช้เงินที่ขาดให้แก่โจทก์จนครบถ้วน โจทก์จึงเป็นทั้งเจ้าหนี้สามัญผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินทั่วไปของลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 214 และเป็นเจ้าหนี้จำนองผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญโดยมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นที่ไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำนองด้วย เมื่อโจทก์ฟ้องโดยใช้สิทธิทั้งสองประการดังกล่าวและมีคำขอท้ายฟ้องว่า หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน อันเป็นการฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องตามสิทธิที่โจทก์มีอยู่ ซึ่งแม้ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเต็มตามคำขอท้ายฟ้อง แต่การบังคับคดีโจทก์ก็ยังต้องอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 300 ที่ห้ามไม่ให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่นซึ่งทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ได้มาจากการยึดหรืออายัดหลายรายเกินกว่าที่พอจะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา พร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมและค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน ซึ่งมีผลเป็นการกำหนดขั้นตอนในการบังคับชำระหนี้ โดยให้โจทก์ต้องบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อน เมื่อไม่พอจึงจะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสาม อันเป็นการพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิในการบังคับชำระหนี้น้อยกว่าสิทธิที่มีอยู่ ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องมาแล้ว จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระเงินหรือชำระเงินไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ย่อมมีผลทำให้คดีเสร็จไปจากศาลชั้นต้นแล้ว ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณานับแต่โจทก์ถอนฟ้องและเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีดังกล่าว อันเป็นคำสั่งที่เกิดขึ้นภายหลังมีคำสั่งจำหน่ายคดีแล้ว คำสั่งดังกล่าวจึงไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา อุทธรณ์ของจำเลยไม่ต้องห้ามและคำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่เป็นที่สุด ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 196 และ 198 ทวิ ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และขอให้บังคับจำเลยโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์รายวัน หนึ่งราย เป็นระยะเวลาสามวันติดต่อกัน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ ก่อนสืบพยานศาลชั้นต้นไกล่เกลี่ยคู่ความ จำเลยตกลงยินยอมประกาศขอโทษโจทก์ลงหนังสือพิมพ์และสื่อออนไลน์โดยค่าใช้จ่ายของจำเลยด้วยวิธีวางศาล โจทก์จึงขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 5 สิงหาคม 2563 หลังจากนั้นศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลตรวจสำนวนแล้วเห็นว่า ศาลชั้นต้นไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามระเบียบที่จะรับเงินที่จำเลยวางเพื่อไปดำเนินการเป็นประกาศศาล เพื่อประกาศคำขอโทษในหนังสือพิมพ์และสื่อออนไลน์แทนจำเลย จึงเพิกถอนคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 5 สิงหาคม 2563 ในส่วนที่ให้จำเลยชำระค่าประกาศด้วยวิธีวางศาล หมายเรียกคู่ความมานัดพร้อมเพื่อแจ้งให้นำเงินที่วางศาลคืนไปประกาศด้วยตนเอง ให้เพิกถอนประกาศศาลแขวงพระนครเหนือ เรื่อง ประกาศขอโทษ ทุกฉบับที่ส่งไปให้หนังสือพิมพ์ไทยรัฐและไทยรัฐออนไลน์โดยด่วน
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีในวันที่ 5 สิงหาคม 2563 เสียทั้งหมด และให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
จำเลยยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องและคำสั่งจำหน่ายคดี
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งว่า การที่ศาลรับเงินค่าประกาศหนังสือพิมพ์ไว้จากจำเลยนั้น เป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม ซึ่งเป็นกระบวนพิจารณาโดยผิดหลงเป็นเหตุให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลย อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนับแต่วันที่โจทก์ถอนฟ้องจำเลยและศาลมีคำสั่งอนุญาตและให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196 จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้เพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ และมีคำสั่งใหม่ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาหรือไม่ เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 5 สิงหาคม 2563 นั้น ย่อมมีผลทำให้คดีเสร็จไปจากศาลชั้นต้นแล้ว ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณานับแต่โจทก์ถอนฟ้องและเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีดังกล่าว อันเป็นคำสั่งที่เกิดขึ้นภายหลังมีคำสั่งจำหน่ายคดีแล้ว คำสั่งดังกล่าวจึงไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา อุทธรณ์ของจำเลยไม่ต้องห้ามและคำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196 และ 198 ทวิ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ที่ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งศาลอุทธรณ์ ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยฉบับลงวันที่ 9 เมษายน 2564 ไว้พิจารณาและให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ย่อมมีผลทำให้คดีเสร็จไปจากศาลชั้นต้นแล้ว ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณานับแต่โจทก์ถอนฟ้องและเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีดังกล่าว อันเป็นคำสั่งที่เกิดขึ้นภายหลังมีคำสั่งจำหน่ายคดีแล้ว คำสั่งดังกล่าวจึงไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา อุทธรณ์ของจำเลยไม่ต้องห้ามและคำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่เป็นที่สุด ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 196 และ 198 ทวิ ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และขอให้บังคับจำเลยโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์รายวัน หนึ่งราย เป็นระยะเวลาสามวันติดต่อกัน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ ก่อนสืบพยานศาลชั้นต้นไกล่เกลี่ยคู่ความ จำเลยตกลงยินยอมประกาศขอโทษโจทก์ลงหนังสือพิมพ์และสื่อออนไลน์โดยค่าใช้จ่ายของจำเลยด้วยวิธีวางศาล โจทก์จึงขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 5 สิงหาคม 2563 หลังจากนั้นศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลตรวจสำนวนแล้วเห็นว่า ศาลชั้นต้นไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามระเบียบที่จะรับเงินที่จำเลยวางเพื่อไปดำเนินการเป็นประกาศศาล เพื่อประกาศคำขอโทษในหนังสือพิมพ์และสื่อออนไลน์แทนจำเลย จึงเพิกถอนคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 5 สิงหาคม 2563 ในส่วนที่ให้จำเลยชำระค่าประกาศด้วยวิธีวางศาล หมายเรียกคู่ความมานัดพร้อมเพื่อแจ้งให้นำเงินที่วางศาลคืนไปประกาศด้วยตนเอง ให้เพิกถอนประกาศศาลแขวงพระนครเหนือ เรื่อง ประกาศขอโทษ ทุกฉบับที่ส่งไปให้หนังสือพิมพ์ไทยรัฐและไทยรัฐออนไลน์โดยด่วน
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีในวันที่ 5 สิงหาคม 2563 เสียทั้งหมด และให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
จำเลยยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องและคำสั่งจำหน่ายคดี
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งว่า การที่ศาลรับเงินค่าประกาศหนังสือพิมพ์ไว้จากจำเลยนั้น เป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม ซึ่งเป็นกระบวนพิจารณาโดยผิดหลงเป็นเหตุให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลย อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนับแต่วันที่โจทก์ถอนฟ้องจำเลยและศาลมีคำสั่งอนุญาตและให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196 จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้เพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ และมีคำสั่งใหม่ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาหรือไม่ เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 5 สิงหาคม 2563 นั้น ย่อมมีผลทำให้คดีเสร็จไปจากศาลชั้นต้นแล้ว ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณานับแต่โจทก์ถอนฟ้องและเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีดังกล่าว อันเป็นคำสั่งที่เกิดขึ้นภายหลังมีคำสั่งจำหน่ายคดีแล้ว คำสั่งดังกล่าวจึงไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา อุทธรณ์ของจำเลยไม่ต้องห้ามและคำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196 และ 198 ทวิ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ที่ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งศาลอุทธรณ์ ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยฉบับลงวันที่ 9 เมษายน 2564 ไว้พิจารณาและให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
หากการโอนหุ้นอันเป็นทรัพย์สินของผู้ร้องที่ 1 ที่มีอยู่ในเวลาเริ่มต้นแห่งการล้มละลายตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 109 (1) ฝ่าฝืนข้อบังคับของผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1129 วรรคหนึ่ง ผู้คัดค้านที่ 1 ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 และผู้คัดค้านที่ 1 แต่ผู้เดียวที่มีอำนาจจัดการกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 แต่การที่ผู้คัดค้านที่ 1 จะมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนหุ้นเองได้นั้น ต้องมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายบัญญัติให้กระทำได้ เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้อำนาจแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ไว้ การเพิกถอนการโอนหุ้นจึงต้องเป็นไปโดยผลของคำสั่งหรือคําพิพากษาของศาล ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่มีอำนาจสั่งเพิกถอนการโอนหุ้นระหว่างผู้ร้องที่ 1 กับผู้ร้องที่ 2 และระหว่างผู้ร้องที่ 2 กับผู้ร้องที่ 3 และที่ 4 ได้ ผู้คัดค้านที่ 1 จะต้องยื่นคําร้องในคดีล้มละลายเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอนหุ้นโดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่
การโอนหุ้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นคนละกรณีกับการจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ แม้การโอนหุ้นไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1129 วรรคหนึ่ง แต่ก็ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายห้ามมิให้ครอบครองปรปักษ์ในหุ้นดังกล่าว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลล้มละลายกลางพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่าโจทก์ เรียกจำเลยที่ 4 ทั้งสองสำนวนซึ่งเป็นผู้ร้องสำนวนแรกว่าผู้ร้องที่ 1 เรียกผู้ร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 สำนวนหลังว่าผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เรียกผู้คัดค้านที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งยื่นคำร้องสอดเข้าเป็นคู่ความร่วมกับผู้คัดค้านที่ 1 ทั้งสองสำนวนว่าผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 และเรียกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ทั้งสองสำนวนว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ตามลำดับ
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ยื่นฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ผู้ร้องที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ล้มละลายเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2554 ต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2557 ให้ฟื้นฟูกิจการของผู้คัดค้านที่ 2 ในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.15/2557 และเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 และผู้ร้องที่ 1 เด็ดขาด ต่อมาวันที่ 4 ธันวาคม 2560 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายของจำเลยที่ 6 และวันที่ 8 พฤษภาคม 2561 มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 7 และผู้ร้องที่ 1 ล้มละลาย
ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องในทำนองเดียวกันขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1 ที่มีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนหุ้นของผู้คัดค้านที่ 2 ระหว่างผู้ร้องที่ 1 โอนให้แก่ผู้ร้องที่ 2 หมายเลขหุ้น 21850 ถึง 26249 จำนวน 4,400 หุ้น และระหว่างผู้ร้องที่ 2 โอนให้แก่ผู้ร้องที่ 3 และที่ 4
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านในทำนองเดียวกันขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ให้เพิกถอนการโอนหุ้นของผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 4,400 หุ้น หมายเลขหุ้น 21850 ถึง 26249 ระหว่างผู้ร้องที่ 1 ไปให้ผู้ร้องที่ 2 และระหว่างผู้ร้องที่ 2 โอนให้ผู้ร้องที่ 3 จำนวน 1,500 หุ้น หมายเลขหุ้น 23350 ถึง 24849 และระหว่างผู้ร้องที่ 2 ไปยัง ผู้ร้องที่ 4 จำนวน 1,400 หุ้น หมายเลขหุ้น 24850 ถึง 26249 และจดแจ้งชื่อและที่อยู่ของผู้ร้องที่ 1 ลงในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นคืนดังเดิม ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ข้อแรกว่า ผู้คัดค้านที่ 1 มีอำนาจสั่งเพิกถอนการโอนหุ้นระหว่างผู้ร้องที่ 1 กับผู้ร้องที่ 2 และระหว่างผู้ร้องที่ 2 กับผู้ร้องที่ 3 และที่ 4 หรือไม่ เห็นว่า แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านที่ 1 จะมีอำนาจตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ในการรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลาย แต่วิธีการใช้อำนาจดังกล่าวก็ต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่จะให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไว้เป็นพิเศษ ดังเห็นได้จากบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 113 และมาตรา 115 ที่บัญญัติให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลหรือเพิกถอนการโอนในคดีล้มละลายได้โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ ดังนั้น หากการโอนหุ้นฝ่าฝืนข้อบังคับของผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรคหนึ่ง ดังที่ผู้คัดค้านที่ 1 อ้าง การโอนหุ้นดังกล่าวก็จะเป็นการโต้แย้งสิทธิของเจ้าหนี้ที่จะได้รับชำระหนี้จากหุ้นอันเป็นทรัพย์สินของผู้ร้องที่ 1 ที่มีอยู่ในเวลาเริ่มต้นแห่งการล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 109 (1) ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งต้องกระทำการแทนเจ้าหนี้เพื่อรักษาสิทธิของเจ้าหนี้และเพื่อรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้เข้ากองทรัพย์สินและนำมาแบ่งปันแก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 และเป็นอำนาจของผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งมีอำนาจจัดการกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 แต่ผู้เดียวที่จะดำเนินการขอให้เพิกถอนการโอนหุ้นดังกล่าว แต่การที่ผู้คัดค้านที่ 1 จะมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนหุ้นเองได้นั้น ต้องมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายบัญญัติให้กระทำได้ เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้อำนาจแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ไว้ การเพิกถอนการโอนหุ้นจึงต้องเป็นไปโดยผลของคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาล ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่มีอำนาจสั่งเพิกถอนการโอนหุ้นระหว่างผู้ร้องที่ 1 กับผู้ร้องที่ 2 และระหว่างผู้ร้องที่ 2 กับผู้ร้องที่ 3 และที่ 4 ผู้คัดค้านที่ 1 จะต้องยื่นคำร้องในคดีล้มละลายเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอนหุ้นโดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกาว่า การโอนหุ้นระหว่างผู้ร้องที่ 1 กับผู้ร้องที่ 2 ฝ่าฝืนต่อข้อบังคับของบริษัทผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรคหนึ่ง ตกเป็นโมฆะ ผู้ร้องที่ 2 ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในหุ้นของผู้ร้องที่ 1 นิติกรรมการโอนดังกล่าวย่อมเสียเปล่ามาแต่ต้น เสมือนไม่เคยเกิดนิติกรรมนั้นขึ้น จะถือว่าผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์หาได้ไม่ เพราะมิได้มีการแย่งการครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตนมาแต่ต้น แต่เป็นการโอนให้โดยขัดต่อกฎหมายอย่างชัดแจ้งนั้น เห็นว่า การโอนหุ้นจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้นเป็นคนละกรณีกับการจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เนื่องจากการที่จะพิจารณาว่าการโอนหุ้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้นต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 ส่วนการพิจารณาว่าจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แม้การโอนหุ้นระหว่างผู้ร้องที่ 1 กับผู้ร้องที่ 2 ฝ่าฝืนต่อข้อบังคับของบริษัทผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรคหนึ่ง แต่ก็ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายห้ามมิให้ครอบครองปรปักษ์ในหุ้นดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า ผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ครอบครองหุ้นโดยเจตนายึดถือเพื่อตน โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมานานกว่า 5 ปี จนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง และพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่ให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หากการโอนหุ้นอันเป็นทรัพย์สินของผู้ร้องที่ 1 ที่มีอยู่ในเวลาเริ่มต้นแห่งการล้มละลายตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 109 (1) ฝ่าฝืนข้อบังคับของผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1129 วรรคหนึ่ง ผู้คัดค้านที่ 1 ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 และผู้คัดค้านที่ 1 แต่ผู้เดียวที่มีอำนาจจัดการกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 แต่การที่ผู้คัดค้านที่ 1 จะมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนหุ้นเองได้นั้น ต้องมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายบัญญัติให้กระทำได้ เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้อำนาจแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ไว้ การเพิกถอนการโอนหุ้นจึงต้องเป็นไปโดยผลของคำสั่งหรือคําพิพากษาของศาล ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่มีอำนาจสั่งเพิกถอนการโอนหุ้นระหว่างผู้ร้องที่ 1 กับผู้ร้องที่ 2 และระหว่างผู้ร้องที่ 2 กับผู้ร้องที่ 3 และที่ 4 ได้ ผู้คัดค้านที่ 1 จะต้องยื่นคําร้องในคดีล้มละลายเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอนหุ้นโดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่
การโอนหุ้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นคนละกรณีกับการจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ แม้การโอนหุ้นไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1129 วรรคหนึ่ง แต่ก็ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายห้ามมิให้ครอบครองปรปักษ์ในหุ้นดังกล่าว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลล้มละลายกลางพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่าโจทก์ เรียกจำเลยที่ 4 ทั้งสองสำนวนซึ่งเป็นผู้ร้องสำนวนแรกว่าผู้ร้องที่ 1 เรียกผู้ร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 สำนวนหลังว่าผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เรียกผู้คัดค้านที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งยื่นคำร้องสอดเข้าเป็นคู่ความร่วมกับผู้คัดค้านที่ 1 ทั้งสองสำนวนว่าผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 และเรียกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ทั้งสองสำนวนว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ตามลำดับ
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ยื่นฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ผู้ร้องที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ล้มละลายเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2554 ต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2557 ให้ฟื้นฟูกิจการของผู้คัดค้านที่ 2 ในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.15/2557 และเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 และผู้ร้องที่ 1 เด็ดขาด ต่อมาวันที่ 4 ธันวาคม 2560 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายของจำเลยที่ 6 และวันที่ 8 พฤษภาคม 2561 มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 7 และผู้ร้องที่ 1 ล้มละลาย
ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องในทำนองเดียวกันขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1 ที่มีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนหุ้นของผู้คัดค้านที่ 2 ระหว่างผู้ร้องที่ 1 โอนให้แก่ผู้ร้องที่ 2 หมายเลขหุ้น 21850 ถึง 26249 จำนวน 4,400 หุ้น และระหว่างผู้ร้องที่ 2 โอนให้แก่ผู้ร้องที่ 3 และที่ 4
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านในทำนองเดียวกันขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ให้เพิกถอนการโอนหุ้นของผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 4,400 หุ้น หมายเลขหุ้น 21850 ถึง 26249 ระหว่างผู้ร้องที่ 1 ไปให้ผู้ร้องที่ 2 และระหว่างผู้ร้องที่ 2 โอนให้ผู้ร้องที่ 3 จำนวน 1,500 หุ้น หมายเลขหุ้น 23350 ถึง 24849 และระหว่างผู้ร้องที่ 2 ไปยัง ผู้ร้องที่ 4 จำนวน 1,400 หุ้น หมายเลขหุ้น 24850 ถึง 26249 และจดแจ้งชื่อและที่อยู่ของผู้ร้องที่ 1 ลงในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นคืนดังเดิม ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ข้อแรกว่า ผู้คัดค้านที่ 1 มีอำนาจสั่งเพิกถอนการโอนหุ้นระหว่างผู้ร้องที่ 1 กับผู้ร้องที่ 2 และระหว่างผู้ร้องที่ 2 กับผู้ร้องที่ 3 และที่ 4 หรือไม่ เห็นว่า แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านที่ 1 จะมีอำนาจตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ในการรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลาย แต่วิธีการใช้อำนาจดังกล่าวก็ต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่จะให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไว้เป็นพิเศษ ดังเห็นได้จากบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 113 และมาตรา 115 ที่บัญญัติให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลหรือเพิกถอนการโอนในคดีล้มละลายได้โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ ดังนั้น หากการโอนหุ้นฝ่าฝืนข้อบังคับของผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรคหนึ่ง ดังที่ผู้คัดค้านที่ 1 อ้าง การโอนหุ้นดังกล่าวก็จะเป็นการโต้แย้งสิทธิของเจ้าหนี้ที่จะได้รับชำระหนี้จากหุ้นอันเป็นทรัพย์สินของผู้ร้องที่ 1 ที่มีอยู่ในเวลาเริ่มต้นแห่งการล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 109 (1) ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งต้องกระทำการแทนเจ้าหนี้เพื่อรักษาสิทธิของเจ้าหนี้และเพื่อรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้เข้ากองทรัพย์สินและนำมาแบ่งปันแก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 และเป็นอำนาจของผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งมีอำนาจจัดการกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 แต่ผู้เดียวที่จะดำเนินการขอให้เพิกถอนการโอนหุ้นดังกล่าว แต่การที่ผู้คัดค้านที่ 1 จะมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนหุ้นเองได้นั้น ต้องมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายบัญญัติให้กระทำได้ เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้อำนาจแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ไว้ การเพิกถอนการโอนหุ้นจึงต้องเป็นไปโดยผลของคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาล ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่มีอำนาจสั่งเพิกถอนการโอนหุ้นระหว่างผู้ร้องที่ 1 กับผู้ร้องที่ 2 และระหว่างผู้ร้องที่ 2 กับผู้ร้องที่ 3 และที่ 4 ผู้คัดค้านที่ 1 จะต้องยื่นคำร้องในคดีล้มละลายเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอนหุ้นโดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกาว่า การโอนหุ้นระหว่างผู้ร้องที่ 1 กับผู้ร้องที่ 2 ฝ่าฝืนต่อข้อบังคับของบริษัทผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรคหนึ่ง ตกเป็นโมฆะ ผู้ร้องที่ 2 ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในหุ้นของผู้ร้องที่ 1 นิติกรรมการโอนดังกล่าวย่อมเสียเปล่ามาแต่ต้น เสมือนไม่เคยเกิดนิติกรรมนั้นขึ้น จะถือว่าผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์หาได้ไม่ เพราะมิได้มีการแย่งการครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตนมาแต่ต้น แต่เป็นการโอนให้โดยขัดต่อกฎหมายอย่างชัดแจ้งนั้น เห็นว่า การโอนหุ้นจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้นเป็นคนละกรณีกับการจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เนื่องจากการที่จะพิจารณาว่าการโอนหุ้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้นต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 ส่วนการพิจารณาว่าจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แม้การโอนหุ้นระหว่างผู้ร้องที่ 1 กับผู้ร้องที่ 2 ฝ่าฝืนต่อข้อบังคับของบริษัทผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรคหนึ่ง แต่ก็ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายห้ามมิให้ครอบครองปรปักษ์ในหุ้นดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า ผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ครอบครองหุ้นโดยเจตนายึดถือเพื่อตน โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมานานกว่า 5 ปี จนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง และพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่ให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว อำนาจในการจัดการทรัพย์สินของจำเลยย่อมตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว และทรัพย์สินของจำเลยทั้งหมดย่อมต้องถูกรวบรวมเข้ามาเพื่อการจัดการในคดีล้มละลายเท่านั้น ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 แม้ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย แต่ผู้คัดค้านที่ 2 จะบังคับชำระหนี้ได้ก็แต่โดยปฏิบัติตามวิธีการที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ล้มละลายเท่านั้น ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 27 ซึ่งต่อมาผู้คัดค้านที่ 2 ก็ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยในฐานะเจ้าหนี้มีประกันด้วยการขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายทอดตลาดทรัพย์หลักประกันแล้วขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 96 (3) การที่ผู้คัดค้านที่ 2 ดำเนินการบังคับคดีในคดีแพ่งโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยซึ่งรวมทั้งห้องชุดพิพาทในวันที่ 15 มีนาคม 2560 อันเป็นเวลาภายหลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้วย่อมเป็นการไม่ชอบ และผู้ร้องก็ไม่อาจยื่นคำร้องขอกันส่วนเป็นคดีสาขาในคดีแพ่งดังกล่าวได้เช่นกัน ผลคำพิพากษาคดีที่ขอกันส่วนไม่มีผลผูกพันคู่ความในคดีดังกล่าวรวมถึงผู้คัดค้านที่ 1 เพราะกระบวนพิจารณาในชั้นขอกันส่วนในคดีแพ่งเป็นกระบวนพิจารณาที่ทำขึ้นภายหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบมาตรา 252 และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 28/2 วรรคสองพฤติการณ์ของผู้คัดค้านที่ 2 ไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 2 รับจำนองห้องชุดพิพาทไว้โดยสุจริต การกระทำของจำเลยและผู้คัดค้านที่ 2 ทำให้ผู้ร้องซึ่งชำระราคาห้องชุดครบถ้วนแล้วเสียหาย เมื่อการจดทะเบียนจำนองระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านที่ 2 เป็นทางเสียเปรียบแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้อยู่ก่อน ผู้ร้องจึงเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองห้องชุดดังกล่าวได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่ในการรวบรวมและจัดการทรัพย์สินของจำเลยจึงต้องโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดพิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนอง และไม่จำต้องนำเงินจากกองทรัพย์สินของจำเลยไปไถ่ถอนจำนองห้องชุดพิพาทจากผู้คัดค้านที่ 2
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2558 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2559
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งให้ปล่อยการยึดและพิพากษาให้โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทแก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนองหรือปราศจากภาระผูกพันใด ๆ
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับ ให้ผู้คัดค้านที่ 1 นำเงินจากกองทรัพย์สินของจำเลยไปไถ่ถอนจำนองห้องชุดเลขที่ 39/23 ชั้นที่ 3 อาคารเลขที่ 1 ชื่ออาคารชุด ย. ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 5/2553 กรุงเทพมหานคร จากผู้คัดค้านที่ 2 แล้วโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนอง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่ไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2550 ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดเลขที่ 307 ในโครงการก่อสร้าง ย. กับจำเลย ต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2550 ผู้ร้องชำระเงินค่าห้องชุดให้แก่จำเลยงวดเดียวเป็นเงิน 5,096,250 บาท โดยหักส่วนลดตามที่ตกลงกันแล้ว แต่โครงการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ และจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทให้แก่ผู้ร้องภายในวันที่ 22 ธันวาคม 2550 ตามที่กำหนดในสัญญา วันที่ 20 พฤษภาคม 2552 จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 1112 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ไว้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 จำเลยก่อสร้างโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จ พนักงานเจ้าหน้าที่รับจดทะเบียนอาคารชุดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553 สำหรับห้องชุดพิพาทเลขที่ 307 ต่อมาจดทะเบียนเป็นห้องชุดเลขที่ 39/23 วันที่ 30 มกราคม 2557 ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยกับพวกชำระหนี้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเงิน 81,000,000 บาทเศษ พร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระ ให้ยึดห้องชุดซึ่งรวมทั้งห้องชุดพิพาทและทรัพย์สินอื่นของจำเลยกับพวกออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบถ้วน คดีถึงที่สุด ศาลแพ่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อจัดการยึดทรัพย์สินของจำเลยกับพวกแล้ว วันที่ 5 มีนาคม 2558 ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 30,000 บาท แก่ผู้ร้อง และให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทโดยปราศจากภาระผูกพันให้แก่ผู้ร้อง หากโอนไม่ได้ให้จำเลยใช้เงิน 5,096,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้ร้อง คดีถึงที่สุด หลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ผู้คัดค้านที่ 2 ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 96 (3) ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยซึ่งรวมทั้งห้องชุดพิพาทด้วย คดีส่วนนี้ถึงที่สุด ต่อมาวันที่ 12 เมษายน 2560 ผู้ร้องยื่นคำร้องในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.317/2557 เป็นคดีสาขาดำที่ ก.14/2560 ขอให้มีคำสั่งกันส่วนห้องชุดพิพาท ศาลแพ่งพิจารณาแล้วมีคำสั่งเป็นคดีสาขาแดงที่ ก.29/2560 ให้เพิกถอนการยึดห้องชุดพิพาท ผู้คัดค้านที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้ร้องว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ต้องนำเงินจากกองทรัพย์สินของจำเลยไปไถ่ถอนจำนองห้องชุดพิพาทจากผู้คัดค้านที่ 2 แล้วโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนองหรือไม่ ก่อนวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายเห็นควรวินิจฉัยก่อนว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอกันส่วนในคดีหมายเลขแดงที่ ผบ.317/2557 ของศาลแพ่ง เป็นคดีสาขาดำที่ ก.14/2560 เพื่อขอให้ศาลแพ่งมีคำสั่งกันส่วนห้องชุดพิพาทภายหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้วเป็นการชอบหรือไม่ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบมาตรา 252 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 28/2 วรรคสอง เห็นว่า เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว อำนาจในการจัดการทรัพย์สินของจำเลยย่อมตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว และทรัพย์สินของจำเลยทั้งหมดย่อมต้องถูกรวบรวมเข้ามาเพื่อการจัดการในคดีล้มละลายเท่านั้น ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 แม้ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ผบ.317/2557 ของศาลแพ่ง แต่เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว ผู้คัดค้านที่ 2 จะบังคับชำระหนี้ได้ก็แต่โดยปฏิบัติตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลายเท่านั้น ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 27 ซึ่งต่อมาผู้คัดค้านที่ 2 ก็ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยในฐานะเจ้าหนี้มีประกันด้วยการขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายทอดตลาดทรัพย์หลักประกันแล้วขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 96 (3) การที่ผู้คัดค้านที่ 2 ดำเนินการบังคับคดีในคดีแพ่งดังกล่าวโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยซึ่งรวมทั้งห้องชุดพิพาทในวันที่ 15 มีนาคม 2560 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว เช่นนี้ ย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย และผู้ร้องซึ่งอ้างว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวเนื่องกับห้องชุดพิพาทที่ถูกยึดก็ไม่อาจยื่นคำร้องขอกันส่วนเป็นคดีสาขาในคดีแพ่งดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน การที่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอกันส่วนเป็นคดีสาขาดำที่ ก.14/2560 ในคดีหมายเลขแดงที่ ผบ.317/2557 ของศาลแพ่ง แล้วต่อมามีผลคำพิพากษาไม่ว่าในศาลชั้นต้นหรือชั้นอุทธรณ์เป็นประการใดก็ตาม ผลคำพิพากษาดังกล่าวก็ไม่มีผลผูกพันคู่ความในคดีดังกล่าวรวมตลอดถึงผู้คัดค้านที่ 1 เพราะกระบวนพิจารณาในชั้นขอกันส่วนในคดีแพ่งเป็นกระบวนพิจารณาที่ทำขึ้นภายหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว
สำหรับปัญหาว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ต้องนำเงินจากกองทรัพย์สินของจำเลยไปไถ่ถอนจำนองห้องชุดพิพาทจากผู้คัดค้านที่ 2 แล้วโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนองหรือไม่ ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกาในทำนองเดียวกันว่า ผู้คัดค้านที่ 2 ในฐานะผู้รับจำนองห้องชุดพิพาทมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องซึ่งเป็นเพียงบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ผู้ร้องไม่อาจบังคับคดีแก่ห้องชุดพิพาทให้กระทบกระทั่งบุริมสิทธิจำนองของผู้คัดค้านที่ 2 เหนือห้องชุดดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 (เดิม) ส่วนผู้ร้องฎีกาว่า ผู้คัดค้านที่ 2 รับจำนองห้องชุดพิพาทโดยไม่สุจริต ผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่จำต้องนำเงินจากกองทรัพย์สินของจำเลยไปไถ่ถอนจำนองจากผู้คัดค้านที่ 2 เห็นว่า เมื่อพิจารณาว่าจำเลยประกอบธุรกิจพัฒนาและก่อสร้างอาคารชุดเพื่อขายแก่ประชาชนทั่วไป โดยเปิดให้ประชาชนสามารถซื้อหรือจองซื้อห้องชุดได้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มก่อสร้าง ผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน ประกอบธุรกิจรับจำนองเป็นปกติ ย่อมต้องทราบในเรื่องการดำเนินธุรกิจประเภทเดียวกับจำเลยเป็นอย่างดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คัดค้านที่ 2 รับจำนองห้องชุดในโครงการอาคารชุดของจำเลยในขณะที่การก่อสร้างอาคารชุดใกล้แล้วเสร็จเช่นนี้ ก่อนให้สินเชื่อแก่จำเลย ผู้คัดค้านที่ 2 ย่อมต้องพิจารณาสถานะกิจการของจำเลย โครงสร้างธุรกิจของจำเลย และรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์ที่จะนำมาจดทะเบียนจำนองเป็นหลักประกัน โดยเฉพาะในกรณีที่หลักประกันเป็นห้องชุด ผู้คัดค้านที่ 2 ควรต้องตรวจสอบเกี่ยวกับการซื้อขายห้องชุดว่าเป็นไปในรูปแบบใด เป็นจำนวนเท่าใด มีการชำระราคาครบถ้วนแล้วหรือไม่อย่างไร ด้วยวิธีการใด และจำเลยมีภาระผูกพันต่อผู้ซื้อหรือผู้จองซื้อห้องชุดในโครงการอย่างไรหรือไม่ เพียงใด เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาว่าสมควรให้สินเชื่อแก่จำเลยหรือไม่ เพียงใด แต่ทางนำสืบของผู้คัดค้านที่ 2 ได้ความเพียงว่า ก่อนให้สินเชื่อ พนักงานสินเชื่อของผู้คัดค้านที่ 2 ได้ไปตรวจดูพบว่าห้องชุดยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ และยังไม่มีผู้ใดพักอาศัยเท่านั้น โดยไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านที่ 2 ได้เรียกหลักฐานที่จำเลยจักต้องมีภาระผูกพันต่อผู้ซื้อหรือผู้จองซื้อห้องชุดในโครงการอาคารชุดของจำเลยมาตรวจสอบก่อนว่ามีหรือไม่เพียงใด ทั้งที่เป็นการง่ายที่จะเรียกจากจำเลยก่อนที่จะพิจารณาอนุมัติการให้สินเชื่อแก่จำเลย ซึ่งหากมีการตรวจสอบโดยละเอียด ผู้คัดค้านที่ 2 ก็ย่อมสามารถทราบได้ในทันทีว่าจำเลยมีภาระผูกพันที่จะต้องโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดพิพาทให้แก่ผู้ร้อง เนื่องจากผู้ร้องได้ชำระราคาห้องชุดครบถ้วนแล้ว พฤติการณ์ของผู้คัดค้านที่ 2 ดังกล่าวมาไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 2 รับจำนองห้องชุดพิพาทไว้โดยสุจริต การกระทำของจำเลยและผู้คัดค้านที่ 2 ทำให้ผู้ร้องเสียหาย เมื่อการจดทะเบียนจำนองระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านที่ 2 เป็นทางเสียเปรียบแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้อยู่ก่อนในห้องชุดพิพาท ผู้ร้องจึงอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองห้องชุดดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่ในการรวบรวมและจัดการทรัพย์สินของจำเลยจึงต้องโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดพิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนอง ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น เมื่อข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 2 รับจำนองห้องชุดพิพาทโดยสุจริตดังได้วินิจฉัยแล้ว ผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่จำต้องนำเงินจากกองทรัพย์สินของจำเลยไปไถ่ถอนจำนองห้องชุดพิพาทจากผู้คัดค้านที่ 2 การที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้ผู้คัดค้านที่ 1 นำเงินจากกองทรัพย์สินของจำเลยไปไถ่ถอนจำนองห้องชุดพิพาทก่อนแล้วจึงโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนองนั้นไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการยึดและให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองห้องชุดเลขที่ 39/23 ชั้นที่ 3 อาคารเลขที่ 1 ชื่ออาคารชุด ย. ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 5/2553 กรุงเทพมหานคร ระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านที่ 2 และให้ผู้คัดค้านที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทดังกล่าวแก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนอง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว อำนาจในการจัดการทรัพย์สินของจำเลยย่อมตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว และทรัพย์สินของจำเลยทั้งหมดย่อมต้องถูกรวบรวมเข้ามาเพื่อการจัดการในคดีล้มละลายเท่านั้น ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 แม้ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย แต่ผู้คัดค้านที่ 2 จะบังคับชำระหนี้ได้ก็แต่โดยปฏิบัติตามวิธีการที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ล้มละลายเท่านั้น ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 27 ซึ่งต่อมาผู้คัดค้านที่ 2 ก็ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยในฐานะเจ้าหนี้มีประกันด้วยการขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายทอดตลาดทรัพย์หลักประกันแล้วขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 96 (3) การที่ผู้คัดค้านที่ 2 ดำเนินการบังคับคดีในคดีแพ่งโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยซึ่งรวมทั้งห้องชุดพิพาทในวันที่ 15 มีนาคม 2560 อันเป็นเวลาภายหลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้วย่อมเป็นการไม่ชอบ และผู้ร้องก็ไม่อาจยื่นคำร้องขอกันส่วนเป็นคดีสาขาในคดีแพ่งดังกล่าวได้เช่นกัน ผลคำพิพากษาคดีที่ขอกันส่วนไม่มีผลผูกพันคู่ความในคดีดังกล่าวรวมถึงผู้คัดค้านที่ 1 เพราะกระบวนพิจารณาในชั้นขอกันส่วนในคดีแพ่งเป็นกระบวนพิจารณาที่ทำขึ้นภายหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบมาตรา 252 และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 28/2 วรรคสองพฤติการณ์ของผู้คัดค้านที่ 2 ไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 2 รับจำนองห้องชุดพิพาทไว้โดยสุจริต การกระทำของจำเลยและผู้คัดค้านที่ 2 ทำให้ผู้ร้องซึ่งชำระราคาห้องชุดครบถ้วนแล้วเสียหาย เมื่อการจดทะเบียนจำนองระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านที่ 2 เป็นทางเสียเปรียบแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้อยู่ก่อน ผู้ร้องจึงเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองห้องชุดดังกล่าวได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่ในการรวบรวมและจัดการทรัพย์สินของจำเลยจึงต้องโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดพิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนอง และไม่จำต้องนำเงินจากกองทรัพย์สินของจำเลยไปไถ่ถอนจำนองห้องชุดพิพาทจากผู้คัดค้านที่ 2
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2558 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2559
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งให้ปล่อยการยึดและพิพากษาให้โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทแก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนองหรือปราศจากภาระผูกพันใด ๆ
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับ ให้ผู้คัดค้านที่ 1 นำเงินจากกองทรัพย์สินของจำเลยไปไถ่ถอนจำนองห้องชุดเลขที่ 39/23 ชั้นที่ 3 อาคารเลขที่ 1 ชื่ออาคารชุด ย. ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 5/2553 กรุงเทพมหานคร จากผู้คัดค้านที่ 2 แล้วโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนอง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่ไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2550 ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดเลขที่ 307 ในโครงการก่อสร้าง ย. กับจำเลย ต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2550 ผู้ร้องชำระเงินค่าห้องชุดให้แก่จำเลยงวดเดียวเป็นเงิน 5,096,250 บาท โดยหักส่วนลดตามที่ตกลงกันแล้ว แต่โครงการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ และจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทให้แก่ผู้ร้องภายในวันที่ 22 ธันวาคม 2550 ตามที่กำหนดในสัญญา วันที่ 20 พฤษภาคม 2552 จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 1112 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ไว้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 จำเลยก่อสร้างโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จ พนักงานเจ้าหน้าที่รับจดทะเบียนอาคารชุดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553 สำหรับห้องชุดพิพาทเลขที่ 307 ต่อมาจดทะเบียนเป็นห้องชุดเลขที่ 39/23 วันที่ 30 มกราคม 2557 ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยกับพวกชำระหนี้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเงิน 81,000,000 บาทเศษ พร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระ ให้ยึดห้องชุดซึ่งรวมทั้งห้องชุดพิพาทและทรัพย์สินอื่นของจำเลยกับพวกออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบถ้วน คดีถึงที่สุด ศาลแพ่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อจัดการยึดทรัพย์สินของจำเลยกับพวกแล้ว วันที่ 5 มีนาคม 2558 ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 30,000 บาท แก่ผู้ร้อง และให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทโดยปราศจากภาระผูกพันให้แก่ผู้ร้อง หากโอนไม่ได้ให้จำเลยใช้เงิน 5,096,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้ร้อง คดีถึงที่สุด หลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ผู้คัดค้านที่ 2 ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 96 (3) ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยซึ่งรวมทั้งห้องชุดพิพาทด้วย คดีส่วนนี้ถึงที่สุด ต่อมาวันที่ 12 เมษายน 2560 ผู้ร้องยื่นคำร้องในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.317/2557 เป็นคดีสาขาดำที่ ก.14/2560 ขอให้มีคำสั่งกันส่วนห้องชุดพิพาท ศาลแพ่งพิจารณาแล้วมีคำสั่งเป็นคดีสาขาแดงที่ ก.29/2560 ให้เพิกถอนการยึดห้องชุดพิพาท ผู้คัดค้านที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้ร้องว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ต้องนำเงินจากกองทรัพย์สินของจำเลยไปไถ่ถอนจำนองห้องชุดพิพาทจากผู้คัดค้านที่ 2 แล้วโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนองหรือไม่ ก่อนวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายเห็นควรวินิจฉัยก่อนว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอกันส่วนในคดีหมายเลขแดงที่ ผบ.317/2557 ของศาลแพ่ง เป็นคดีสาขาดำที่ ก.14/2560 เพื่อขอให้ศาลแพ่งมีคำสั่งกันส่วนห้องชุดพิพาทภายหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้วเป็นการชอบหรือไม่ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบมาตรา 252 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 28/2 วรรคสอง เห็นว่า เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว อำนาจในการจัดการทรัพย์สินของจำเลยย่อมตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว และทรัพย์สินของจำเลยทั้งหมดย่อมต้องถูกรวบรวมเข้ามาเพื่อการจัดการในคดีล้มละลายเท่านั้น ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 แม้ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ผบ.317/2557 ของศาลแพ่ง แต่เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว ผู้คัดค้านที่ 2 จะบังคับชำระหนี้ได้ก็แต่โดยปฏิบัติตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลายเท่านั้น ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 27 ซึ่งต่อมาผู้คัดค้านที่ 2 ก็ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยในฐานะเจ้าหนี้มีประกันด้วยการขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายทอดตลาดทรัพย์หลักประกันแล้วขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 96 (3) การที่ผู้คัดค้านที่ 2 ดำเนินการบังคับคดีในคดีแพ่งดังกล่าวโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยซึ่งรวมทั้งห้องชุดพิพาทในวันที่ 15 มีนาคม 2560 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว เช่นนี้ ย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย และผู้ร้องซึ่งอ้างว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวเนื่องกับห้องชุดพิพาทที่ถูกยึดก็ไม่อาจยื่นคำร้องขอกันส่วนเป็นคดีสาขาในคดีแพ่งดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน การที่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอกันส่วนเป็นคดีสาขาดำที่ ก.14/2560 ในคดีหมายเลขแดงที่ ผบ.317/2557 ของศาลแพ่ง แล้วต่อมามีผลคำพิพากษาไม่ว่าในศาลชั้นต้นหรือชั้นอุทธรณ์เป็นประการใดก็ตาม ผลคำพิพากษาดังกล่าวก็ไม่มีผลผูกพันคู่ความในคดีดังกล่าวรวมตลอดถึงผู้คัดค้านที่ 1 เพราะกระบวนพิจารณาในชั้นขอกันส่วนในคดีแพ่งเป็นกระบวนพิจารณาที่ทำขึ้นภายหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว
สำหรับปัญหาว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ต้องนำเงินจากกองทรัพย์สินของจำเลยไปไถ่ถอนจำนองห้องชุดพิพาทจากผู้คัดค้านที่ 2 แล้วโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนองหรือไม่ ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกาในทำนองเดียวกันว่า ผู้คัดค้านที่ 2 ในฐานะผู้รับจำนองห้องชุดพิพาทมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องซึ่งเป็นเพียงบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ผู้ร้องไม่อาจบังคับคดีแก่ห้องชุดพิพาทให้กระทบกระทั่งบุริมสิทธิจำนองของผู้คัดค้านที่ 2 เหนือห้องชุดดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 (เดิม) ส่วนผู้ร้องฎีกาว่า ผู้คัดค้านที่ 2 รับจำนองห้องชุดพิพาทโดยไม่สุจริต ผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่จำต้องนำเงินจากกองทรัพย์สินของจำเลยไปไถ่ถอนจำนองจากผู้คัดค้านที่ 2 เห็นว่า เมื่อพิจารณาว่าจำเลยประกอบธุรกิจพัฒนาและก่อสร้างอาคารชุดเพื่อขายแก่ประชาชนทั่วไป โดยเปิดให้ประชาชนสามารถซื้อหรือจองซื้อห้องชุดได้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มก่อสร้าง ผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน ประกอบธุรกิจรับจำนองเป็นปกติ ย่อมต้องทราบในเรื่องการดำเนินธุรกิจประเภทเดียวกับจำเลยเป็นอย่างดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คัดค้านที่ 2 รับจำนองห้องชุดในโครงการอาคารชุดของจำเลยในขณะที่การก่อสร้างอาคารชุดใกล้แล้วเสร็จเช่นนี้ ก่อนให้สินเชื่อแก่จำเลย ผู้คัดค้านที่ 2 ย่อมต้องพิจารณาสถานะกิจการของจำเลย โครงสร้างธุรกิจของจำเลย และรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์ที่จะนำมาจดทะเบียนจำนองเป็นหลักประกัน โดยเฉพาะในกรณีที่หลักประกันเป็นห้องชุด ผู้คัดค้านที่ 2 ควรต้องตรวจสอบเกี่ยวกับการซื้อขายห้องชุดว่าเป็นไปในรูปแบบใด เป็นจำนวนเท่าใด มีการชำระราคาครบถ้วนแล้วหรือไม่อย่างไร ด้วยวิธีการใด และจำเลยมีภาระผูกพันต่อผู้ซื้อหรือผู้จองซื้อห้องชุดในโครงการอย่างไรหรือไม่ เพียงใด เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาว่าสมควรให้สินเชื่อแก่จำเลยหรือไม่ เพียงใด แต่ทางนำสืบของผู้คัดค้านที่ 2 ได้ความเพียงว่า ก่อนให้สินเชื่อ พนักงานสินเชื่อของผู้คัดค้านที่ 2 ได้ไปตรวจดูพบว่าห้องชุดยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ และยังไม่มีผู้ใดพักอาศัยเท่านั้น โดยไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านที่ 2 ได้เรียกหลักฐานที่จำเลยจักต้องมีภาระผูกพันต่อผู้ซื้อหรือผู้จองซื้อห้องชุดในโครงการอาคารชุดของจำเลยมาตรวจสอบก่อนว่ามีหรือไม่เพียงใด ทั้งที่เป็นการง่ายที่จะเรียกจากจำเลยก่อนที่จะพิจารณาอนุมัติการให้สินเชื่อแก่จำเลย ซึ่งหากมีการตรวจสอบโดยละเอียด ผู้คัดค้านที่ 2 ก็ย่อมสามารถทราบได้ในทันทีว่าจำเลยมีภาระผูกพันที่จะต้องโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดพิพาทให้แก่ผู้ร้อง เนื่องจากผู้ร้องได้ชำระราคาห้องชุดครบถ้วนแล้ว พฤติการณ์ของผู้คัดค้านที่ 2 ดังกล่าวมาไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 2 รับจำนองห้องชุดพิพาทไว้โดยสุจริต การกระทำของจำเลยและผู้คัดค้านที่ 2 ทำให้ผู้ร้องเสียหาย เมื่อการจดทะเบียนจำนองระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านที่ 2 เป็นทางเสียเปรียบแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้อยู่ก่อนในห้องชุดพิพาท ผู้ร้องจึงอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองห้องชุดดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่ในการรวบรวมและจัดการทรัพย์สินของจำเลยจึงต้องโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดพิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนอง ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น เมื่อข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 2 รับจำนองห้องชุดพิพาทโดยสุจริตดังได้วินิจฉัยแล้ว ผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่จำต้องนำเงินจากกองทรัพย์สินของจำเลยไปไถ่ถอนจำนองห้องชุดพิพาทจากผู้คัดค้านที่ 2 การที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้ผู้คัดค้านที่ 1 นำเงินจากกองทรัพย์สินของจำเลยไปไถ่ถอนจำนองห้องชุดพิพาทก่อนแล้วจึงโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนองนั้นไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการยึดและให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองห้องชุดเลขที่ 39/23 ชั้นที่ 3 อาคารเลขที่ 1 ชื่ออาคารชุด ย. ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 5/2553 กรุงเทพมหานคร ระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านที่ 2 และให้ผู้คัดค้านที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทดังกล่าวแก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนอง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ขณะโจทก์ทั้งสองซื้อโฉนดที่ดินพิพาท ตามสารบัญการจดทะเบียนปรากฏทรัพยสิทธิ คือ ภาระจำยอมบนที่ดินของจำเลย โดยจำเลยมิได้ใช้สิทธิโต้แย้งทรัพยสิทธิดังกล่าว โจทก์ทั้งสองย่อมเข้าใจโดยสุจริตว่าภาระจำยอมยังคงอยู่ แม้ทางภาระจำยอมพิพาทจะไม่มีการใช้ประโยชน์เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ย่อมระงับสิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1399 แต่เมื่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของภารยทรัพย์ยังมิได้จดทะเบียนระงับภาระจำยอมนั้น จำเลยจะยกเอาการระงับแห่งภาระจำยอมขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับโอนสามยทรัพย์มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตหาได้ไม่
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อรั้วเหล็กที่ปิดกั้นให้พ้นจากที่ดินโฉนดเลขที่ 665 เลขที่ดิน 588 หากจำเลยเพิกเฉยให้โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ดำเนินการโดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่าย ห้ามจำเลยทำรั้วเหล็กหรือวัตถุใด ๆ ปิดกั้นหรือขัดขวางการเดินหรือการใช้รถยนต์เข้าออกที่ดินโฉนดเลขที่ 665 เลขที่ดิน 588 ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ารั้วเหล็กจะถูกรื้อถอน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ทั้งสองจดทะเบียนปลอดภาระจำยอมให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 665 เลขที่ดิน 588 แก่จำเลย หากโจทก์ทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วเหล็กที่ปิดกั้นทางภาระจำยอมตามที่จดทะเบียนไว้บนที่ดินโฉนดเลขที่ 665 เลขที่ดิน 588 หากจำเลยเพิกเฉยให้ดำเนินการบังคับคดีตามกฎหมาย และห้ามจำเลยทำรั้วหรือปิดกั้นหรือขัดขวางการใช้ทางภาระจำยอมตามที่ปรากฏในบันทึกข้อตกลงเรื่องภาระจำยอม ฉบับลงวันที่ 27 มิถุนายน 2537 กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสอง และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับว่า ให้ภาระจำยอมเรื่องทางเดินหรือทางรถยนต์ของที่ดินโฉนดเลขที่ 665 เลขที่ดิน 588 ที่มีอยู่แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 661 เลขที่ดิน 583 สิ้นไป ให้โจทก์ทั้งสองจดทะเบียนปลอดภาระจำยอมให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 665 เลขที่ดิน 588 หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 661 เลขที่ดิน 583 โดยซื้อมาจาก ธนาคาร ก.เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2560 จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 665 เลขที่ดิน 588 ซึ่งนางสุวรรณา และนางสมถวิล ผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิมในที่ดินดังกล่าวของจำเลยได้จดทะเบียนนิติกรรมให้ที่ดินแปลงของจำเลยตกอยู่ภายใต้ภาระจำยอม เรื่อง ทางเดินและทางรถยนต์แก่ที่ดินแปลงที่โจทก์ทั้งสองถือกรรมสิทธิ์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ชอบหรือไม่ โดยโจทก์ทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินจาก ธนาคาร ก.เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2560 นับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 ปี ขณะซื้อขายนั้น ทรัพยสิทธิคือภาระจำยอมบนที่ดินของจำเลยยังคงปรากฏอยู่ที่โฉนดที่ดินเลขที่ 665 เลขที่ดิน 588 จำเลยมิได้ใช้สิทธิโต้แย้งทรัพยสิทธิในที่ดินแปลงที่โจทก์ทั้งสองซื้อ ทั้งมิได้จำหน่ายทรัพยสิทธิดังกล่าวไปจากโฉนดที่ดิน ทำให้โจทก์ทั้งสองเข้าใจว่าทรัพยสิทธิดังกล่าวยังคงมีอยู่ตราบเท่าที่ยังไม่ได้จดทะเบียนยกเลิกทางภาระจำยอม ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า แม้ทางภาระจำยอมพิพาทไม่มีการใช้ประโยชน์เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ย่อมระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 แต่เมื่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของภารยทรัพย์ยังมิได้จดทะเบียนระงับภาระจำยอมนั้น จำเลยจะยกเอาการระงับแห่งภาระจำยอมขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับโอนสามยทรัพย์มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินในขณะที่ยังมิได้มีการจดทะเบียนระงับภาระจำยอมบนที่ดินของจำเลย โจทก์ทั้งสองย่อมเข้าใจโดยสุจริตว่าภาระจำยอมยังคงอยู่ เมื่อโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว จำเลยจะยกข้อต่อสู้เรื่องการระงับแห่งภาระจำยอมอ้างต่อโจทก์ทั้งสองหาได้ไม่ เมื่อภาระจำยอมยังคงอยู่บนที่ดินของจำเลย จำเลยจึงต้องรื้อถอนรั้วเหล็กที่ปิดกั้นทางภาระจำยอมออกจากที่ดิน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ
ขณะโจทก์ทั้งสองซื้อโฉนดที่ดินพิพาท ตามสารบัญการจดทะเบียนปรากฏทรัพยสิทธิ คือ ภาระจำยอมบนที่ดินของจำเลย โดยจำเลยมิได้ใช้สิทธิโต้แย้งทรัพยสิทธิดังกล่าว โจทก์ทั้งสองย่อมเข้าใจโดยสุจริตว่าภาระจำยอมยังคงอยู่ แม้ทางภาระจำยอมพิพาทจะไม่มีการใช้ประโยชน์เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ย่อมระงับสิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1399 แต่เมื่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของภารยทรัพย์ยังมิได้จดทะเบียนระงับภาระจำยอมนั้น จำเลยจะยกเอาการระงับแห่งภาระจำยอมขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับโอนสามยทรัพย์มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตหาได้ไม่
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อรั้วเหล็กที่ปิดกั้นให้พ้นจากที่ดินโฉนดเลขที่ 665 เลขที่ดิน 588 หากจำเลยเพิกเฉยให้โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ดำเนินการโดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่าย ห้ามจำเลยทำรั้วเหล็กหรือวัตถุใด ๆ ปิดกั้นหรือขัดขวางการเดินหรือการใช้รถยนต์เข้าออกที่ดินโฉนดเลขที่ 665 เลขที่ดิน 588 ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ารั้วเหล็กจะถูกรื้อถอน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ทั้งสองจดทะเบียนปลอดภาระจำยอมให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 665 เลขที่ดิน 588 แก่จำเลย หากโจทก์ทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วเหล็กที่ปิดกั้นทางภาระจำยอมตามที่จดทะเบียนไว้บนที่ดินโฉนดเลขที่ 665 เลขที่ดิน 588 หากจำเลยเพิกเฉยให้ดำเนินการบังคับคดีตามกฎหมาย และห้ามจำเลยทำรั้วหรือปิดกั้นหรือขัดขวางการใช้ทางภาระจำยอมตามที่ปรากฏในบันทึกข้อตกลงเรื่องภาระจำยอม ฉบับลงวันที่ 27 มิถุนายน 2537 กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสอง และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับว่า ให้ภาระจำยอมเรื่องทางเดินหรือทางรถยนต์ของที่ดินโฉนดเลขที่ 665 เลขที่ดิน 588 ที่มีอยู่แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 661 เลขที่ดิน 583 สิ้นไป ให้โจทก์ทั้งสองจดทะเบียนปลอดภาระจำยอมให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 665 เลขที่ดิน 588 หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 661 เลขที่ดิน 583 โดยซื้อมาจาก ธนาคาร ก.เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2560 จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 665 เลขที่ดิน 588 ซึ่งนางสุวรรณา และนางสมถวิล ผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิมในที่ดินดังกล่าวของจำเลยได้จดทะเบียนนิติกรรมให้ที่ดินแปลงของจำเลยตกอยู่ภายใต้ภาระจำยอม เรื่อง ทางเดินและทางรถยนต์แก่ที่ดินแปลงที่โจทก์ทั้งสองถือกรรมสิทธิ์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ชอบหรือไม่ โดยโจทก์ทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินจาก ธนาคาร ก.เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2560 นับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 ปี ขณะซื้อขายนั้น ทรัพยสิทธิคือภาระจำยอมบนที่ดินของจำเลยยังคงปรากฏอยู่ที่โฉนดที่ดินเลขที่ 665 เลขที่ดิน 588 จำเลยมิได้ใช้สิทธิโต้แย้งทรัพยสิทธิในที่ดินแปลงที่โจทก์ทั้งสองซื้อ ทั้งมิได้จำหน่ายทรัพยสิทธิดังกล่าวไปจากโฉนดที่ดิน ทำให้โจทก์ทั้งสองเข้าใจว่าทรัพยสิทธิดังกล่าวยังคงมีอยู่ตราบเท่าที่ยังไม่ได้จดทะเบียนยกเลิกทางภาระจำยอม ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า แม้ทางภาระจำยอมพิพาทไม่มีการใช้ประโยชน์เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ย่อมระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 แต่เมื่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของภารยทรัพย์ยังมิได้จดทะเบียนระงับภาระจำยอมนั้น จำเลยจะยกเอาการระงับแห่งภาระจำยอมขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับโอนสามยทรัพย์มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินในขณะที่ยังมิได้มีการจดทะเบียนระงับภาระจำยอมบนที่ดินของจำเลย โจทก์ทั้งสองย่อมเข้าใจโดยสุจริตว่าภาระจำยอมยังคงอยู่ เมื่อโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว จำเลยจะยกข้อต่อสู้เรื่องการระงับแห่งภาระจำยอมอ้างต่อโจทก์ทั้งสองหาได้ไม่ เมื่อภาระจำยอมยังคงอยู่บนที่ดินของจำเลย จำเลยจึงต้องรื้อถอนรั้วเหล็กที่ปิดกั้นทางภาระจำยอมออกจากที่ดิน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ
เมื่อพิจารณาถึงสัญญาประนีประนอมยอมความประกอบคำร้องและคำคัดค้านแล้วเห็นได้ว่ากรณีเป็นข้อพิพาททางแพ่งเกี่ยวกับที่ดิน ดังนั้น แม้มีทุนทรัพย์เกิน 200,000 บาท ก็สามารถไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทได้ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 61/2 วรรคหนึ่ง
ข้อเท็จจริงที่ผู้คัดค้านอ้างเกี่ยวกับการขายที่ดินพิพาทว่าเป็นเท็จอันเป็นเหตุของการกระทำอันไม่สุจริตที่กล่าวอ้างเป็นข้อเท็จจริงในส่วนเนื้อหาของข้อพิพาทที่ต้องพิจารณากันในชั้นไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท แม้ผู้คัดค้านอ้างทํานองว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่การจะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวจําต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงข้างต้นเสียก่อน ซึ่งตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 61/2 วรรคห้า กําหนดให้สัญญาประนีประนอมยอมความที่ได้ตกลงกันตามมาตรา 61/2 วรรคสี่ มีผลเช่นเดียวกับคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ และในกรณีตามมาตรา 61/2 วรรคเจ็ด ที่คู่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ คู่พิพาทอีกฝ่ายสามารถยื่นคำร้องต่อพนักงานอัยการดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อให้ออกคำบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวโดยให้นํากฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการมาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งในคดีร้องขอให้ออกคำบังคับให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 61/2 วรรคเจ็ด ประกอบ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 42 ถึง 44 นั้น ไม่ได้ให้ผู้ซึ่งจะถูกบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความพิสูจน์โต้แย้งข้อเท็จจริงในการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท และศาลไม่อาจตรวจสอบข้อเท็จจริงในชั้นไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินดังกล่าวซ้ำอีก
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้ออกคำบังคับให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยให้ผู้คัดค้านพร้อมบริวารย้ายออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 72331
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งออกคำบังคับให้ผู้คัดค้านปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 8 ธันวาคม 2563 ภายใน 30 วัน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นเห็นว่าอุทธรณ์ของผู้คัดค้านไม่ปรากฏเหตุอันจะเข้าข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 (1) ถึง (5) จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ และมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์
ผู้คัดค้านอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 เห็นว่า การอุทธรณ์คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลชั้นต้นคดีนี้ ผู้คัดค้านต้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 61/2 ประกอบพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จึงไม่มีอำนาจพิจารณา และให้ส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์พร้อมสำนวนไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาต่อไป
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า คำฟ้องอุทธรณ์ของผู้คัดค้านโต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นทำนองว่า การที่ผู้คัดค้านไปตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะถูกข่มขู่หลอกลวงและการทำหน้าที่ของผู้ไกล่เกลี่ยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ข้อตกลงไม่มีผลบังคับแก่ผู้คัดค้าน ทั้งการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นอุทธรณ์ที่เข้าข้อยกเว้น ไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 จึงให้รับอุทธรณ์ของผู้คัดค้านให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 นายจิรเดช และผู้คัดค้าน ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 61/2 ประกอบกฎกระทรวงว่าด้วยการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททางแพ่ง พ.ศ. 2553 ภายหลังผู้คัดค้านไม่ปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านว่า การยอมรับหรือการบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้นฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ เห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวขัดแย้งกับที่ผู้คัดค้านอ้างไว้ในคำคัดค้านว่าเป็นข้อพิพาททางแพ่งเรื่องที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยในคดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ออกคำบังคับให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยให้ผู้คัดค้านพร้อมบริวารย้ายออกไปจากที่ดินตามโฉนดที่ดินในอำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม ของนายจิรเดช ส่วนผู้คัดค้านกล่าวอ้างในคำคัดค้านเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวทำนองว่าเป็นของผู้คัดค้าน โดยบิดาของผู้คัดค้านแบ่งซื้อมาจากบุคคลอื่นตั้งแต่เป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ภายหลังบุคคลดังกล่าวขายที่ดินดังกล่าวให้นายจิรเดช แต่เมื่อออกเป็นโฉนดที่ดินแล้วนายจิรเดชปฏิเสธที่จะโอนที่ดินพิพาทให้แก่ผู้คัดค้าน แม้ตามคำคัดค้านจะอ้างถึงบ้านด้วย แต่ก็เป็นสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนที่ดินพิพาทดังกล่าว ซึ่งไม่ใช่วัตถุที่ประสงค์หลักอันเป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายมีข้อพิพาทกันดังนี้ เมื่อพิจารณาถึงสัญญาประนีประนอมยอมความประกอบคำร้องและคำคัดค้านแล้วย่อมเห็นได้ว่าข้อพิพาทระหว่างนายจิรเดชและผู้คัดค้านเป็นข้อพิพาททางแพ่งเกี่ยวกับที่ดิน เมื่อตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 61/2 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “ในอำเภอหนึ่ง ให้มีคณะบุคคลผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทของประชาชนที่คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำเภอ ในเรื่องที่พิพาททางแพ่งเกี่ยวกับที่ดิน มรดก และข้อพิพาททางแพ่งอื่นที่มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท หรือมากกว่านั้น ตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา” กรณีจึงไม่จำต้องพิจารณาว่ามีทุนทรัพย์เท่าใดอีก ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า กรณีเป็นเรื่องที่พิพาททางแพ่งเกี่ยวกับที่ดิน แม้มีทุนทรัพย์เกิน 200,000 บาท ก็สามารถไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทได้ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 61/2 วรรคหนึ่ง นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น สำหรับที่ผู้คัดค้านอ้างต่อไปว่า สัญญาประนีประนอมยอมความตามคำร้องเป็นโมฆะ เนื่องจากผู้คัดค้านไม่มีเจตนาทำสัญญาดังกล่าว แต่เกิดจากฝ่ายนายจิรเดชส่งคนมาข่มขู่ก่อนวันไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททำนองว่าจะดำเนินคดีอาญาแก่บิดาของผู้คัดค้านที่ถูกกล่าวหาว่าเข้าไปลักทรัพย์ของนายจิรเดช เห็นว่า การข่มขู่ว่าจะดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายนั้นถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่พึงใช้ได้ตามปกตินิยม ไม่ใช่การข่มขู่อันจะทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165 ดังนั้น ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะได้ความว่าฝ่ายของนายจิรเดชข่มขู่ผู้คัดค้านไปตามที่กล่าวอ้างมาข้างต้นหรือไม่ ก็ไม่มีผลต่อการแสดงเจตนาในการทำสัญญาของผู้คัดค้าน อุทธรณ์ในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น ส่วนที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ทำนองว่าสัญญาประนีประนอมยอมความถูกยกเลิกไปแล้วจากการประชุมครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564 นั้น อุทธรณ์ส่วนนี้อ้างในตอนต้นทำนองว่า คู่พิพาทสามารถตกลงกันได้ในการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทครั้งที่ 2 โดยมีผลของการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทคือยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 8 ธันวาคม 2563 แต่ในตอนท้ายกลับอ้างทำนองว่าคู่พิพาทไม่สามารถตกลงกันในการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทครั้งที่ 2 ได้ และทางอำเภอบรบือยังปิดบังข้อเท็จจริงดังกล่าวโดยไม่แจ้งให้ผู้ร้องทราบ ซึ่งขัดแย้งกับที่อ้างในตอนต้นว่าคู่พิพาทสามารถตกลงกันได้ในการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทครั้งที่ 2 อุทธรณ์ในส่วนนี้จึงขัดแย้งกันเองและเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย นอกจากนี้ข้ออ้างดังกล่าวยังขัดแย้งกับที่ผู้คัดค้านอ้างไว้ในคำคัดค้านว่า ก่อนการนัดไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทครั้งที่ 2 นั้น ทางอำเภอมีหนังสือแจ้งผู้คัดค้านว่าผู้รับมอบอำนาจของนายจิรเดชไม่ประสงค์เจรจาไกล่เกลี่ยตามสำเนาหนังสือแจ้งของอำเภอบรบือลงวันที่ 18 มกราคม 2564 อันหมายความว่า ไม่มีการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทในครั้งที่ 2 แต่อย่างใด ดังนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะไต่สวนหรือสืบพยานต่อไปก็ไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่ามีการตกลงยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความกันในการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทในครั้งที่ 2 ดังที่ผู้คัดค้านอ้าง เพราะไม่ใช่ประเด็นที่ยื่นคำคัดค้านไว้ ที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำร้องและคำคัดค้านแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้และให้งดการไต่สวนจึงชอบแล้ว สำหรับที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อไปว่าการกระทำของนายจิรเดชและผู้รับมอบอำนาจไม่สุจริต แต่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวนั้น ในข้อนี้ตามคำคัดค้านผู้คัดค้านอ้างทำนองว่า นายจิรเดชแจ้งความอันเป็นเท็จต่อนายอำเภอบรบือและคณะบุคคลผู้ไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทว่าผู้คัดค้านขายที่ดินให้แก่นายจิรเดช และแจ้งความอันเป็นเท็จต่อผู้ร้อง เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ผู้คัดค้านอ้างเกี่ยวกับการขายที่ดินว่าเป็นความเท็จอันเป็นเหตุของการกระทำอันไม่สุจริตดังกล่าวนั้น เป็นข้อเท็จจริงในส่วนเนื้อหาของข้อพิพาทที่ต้องพิจารณากันในชั้นไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท แม้ผู้คัดค้านอ้างทำนองว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แต่การจะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวจำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงข้างต้นเสียก่อน ซึ่งตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 61/2 วรรคห้า กำหนดให้สัญญาประนีประนอมยอมความที่ได้ตกลงกันตามมาตรา 61/2 วรรคสี่ มีผลเช่นเดียวกับคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ทั้งมาตรา 61/2 วรรคเจ็ด กำหนดว่า ในกรณีที่คู่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้คู่ความพิพาทอีกฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องต่อพนักงานอัยการ และให้พนักงานอัยการดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อให้ออกคำบังคับให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวโดยให้นำกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการมาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งในคดีร้องขอให้ออกคำบังคับให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 61/2 วรรคเจ็ด ประกอบพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 42 ถึง 44 นั้น ไม่ได้ให้ผู้ซึ่งจะถูกบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความพิสูจน์โต้แย้งข้อเท็จจริงในการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทและศาลไม่อาจตรวจสอบข้อเท็จจริงในชั้นไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินดังกล่าวนี้ซ้ำอีก กรณีจึงไม่มีเหตุให้ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่รับบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามคำร้อง ที่ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้ผู้คัดค้านปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
เมื่อพิจารณาถึงสัญญาประนีประนอมยอมความประกอบคำร้องและคำคัดค้านแล้วเห็นได้ว่ากรณีเป็นข้อพิพาททางแพ่งเกี่ยวกับที่ดิน ดังนั้น แม้มีทุนทรัพย์เกิน 200,000 บาท ก็สามารถไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทได้ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 61/2 วรรคหนึ่ง
ข้อเท็จจริงที่ผู้คัดค้านอ้างเกี่ยวกับการขายที่ดินพิพาทว่าเป็นเท็จอันเป็นเหตุของการกระทำอันไม่สุจริตที่กล่าวอ้างเป็นข้อเท็จจริงในส่วนเนื้อหาของข้อพิพาทที่ต้องพิจารณากันในชั้นไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท แม้ผู้คัดค้านอ้างทํานองว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่การจะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวจําต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงข้างต้นเสียก่อน ซึ่งตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 61/2 วรรคห้า กําหนดให้สัญญาประนีประนอมยอมความที่ได้ตกลงกันตามมาตรา 61/2 วรรคสี่ มีผลเช่นเดียวกับคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ และในกรณีตามมาตรา 61/2 วรรคเจ็ด ที่คู่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ คู่พิพาทอีกฝ่ายสามารถยื่นคำร้องต่อพนักงานอัยการดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อให้ออกคำบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวโดยให้นํากฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการมาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งในคดีร้องขอให้ออกคำบังคับให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 61/2 วรรคเจ็ด ประกอบ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 42 ถึง 44 นั้น ไม่ได้ให้ผู้ซึ่งจะถูกบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความพิสูจน์โต้แย้งข้อเท็จจริงในการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท และศาลไม่อาจตรวจสอบข้อเท็จจริงในชั้นไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินดังกล่าวซ้ำอีก
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้ออกคำบังคับให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยให้ผู้คัดค้านพร้อมบริวารย้ายออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 72331
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งออกคำบังคับให้ผู้คัดค้านปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 8 ธันวาคม 2563 ภายใน 30 วัน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นเห็นว่าอุทธรณ์ของผู้คัดค้านไม่ปรากฏเหตุอันจะเข้าข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 (1) ถึง (5) จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ และมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์
ผู้คัดค้านอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 เห็นว่า การอุทธรณ์คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลชั้นต้นคดีนี้ ผู้คัดค้านต้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 61/2 ประกอบพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จึงไม่มีอำนาจพิจารณา และให้ส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์พร้อมสำนวนไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาต่อไป
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า คำฟ้องอุทธรณ์ของผู้คัดค้านโต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นทำนองว่า การที่ผู้คัดค้านไปตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะถูกข่มขู่หลอกลวงและการทำหน้าที่ของผู้ไกล่เกลี่ยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ข้อตกลงไม่มีผลบังคับแก่ผู้คัดค้าน ทั้งการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นอุทธรณ์ที่เข้าข้อยกเว้น ไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 จึงให้รับอุทธรณ์ของผู้คัดค้านให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 นายจิรเดช และผู้คัดค้าน ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 61/2 ประกอบกฎกระทรวงว่าด้วยการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททางแพ่ง พ.ศ. 2553 ภายหลังผู้คัดค้านไม่ปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านว่า การยอมรับหรือการบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้นฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ เห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวขัดแย้งกับที่ผู้คัดค้านอ้างไว้ในคำคัดค้านว่าเป็นข้อพิพาททางแพ่งเรื่องที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยในคดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ออกคำบังคับให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยให้ผู้คัดค้านพร้อมบริวารย้ายออกไปจากที่ดินตามโฉนดที่ดินในอำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม ของนายจิรเดช ส่วนผู้คัดค้านกล่าวอ้างในคำคัดค้านเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวทำนองว่าเป็นของผู้คัดค้าน โดยบิดาของผู้คัดค้านแบ่งซื้อมาจากบุคคลอื่นตั้งแต่เป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ภายหลังบุคคลดังกล่าวขายที่ดินดังกล่าวให้นายจิรเดช แต่เมื่อออกเป็นโฉนดที่ดินแล้วนายจิรเดชปฏิเสธที่จะโอนที่ดินพิพาทให้แก่ผู้คัดค้าน แม้ตามคำคัดค้านจะอ้างถึงบ้านด้วย แต่ก็เป็นสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนที่ดินพิพาทดังกล่าว ซึ่งไม่ใช่วัตถุที่ประสงค์หลักอันเป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายมีข้อพิพาทกันดังนี้ เมื่อพิจารณาถึงสัญญาประนีประนอมยอมความประกอบคำร้องและคำคัดค้านแล้วย่อมเห็นได้ว่าข้อพิพาทระหว่างนายจิรเดชและผู้คัดค้านเป็นข้อพิพาททางแพ่งเกี่ยวกับที่ดิน เมื่อตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 61/2 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “ในอำเภอหนึ่ง ให้มีคณะบุคคลผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทของประชาชนที่คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำเภอ ในเรื่องที่พิพาททางแพ่งเกี่ยวกับที่ดิน มรดก และข้อพิพาททางแพ่งอื่นที่มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท หรือมากกว่านั้น ตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา” กรณีจึงไม่จำต้องพิจารณาว่ามีทุนทรัพย์เท่าใดอีก ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า กรณีเป็นเรื่องที่พิพาททางแพ่งเกี่ยวกับที่ดิน แม้มีทุนทรัพย์เกิน 200,000 บาท ก็สามารถไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทได้ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 61/2 วรรคหนึ่ง นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น สำหรับที่ผู้คัดค้านอ้างต่อไปว่า สัญญาประนีประนอมยอมความตามคำร้องเป็นโมฆะ เนื่องจากผู้คัดค้านไม่มีเจตนาทำสัญญาดังกล่าว แต่เกิดจากฝ่ายนายจิรเดชส่งคนมาข่มขู่ก่อนวันไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททำนองว่าจะดำเนินคดีอาญาแก่บิดาของผู้คัดค้านที่ถูกกล่าวหาว่าเข้าไปลักทรัพย์ของนายจิรเดช เห็นว่า การข่มขู่ว่าจะดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายนั้นถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่พึงใช้ได้ตามปกตินิยม ไม่ใช่การข่มขู่อันจะทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165 ดังนั้น ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะได้ความว่าฝ่ายของนายจิรเดชข่มขู่ผู้คัดค้านไปตามที่กล่าวอ้างมาข้างต้นหรือไม่ ก็ไม่มีผลต่อการแสดงเจตนาในการทำสัญญาของผู้คัดค้าน อุทธรณ์ในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น ส่วนที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ทำนองว่าสัญญาประนีประนอมยอมความถูกยกเลิกไปแล้วจากการประชุมครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564 นั้น อุทธรณ์ส่วนนี้อ้างในตอนต้นทำนองว่า คู่พิพาทสามารถตกลงกันได้ในการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทครั้งที่ 2 โดยมีผลของการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทคือยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 8 ธันวาคม 2563 แต่ในตอนท้ายกลับอ้างทำนองว่าคู่พิพาทไม่สามารถตกลงกันในการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทครั้งที่ 2 ได้ และทางอำเภอบรบือยังปิดบังข้อเท็จจริงดังกล่าวโดยไม่แจ้งให้ผู้ร้องทราบ ซึ่งขัดแย้งกับที่อ้างในตอนต้นว่าคู่พิพาทสามารถตกลงกันได้ในการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทครั้งที่ 2 อุทธรณ์ในส่วนนี้จึงขัดแย้งกันเองและเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย นอกจากนี้ข้ออ้างดังกล่าวยังขัดแย้งกับที่ผู้คัดค้านอ้างไว้ในคำคัดค้านว่า ก่อนการนัดไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทครั้งที่ 2 นั้น ทางอำเภอมีหนังสือแจ้งผู้คัดค้านว่าผู้รับมอบอำนาจของนายจิรเดชไม่ประสงค์เจรจาไกล่เกลี่ยตามสำเนาหนังสือแจ้งของอำเภอบรบือลงวันที่ 18 มกราคม 2564 อันหมายความว่า ไม่มีการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทในครั้งที่ 2 แต่อย่างใด ดังนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะไต่สวนหรือสืบพยานต่อไปก็ไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่ามีการตกลงยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความกันในการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทในครั้งที่ 2 ดังที่ผู้คัดค้านอ้าง เพราะไม่ใช่ประเด็นที่ยื่นคำคัดค้านไว้ ที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำร้องและคำคัดค้านแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้และให้งดการไต่สวนจึงชอบแล้ว สำหรับที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อไปว่าการกระทำของนายจิรเดชและผู้รับมอบอำนาจไม่สุจริต แต่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวนั้น ในข้อนี้ตามคำคัดค้านผู้คัดค้านอ้างทำนองว่า นายจิรเดชแจ้งความอันเป็นเท็จต่อนายอำเภอบรบือและคณะบุคคลผู้ไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทว่าผู้คัดค้านขายที่ดินให้แก่นายจิรเดช และแจ้งความอันเป็นเท็จต่อผู้ร้อง เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ผู้คัดค้านอ้างเกี่ยวกับการขายที่ดินว่าเป็นความเท็จอันเป็นเหตุของการกระทำอันไม่สุจริตดังกล่าวนั้น เป็นข้อเท็จจริงในส่วนเนื้อหาของข้อพิพาทที่ต้องพิจารณากันในชั้นไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท แม้ผู้คัดค้านอ้างทำนองว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แต่การจะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวจำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงข้างต้นเสียก่อน ซึ่งตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 61/2 วรรคห้า กำหนดให้สัญญาประนีประนอมยอมความที่ได้ตกลงกันตามมาตรา 61/2 วรรคสี่ มีผลเช่นเดียวกับคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ทั้งมาตรา 61/2 วรรคเจ็ด กำหนดว่า ในกรณีที่คู่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้คู่ความพิพาทอีกฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องต่อพนักงานอัยการ และให้พนักงานอัยการดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อให้ออกคำบังคับให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวโดยให้นำกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการมาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งในคดีร้องขอให้ออกคำบังคับให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 61/2 วรรคเจ็ด ประกอบพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 42 ถึง 44 นั้น ไม่ได้ให้ผู้ซึ่งจะถูกบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความพิสูจน์โต้แย้งข้อเท็จจริงในการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทและศาลไม่อาจตรวจสอบข้อเท็จจริงในชั้นไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินดังกล่าวนี้ซ้ำอีก กรณีจึงไม่มีเหตุให้ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่รับบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามคำร้อง ที่ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้ผู้คัดค้านปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
แม้คดีก่อนโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2559 หลังจาก พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557 ใช้บังคับแล้ว แต่ลูกหนี้ผิดนัดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2557 ก่อนวันที่ พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับ กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 19 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ที่บัญญัติว่า ในกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ สิทธิและหน้าที่ของเจ้าหนี้และผู้ค้ำประกันให้เป็นไปตามมาตรา 686 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ โจทก์ผู้ให้เช่าชื้อจึงไม่จำต้องมีหนังสือบอกกล่าวจำเลยผู้ค้ำประกันภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้นัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 686 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ แต่ต้องบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 686 วรรคหนึ่ง (เดิม) อย่างไรก็ดี แม้ศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยในคดีเดิมเป็นทำนองว่าโจทก์ผู้ให้เช่าชื้อมีหนังสือบอกกล่าวจำเลยผู้ค้ำประกันวันที่ 8 พฤษภาคม 2557 เกินกว่าหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัดโจทก์ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 2 (จำเลยในคดีนี้) ผู้ค้ำประกันรับผิดได้ อันเป็นการนำ ป.พ.พ. มาตรา 686 ที่แก้ไขใหม่ มาใช้บังคับแก่คดีของโจทก์ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยผู้ค้ำประกัน คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า คดีเดิมศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ด้วยเหตุว่าโจทก์บอกกล่าวแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเกินกว่าหกสิบวันนับแต่ผู้เช่าซื้อผิดนัดโดยยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยผิดสัญญาค้ำประกันหรือไม่ และต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเพียงใด ประเด็นดังกล่าวจึงยังไม่ได้มีการวินิจฉัยถึงที่สุด เมื่อโจทก์บอกกล่าวแก่จำเลยและฟ้องใหม่เป็นคดีนี้ขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน จึงไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีเดิม ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 151,428.57 บาท ให้แก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ 8,888 บาท โดยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายอื่นและดอกเบี้ยนอกเหนือจากนี้อีก ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลของทั้งสองศาลส่วนที่เกิน 200 บาท ให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2556 นางเสงี่ยม ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ หมายเลขทะเบียน บบ 7106 ไปจากโจทก์ มีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม นางเสงี่ยมผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดประจำวันที่ 15 มกราคม 2557 และได้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ ซึ่งโจทก์นำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกขายทอดตลาดได้ราคาน้อยกว่ายอดหนี้คงค้างตามสัญญาเช่าซื้อ วันที่ 22 มิถุนายน 2559 โจทก์ฟ้องนางเสงี่ยมและจำเลยขอให้รับผิดชำระค่าขาดราคาและค่าขาดประโยชน์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นางเสงี่ยมชำระค่าเสียหาย 160,000 บาท แต่ให้ยกฟ้องจำเลย ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวถึงการผิดนัดของนางเสงี่ยมให้จำเลยทราบ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ. 894/2559 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ปัญหานี้ตามสำเนาสัญญาเช่าซื้อ ระบุว่า นางเสงี่ยม ลูกหนี้ต้องชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน โดยชำระทุกวันที่ 15 ของเดือน และชำระงวดแรกวันที่ 15 พฤษภาคม 2556 กับตามคำฟ้องคดีนี้และคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีเดิม ปรากฏว่า นางเสงี่ยมลูกหนี้ชำระค่าเช่าซื้อเพียง 8 งวดและไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 9 ซึ่งถึงกำหนดชำระวันที่ 15 มกราคม 2557 เป็นต้นมา นางเสงี่ยมลูกหนี้จึงผิดนัดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2557 และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 686 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557 ซึ่งมาตรา 2 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่าพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 13 พฤศจิกายน 2557 และมาตรา 19 บัญญัติว่า ในกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ สิทธิและหน้าที่ของเจ้าหนี้และผู้ค้ำประกันให้เป็นไปตามมาตรา 686 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ดังนั้น แม้คดีก่อนโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2559 หลังจากพระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับแล้ว แต่นางเสงี่ยมลูกหนี้ผิดนัดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2557 ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 19 ดังกล่าว โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อจึงไม่จำต้องมีหนังสือบอกกล่าวจำเลยผู้ค้ำประกันภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ แต่ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 วรรคหนึ่ง เดิม ที่บัญญัติว่า ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น อย่างไรก็ดี แม้ศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยในคดีเดิมเป็นทำนองว่าโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อมีหนังสือบอกกล่าวจำเลยผู้ค้ำประกันวันที่ 8 พฤษภาคม 2557 เกินกว่าหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด โจทก์ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 2 (จำเลยในคดีนี้) ผู้ค้ำประกันรับผิดได้อันเป็นการนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่มาใช้บังคับแก่คดีของโจทก์ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยผู้ค้ำประกัน คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า คดีเดิมศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ ด้วยเหตุว่าโจทก์บอกกล่าวแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเกินกว่าหกสิบวันนับแต่ผู้เช่าซื้อผิดนัด โดยยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยผิดสัญญาค้ำประกันหรือไม่ และต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเพียงใด ประเด็นดังกล่าวจึงยังไม่ได้มีการวินิจฉัยถึงที่สุด เมื่อโจทก์บอกกล่าวแก่จำเลยและฟ้องใหม่เป็นคดีนี้ขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน จึงไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีเดิม ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ. 894/2559 ของศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด ปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภคยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยโดยไม่ต้องย้อนสำนวน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า สัญญาค้ำประกันคดีนี้ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 เดิม โดยโจทก์ไม่จำต้องมีหนังสือบอกกล่าวการผิดนัดของนางเสงี่ยม ผู้เช่าซื้อให้จำเลยทราบ ตามมาตรา 686 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ และตามสัญญาค้ำประกัน ข้อ 5 มีข้อตกลงว่าผู้ค้ำประกันตกลงผูกพันตัวเองและรับผิดต่อเจ้าของสัญญาทั้งเป็นส่วนตัวและร่วมกับผู้เช่าซื้อโดยมิใช่เป็นแต่เพียงผู้ค้ำประกันของผู้เช่าซื้อเท่านั้น ดังนั้น จำเลยจึงต้องร่วมรับผิดกับนางเสงี่ยม ผู้เช่าซื้อ ตามข้อสัญญาดังกล่าว เมื่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.894/2559 พิพากษาให้นางเสงี่ยมชำระค่าขาดราคา 140,000 บาท และค่าขาดประโยชน์ 20,000 บาท จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องร่วมกับนางเสงี่ยมรับผิดชำระหนี้ดังกล่าว อย่างไรก็ตามสำหรับค่าขาดประโยชน์ โจทก์มีคำขอให้จำเลยร่วมรับผิดเป็นระยะเวลา 60 วัน เป็นเงิน 11,428.57 บาท จึงเห็นควรกำหนดให้ตามขอ รวมค่าขาดราคาและค่าขาดประโยชน์ที่จำเลยต้องร่วมรับผิดเป็นเงิน 151,428.57 บาท
พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยร่วมกับนางเสงี่ยม ผู้เช่าซื้อชำระเงิน 151,428.57 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
แม้คดีก่อนโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2559 หลังจาก พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557 ใช้บังคับแล้ว แต่ลูกหนี้ผิดนัดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2557 ก่อนวันที่ พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับ กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 19 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ที่บัญญัติว่า ในกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ สิทธิและหน้าที่ของเจ้าหนี้และผู้ค้ำประกันให้เป็นไปตามมาตรา 686 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ โจทก์ผู้ให้เช่าชื้อจึงไม่จำต้องมีหนังสือบอกกล่าวจำเลยผู้ค้ำประกันภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้นัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 686 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ แต่ต้องบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 686 วรรคหนึ่ง (เดิม) อย่างไรก็ดี แม้ศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยในคดีเดิมเป็นทำนองว่าโจทก์ผู้ให้เช่าชื้อมีหนังสือบอกกล่าวจำเลยผู้ค้ำประกันวันที่ 8 พฤษภาคม 2557 เกินกว่าหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัดโจทก์ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 2 (จำเลยในคดีนี้) ผู้ค้ำประกันรับผิดได้ อันเป็นการนำ ป.พ.พ. มาตรา 686 ที่แก้ไขใหม่ มาใช้บังคับแก่คดีของโจทก์ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยผู้ค้ำประกัน คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า คดีเดิมศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ด้วยเหตุว่าโจทก์บอกกล่าวแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเกินกว่าหกสิบวันนับแต่ผู้เช่าซื้อผิดนัดโดยยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยผิดสัญญาค้ำประกันหรือไม่ และต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเพียงใด ประเด็นดังกล่าวจึงยังไม่ได้มีการวินิจฉัยถึงที่สุด เมื่อโจทก์บอกกล่าวแก่จำเลยและฟ้องใหม่เป็นคดีนี้ขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน จึงไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีเดิม ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 151,428.57 บาท ให้แก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ 8,888 บาท โดยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายอื่นและดอกเบี้ยนอกเหนือจากนี้อีก ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลของทั้งสองศาลส่วนที่เกิน 200 บาท ให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2556 นางเสงี่ยม ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ หมายเลขทะเบียน บบ 7106 ไปจากโจทก์ มีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม นางเสงี่ยมผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดประจำวันที่ 15 มกราคม 2557 และได้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ ซึ่งโจทก์นำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกขายทอดตลาดได้ราคาน้อยกว่ายอดหนี้คงค้างตามสัญญาเช่าซื้อ วันที่ 22 มิถุนายน 2559 โจทก์ฟ้องนางเสงี่ยมและจำเลยขอให้รับผิดชำระค่าขาดราคาและค่าขาดประโยชน์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นางเสงี่ยมชำระค่าเสียหาย 160,000 บาท แต่ให้ยกฟ้องจำเลย ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวถึงการผิดนัดของนางเสงี่ยมให้จำเลยทราบ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ. 894/2559 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ปัญหานี้ตามสำเนาสัญญาเช่าซื้อ ระบุว่า นางเสงี่ยม ลูกหนี้ต้องชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน โดยชำระทุกวันที่ 15 ของเดือน และชำระงวดแรกวันที่ 15 พฤษภาคม 2556 กับตามคำฟ้องคดีนี้และคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีเดิม ปรากฏว่า นางเสงี่ยมลูกหนี้ชำระค่าเช่าซื้อเพียง 8 งวดและไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 9 ซึ่งถึงกำหนดชำระวันที่ 15 มกราคม 2557 เป็นต้นมา นางเสงี่ยมลูกหนี้จึงผิดนัดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2557 และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 686 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557 ซึ่งมาตรา 2 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่าพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 13 พฤศจิกายน 2557 และมาตรา 19 บัญญัติว่า ในกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ สิทธิและหน้าที่ของเจ้าหนี้และผู้ค้ำประกันให้เป็นไปตามมาตรา 686 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ดังนั้น แม้คดีก่อนโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2559 หลังจากพระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับแล้ว แต่นางเสงี่ยมลูกหนี้ผิดนัดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2557 ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 19 ดังกล่าว โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อจึงไม่จำต้องมีหนังสือบอกกล่าวจำเลยผู้ค้ำประกันภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ แต่ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 วรรคหนึ่ง เดิม ที่บัญญัติว่า ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น อย่างไรก็ดี แม้ศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยในคดีเดิมเป็นทำนองว่าโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อมีหนังสือบอกกล่าวจำเลยผู้ค้ำประกันวันที่ 8 พฤษภาคม 2557 เกินกว่าหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด โจทก์ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 2 (จำเลยในคดีนี้) ผู้ค้ำประกันรับผิดได้อันเป็นการนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่มาใช้บังคับแก่คดีของโจทก์ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยผู้ค้ำประกัน คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า คดีเดิมศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ ด้วยเหตุว่าโจทก์บอกกล่าวแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเกินกว่าหกสิบวันนับแต่ผู้เช่าซื้อผิดนัด โดยยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยผิดสัญญาค้ำประกันหรือไม่ และต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเพียงใด ประเด็นดังกล่าวจึงยังไม่ได้มีการวินิจฉัยถึงที่สุด เมื่อโจทก์บอกกล่าวแก่จำเลยและฟ้องใหม่เป็นคดีนี้ขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน จึงไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีเดิม ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ. 894/2559 ของศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด ปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภคยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยโดยไม่ต้องย้อนสำนวน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า สัญญาค้ำประกันคดีนี้ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 เดิม โดยโจทก์ไม่จำต้องมีหนังสือบอกกล่าวการผิดนัดของนางเสงี่ยม ผู้เช่าซื้อให้จำเลยทราบ ตามมาตรา 686 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ และตามสัญญาค้ำประกัน ข้อ 5 มีข้อตกลงว่าผู้ค้ำประกันตกลงผูกพันตัวเองและรับผิดต่อเจ้าของสัญญาทั้งเป็นส่วนตัวและร่วมกับผู้เช่าซื้อโดยมิใช่เป็นแต่เพียงผู้ค้ำประกันของผู้เช่าซื้อเท่านั้น ดังนั้น จำเลยจึงต้องร่วมรับผิดกับนางเสงี่ยม ผู้เช่าซื้อ ตามข้อสัญญาดังกล่าว เมื่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.894/2559 พิพากษาให้นางเสงี่ยมชำระค่าขาดราคา 140,000 บาท และค่าขาดประโยชน์ 20,000 บาท จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องร่วมกับนางเสงี่ยมรับผิดชำระหนี้ดังกล่าว อย่างไรก็ตามสำหรับค่าขาดประโยชน์ โจทก์มีคำขอให้จำเลยร่วมรับผิดเป็นระยะเวลา 60 วัน เป็นเงิน 11,428.57 บาท จึงเห็นควรกำหนดให้ตามขอ รวมค่าขาดราคาและค่าขาดประโยชน์ที่จำเลยต้องร่วมรับผิดเป็นเงิน 151,428.57 บาท
พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยร่วมกับนางเสงี่ยม ผู้เช่าซื้อชำระเงิน 151,428.57 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์แล้ว การดำเนินการต่าง ๆ อันเกี่ยวด้วยทรัพย์สินของโจทก์ในฐานะลูกหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการจึงอยู่ในบังคับตามกฎหมายว่าด้วยการฟื้นฟูกิจการ พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 90/12 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 90/13 และมาตรา 90/14 นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณาจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผนหรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผนหรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอหรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการหรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดตามความในหมวดนี้... (9) ห้ามมิให้ลูกหนี้ จำหน่าย จ่าย โอน ให้เช่า ชำระหนี้ ก่อหนี้ หรือกระทำการใด ๆ ที่ก่อให้เกิดภาระในทรัพย์สิน นอกจากเป็นการกระทำที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินการค้าตามปกติของลูกหนี้สามารถดำเนินต่อไปได้ เว้นแต่ศาลที่รับคำร้องขอจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น...” บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าภายหลังจากศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการแล้ว ลูกหนี้จะดำเนินกิจการได้เฉพาะการกระทำที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินการค้าตามปกติของลูกหนี้สามารถดำเนินต่อไปได้ แต่หากลูกหนี้จะดำเนินการจำหน่าย จ่าย โอน ให้เช่า ชำระหนี้ ก่อหนี้ หรือกระทำการใด ๆ ที่ก่อให้เกิดภาระในทรัพย์สินที่มิใช่การดำเนินธุรกิจตามปกติทางการค้าของลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลล้มละลายกลางและศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตแล้วเท่านั้น
คดีทั้งสองสำนวนนี้ โจทก์ฟ้องคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 398/2561 เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 และศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องของโจทก์วันที่ 9 กันยายน 2557 ส่วนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 399/2561 โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2557 เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์วันที่ 26 สิงหาคม 2557 และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์ไว้ในวันเดียวกัน การฟ้องคดีของโจทก์ทั้งสองสำนวนจึงเป็นการยื่นคำฟ้องหลังจากที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์แล้ว จึงตกอยู่ในบังคับตามมาตรา 90/12 (9) แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลายฯ การที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเก้าชำระเงินคืนโจทก์ 119,020,000 บาท และ 9,522,533,049.50 บาท การฟ้องคดีดังกล่าวหากโจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดีก็อาจมีผลกระทบต่อกองทรัพย์สินของโจทก์ หรือโจทก์อาจต้องชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนฝ่ายจำเลยทั้งเก้า จึงมิได้เป็นการกระทำที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินการค้าตามปกติของโจทก์สามารถดำเนินต่อไปได้ แต่เป็นการกระทำที่อาจก่อให้เกิดภาระแก่ทรัพย์สินของโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการได้ แม้คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 398/2561 โจทก์จะยื่นฟ้องในวันเดียวกันกับวันที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องฟื้นฟูกิจการของโจทก์ในวันเดียวกัน สภาวะการพักชำระหนี้ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 90/12 (9) ย่อมเกิดขึ้นในวันดังกล่าว ส่วนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 399/2561 โจทก์ยื่นฟ้องภายหลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการ เมื่อทั้งสองสำนวนโจทก์ยื่นฟ้องโดยไม่ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาลล้มละลายกลางและศาลล้มละลายกลางไม่ได้มีคำสั่งอนุญาต จึงเป็นการฟ้องคดีต่อศาลโดยไม่มีอำนาจ ซึ่งการพิจารณาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลหรือไม่ย่อมต้องพิจารณาถึงอำนาจฟ้องในขณะยื่นคำฟ้องเป็นสำคัญ แม้ภายหลังศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการโจทก์ และอำนาจในการบริหารกิจการของโจทก์กลับคืนมาตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 90/75 และมาตรา 90/76 ก็ตาม แต่หามีผลทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์ซึ่งไม่มีในขณะยื่นคำฟ้องกลับมีขึ้นในภายหลังได้ไม่ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งรวมการพิจารณา โดยให้เรียกนายศุภชัย เป็นจำเลยที่ 1 พระครูปลัดวิจารณ์ เป็นจำเลยที่ 2 นางสาวศรัณยา เป็นจำเลยที่ 3 นางจันทร์ฉาย เป็นจำเลยที่ 4 นางวันเพ็ญ เป็นจำเลยที่ 5 นายวัฒน์ชานนท์ เป็นจำเลยที่ 6 นายจิรเดช เป็นจำเลยที่ 7 บริษัท อ. เป็นจำเลยที่ 8 นายสัมฤทธิ์ เป็นจำเลยที่ 9
สำนวนแรก โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 119,631,404.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 119,020,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
สำนวนที่สอง โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 ร่วมกันรับผิดชำระเงิน 10,641,756,796.96 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 9,522,533,049.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 6 ชำระเงิน 1,927,326,027.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 มีนาคม 2556 จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 7 ชำระเงิน 438,850,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 มีนาคม 2556 จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 8 ชำระเงิน 57,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 มีนาคม 2556 จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 9 ชำระเงิน 12,300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 มีนาคม 2556 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 9 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม โดยอ้างว่านางผกามาศ ฯลฯ ต้องรับผิดต่อโจทก์ ตามคำร้องฉบับลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2558 วันที่ 13 ตุลาคม 2558 และวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 ศาลชั้นต้นอนุญาต โดยเรียกบุคคลดังกล่าวเป็นจำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 32 ตามลำดับ
จำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 12 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยร่วมที่ 13 และที่ 19 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยร่วมที่ 14 ถึงที่ 18 และจำเลยร่วมที่ 20 ถึงที่ 32 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างการพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 และขอถอนฟ้องจำเลยร่วมที่ 18 และที่ 30 ถึงที่ 32 ศาลชั้นต้นอนุญาต ให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 และจำเลยร่วมที่ 18 และที่ 30 ถึงที่ 32 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่โจทก์ 9,642,164,453.61 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 119,020,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 สิงหาคม 2557) และของต้นเงิน 9,522,533,049.50 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 ตุลาคม 2557) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 119,631,404.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 119,020,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 สิงหาคม 2557) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 9,522,533,049.50บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 ตุลาคม 2557) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 8 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 149,506,497 บาท ให้จำเลยที่ 9 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 31,300,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 10,581,850 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 5 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 13,500,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 6 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 22,061,665 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 7 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 62,000,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 8 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 82,020,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 9 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 18,700,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 10 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 36,386,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 11 และจำเลยร่วมที่ 12 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 150,000,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 13 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์ เป็นเงิน 2,179,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 14 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 30,000,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 15 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 31,756,680 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 16 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 367,400,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 19 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์ เป็นเงิน 15,500,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 20 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์ เป็นเงิน 322,320,750 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 21 และจำเลยร่วมที่ 22 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 197,371,500 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 23 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 13,215,200 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 24 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 68,683,441 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 25 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 3,500,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 26 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 8,181,400 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 27 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 91,434,200 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 28 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 10,000,000 บาท ให้จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 8 จำเลยที่ 9 จำเลยร่วมที่ 1 จำเลยร่วมที่ 5 ถึงจำเลยร่วมที่ 16 จำเลยร่วมที่ 18 ถึงจำเลยร่วมที่ 26 และจำเลยร่วมที่ 28 (ที่ถูก จำเลยร่วมที่ 19 ถึงจำเลยร่วมที่ 28) รับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินที่จำเลยและจำเลยร่วมแต่ละคนจะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 นับแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จำเลยที่ 8 และที่ 9 จำเลยร่วมที่ 1 ถึงจำเลยร่วมที่ 16 จำเลยร่วมที่ 19 ถึงจำเลยร่วมที่ 28 ร่วมกันชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียม และตามทุนทรัพย์ที่จำเลยและจำเลยร่วมแต่ละคนจะต้องรับผิดต่อโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 รับผิด คนละ 50,000 บาท จำเลยที่ 8 จำเลยที่ 9 จำเลยร่วมที่ 1 ถึงจำเลยร่วมที่ 16 จำเลยร่วมที่ 19 ถึงจำเลยร่วมที่ 28 ให้รับผิดใช้ค่าทนายความแก่โจทก์คนละ 5,000 บาท ให้ยกฟ้องจำเลยร่วมที่ 2 ถึงจำเลยร่วมที่ 4 จำเลยร่วมที่ 17 และจำเลยร่วมที่ 29 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมที่ 2 ถึงจำเลยร่วมที่ 4 จำเลยร่วมที่ 17 และจำเลยร่วมที่ 29 ให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยร่วมที่ 5 ที่ 14 ที่ 21 ถึงที่ 23 และที่ 28 อุทธรณ์ โดยจำเลยร่วมที่ 5 ได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์
ในระหว่างอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561 จำเลยร่วมที่ 7 ที่ 8 และที่ 9 ขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เป็นเวลา 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2561 ถึงวันที่ 17 กันยายน 2561 ต่อมาวันที่ 20 สิงหาคม 2561 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้ถึงวันที่ 12 กันยายน 2561 และเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2561 จำเลยร่วมที่ 26 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ ต่อมาเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2561 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 จำเลยร่วมที่ 2 และที่ 4 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์ชั่วคราวของจำเลยร่วมที่ 2 และที่ 4 และในวันดังกล่าวศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และวันที่ 6 พฤศจิกายน 2563 จำเลยร่วมที่ 14 ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์
จำเลยร่วมที่ 2 ที่ 4 ที่ 7 ถึงที่ 9 และที่ 26 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ และยกอุทธรณ์ของจำเลยร่วมที่ 2 ที่ 4 ที่ 7 ถึงที่ 9 และที่ 26 และยกคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ของจำเลยร่วมที่ 14 ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยร่วมที่ 5 ที่ 14 ที่ 21 ถึงที่ 23 และที่ 28 โดยค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์เฉพาะในส่วนของจำเลยร่วมที่ 5 ที่ได้รับยกเว้น ให้โจทก์นำมาชำระต่อศาลในนามของจำเลยร่วมที่ 5 โดยกำหนดค่าทนายความให้แก่จำเลยร่วมที่ 5 ที่ 14 ที่ 21 ถึงที่ 23 และที่ 28 รวมทั้งสองศาล คนละ 10,000 บาท ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่จำเลยร่วมที่ 2 ที่ 4 ที่ 7 ถึงที่ 9 และที่ 26 ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ นอกจากนี้ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 โจทก์ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของโจทก์ต่อศาลล้มละลายกลางในฐานะลูกหนี้ผู้ร้องขอ และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอในวันเดียวกันเป็นคดีหมายเลขดำที่ ฟ.20/2557 คดีทั้งสองสำนวนนี้ โจทก์ยื่นคำฟ้องคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 398/2561 เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 โดยโจทก์ยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งให้ยกคำร้อง โจทก์วางเงินค่าธรรมเนียมศาลเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2557 ศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องในวันดังกล่าว ส่วนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 399/2561 โจทก์ยื่นคำฟ้องเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2557 ต่อมาวันที่ 20 มีนาคม 2558 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งฟื้นฟูกิจการของโจทก์และตั้งโจทก์ในฐานะลูกหนี้เป็นผู้ทำแผน วันที่ 21 มกราคม 2559 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของโจทก์ โดยให้โจทก์เป็นผู้บริหารแผน ครั้นวันที่ 25 มิถุนายน 2564 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของโจทก์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/70
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่าเมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของโจทก์ อำนาจในการบริหารกิจการของโจทก์กลับคืนมา โจทก์ย่อมมีอำนาจตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/14 และมาตรา 90/15 เห็นว่า เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้รับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์แล้ว การดำเนินการต่าง ๆ อันเกี่ยวด้วยทรัพย์สินของโจทก์ในฐานะลูกหนี้ในคดีขอให้ฟื้นฟูกิจการจึงอยู่ในบังคับตามกฎหมายว่าด้วยการฟื้นฟูกิจการซึ่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 หมวด 3/1 ว่าด้วยกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ กำหนดให้ศาลเข้ามามีบทบาทในการกำกับ ตรวจสอบ ดูแลกระบวนพิจารณาคดีฟื้นฟูกิจการ รวมทั้งให้ศาลมีอำนาจแต่งตั้งผู้ทำแผนหรือผู้บริหารแผนและควบคุมดูแลการทำงานของผู้ทำแผนหรือผู้บริหารแผนให้เป็นไปตามกฎหมายในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนั้น พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 บัญญัติว่า“ภายใต้บังคับมาตรา 90/13 และมาตรา 90/14 นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณาจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผนหรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผนหรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอหรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการหรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดตามความในหมวดนี้... (9) ห้ามมิให้ลูกหนี้ จำหน่าย จ่าย โอน ให้เช่า ชำระหนี้ ก่อหนี้ หรือกระทำการใด ๆ ที่ก่อให้เกิดภาระในทรัพย์สิน นอกจากเป็นการกระทำที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินการค้าตามปกติของลูกหนี้สามารถดำเนินต่อไปได้ เว้นแต่ศาลที่รับคำร้องขอจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น...” ซึ่งมาตรา 90/12 (9) นำไปใช้กับอำนาจหน้าที่ของผู้บริหารแผนชั่วคราวตามความในมาตรา 90/21 และอำนาจหน้าที่ของผู้ทำแผนตามมาตรา 90/25 ด้วย โดยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าภายหลังจากศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการแล้วลูกหนี้จะดำเนินกิจการได้เฉพาะการกระทำที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินการค้าตามปกติของลูกหนี้สามารถดำเนินต่อไปได้ แต่หากลูกหนี้จะดำเนินการจำหน่าย จ่าย โอน ให้เช่า ชำระหนี้ ก่อหนี้ หรือกระทำการใด ๆ ที่ก่อให้เกิดภาระในทรัพย์สินที่มิใช่การดำเนินธุรกิจตามปกติทางการค้าของลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลล้มละลายกลางและศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตแล้วเท่านั้น ซึ่งคดีทั้งสองสำนวนนี้ โจทก์ฟ้องคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 398/2561 เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 และศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องของโจทก์เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2557 ส่วนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 399/2561 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2557 เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์วันที่ 26 สิงหาคม 2557 และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์ไว้ในวันเดียวกัน การฟ้องคดีของโจทก์ทั้งสองสำนวนจึงเป็นการยื่นคำฟ้องหลังจากที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์แล้ว ดังนั้น การฟ้องคดีของโจทก์ทั้งสองสำนวนนี้จึงตกอยู่ในขอบอำนาจและกฎหมายว่าด้วยการฟื้นฟูกิจการ และอยู่ในบังคับตามมาตรา 90/12 (9) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 การที่โจทก์ฟ้องเรียกเอาทรัพย์คืนโดยอ้างว่าจำเลยทั้งเก้าได้รับทรัพย์สินของโจทก์ไปโดยมีการกระทำอันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ กระทำหรือละเว้นการกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของโจทก์อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งเก้าชำระเงินคืนแก่โจทก์ 119,020,000 บาท และ 9,522,533,049.50 บาท ซึ่งคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองสำนวนเป็นการฟ้องเรียกเอาทรัพย์คืนโดยอ้างว่าจำเลยทั้งเก้าได้รับทรัพย์สินของโจทก์ไป โดยมีการกระทำอันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ กระทำหรือละเว้นการกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของโจทก์เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์และขอให้บังคับจำเลยทั้งเก้าคืนทรัพย์ซึ่งเป็นเงินอันเป็นทรัพย์ของโจทก์ การฟ้องคดีดังกล่าวหากโจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดีก็อาจมีผลกระทบต่อกองทรัพย์สินของโจทก์ หรือโจทก์อาจต้องชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนฝ่ายจำเลยทั้งเก้าผู้ถูกฟ้องคดี จึงมิได้เป็นการกระทำที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินการค้าตามปกติของโจทก์สามารถดำเนินต่อไปได้ แต่เป็นการกระทำที่อาจก่อให้เกิดภาระแก่ทรัพย์สินของโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ในคดีขอให้ฟื้นฟูกิจการได้ ดังนั้น โจทก์จะกระทำการดังกล่าวได้จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลล้มละลายกลาง อันเป็นศาลที่รับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการก่อน แม้คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 398/2561 โจทก์จะยื่นฟ้องในวันเดียวกันกับวันที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของโจทก์ในวันเดียวกัน สภาวะพักการชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 (9) ย่อมเกิดขึ้นในวันดังกล่าวส่วนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 399/2561 โจทก์ยื่นฟ้องภายหลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการ เมื่อทั้งสองสำนวนโจทก์ยื่นฟ้องโดยไม่ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาลล้มละลายกลางและศาลล้มละลายกลางไม่ได้มีคำสั่งอนุญาต จึงเป็นการฟ้องคดีต่อศาลโดยไม่มีอำนาจ ซึ่งการพิจารณาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลหรือไม่ย่อมต้องพิจารณาถึงอำนาจฟ้องในขณะยื่นคำฟ้องเป็นสำคัญ ดังนั้น แม้ภายหลังศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของโจทก์ และอำนาจในการบริหารกิจการของโจทก์กลับคืนมาตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/75 และมาตรา 90/76 ดังที่โจทก์อ้างมาในฎีกาก็ตาม แต่หามีผลทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์ซึ่งไม่มีในขณะยื่นคำฟ้องกลับมีขึ้นในภายหลังได้ไม่ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องดังกล่าวข้างต้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์แล้ว การดำเนินการต่าง ๆ อันเกี่ยวด้วยทรัพย์สินของโจทก์ในฐานะลูกหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการจึงอยู่ในบังคับตามกฎหมายว่าด้วยการฟื้นฟูกิจการ พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 90/12 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 90/13 และมาตรา 90/14 นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณาจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผนหรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผนหรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอหรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการหรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดตามความในหมวดนี้... (9) ห้ามมิให้ลูกหนี้ จำหน่าย จ่าย โอน ให้เช่า ชำระหนี้ ก่อหนี้ หรือกระทำการใด ๆ ที่ก่อให้เกิดภาระในทรัพย์สิน นอกจากเป็นการกระทำที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินการค้าตามปกติของลูกหนี้สามารถดำเนินต่อไปได้ เว้นแต่ศาลที่รับคำร้องขอจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น...” บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าภายหลังจากศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการแล้ว ลูกหนี้จะดำเนินกิจการได้เฉพาะการกระทำที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินการค้าตามปกติของลูกหนี้สามารถดำเนินต่อไปได้ แต่หากลูกหนี้จะดำเนินการจำหน่าย จ่าย โอน ให้เช่า ชำระหนี้ ก่อหนี้ หรือกระทำการใด ๆ ที่ก่อให้เกิดภาระในทรัพย์สินที่มิใช่การดำเนินธุรกิจตามปกติทางการค้าของลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลล้มละลายกลางและศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตแล้วเท่านั้น
คดีทั้งสองสำนวนนี้ โจทก์ฟ้องคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 398/2561 เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 และศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องของโจทก์วันที่ 9 กันยายน 2557 ส่วนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 399/2561 โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2557 เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์วันที่ 26 สิงหาคม 2557 และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์ไว้ในวันเดียวกัน การฟ้องคดีของโจทก์ทั้งสองสำนวนจึงเป็นการยื่นคำฟ้องหลังจากที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์แล้ว จึงตกอยู่ในบังคับตามมาตรา 90/12 (9) แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลายฯ การที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเก้าชำระเงินคืนโจทก์ 119,020,000 บาท และ 9,522,533,049.50 บาท การฟ้องคดีดังกล่าวหากโจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดีก็อาจมีผลกระทบต่อกองทรัพย์สินของโจทก์ หรือโจทก์อาจต้องชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนฝ่ายจำเลยทั้งเก้า จึงมิได้เป็นการกระทำที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินการค้าตามปกติของโจทก์สามารถดำเนินต่อไปได้ แต่เป็นการกระทำที่อาจก่อให้เกิดภาระแก่ทรัพย์สินของโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการได้ แม้คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 398/2561 โจทก์จะยื่นฟ้องในวันเดียวกันกับวันที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องฟื้นฟูกิจการของโจทก์ในวันเดียวกัน สภาวะการพักชำระหนี้ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 90/12 (9) ย่อมเกิดขึ้นในวันดังกล่าว ส่วนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 399/2561 โจทก์ยื่นฟ้องภายหลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการ เมื่อทั้งสองสำนวนโจทก์ยื่นฟ้องโดยไม่ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาลล้มละลายกลางและศาลล้มละลายกลางไม่ได้มีคำสั่งอนุญาต จึงเป็นการฟ้องคดีต่อศาลโดยไม่มีอำนาจ ซึ่งการพิจารณาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลหรือไม่ย่อมต้องพิจารณาถึงอำนาจฟ้องในขณะยื่นคำฟ้องเป็นสำคัญ แม้ภายหลังศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการโจทก์ และอำนาจในการบริหารกิจการของโจทก์กลับคืนมาตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 90/75 และมาตรา 90/76 ก็ตาม แต่หามีผลทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์ซึ่งไม่มีในขณะยื่นคำฟ้องกลับมีขึ้นในภายหลังได้ไม่ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งรวมการพิจารณา โดยให้เรียกนายศุภชัย เป็นจำเลยที่ 1 พระครูปลัดวิจารณ์ เป็นจำเลยที่ 2 นางสาวศรัณยา เป็นจำเลยที่ 3 นางจันทร์ฉาย เป็นจำเลยที่ 4 นางวันเพ็ญ เป็นจำเลยที่ 5 นายวัฒน์ชานนท์ เป็นจำเลยที่ 6 นายจิรเดช เป็นจำเลยที่ 7 บริษัท อ. เป็นจำเลยที่ 8 นายสัมฤทธิ์ เป็นจำเลยที่ 9
สำนวนแรก โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 119,631,404.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 119,020,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
สำนวนที่สอง โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 ร่วมกันรับผิดชำระเงิน 10,641,756,796.96 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 9,522,533,049.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 6 ชำระเงิน 1,927,326,027.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 มีนาคม 2556 จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 7 ชำระเงิน 438,850,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 มีนาคม 2556 จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 8 ชำระเงิน 57,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 มีนาคม 2556 จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 9 ชำระเงิน 12,300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 มีนาคม 2556 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 9 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม โดยอ้างว่านางผกามาศ ฯลฯ ต้องรับผิดต่อโจทก์ ตามคำร้องฉบับลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2558 วันที่ 13 ตุลาคม 2558 และวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 ศาลชั้นต้นอนุญาต โดยเรียกบุคคลดังกล่าวเป็นจำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 32 ตามลำดับ
จำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 12 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยร่วมที่ 13 และที่ 19 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยร่วมที่ 14 ถึงที่ 18 และจำเลยร่วมที่ 20 ถึงที่ 32 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างการพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 และขอถอนฟ้องจำเลยร่วมที่ 18 และที่ 30 ถึงที่ 32 ศาลชั้นต้นอนุญาต ให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 และจำเลยร่วมที่ 18 และที่ 30 ถึงที่ 32 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่โจทก์ 9,642,164,453.61 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 119,020,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 สิงหาคม 2557) และของต้นเงิน 9,522,533,049.50 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 ตุลาคม 2557) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 119,631,404.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 119,020,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 สิงหาคม 2557) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 9,522,533,049.50บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 ตุลาคม 2557) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 8 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 149,506,497 บาท ให้จำเลยที่ 9 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 31,300,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 10,581,850 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 5 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 13,500,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 6 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 22,061,665 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 7 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 62,000,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 8 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 82,020,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 9 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 18,700,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 10 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 36,386,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 11 และจำเลยร่วมที่ 12 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 150,000,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 13 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์ เป็นเงิน 2,179,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 14 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 30,000,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 15 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 31,756,680 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 16 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 367,400,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 19 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์ เป็นเงิน 15,500,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 20 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์ เป็นเงิน 322,320,750 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 21 และจำเลยร่วมที่ 22 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 197,371,500 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 23 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 13,215,200 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 24 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 68,683,441 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 25 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 3,500,000 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 26 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 8,181,400 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 27 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 91,434,200 บาท ให้จำเลยร่วมที่ 28 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดแก่โจทก์เป็นเงิน 10,000,000 บาท ให้จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 8 จำเลยที่ 9 จำเลยร่วมที่ 1 จำเลยร่วมที่ 5 ถึงจำเลยร่วมที่ 16 จำเลยร่วมที่ 18 ถึงจำเลยร่วมที่ 26 และจำเลยร่วมที่ 28 (ที่ถูก จำเลยร่วมที่ 19 ถึงจำเลยร่วมที่ 28) รับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินที่จำเลยและจำเลยร่วมแต่ละคนจะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 นับแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จำเลยที่ 8 และที่ 9 จำเลยร่วมที่ 1 ถึงจำเลยร่วมที่ 16 จำเลยร่วมที่ 19 ถึงจำเลยร่วมที่ 28 ร่วมกันชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียม และตามทุนทรัพย์ที่จำเลยและจำเลยร่วมแต่ละคนจะต้องรับผิดต่อโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 รับผิด คนละ 50,000 บาท จำเลยที่ 8 จำเลยที่ 9 จำเลยร่วมที่ 1 ถึงจำเลยร่วมที่ 16 จำเลยร่วมที่ 19 ถึงจำเลยร่วมที่ 28 ให้รับผิดใช้ค่าทนายความแก่โจทก์คนละ 5,000 บาท ให้ยกฟ้องจำเลยร่วมที่ 2 ถึงจำเลยร่วมที่ 4 จำเลยร่วมที่ 17 และจำเลยร่วมที่ 29 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมที่ 2 ถึงจำเลยร่วมที่ 4 จำเลยร่วมที่ 17 และจำเลยร่วมที่ 29 ให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยร่วมที่ 5 ที่ 14 ที่ 21 ถึงที่ 23 และที่ 28 อุทธรณ์ โดยจำเลยร่วมที่ 5 ได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์
ในระหว่างอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561 จำเลยร่วมที่ 7 ที่ 8 และที่ 9 ขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เป็นเวลา 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2561 ถึงวันที่ 17 กันยายน 2561 ต่อมาวันที่ 20 สิงหาคม 2561 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้ถึงวันที่ 12 กันยายน 2561 และเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2561 จำเลยร่วมที่ 26 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ ต่อมาเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2561 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 จำเลยร่วมที่ 2 และที่ 4 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์ชั่วคราวของจำเลยร่วมที่ 2 และที่ 4 และในวันดังกล่าวศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และวันที่ 6 พฤศจิกายน 2563 จำเลยร่วมที่ 14 ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์
จำเลยร่วมที่ 2 ที่ 4 ที่ 7 ถึงที่ 9 และที่ 26 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ และยกอุทธรณ์ของจำเลยร่วมที่ 2 ที่ 4 ที่ 7 ถึงที่ 9 และที่ 26 และยกคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ของจำเลยร่วมที่ 14 ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยร่วมที่ 5 ที่ 14 ที่ 21 ถึงที่ 23 และที่ 28 โดยค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์เฉพาะในส่วนของจำเลยร่วมที่ 5 ที่ได้รับยกเว้น ให้โจทก์นำมาชำระต่อศาลในนามของจำเลยร่วมที่ 5 โดยกำหนดค่าทนายความให้แก่จำเลยร่วมที่ 5 ที่ 14 ที่ 21 ถึงที่ 23 และที่ 28 รวมทั้งสองศาล คนละ 10,000 บาท ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่จำเลยร่วมที่ 2 ที่ 4 ที่ 7 ถึงที่ 9 และที่ 26 ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ นอกจากนี้ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 โจทก์ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของโจทก์ต่อศาลล้มละลายกลางในฐานะลูกหนี้ผู้ร้องขอ และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอในวันเดียวกันเป็นคดีหมายเลขดำที่ ฟ.20/2557 คดีทั้งสองสำนวนนี้ โจทก์ยื่นคำฟ้องคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 398/2561 เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 โดยโจทก์ยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งให้ยกคำร้อง โจทก์วางเงินค่าธรรมเนียมศาลเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2557 ศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องในวันดังกล่าว ส่วนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 399/2561 โจทก์ยื่นคำฟ้องเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2557 ต่อมาวันที่ 20 มีนาคม 2558 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งฟื้นฟูกิจการของโจทก์และตั้งโจทก์ในฐานะลูกหนี้เป็นผู้ทำแผน วันที่ 21 มกราคม 2559 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของโจทก์ โดยให้โจทก์เป็นผู้บริหารแผน ครั้นวันที่ 25 มิถุนายน 2564 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของโจทก์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/70
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่าเมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของโจทก์ อำนาจในการบริหารกิจการของโจทก์กลับคืนมา โจทก์ย่อมมีอำนาจตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/14 และมาตรา 90/15 เห็นว่า เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้รับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์แล้ว การดำเนินการต่าง ๆ อันเกี่ยวด้วยทรัพย์สินของโจทก์ในฐานะลูกหนี้ในคดีขอให้ฟื้นฟูกิจการจึงอยู่ในบังคับตามกฎหมายว่าด้วยการฟื้นฟูกิจการซึ่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 หมวด 3/1 ว่าด้วยกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ กำหนดให้ศาลเข้ามามีบทบาทในการกำกับ ตรวจสอบ ดูแลกระบวนพิจารณาคดีฟื้นฟูกิจการ รวมทั้งให้ศาลมีอำนาจแต่งตั้งผู้ทำแผนหรือผู้บริหารแผนและควบคุมดูแลการทำงานของผู้ทำแผนหรือผู้บริหารแผนให้เป็นไปตามกฎหมายในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนั้น พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 บัญญัติว่า“ภายใต้บังคับมาตรา 90/13 และมาตรา 90/14 นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณาจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผนหรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผนหรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอหรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการหรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดตามความในหมวดนี้... (9) ห้ามมิให้ลูกหนี้ จำหน่าย จ่าย โอน ให้เช่า ชำระหนี้ ก่อหนี้ หรือกระทำการใด ๆ ที่ก่อให้เกิดภาระในทรัพย์สิน นอกจากเป็นการกระทำที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินการค้าตามปกติของลูกหนี้สามารถดำเนินต่อไปได้ เว้นแต่ศาลที่รับคำร้องขอจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น...” ซึ่งมาตรา 90/12 (9) นำไปใช้กับอำนาจหน้าที่ของผู้บริหารแผนชั่วคราวตามความในมาตรา 90/21 และอำนาจหน้าที่ของผู้ทำแผนตามมาตรา 90/25 ด้วย โดยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าภายหลังจากศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการแล้วลูกหนี้จะดำเนินกิจการได้เฉพาะการกระทำที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินการค้าตามปกติของลูกหนี้สามารถดำเนินต่อไปได้ แต่หากลูกหนี้จะดำเนินการจำหน่าย จ่าย โอน ให้เช่า ชำระหนี้ ก่อหนี้ หรือกระทำการใด ๆ ที่ก่อให้เกิดภาระในทรัพย์สินที่มิใช่การดำเนินธุรกิจตามปกติทางการค้าของลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลล้มละลายกลางและศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตแล้วเท่านั้น ซึ่งคดีทั้งสองสำนวนนี้ โจทก์ฟ้องคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 398/2561 เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 และศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องของโจทก์เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2557 ส่วนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 399/2561 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2557 เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์วันที่ 26 สิงหาคม 2557 และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์ไว้ในวันเดียวกัน การฟ้องคดีของโจทก์ทั้งสองสำนวนจึงเป็นการยื่นคำฟ้องหลังจากที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์แล้ว ดังนั้น การฟ้องคดีของโจทก์ทั้งสองสำนวนนี้จึงตกอยู่ในขอบอำนาจและกฎหมายว่าด้วยการฟื้นฟูกิจการ และอยู่ในบังคับตามมาตรา 90/12 (9) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 การที่โจทก์ฟ้องเรียกเอาทรัพย์คืนโดยอ้างว่าจำเลยทั้งเก้าได้รับทรัพย์สินของโจทก์ไปโดยมีการกระทำอันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ กระทำหรือละเว้นการกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของโจทก์อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งเก้าชำระเงินคืนแก่โจทก์ 119,020,000 บาท และ 9,522,533,049.50 บาท ซึ่งคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองสำนวนเป็นการฟ้องเรียกเอาทรัพย์คืนโดยอ้างว่าจำเลยทั้งเก้าได้รับทรัพย์สินของโจทก์ไป โดยมีการกระทำอันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ กระทำหรือละเว้นการกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของโจทก์เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์และขอให้บังคับจำเลยทั้งเก้าคืนทรัพย์ซึ่งเป็นเงินอันเป็นทรัพย์ของโจทก์ การฟ้องคดีดังกล่าวหากโจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดีก็อาจมีผลกระทบต่อกองทรัพย์สินของโจทก์ หรือโจทก์อาจต้องชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนฝ่ายจำเลยทั้งเก้าผู้ถูกฟ้องคดี จึงมิได้เป็นการกระทำที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินการค้าตามปกติของโจทก์สามารถดำเนินต่อไปได้ แต่เป็นการกระทำที่อาจก่อให้เกิดภาระแก่ทรัพย์สินของโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ในคดีขอให้ฟื้นฟูกิจการได้ ดังนั้น โจทก์จะกระทำการดังกล่าวได้จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลล้มละลายกลาง อันเป็นศาลที่รับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการก่อน แม้คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 398/2561 โจทก์จะยื่นฟ้องในวันเดียวกันกับวันที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของโจทก์ในวันเดียวกัน สภาวะพักการชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 (9) ย่อมเกิดขึ้นในวันดังกล่าวส่วนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 399/2561 โจทก์ยื่นฟ้องภายหลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการ เมื่อทั้งสองสำนวนโจทก์ยื่นฟ้องโดยไม่ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาลล้มละลายกลางและศาลล้มละลายกลางไม่ได้มีคำสั่งอนุญาต จึงเป็นการฟ้องคดีต่อศาลโดยไม่มีอำนาจ ซึ่งการพิจารณาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลหรือไม่ย่อมต้องพิจารณาถึงอำนาจฟ้องในขณะยื่นคำฟ้องเป็นสำคัญ ดังนั้น แม้ภายหลังศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของโจทก์ และอำนาจในการบริหารกิจการของโจทก์กลับคืนมาตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/75 และมาตรา 90/76 ดังที่โจทก์อ้างมาในฎีกาก็ตาม แต่หามีผลทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์ซึ่งไม่มีในขณะยื่นคำฟ้องกลับมีขึ้นในภายหลังได้ไม่ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องดังกล่าวข้างต้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1713 วรรคหนึ่ง หาจำต้องมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายโดยเป็นทายาทของผู้ตายทุกกรณีไม่ เมื่อผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ผู้ตายที่ 1 กับ ศ. เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2556 ผู้ตายที่ 1 ถึงแก่ความตาย ก่อนตายผู้ตายที่ 1 มีทรัพย์สินเป็นที่ดิน 2 แปลง คือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 419 และ 420 โดยผู้ตายที่ 1 กับผู้ตายที่ 2 ทำประโยชน์และมีชื่อเป็นผู้ครอบครองร่วมกันตั้งแต่ปี 2516 โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ตายที่ 1 เป็นผู้ทำกินโดยปลูกข้าวและนำผลผลิตมาอุปการะเลี้ยงดูผู้ตายที่ 2 หากผู้ตายที่ 2 ถึงแก่ความตายก็ให้ที่ดินทั้งหมดตกเป็นสิทธิของผู้ตายที่ 1 เพียงผู้เดียว ต่อมาผู้ตายที่ 2 ถึงแก่ความตายโดยมิได้ทำพินัยกรรมและมิได้แต่งตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ตายที่ 1 ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลงมาโดยตลอด จนกระทั่งถึงแก่ความตาย ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรของผู้ตายที่ 1 ย่อมเป็นทายาทโดยธรรมและเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกในที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวของผู้ตายที่ 2 เมื่อปรากฏว่าการจัดการมรดกมีเหตุขัดข้องและผู้ร้องมิได้เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้เป็นผู้จัดการมรดก จึงเห็นสมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายที่ 2
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายทั้งสอง
ศาลประกาศนัดไต่สวนแล้ว ไม่มีผู้คัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งนางบัวสอด ผู้ร้อง เป็นผู้จัดการมรดกของนายคำ ผู้ตายที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 ให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องในส่วนของผู้ตายที่ 2
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกนางขอด ผู้ตายที่ 2 และมีสิทธิร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า ผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 วรรคหนึ่ง หาจำต้องมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายโดยเป็นทายาทของผู้ตายทุกกรณีไม่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายคำ ผู้ตายที่ 1 กับนางศรีคำ เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2556 ผู้ตายที่ 1 ถึงแก่ความตาย ก่อนตายผู้ตายที่ 1 มีทรัพย์สินเป็นที่ดิน 2 แปลง คือ ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 419 และ 420 โดยผู้ตายที่ 1 กับผู้ตายที่ 2 ทำประโยชน์และมีชื่อเป็นผู้ครอบครองร่วมกันตั้งแต่ปี 2516 โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ตายที่ 1 เป็นผู้ทำกินโดยปลูกข้าวและนำผลผลิตมาอุปการะเลี้ยงดูผู้ตายที่ 2 หากผู้ตายที่ 2 ถึงแก่ความตายก็ให้ที่ดินทั้งหมดตกเป็นสิทธิของผู้ตายที่ 1 เพียงผู้เดียว ต่อมาผู้ตายที่ 2 ถึงแก่ความตายโดยมิได้ทำพินัยกรรมและมิได้แต่งตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ตายที่ 1 ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลงมาโดยตลอด จนกระทั่งถึงแก่ความตาย ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรของผู้ตายที่ 1 ย่อมเป็นทายาทโดยธรรมและเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกในที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวของผู้ตายที่ 2 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการจัดการมรดกมีเหตุขัดข้องและผู้ร้องมิได้เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้เป็นผู้จัดการมรดก จึงเห็นสมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายที่ 2 ด้วย เมื่อได้ความดังที่ได้วินิจฉัยมานี้แล้ว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่น ๆ ของผู้ร้องอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องในส่วนขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายที่ 2 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ตั้งนางบัวสอด ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนางขอด ผู้ตายที่ 2 ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 ให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1713 วรรคหนึ่ง หาจำต้องมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายโดยเป็นทายาทของผู้ตายทุกกรณีไม่ เมื่อผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ผู้ตายที่ 1 กับ ศ. เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2556 ผู้ตายที่ 1 ถึงแก่ความตาย ก่อนตายผู้ตายที่ 1 มีทรัพย์สินเป็นที่ดิน 2 แปลง คือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 419 และ 420 โดยผู้ตายที่ 1 กับผู้ตายที่ 2 ทำประโยชน์และมีชื่อเป็นผู้ครอบครองร่วมกันตั้งแต่ปี 2516 โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ตายที่ 1 เป็นผู้ทำกินโดยปลูกข้าวและนำผลผลิตมาอุปการะเลี้ยงดูผู้ตายที่ 2 หากผู้ตายที่ 2 ถึงแก่ความตายก็ให้ที่ดินทั้งหมดตกเป็นสิทธิของผู้ตายที่ 1 เพียงผู้เดียว ต่อมาผู้ตายที่ 2 ถึงแก่ความตายโดยมิได้ทำพินัยกรรมและมิได้แต่งตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ตายที่ 1 ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลงมาโดยตลอด จนกระทั่งถึงแก่ความตาย ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรของผู้ตายที่ 1 ย่อมเป็นทายาทโดยธรรมและเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกในที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวของผู้ตายที่ 2 เมื่อปรากฏว่าการจัดการมรดกมีเหตุขัดข้องและผู้ร้องมิได้เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้เป็นผู้จัดการมรดก จึงเห็นสมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายที่ 2
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายทั้งสอง
ศาลประกาศนัดไต่สวนแล้ว ไม่มีผู้คัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งนางบัวสอด ผู้ร้อง เป็นผู้จัดการมรดกของนายคำ ผู้ตายที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 ให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องในส่วนของผู้ตายที่ 2
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกนางขอด ผู้ตายที่ 2 และมีสิทธิร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า ผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 วรรคหนึ่ง หาจำต้องมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายโดยเป็นทายาทของผู้ตายทุกกรณีไม่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายคำ ผู้ตายที่ 1 กับนางศรีคำ เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2556 ผู้ตายที่ 1 ถึงแก่ความตาย ก่อนตายผู้ตายที่ 1 มีทรัพย์สินเป็นที่ดิน 2 แปลง คือ ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 419 และ 420 โดยผู้ตายที่ 1 กับผู้ตายที่ 2 ทำประโยชน์และมีชื่อเป็นผู้ครอบครองร่วมกันตั้งแต่ปี 2516 โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ตายที่ 1 เป็นผู้ทำกินโดยปลูกข้าวและนำผลผลิตมาอุปการะเลี้ยงดูผู้ตายที่ 2 หากผู้ตายที่ 2 ถึงแก่ความตายก็ให้ที่ดินทั้งหมดตกเป็นสิทธิของผู้ตายที่ 1 เพียงผู้เดียว ต่อมาผู้ตายที่ 2 ถึงแก่ความตายโดยมิได้ทำพินัยกรรมและมิได้แต่งตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ตายที่ 1 ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลงมาโดยตลอด จนกระทั่งถึงแก่ความตาย ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรของผู้ตายที่ 1 ย่อมเป็นทายาทโดยธรรมและเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกในที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวของผู้ตายที่ 2 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการจัดการมรดกมีเหตุขัดข้องและผู้ร้องมิได้เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้เป็นผู้จัดการมรดก จึงเห็นสมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายที่ 2 ด้วย เมื่อได้ความดังที่ได้วินิจฉัยมานี้แล้ว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่น ๆ ของผู้ร้องอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องในส่วนขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายที่ 2 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ตั้งนางบัวสอด ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนางขอด ผู้ตายที่ 2 ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 ให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ป.พ.พ. มาตรา 850 บัญญัติว่า “อันว่าประนีประนอมยอมความนั้น คือ สัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน” เมื่อพิจารณาคำร้องขอถอนฟ้องซึ่งเป็นข้อตกลงในการถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6070/2560 ปรากฏข้อความว่าให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ 200,000 บาท แล้วโจทก์จะถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6070/2560 นอกจากนั้นยังให้จำเลยชำระเงิน 200,000 บาท ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1967/2561 และชำระเงิน 400,000 บาท ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.6137/2560 และยังมีข้อตกลงในส่วนคดีของศาลแรงงานกลางที่ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาให้เลิกแล้วต่อกัน รวมถึงจำเลยจะไม่ไปดำเนินการร้องเรียนใด ๆ เกี่ยวกับการประมูลงานของโจทก์ ส่วนที่ร้องเรียนไปแล้วก็จะไปถอนคำร้อง ซึ่งเห็นได้ว่า ข้อความตามคำร้องขอถอนฟ้องเป็นข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายตกลงระงับข้อพิพาทด้วยการให้โจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาหมายดำที่ 6070/2560 โดยมีข้อตกลงอื่นด้วยว่าจำเลยต้องชำระเงินให้โจทก์อีก 600,000 บาท ข้อตกลงตามคำร้องขอถอนฟ้องจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทั้งสองฝ่ายตกลงผ่อนผันให้แก่กันเพื่อระงับข้อพิพาท เมื่อปรากฏว่าข้อตกลงประนีประนอมยอมตามคำร้องขอถอนฟ้อง โจทก์ตกลงถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6070/2560 ซึ่งเป็นคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารสิทธิปลอมตาม ป.อ. มาตรา 264, 268 อันเป็นคดีความผิดอาญาแผ่นดิน ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับเรียกค่าเสียหายส่วนที่เหลือตามสัญญาที่เป็นโมฆะได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 13 กันยายน 2562) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยตกลงไกล่เกลี่ยกันในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6070/2560 ของศาลแขวงชลบุรี โดยมีรายละเอียดของข้อตกลงเป็นไป ตามคำร้องขอถอนฟ้องฉบับลงวันที่ 9 ตุลาคม 2561 จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ 200,000 บาท และโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องในวันดังกล่าว ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6070/2560 ของศาลแขวงชลบุรี ตามขอและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ คดีถึงที่สุดตามรายงานกระบวนพิจารณาและหนังสือสำคัญเพื่อแสดงว่าคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามข้อตกลงในคำร้องขอถอนฟ้องฉบับลงวันที่ 9 ตุลาคม 2561 แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 บัญญัติว่า “อันว่าประนีประนอมยอมความ คือ สัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่ง ซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน” เมื่อพิจารณาคำร้องขอถอนฟ้อง ซึ่งเป็นข้อตกลงในการถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6070/2560 ของศาลแขวงชลบุรี ปรากฏข้อความว่าให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ 200,000 บาท แล้วโจทก์จะถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6070/2560 ของศาลแขวงชลบุรี นอกจากนั้นยังให้จำเลยชำระเงิน 200,000 บาท ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1967/2561 ของศาลแขวงชลบุรี และชำระเงิน 400,000 บาท ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.6137/2560 ของศาลแขวงสมุทรปราการ และยังมีข้อตกลงในส่วนคดีของศาลแรงงานกลางที่ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาให้เลิกแล้วต่อกัน รวมถึงจำเลยจะไม่ไปดำเนินการร้องเรียนใดๆ เกี่ยวกับการประมูลงานของโจทก์ ส่วนที่ร้องเรียนไปแล้วก็จะไปถอนคำร้อง ซึ่งเห็นได้ว่า ข้อความตามคำร้องขอถอนฟ้อง เป็นข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายตกลงระงับข้อพิพาทด้วยการให้โจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6070/2560 ของศาลแขวงชลบุรี โดยมีข้อตกลงอื่นด้วยว่าจำเลยต้องชำระเงินให้โจทก์อีก 600,000 บาท ข้อตกลงตามคำร้องขอถอนฟ้อง จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทั้งสองฝ่ายตกลงผ่อนผันให้แก่กันเพื่อระงับข้อพิพาท เมื่อปรากฏว่าข้อตกลงประนีประนอมยอมตามคำร้องขอถอนฟ้อง โจทก์ตกลงถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6070/2560 ซึ่งเป็นคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 268 อันเป็นคดีความผิดอาญาแผ่นดิน ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับเรียกค่าเสียหายส่วนที่เหลือตามสัญญาที่เป็นโมฆะได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ป.พ.พ. มาตรา 850 บัญญัติว่า “อันว่าประนีประนอมยอมความนั้น คือ สัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน” เมื่อพิจารณาคำร้องขอถอนฟ้องซึ่งเป็นข้อตกลงในการถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6070/2560 ปรากฏข้อความว่าให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ 200,000 บาท แล้วโจทก์จะถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6070/2560 นอกจากนั้นยังให้จำเลยชำระเงิน 200,000 บาท ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1967/2561 และชำระเงิน 400,000 บาท ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.6137/2560 และยังมีข้อตกลงในส่วนคดีของศาลแรงงานกลางที่ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาให้เลิกแล้วต่อกัน รวมถึงจำเลยจะไม่ไปดำเนินการร้องเรียนใด ๆ เกี่ยวกับการประมูลงานของโจทก์ ส่วนที่ร้องเรียนไปแล้วก็จะไปถอนคำร้อง ซึ่งเห็นได้ว่า ข้อความตามคำร้องขอถอนฟ้องเป็นข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายตกลงระงับข้อพิพาทด้วยการให้โจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาหมายดำที่ 6070/2560 โดยมีข้อตกลงอื่นด้วยว่าจำเลยต้องชำระเงินให้โจทก์อีก 600,000 บาท ข้อตกลงตามคำร้องขอถอนฟ้องจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทั้งสองฝ่ายตกลงผ่อนผันให้แก่กันเพื่อระงับข้อพิพาท เมื่อปรากฏว่าข้อตกลงประนีประนอมยอมตามคำร้องขอถอนฟ้อง โจทก์ตกลงถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6070/2560 ซึ่งเป็นคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารสิทธิปลอมตาม ป.อ. มาตรา 264, 268 อันเป็นคดีความผิดอาญาแผ่นดิน ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับเรียกค่าเสียหายส่วนที่เหลือตามสัญญาที่เป็นโมฆะได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 13 กันยายน 2562) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยตกลงไกล่เกลี่ยกันในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6070/2560 ของศาลแขวงชลบุรี โดยมีรายละเอียดของข้อตกลงเป็นไป ตามคำร้องขอถอนฟ้องฉบับลงวันที่ 9 ตุลาคม 2561 จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ 200,000 บาท และโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องในวันดังกล่าว ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6070/2560 ของศาลแขวงชลบุรี ตามขอและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ คดีถึงที่สุดตามรายงานกระบวนพิจารณาและหนังสือสำคัญเพื่อแสดงว่าคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามข้อตกลงในคำร้องขอถอนฟ้องฉบับลงวันที่ 9 ตุลาคม 2561 แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 บัญญัติว่า “อันว่าประนีประนอมยอมความ คือ สัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่ง ซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน” เมื่อพิจารณาคำร้องขอถอนฟ้อง ซึ่งเป็นข้อตกลงในการถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6070/2560 ของศาลแขวงชลบุรี ปรากฏข้อความว่าให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ 200,000 บาท แล้วโจทก์จะถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6070/2560 ของศาลแขวงชลบุรี นอกจากนั้นยังให้จำเลยชำระเงิน 200,000 บาท ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1967/2561 ของศาลแขวงชลบุรี และชำระเงิน 400,000 บาท ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.6137/2560 ของศาลแขวงสมุทรปราการ และยังมีข้อตกลงในส่วนคดีของศาลแรงงานกลางที่ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาให้เลิกแล้วต่อกัน รวมถึงจำเลยจะไม่ไปดำเนินการร้องเรียนใดๆ เกี่ยวกับการประมูลงานของโจทก์ ส่วนที่ร้องเรียนไปแล้วก็จะไปถอนคำร้อง ซึ่งเห็นได้ว่า ข้อความตามคำร้องขอถอนฟ้อง เป็นข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายตกลงระงับข้อพิพาทด้วยการให้โจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6070/2560 ของศาลแขวงชลบุรี โดยมีข้อตกลงอื่นด้วยว่าจำเลยต้องชำระเงินให้โจทก์อีก 600,000 บาท ข้อตกลงตามคำร้องขอถอนฟ้อง จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทั้งสองฝ่ายตกลงผ่อนผันให้แก่กันเพื่อระงับข้อพิพาท เมื่อปรากฏว่าข้อตกลงประนีประนอมยอมตามคำร้องขอถอนฟ้อง โจทก์ตกลงถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6070/2560 ซึ่งเป็นคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 268 อันเป็นคดีความผิดอาญาแผ่นดิน ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับเรียกค่าเสียหายส่วนที่เหลือตามสัญญาที่เป็นโมฆะได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ขณะเกิดเหตุความผิดตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 (ก) มีระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง แม้ภายหลังขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดี มี พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 ยกเลิก พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 แต่มาตรา 4 (1) ของกฎหมายใหม่ที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิด มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งสูงกว่าระวางโทษตามกฎหมายเก่าที่ใช้อยู่ในขณะเกิดเหตุ จึงต้องใช้ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 (ก) ซึ่งเป็นกฎหมายส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลย ตาม ป.อ. มาตรา 3 ส่วนความผิดฐานยักยอกที่โจทก์ฟ้องรวมกันมา ก็มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงเช่นกัน แม้ศาลอาญากรุงเทพใต้ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจรับพิจารณาคดีนี้จะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 19/1 แต่การพิจารณาพิพากษาก็ต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายวิธีพิจารณาคดีของคดีนั้น ๆ เมื่อคดีนี้เป็นคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง จึงต้องนำ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาใช้บังคับแก่คดี กล่าวคือ โจทก์จะต้องฟ้องคดีภายในกำหนดระยะเวลาผัดฟ้องตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 7 เมื่อปรากฏว่าโจทก์มิได้ขอผัดฟ้อง ในการฟ้องคดีโจทก์จึงต้องได้รับอนุญาตจากอัยการสูงสุด หรือพนักงานอัยการซึ่งอัยการสูงสุดมอบหมายตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 9 แต่ไม่ปรากฏว่าอัยการสูงสุด หรือพนักงานอัยการซึ่งอัยการสูงสุดมอบหมายได้อนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 352 และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 589,192.65 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีชอบหรือไม่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 (ก) มีระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง แม้ภายหลังขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดี มีพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 ยกเลิกพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 แต่มาตรา 4 (1) ของกฎหมายใหม่ที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิด มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งสูงกว่าระวางโทษตามกฎหมายเก่าที่ใช้อยู่ในขณะเกิดเหตุ จึงต้องใช้พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 (ก) ซึ่งเป็นกฎหมายส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ส่วนความผิดฐานยักยอกที่โจทก์ฟ้องรวมกันมา ก็มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงเช่นกัน แม้ศาลอาญากรุงเทพใต้ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจรับพิจารณาคดีนี้จะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 19/1 แต่การพิจารณาพิพากษาก็ต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายวิธีพิจารณาคดีของคดีนั้น ๆ เมื่อคดีนี้เป็นคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง จึงต้องนำพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาใช้บังคับแก่คดี กล่าวคือ โจทก์จะต้องฟ้องคดีภายในกำหนดระยะเวลาผัดฟ้องตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 7 เมื่อปรากฏว่าโจทก์มิได้ขอผัดฟ้อง ในการฟ้องคดีโจทก์จึงต้องได้รับอนุญาตจากอัยการสูงสุด หรือพนักงานอัยการซึ่งอัยการสูงสุดมอบหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 9 แต่ไม่ปรากฏว่าอัยการสูงสุด หรือพนักงานอัยการซึ่งอัยการสูงสุดมอบหมายได้อนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเป็นทำนองว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง แล้วยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไปนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
ขณะเกิดเหตุความผิดตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 (ก) มีระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง แม้ภายหลังขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดี มี พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 ยกเลิก พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 แต่มาตรา 4 (1) ของกฎหมายใหม่ที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิด มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งสูงกว่าระวางโทษตามกฎหมายเก่าที่ใช้อยู่ในขณะเกิดเหตุ จึงต้องใช้ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 (ก) ซึ่งเป็นกฎหมายส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลย ตาม ป.อ. มาตรา 3 ส่วนความผิดฐานยักยอกที่โจทก์ฟ้องรวมกันมา ก็มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงเช่นกัน แม้ศาลอาญากรุงเทพใต้ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจรับพิจารณาคดีนี้จะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 19/1 แต่การพิจารณาพิพากษาก็ต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายวิธีพิจารณาคดีของคดีนั้น ๆ เมื่อคดีนี้เป็นคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง จึงต้องนำ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาใช้บังคับแก่คดี กล่าวคือ โจทก์จะต้องฟ้องคดีภายในกำหนดระยะเวลาผัดฟ้องตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 7 เมื่อปรากฏว่าโจทก์มิได้ขอผัดฟ้อง ในการฟ้องคดีโจทก์จึงต้องได้รับอนุญาตจากอัยการสูงสุด หรือพนักงานอัยการซึ่งอัยการสูงสุดมอบหมายตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 9 แต่ไม่ปรากฏว่าอัยการสูงสุด หรือพนักงานอัยการซึ่งอัยการสูงสุดมอบหมายได้อนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 352 และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 589,192.65 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีชอบหรือไม่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 (ก) มีระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง แม้ภายหลังขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดี มีพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 ยกเลิกพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 แต่มาตรา 4 (1) ของกฎหมายใหม่ที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิด มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งสูงกว่าระวางโทษตามกฎหมายเก่าที่ใช้อยู่ในขณะเกิดเหตุ จึงต้องใช้พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 (ก) ซึ่งเป็นกฎหมายส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ส่วนความผิดฐานยักยอกที่โจทก์ฟ้องรวมกันมา ก็มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงเช่นกัน แม้ศาลอาญากรุงเทพใต้ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจรับพิจารณาคดีนี้จะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 19/1 แต่การพิจารณาพิพากษาก็ต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายวิธีพิจารณาคดีของคดีนั้น ๆ เมื่อคดีนี้เป็นคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง จึงต้องนำพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาใช้บังคับแก่คดี กล่าวคือ โจทก์จะต้องฟ้องคดีภายในกำหนดระยะเวลาผัดฟ้องตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 7 เมื่อปรากฏว่าโจทก์มิได้ขอผัดฟ้อง ในการฟ้องคดีโจทก์จึงต้องได้รับอนุญาตจากอัยการสูงสุด หรือพนักงานอัยการซึ่งอัยการสูงสุดมอบหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 9 แต่ไม่ปรากฏว่าอัยการสูงสุด หรือพนักงานอัยการซึ่งอัยการสูงสุดมอบหมายได้อนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเป็นทำนองว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง แล้วยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไปนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิดำเนินการเพื่อให้มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมแก่จำเลยทั้งสี่ได้ ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 โจทก์ยื่นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีทั้งเป็นศาลที่มีอำนาจในการออกหมายบังคับคดีรวมตลอดถึงมีอำนาจในการทำคำวินิจฉัยชี้ขาดหรือทำคำสั่งในเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 275 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นคำขอออกหมายบังคับคดี ต่อมาศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 ตามหมายบังคับคดีมีรายละเอียดเกี่ยวกับคำพิพากษาซึ่งจะขอให้มีการบังคับคดี จำนวนที่ยังไม่ได้รับชำระตามคำพิพากษาและวิธีการบังคับคดีซึ่งขอให้ออกหมายนั้น รวมตลอดถึงหมายเลขคดี ชื่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี และชื่อคู่ความทั้งหมดถูกต้องครบถ้วนตรงตามสำนวนคดีนี้ จึงเชื่อว่าศาลชั้นต้นได้ตรวจสอบคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ และได้ออกหมายบังคับคดีโดยถูกต้องแล้ว ส่วนที่ผู้คัดค้านทั้งสามอ้างว่าคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ไม่ถูกต้องและไม่ใช่คำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีในสำนวนคดีนี้นั้น สำเนาคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวเป็นเพียงสำเนาเอกสาร ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นในสำนวนคดีนี้ ทั้งหากจะฟังว่าโจทก์ยื่นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีผิดพลาดไป ก็พอเข้าใจเจตนาของโจทก์ได้ว่า โจทก์ประสงค์ที่จะบังคับคดีเอาแก่จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในสำนวนคดีนี้ มิใช่ประสงค์ที่จะบังคับคดีเอาแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งเป็นจำเลยในสำนวนคดีอื่น การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ในกรณีเช่นนี้จึงต้องถือว่าศาลชั้นต้นใช้อำนาจออกหมายบังคับคดีตามข้อเท็จจริงที่ถูกต้องแล้ว โดย ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคหนึ่งตอนท้ายบัญญัติให้ศาลมีอำนาจสั่งตามที่เห็นสมควรได้ โดยไม่จำต้องสั่งยกคำขอหรือให้โจทก์แก้ไขคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเสียก่อน ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีชอบแล้ว ไม่มีเหตุต้องเพิกถอน
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 281,865.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1 ต่อปี ของต้นเงิน 254,400 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 มิถุนายน 2550) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือนภายในวันที่ 5 ของทุกเดือนติดต่อกันไป เดือนละไม่น้อยกว่า 2,700 บาท เริ่มชำระงวดแรกเดือนธันวาคม 2550 โดยจะนำเงินไปชำระที่ธนาคาร ก. บัญชีตามหมายเลขประจำตัวประชาชนของจำเลยที่ 1 และจะชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน 9 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินที่ผิดนัดในแต่ละงวด จำเลยทั้งสี่ยอมชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืน 200 บาท ค่าทนายความ 1,500 บาท รวมเป็นเงิน 1,700 บาท โดยจะนำเงินไปชำระที่ธนาคาร ก. พร้อมกับการชำระหนี้งวดแรก หากจำเลยทั้งสี่ผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดชำระหนี้ทั้งหมดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ต่อมาวันที่ 20 มีนาคม 2560 โจทก์ยื่นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ ต่อมาโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 119 พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งมีชื่อผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาวันที่ 15 ธันวาคม 2560 ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนหมายบังคับคดีและคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้ยึดที่ดินดังกล่าว เนื่องจากกระบวนการขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและการออกหมายบังคับคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2560 ว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ตามคำขอฉบับลงวันที่ 20 มีนาคม 2560 เป็นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีอื่น มิใช่คดีนี้ การที่ศาลสั่งให้หมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเป็นการสั่งไปโดยผิดหลงอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 จึงให้เพิกถอนคำสั่งหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีนี้เสีย
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและมีคำสั่งว่าหมายบังคับคดีฉบับลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 ออกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนคำสั่งหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านทั้งสามฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2550 ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา วันที่ 20 มีนาคม 2560 โจทก์ยื่นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี วันที่ 15 พฤษภาคม 2560 ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ จากนั้นโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 119 พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งมีชื่อผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาสำนวนคดีถูกปลดเผา คงเหลือแต่สัญญาประนีประนอมยอมความ คำพิพากษาตามยอมและหมายบังคับคดี
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสามมีว่า มีเหตุให้เพิกถอนหมายบังคับคดีหรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิดำเนินการเพื่อให้มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมแก่จำเลยทั้งสี่ได้ ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 โจทก์ยื่นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีทั้งเป็นศาลที่มีอำนาจในการออกหมายบังคับคดีรวมตลอดถึงมีอำนาจในการทำคำวินิจฉัยชี้ขาดหรือทำคำสั่งในเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นคำขอออกหมายบังคับคดี ต่อมาศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับคำพิพากษาซึ่งจะขอให้มีการบังคับคดี จำนวนที่ยังไม่ได้รับชำระตามคำพิพากษาและวิธีการบังคับคดีซึ่งขอให้ออกหมายนั้น รวมตลอดถึงหมายเลขคดี ชื่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี และชื่อคู่ความทั้งหมดถูกต้องครบถ้วนตรงตามสำนวนคดีนี้ จึงเชื่อว่าศาลชั้นต้นได้ตรวจสอบคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ และได้ออกหมายบังคับคดีโดยถูกต้องแล้ว ส่วนที่ผู้คัดค้านทั้งสามอ้างว่า คำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ไม่ถูกต้อง และไม่ใช่คำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีในสำนวนคดีนี้ เห็นว่า สำเนาคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวเป็นเพียงสำเนาเอกสาร ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นในสำนวนคดีนี้ จึงมีน้ำหนักน้อย ทั้งหากจะฟังว่าโจทก์ยื่นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีผิดพลาดไป ก็พอเข้าใจเจตนาของโจทก์ได้ว่า โจทก์ประสงค์ที่จะบังคับคดีเอาแก่จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในสำนวนคดีนี้ มิใช่ประสงค์ที่จะบังคับคดีเอาแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งเป็นจำเลยในสำนวนคดีอื่น การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ในกรณีเช่นนี้จึงต้องถือว่าศาลชั้นต้นใช้อำนาจออกหมายบังคับคดีตามข้อเท็จจริงที่ถูกต้องแล้ว โดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่งตอนท้ายบัญญัติให้ ศาลมีอำนาจสั่งตามที่เห็นสมควรได้ โดยไม่จำต้องสั่งยกคำขอหรือให้โจทก์แก้ไขคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเสียก่อน ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีชอบแล้ว ไม่มีเหตุต้องเพิกถอน ฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิดำเนินการเพื่อให้มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมแก่จำเลยทั้งสี่ได้ ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 โจทก์ยื่นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีทั้งเป็นศาลที่มีอำนาจในการออกหมายบังคับคดีรวมตลอดถึงมีอำนาจในการทำคำวินิจฉัยชี้ขาดหรือทำคำสั่งในเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 275 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นคำขอออกหมายบังคับคดี ต่อมาศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 ตามหมายบังคับคดีมีรายละเอียดเกี่ยวกับคำพิพากษาซึ่งจะขอให้มีการบังคับคดี จำนวนที่ยังไม่ได้รับชำระตามคำพิพากษาและวิธีการบังคับคดีซึ่งขอให้ออกหมายนั้น รวมตลอดถึงหมายเลขคดี ชื่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี และชื่อคู่ความทั้งหมดถูกต้องครบถ้วนตรงตามสำนวนคดีนี้ จึงเชื่อว่าศาลชั้นต้นได้ตรวจสอบคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ และได้ออกหมายบังคับคดีโดยถูกต้องแล้ว ส่วนที่ผู้คัดค้านทั้งสามอ้างว่าคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ไม่ถูกต้องและไม่ใช่คำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีในสำนวนคดีนี้นั้น สำเนาคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวเป็นเพียงสำเนาเอกสาร ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นในสำนวนคดีนี้ ทั้งหากจะฟังว่าโจทก์ยื่นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีผิดพลาดไป ก็พอเข้าใจเจตนาของโจทก์ได้ว่า โจทก์ประสงค์ที่จะบังคับคดีเอาแก่จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในสำนวนคดีนี้ มิใช่ประสงค์ที่จะบังคับคดีเอาแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งเป็นจำเลยในสำนวนคดีอื่น การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ในกรณีเช่นนี้จึงต้องถือว่าศาลชั้นต้นใช้อำนาจออกหมายบังคับคดีตามข้อเท็จจริงที่ถูกต้องแล้ว โดย ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคหนึ่งตอนท้ายบัญญัติให้ศาลมีอำนาจสั่งตามที่เห็นสมควรได้ โดยไม่จำต้องสั่งยกคำขอหรือให้โจทก์แก้ไขคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเสียก่อน ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีชอบแล้ว ไม่มีเหตุต้องเพิกถอน
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 281,865.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1 ต่อปี ของต้นเงิน 254,400 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 มิถุนายน 2550) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือนภายในวันที่ 5 ของทุกเดือนติดต่อกันไป เดือนละไม่น้อยกว่า 2,700 บาท เริ่มชำระงวดแรกเดือนธันวาคม 2550 โดยจะนำเงินไปชำระที่ธนาคาร ก. บัญชีตามหมายเลขประจำตัวประชาชนของจำเลยที่ 1 และจะชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน 9 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินที่ผิดนัดในแต่ละงวด จำเลยทั้งสี่ยอมชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืน 200 บาท ค่าทนายความ 1,500 บาท รวมเป็นเงิน 1,700 บาท โดยจะนำเงินไปชำระที่ธนาคาร ก. พร้อมกับการชำระหนี้งวดแรก หากจำเลยทั้งสี่ผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดชำระหนี้ทั้งหมดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ต่อมาวันที่ 20 มีนาคม 2560 โจทก์ยื่นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ ต่อมาโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 119 พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งมีชื่อผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาวันที่ 15 ธันวาคม 2560 ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนหมายบังคับคดีและคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้ยึดที่ดินดังกล่าว เนื่องจากกระบวนการขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและการออกหมายบังคับคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2560 ว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ตามคำขอฉบับลงวันที่ 20 มีนาคม 2560 เป็นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีอื่น มิใช่คดีนี้ การที่ศาลสั่งให้หมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเป็นการสั่งไปโดยผิดหลงอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 จึงให้เพิกถอนคำสั่งหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีนี้เสีย
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและมีคำสั่งว่าหมายบังคับคดีฉบับลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 ออกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนคำสั่งหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านทั้งสามฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2550 ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา วันที่ 20 มีนาคม 2560 โจทก์ยื่นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี วันที่ 15 พฤษภาคม 2560 ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ จากนั้นโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 119 พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งมีชื่อผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาสำนวนคดีถูกปลดเผา คงเหลือแต่สัญญาประนีประนอมยอมความ คำพิพากษาตามยอมและหมายบังคับคดี
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสามมีว่า มีเหตุให้เพิกถอนหมายบังคับคดีหรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิดำเนินการเพื่อให้มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมแก่จำเลยทั้งสี่ได้ ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 โจทก์ยื่นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีทั้งเป็นศาลที่มีอำนาจในการออกหมายบังคับคดีรวมตลอดถึงมีอำนาจในการทำคำวินิจฉัยชี้ขาดหรือทำคำสั่งในเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นคำขอออกหมายบังคับคดี ต่อมาศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับคำพิพากษาซึ่งจะขอให้มีการบังคับคดี จำนวนที่ยังไม่ได้รับชำระตามคำพิพากษาและวิธีการบังคับคดีซึ่งขอให้ออกหมายนั้น รวมตลอดถึงหมายเลขคดี ชื่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี และชื่อคู่ความทั้งหมดถูกต้องครบถ้วนตรงตามสำนวนคดีนี้ จึงเชื่อว่าศาลชั้นต้นได้ตรวจสอบคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ และได้ออกหมายบังคับคดีโดยถูกต้องแล้ว ส่วนที่ผู้คัดค้านทั้งสามอ้างว่า คำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ไม่ถูกต้อง และไม่ใช่คำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีในสำนวนคดีนี้ เห็นว่า สำเนาคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวเป็นเพียงสำเนาเอกสาร ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นในสำนวนคดีนี้ จึงมีน้ำหนักน้อย ทั้งหากจะฟังว่าโจทก์ยื่นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีผิดพลาดไป ก็พอเข้าใจเจตนาของโจทก์ได้ว่า โจทก์ประสงค์ที่จะบังคับคดีเอาแก่จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในสำนวนคดีนี้ มิใช่ประสงค์ที่จะบังคับคดีเอาแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งเป็นจำเลยในสำนวนคดีอื่น การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ในกรณีเช่นนี้จึงต้องถือว่าศาลชั้นต้นใช้อำนาจออกหมายบังคับคดีตามข้อเท็จจริงที่ถูกต้องแล้ว โดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่งตอนท้ายบัญญัติให้ ศาลมีอำนาจสั่งตามที่เห็นสมควรได้ โดยไม่จำต้องสั่งยกคำขอหรือให้โจทก์แก้ไขคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเสียก่อน ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีชอบแล้ว ไม่มีเหตุต้องเพิกถอน ฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 ได้บัญญัติถึงเรื่องคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไว้ตั้งแต่มาตรา 112 สัตต ถึงมาตรา 112 อัฏฐารส ซึ่งให้อำนาจคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในการวินิจฉัยคำอุทธรณ์ของผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกที่ไม่พอใจการประเมินอากรของพนักงานเจ้าหน้าที่ คดีนี้เมื่อเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยเห็นว่าสินค้าพิพาทของโจทก์ เข้าประเภทพิกัดชิ้นส่วนอุปกรณ์ของรถทรัคแทรกเตอร์ที่สามารถประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ครบสมบูรณ์ตามประเภทพิกัด 8701.20 ส่วนโจทก์เห็นว่า สินค้าพิพาทเข้าประเภทพิกัดส่วนประกอบ และอุปกรณ์ของยานยนต์ตามประเภทพิกัด 87.01 ถึง 87.06 ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์แล้ววินิจฉัยให้สินค้าพิพาทที่โจทก์สำแดงในแต่ละใบขนสินค้าขาเข้าตามแบบแจ้งการประเมินอากรและคำอุทธรณ์ที่เมื่อนำมาประกอบเข้าด้วยกันแล้วมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ป (Cab) ให้จัดเป็นของในประเภทพิกัดของแค้ป ตามประเภทพิกัด 8707.90 ตาม พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 และให้สินค้ารายอุทธรณ์ในแต่ละใบขนสินค้าขาเข้ารายการใดที่สำแดงปริมาณเกินกว่าจำนวนที่ต้องใช้ในการประกอบเป็นแค้ปต่อ 1 ชุด ให้ชำระอากรตามประเภทของสินค้านั้น ๆ และอัตราอากรตามที่เป็นอยู่ ณ วันนำเข้า การวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงเป็นการวินิจฉัยในประเด็นเดียวกันที่ว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าจัดเข้าประเภทพิกัดอัตราศุลกากรใด โดยคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ใด้พิจารณาประกอบข้อ 2 (ก) ตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้าย พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 จึงถือได้ว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ตามประเด็นเดียวกันกับที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ทำการประเมินไว้ จากการพิจารณาข้อเท็จจริง ชนิดของของหรือสินค้าพิพาท และข้อเท็จจริงการนำเข้าของโจทก์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่าสินค้าพิพาทเข้าประเภทพิกัดอัตราศุลกากรใด ก็มีคำวินิจฉัยให้เข้าประเภทพิกัดอัตราศุลกากรนั้น ซึ่งอาจเป็นประเภทพิกัดอัตราศุลกากรอื่นนอกเหนือจากประเภทพิกัดอัตราศุลกากรที่เจ้าพนักงานประเมินมีความเห็นหรือประเภทพิกัดอัตราศุลกากรที่ผู้นำเข้าอุทธรณ์ก็ได้ การที่โจทก์ต้องเสียอากร เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม ในจำนวนซึ่งมากกว่าจำนวนที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ประเมินให้โจทก์เสียนั้น ก็เป็นประเด็นสืบเนื่องมาจากประเภทพิกัดอัตราศุลกากรที่ได้มีการโต้แย้งกันมาตั้งแต่ชั้นเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยตลอดมาจนถึงชั้นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ มิใช่การเรียกเก็บอากรเพิ่มเติมในประเด็นข้ออื่น เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงมีอำนาจแก้ไข เปลี่ยนแปลง ยกเลิก เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินได้ และตามมาตรา 112 โสฬส วรรคสอง หากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า เจ้าพนักงานประเมินประเมินจำนวนค่าอากรน้อยไปกว่าจำนวนที่ผู้อุทธรณ์จะต้องเสียตามกฎหมาย คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจแก้ไข หรือมีคำสั่งให้ผู้อุทธรณ์ เสียอากรเพิ่มขึ้นให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 ทวิ วรรคหนึ่ง วรรคสอง และ พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง มาตรา 12 วรรคหนึ่ง การพิจารณาว่าสินค้าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรต้องเสียอากรขาเข้าหรือภาษีอื่นหรือไม่ ต้องพิจารณาว่าของหรือสินค้าอยู่ในสภาพ ราคา และพิกัดอัตราศุลกากรใดในขณะนำเข้าสำเร็จเสียก่อน แล้วจึงจะพิจารณาต่อไปว่าพิกัดอัตราศุลกากรของของที่นำเข้าดังกล่าวได้รับสิทธิพิเศษยกเว้นอากรหรือลดอัตราอากรศุลกากรหรือต้องเสียอากรในอัตราเท่าใด โดยการจะจัดสินค้าที่นำเข้าว่าอยู่ในประเภทพิกัดใดนั้น ตาม พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 15 วรรคสาม ต้องใช้หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้าย พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ประกอบคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ที่ใช้บังคับในขณะนำของเข้า ซึ่งการพิจารณาว่าของหรือสินค้าที่นำเข้ามาเป็นชิ้นส่วนที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ หรือเป็นชิ้นส่วนที่ถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกันมีจำนวนและลักษณะเพียงพอที่ถือว่าเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว อันส่งผลให้ประเภทพิกัดอัตราศุลกากรของของที่นำเข้าเปลี่ยนจาก “ชิ้นส่วนของของหรือสินค้า” กลายเป็น “ของหรือสินค้าที่ครบสมบูรณ์” แล้วนั้น ตามคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ได้อธิบายหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 2 (ก) ไว้ ซึ่งจากหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 2 (ก) มิได้หมายถึงเฉพาะการนำเข้าแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จรูปหรือนำเข้าชิ้นส่วนแค้ปทั้งหมดทุกรายการเท่านั้น แต่ยังหมายความรวมถึงการนำเข้าชิ้นส่วนแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่มีจำนวนเพียงพอที่เมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้วมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จสามารถนำไปใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องนำไปทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จแล้ว ย่อมถือได้ว่าเป็นการนำเข้าแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่เป็นชิ้นส่วนอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) และอุปกรณ์ของหัวเก๋ง (Parts and Accessories of Cab) ที่โจทก์นำเข้ามาถือเป็นลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ป และนำไปประกอบเป็นแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ซึ่งอยู่ในประเภทพิกัด 8727.90 ได้ทันทีโดยไม่ต้องนำไปทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จจึงต้องจำแนกเข้าพิกัดของของที่สมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ประกอบเข้าด้วยกันตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 1 ข้อ 2 (ก) และข้อ 6 ตามภาค 1 บัญชีท้าย พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มิใช่ประเภทพิกัดอัตราของชิ้นส่วนว่าด้วยของนั้น ๆ (Parts by Parts) โจทก์จึงไม่ได้รับสิทธิลดอัตราอากรตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.ก.กำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ดังที่โจทก์อ้างเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยแจ้งการประเมินอากรแก่โจทก์ หากโจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมินประเด็นใด โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 112 ฉ ที่ใช้บังคับในขณะนั้น เมื่อตามคำอุทธรณ์และคัดค้านการประเมินและแบบแจ้งการประเมิน โจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยกเลิกหรือแก้ไขการประเมินเท่านั้น โดยไม่ได้ร้องขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มไว้ด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธินำประเด็นนี้มาฟ้องต่อศาลตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 8 อย่างไรก็ตามเมื่อตรวจดูการคำนวณเงินเพิ่มอากรขาเข้าตามแบบแจ้งการประเมินอากรขาเข้าแล้ว ขณะเกิดความรับผิดอากรขาเข้าของโจทก์ในคดีนี้ยังอยู่ในบังคับตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 ซึ่งมาตรา 112 จัตวา ไม่ได้กำหนดว่าเงินเพิ่มอากรขาเข้าต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม จึงต้องบังคับตามบทกฎหมายดังกล่าว แต่เมื่อต่อมาวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้และให้ยกเลิก พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 โดย พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 22 กำหนดให้เงินเพิ่มอากรขาเข้าต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ฉะนั้น จำเลยจึงมีสิทธิเรียกเงินเพิ่มส่วนที่เกินอากรขาเข้าได้จนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 เท่านั้น หากเงินเพิ่มอากรขาเข้าถึงวันดังกล่าวแล้ว ยังไม่เท่าอากรขาเข้า ก็ให้คำนวณเงินเพิ่มอากรขาเข้าต่อไปจนกว่าจะเท่าจำนวนอากรขาเข้า ซึ่งเมื่อพิจารณาจากใบขนสินค้าพิพาททุกฉบับเงินเพิ่มอากรขาเข้าคำนวณถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 เกินจำนวนอากรขาเข้าที่ต้องเสียเพิ่มแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิคิดเงินเพิ่มอากรขาเข้านับแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 อีก ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ เลขที่ กอ 159/2560/ป14/2560 (3.11) ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2560 ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลย และให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มทั้งหมดให้แก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์เฉพาะในส่วนของการนำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0084581077 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0094581292 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0114580374 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0114580737 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0114581165 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0124680342 ใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 2801-0124581065 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0014680823 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0014680838 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0024680791 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0024680790 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0034680333 และใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0034680898 ทั้ง 13 ฉบับ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ระหว่างวันที่ 20 สิงหาคม 2545 ถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2547 โจทก์ได้นำชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) และส่วนประกอบพร้อมอุปกรณ์ประกอบของหัวเก๋ง (Parts and Accessories of Cab) เพื่อผลิตหรือประกอบเป็นหัวเก๋ง (Cab) สำหรับเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์คือ รถทรัคแทรกเตอร์ เข้ามาในราชอาณาจักร จำนวน 36 ใบขน โดยได้ชำระภาษีตามที่โจทก์สำแดงตามประเภทพิกัดอัตราว่าด้วยของนั้น ๆ (Parts by Parts) อาทิเช่น ส่วนประกอบรถยนต์ ประเภทพิกัด 8708.990 สลักเกลียวทำด้วยเหล็ก ประเภทพิกัด 7318.150 อุปกรณ์ทำด้วยยาง ประเภทพิกัด 4016.999 อุปกรณ์ทำด้วยเหล็ก ประเภทพิกัด 7326.900 สติกเกอร์ทำด้วยพลาสติก ประเภทพิกัด 3918.900 เป็นต้น ต่อมาวันที่ 24 เมษายน 2556 พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยออกแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ) เลขที่ กค 0514(2)/214/3-3-04757 ถึงเลขที่ 0514(2)/214/3-3-04792 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2556 แก่โจทก์รวม 36 ฉบับ โดยให้เหตุผลว่า บริษัท ส. และโจทก์ได้ร่วมกันนำสินค้าที่นำเข้าทั้งหมดมาเพื่อประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ทั้งคัน จึงต้องชำระอากรประเภทพิกัด 8701.20 อัตราร้อยละ 30 ในฐานะเป็นของครบชุดสมบูรณ์ โจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมิน วันที่ 17 พฤษภาคม 2556 โจทก์จึงยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินตามแบบแจ้งการประเมินทั้ง 36 ฉบับ ต่อมาวันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 พร้อมด้วยคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2560 ให้โจทก์ทราบทางไปรษณีย์ โดยคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยว่า ให้ยกคำขออุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ เพิกถอนการประเมินอากรของพนักงานเจ้าหน้าที่ และให้สินค้ารายอุทธรณ์ชำระอากรตามประเภทพิกัดและอัตราอากร ดังนี้ ข้อ 1) ให้สินค้ารายอุทธรณ์ในแต่ละใบขนสินค้าขาเข้า ที่เมื่อนำเข้ามาประกอบเข้าด้วยกันแล้วมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ป ตามหลักเกณฑ์การตีความข้อ 2 (ก) ให้สินค้าดังกล่าวจัดเป็นของในประเภทพิกัดของแค้ป ตามประเภทพิกัด 8707.90 อัตราอากรร้อยละ 80 (นำเข้าก่อนวันที่ 17 ธันวาคม 2546) ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 และร้อยละ 40 (นำเข้าหลังวันที่ 17 ธันวาคม 2546) ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 12) ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2546 และหลักเกณฑ์การตีความข้อ 1 ข้อ 2 (ก) และข้อ 6 และข้อ 2) ให้สินค้ารายอุทธรณ์ในแต่ละใบขนสินค้าขาเข้า รายการใดที่สำแดงปริมาณเกินกว่าจำนวนที่ต้องใช้ในการประกอบเป็นแค้ป ต่อ 1 ชุด ให้ชำระอากรตามประเภทของสินค้านั้น ๆ และอัตราอากรตามที่เป็นอยู่ ณ วันนำเข้า ส่วนใบขนสินค้าพิพาทจำนวน 13 ฉบับ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยมีแบบแจ้งการประเมินเรียกเก็บอากรขาเข้าเพิ่มเติมไปยังโจทก์พ้นกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่จำเลยอาจใช้สิทธิบังคับจากโจทก์ได้ จำเลยจึงไม่มีอำนาจประเมินเรียกเก็บอากรตามใบขนสินค้าทั้ง 13 ฉบับ คู่ความไม่ฎีกาในประเด็นดังกล่าว จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประเด็นแรกว่า คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่วินิจฉัยให้โจทก์เสียค่าอากรและภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้นเป็นคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ชอบหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้โจทก์มีภาระที่ต้องเสียอากร เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มในอัตราที่สูงมาก โดยสูงเกินกว่าพิกัดอัตราศุลกากรที่โจทก์และจำเลยได้มีข้อโต้แย้งต่อกัน และวินิจฉัยในประเด็นที่ไม่เคยมีการหยิบยกขึ้นมากล่าวในชั้นตรวจสอบกล่าวหา แจ้งการประเมิน โต้แย้งคัดค้าน อุทธรณ์ หรือแจ้งข้อกล่าวหาทางอาญาทั้งสิ้น อีกทั้งในเรื่องที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยนี้ก็ไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นมาให้โจทก์ได้ชี้แจงก่อน การกระทำดังกล่าวของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เป็นการกระทำเสมือนเป็นเจ้าพนักงานประเมินเสียเองจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย นั้น พิเคราะห์แล้ว พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ได้บัญญัติถึงเรื่องคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไว้ตั้งแต่มาตรา 112 สัตต ถึงมาตรา 112 อัฏฐารส ซึ่งความในมาตรา 112 สัตต วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ประกอบด้วยอธิบดีเป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งอธิบดีแต่งตั้งอีกจำนวนไม่น้อยกว่าห้าคนแต่ไม่เกินเจ็ดคน เป็นกรรมการ” มาตรา 112 ทวาทศ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยอุทธรณ์ ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกหนังสือเรียกผู้อุทธรณ์หรือบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งบัญชี เอกสาร หลักฐาน หรือข้อมูล ไม่ว่าในสื่อรูปแบบใด ๆ หรือสิ่งของอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่อุทธรณ์มาแสดงได้...” มาตรา 112 ปัณรส บัญญัติว่า “คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด และในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยในภายหลัง คำวินิจฉัยที่เปลี่ยนแปลงนั้นมิให้มีผลใช้บังคับย้อนหลัง เว้นแต่ในกรณีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัย ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการตามคำพิพากษาในส่วนที่เป็นโทษย้อนหลังได้เฉพาะบุคคลซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้น” มาตรา 112 โสฬส วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่จะต้องชำระอากรเพิ่มหรือเงินประกันไม่คุ้มค่าอากร การอุทธรณ์ตามมาตรา 112 ฉ ไม่เป็นเหตุทุเลาการชำระเงินอากรตามจำนวนที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินไว้...” วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสียอากรเพิ่มขึ้น ผู้อุทธรณ์จะต้องชำระภายในกำหนดเวลาเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง” มาตรา 112 อัฏฐารส บัญญัติว่า “ผู้อุทธรณ์มีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์โดยฟ้องเป็นคดีต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์...” ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า จากบทบัญญัติดังกล่าวได้ให้อำนาจคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในการวินิจฉัยคำอุทธรณ์ของผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกที่ไม่พอใจการประเมินอากรของพนักงานเจ้าหน้าที่ คดีนี้เมื่อเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยเห็นว่าสินค้าพิพาทของโจทก์เข้าประเภทพิกัดชิ้นส่วนอุปกรณ์ของรถทรัคแทรกเตอร์ที่สามารถประกอบพิกัดเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ครบสมบูรณ์ตามประเภทพิกัด 8701.20 ส่วนโจทก์เห็นว่า สินค้าพิพาทเข้าประเภทพิกัดส่วนประกอบ และอุปกรณ์ของยานยนต์ตามประเภทพิกัด 87.01 ถึง 87.06 ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์แล้ววินิจฉัยให้สินค้าพิพาทที่โจทก์สำแดงในแต่ละใบขนสินค้าขาเข้าตามแบบแจ้งการประเมินอากรและคำอุทธรณ์ที่เมื่อนำมาประกอบเข้าด้วยกันแล้วมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ป (Cab) ให้จัดเป็นของในประเภทพิกัดของแค้ป ตามประเภทพิกัด 8707.90 ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 และให้สินค้ารายอุทธรณ์ในแต่ละใบขนสินค้าขาเข้า รายการใดที่สำแดงปริมาณเกินกว่าจำนวนที่ต้องใช้ในการประกอบเป็นแค้ปต่อ 1 ชุด ให้ชำระอากรตามประเภทของสินค้านั้น ๆ และอัตราอากรตามที่เป็นอยู่ ณ วันนำเข้า การวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงเป็นการวินิจฉัยในประเด็นเดียวกันที่ว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าจัดเข้าประเภทพิกัดอัตราศุลกากรใด โดยคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาประกอบข้อ 2 (ก) ตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ซึ่งมีหลักอยู่ว่า ประเภทที่ระบุถึงของใด ให้หมายรวมถึงของนั้นที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ หากว่าในขณะนำเข้ามีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วและให้หมายรวมถึงของที่สมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน จึงถือได้ว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ตามประเด็นเดียวกันกับที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ทำการประเมินไว้ ซึ่งจากการพิจารณาข้อเท็จจริง ชนิดของของหรือสินค้าพิพาท และข้อเท็จจริงการนำเข้าของโจทก์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่าสินค้าพิพาทเข้าประเภทพิกัดอัตราศุลกากรใด ก็มีคำวินิจฉัยให้เข้าประเภทพิกัดอัตราศุลกากรนั้น ซึ่งอาจเป็นประเภทพิกัดอัตราศุลกากรอื่นนอกเหนือจากประเภทพิกัดอัตราศุลกากรที่เจ้าพนักงานประเมินมีความเห็นหรือประเภทพิกัดอัตราศุลกากรที่ผู้นำเข้าอุทธรณ์ก็ได้ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้โจทก์มีภาระที่ต้องเสียอากร เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มในอัตราที่สูงกว่าการประเมินจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า อัตราอากรของของหรือสินค้าจะเป็นไปตามประเภทพิกัดหรือประเภทพิกัดย่อยของสินค้าพิพาท เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่าสินค้าพิพาทของโจทก์จัดเป็นของในประเภทพิกัด 8707.90 โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาทระหว่างวันที่ 20 สิงหาคม 2545 ถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2547 ดังนั้น สินค้าพิพาทของโจทก์จึงต้องเสียอัตราอากรแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา คือ เสียอัตราอากรร้อยละ 80 สำหรับของที่นำเข้าก่อนวันที่ 17 ธันวาคม 2546 ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 และเสียอัตราอากรร้อยละ 40 สำหรับของที่นำเข้าหลังวันที่ 17 ธันวาคม 2546 เนื่องจากสินค้าประเภทพิกัดดังกล่าวได้รับสิทธิลดอัตราอากรตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 12) ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2546 เพื่อนำมาคำนวณเป็นค่าอากรขาเข้าที่โจทก์ต้องเสียสำหรับสินค้าพิพาท ดังนั้น การที่โจทก์ต้องเสียอากร เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม ในจำนวนซึ่งมากกว่าจำนวนที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ประเมินให้โจทก์เสียนั้น ก็เป็นประเด็นสืบเนื่องมาจากประเภทพิกัดอัตราศุลกากรที่ได้มีการโต้แย้งกันมาตั้งแต่ชั้นเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยตลอดมาจนถึงชั้นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ มิใช่การเรียกเก็บอากรเพิ่มเติมในประเด็นข้ออื่น ส่วนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มของของที่นำเข้านั้น เมื่อมีคำวินิจฉัยในเรื่องประเภทพิกัดอัตราศุลกากรอันมีผลกระทบต่ออากรขาเข้าที่โจทก์ต้องเสียซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงย่อมมีผลต่อจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่โจทก์มีความรับผิดโดยผลของกฎหมายด้วย เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงมีอำนาจแก้ไข เปลี่ยนแปลง ยกเลิก เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินได้ และจากบทบัญญัติตามมาตรา 112 โสฬส วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสียอากรเพิ่มขึ้น ผู้อุทธรณ์จะต้องชำระภายในกำหนดเวลาเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง” แสดงให้เห็นว่า หากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าเจ้าพนักงานประเมินประเมินจำนวนค่าอากรน้อยไปกว่าจำนวนที่ผู้อุทธรณ์จะต้องเสียตามกฎหมาย คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจแก้ไข หรือมีคำสั่งให้ผู้อุทธรณ์เสียอากรเพิ่มขึ้นให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าหากโจทก์ทราบถึงข้อเท็จจริงว่าจะมีประเด็นตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์ย่อมต้องทำการโต้แย้ง ชี้แจง ขอทำหนังสือเพิ่มเติมคำอุทธรณ์ หรืออธิบายความในประเด็นนี้อย่างแน่นอน นั้น เห็นว่า เมื่อพิจารณาจากพยานหลักฐานและเอกสารที่โจทก์นำส่งในชั้นเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยในชั้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และในชั้นศาล ก็ล้วนเป็นพยานหลักฐานและเอกสารตามข้อต่อสู้ของโจทก์ที่โต้แย้งในประเด็นที่ว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าเข้าประเภทพิกัดส่วนประกอบ และอุปกรณ์ของยานยนต์ตามประเภทพิกัด 87.01 ถึง 87.06 ตามที่โจทก์กล่าวอ้างแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มิได้กระทำการนอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายทั้งไม่ได้วินิจฉัยนอกเหนือจากประเด็นแห่งคดีที่มีอยู่ จึงเป็นคำวินิจฉัยที่ชอบแล้ว ฎีกาประเด็นนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประเด็นต่อมาว่า คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เรื่องพิกัดอัตราศุลกากรถูกต้องหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า การนำเข้าสินค้าของโจทก์ตามใบขนสินค้าพิพาท ไม่ใช่เป็นการนำเข้าสินค้าที่ถือเป็นสินค้าที่มีสาระสำคัญของหัวเก๋ง (Cab) ที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว ประเภท Scania Cab Shell Type CP19 ซึ่งอยู่ในประเภทพิกัด 8707.90 แต่เป็นการนำเข้าสินค้าหลากหลายรายการ ซึ่งแต่ละรายการมีประเภทพิกัดอัตราศุลกากรแตกต่างกัน สินค้าพิพาทของโจทก์ได้รับสิทธิลดอัตราอากรตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2544 และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 12) ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2546 เนื่องจากสินค้าที่โจทก์นำเข้ามีชิ้นส่วน ซี.เค.ดี. ของแค้ปบางชิ้นที่ต้องมีการเจาะ จึงมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญแล้วแต่ยังต้องนำชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งมาทำเพิ่มเติมในแบบ (Further Working Operation) จึงไม่สามารถถือเป็นสาระสำคัญของหัวเก๋ง (Cab) ได้ ประกาศกระทรวงการคลังซึ่งให้สิทธิยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 12 เป็นกฎหมายพิเศษ จึงไม่อาจนำพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 ทวิ หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 2 (ก) อันเป็นกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 ทวิ วรรคหนึ่ง ที่ใช้บังคับขณะนำของเข้า บัญญัติว่า “ความรับผิดในอันจะต้องเสียค่าภาษีสำหรับของที่นำเข้าเกิดขึ้นในเวลาที่นำของเข้าสำเร็จ” วรรคสอง บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 87 และมาตรา 88 การคำนวณค่าภาษีให้ถือตามสภาพของ ราคาของและพิกัดอัตราศุลกากรที่เป็นอยู่ในเวลาที่ความรับผิดในอันจะต้องเสียค่าภาษีเกิดขึ้น...” และพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ของที่นำเข้ามาหรือพาเข้ามาในหรือส่งหรือพาออกไปนอกราชอาณาจักรนั้นให้เรียกเก็บและเสียอากรตามที่กำหนดไว้ในพิกัดอัตราศุลกากรท้ายพระราชกำหนดนี้ หรือตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกำหนดนี้” มาตรา 12 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เพื่อประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศหรือเพื่อความผาสุกของประชาชนหรือเพื่อความมั่นคงของประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจประกาศลดอัตราอากรสำหรับของใด ๆ จากอัตราที่กำหนดไว้ในพิกัดอัตราศุลกากร หรือยกเว้นอากรสำหรับของใด ๆ หรือเรียกเก็บอากรพิเศษเพิ่มขึ้นสำหรับของใด ๆ ไม่เกินร้อยละห้าสิบของอัตราอากรที่กำหนดไว้ในพิกัดอัตราศุลกากรสำหรับของนั้น ทั้งนี้ โดยจะกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้” ดังนั้น การพิจารณาว่าสินค้าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรต้องเสียอากรขาเข้าหรือภาษีอื่นหรือไม่ ต้องพิจารณาว่า ของหรือสินค้าอยู่ในสภาพ ราคา และพิกัดอัตราศุลกากรใดในขณะนำเข้าสำเร็จเสียก่อนแล้ว จึงจะพิจารณาต่อไปว่าพิกัดอัตราศุลกากรของของที่นำเข้าดังกล่าวได้รับสิทธิพิเศษยกเว้นอากรหรือลดอัตราอากรศุลกากรหรือต้องเสียอากรในอัตราเท่าใด โดยการจะจัดสินค้าที่นำเข้าว่าอยู่ในประเภทพิกัดใดนั้น พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 15 วรรคสาม บัญญัติว่า “การตีความให้ถือตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 ท้ายพระราชกำหนดนี้ ประกอบกับคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาว่าด้วยการจัดตั้งคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากร ซึ่งทำเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2493 และประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515” การตีความว่าของอยู่ในประเภทพิกัดอัตราศุลกากรใดจึงต้องใช้หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ประกอบคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Explanatory Notes, Third edition (2002) ของ Harmonized Commodity Description and Coding System : EN/HS) ที่ใช้บังคับในขณะนำของเข้าในคดีนี้ ซึ่งหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 ข้อ 1 ระบุว่า “ชื่อของหมวด ตอน และตอนย่อย ได้กำหนดขึ้นเพื่อให้สะดวกแก่การอ้างอิงเท่านั้น ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การจำแนกประเภทให้จำแนกตามความของประเภทนั้น ๆ ตามหมายเหตุของหมวดหรือของตอนที่เกี่ยวข้องและตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้ หากว่าประเภทหรือหมายเหตุดังกล่าวไม่ได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น” ข้อ 2 (ก) วรรคหนึ่ง ระบุว่า “ประเภทที่ระบุถึงของใด ให้หมายรวมถึงของนั้นที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ หากว่าในขณะนำเข้ามีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วและให้หมายรวมถึงของที่สมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว (หรือที่จำแนกเข้าประเภทของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วตามนัยแห่งหลักเกณฑ์นี้) ที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน” ข้อ 6 ระบุว่า “ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การจำแนกประเภทของของเข้าในประเภทย่อยของประเภทใดประเภทหนึ่งให้เป็นไปตามความของประเภทย่อยที่เกี่ยวข้องและตามหลักเกณฑ์ข้างต้นโดยอนุโลม โดยพิจารณาเปรียบเทียบในระหว่างประเภทย่อยที่อยู่ในระดับเดียวกัน ตามวัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์นี้ให้ใช้หมายเหตุของหมวดและของตอนที่เกี่ยวข้องด้วย เว้นแต่จะมีข้อความระบุไว้เป็นอย่างอื่น” ซึ่งการพิจารณาว่าของหรือสินค้าที่นำเข้ามาเป็นชิ้นส่วนที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ หรือเป็นชิ้นส่วนที่ถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกันมีจำนวนและลักษณะเพียงพอที่ถือว่าเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว อันส่งผลให้ประเภทพิกัดอัตราศุลกากรของของที่นำเข้าเปลี่ยนจาก “ชิ้นส่วนของของหรือสินค้า” กลายเป็น “ของหรือสินค้าที่ครบสมบูรณ์” แล้วนั้น ตามคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ได้อธิบายหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 2 (ก) ดังนี้ หลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) (ของที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ) (1) ความตอนแรกของหลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) เป็นการขยายขอบเขตของประเภทพิกัดซึ่งรวมถึงของใด ให้คลุมถึงไม่เฉพาะของสำเร็จรูปแต่คลุมถึงของที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จด้วยหากว่าในขณะนำเข้าของนั้นมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว หลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) (ของที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน) (5) ความตอนหลังของหลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) บัญญัติว่า ของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกันให้จำแนกเข้าประเภทเดียวกับของที่ประกอบแล้ว ของที่นำเข้าในลักษณะดังกล่าว โดยปกติเนื่องมาจากเหตุเช่นเป็นความต้องการหรือเพื่อความสะดวกในการบรรจุ การขนถ่ายหรือการขนส่ง (6) หลักเกณฑ์ข้อนี้ใช้รวมถึงของที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จที่นำเข้ามา โดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน ถ้าหากของนั้นถือได้ว่าเป็นของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วตามความตอนแรกของหลักเกณฑ์ข้อนี้ (7) ตามวัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์ข้อนี้ “ของที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน” หมายความถึงองค์ประกอบซึ่งจะนำมาประกอบเข้าด้วยกันโดยใช้อุปกรณ์ที่ยึดติด (ตะปูควง แป้นเกลียว สลัก ฯลฯ) หรือใช้หมุดย้ำหรือเชื่อม เป็นต้น ทั้งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับการประกอบกับของที่นำเข้าเท่านั้น ไม่ต้องคำนึงถึงความซับซ้อนในวิธีการประกอบ อย่างไรก็ตามชิ้นส่วนเหล่านี้จะต้องนำไปใช้ได้ทันทีโดยไม่นำไปทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จ องค์ประกอบที่ยังไม่ได้ประกอบซึ่งมีจำนวนเกินกว่าของครบสมบูรณ์พึงมี ต้องแยกส่วนที่เกินจำแนกประเภทต่างหาก เมื่อตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 2 พิกัดอัตราศุลกากรขาเข้าได้ระบุสินค้าที่อยู่ในตอนที่ 87 ยานบกนอกจากรถที่เดินบนรางรถไฟหรือรางรถราง ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานดังกล่าว ประเภทพิกัด 87.07 ตัวถัง (รวมถึงแค้ป) สำหรับยานยนต์ตามประเภท 87.01 ถึง 87.05 ประเภทพิกัดย่อย 8707.90 – อื่น ๆ – – สำหรับยานยนต์ตามประเภท 87.01 ดังนั้น จากหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 2 (ก) จึงมิได้หมายถึงเฉพาะการนำเข้าแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จรูปหรือนำเข้าชิ้นส่วนแค้ปทั้งหมดทุกรายการเท่านั้น แต่ยังหมายความรวมถึงการนำเข้าชิ้นส่วนแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่มีจำนวนเพียงพอที่เมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้วมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จสามารถนำไปใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องนำไปทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จแล้ว ย่อมถือได้ว่าเป็นการนำเข้าแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่เป็นชิ้นส่วนอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว ปัญหาว่าชิ้นส่วนสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าจะจัดอยู่ในประเภทพิกัดใดจึงต้องพิจารณาว่า ชิ้นส่วนสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าเมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้วมีลักษณะสภาพโดยรวมเป็นสาระสำคัญของแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วหรือไม่ โดยจำเลยมีนายสมชาย เจ้าหน้าที่สำนักตรวจสอบอากร และนายมงคล เจ้าหน้าที่สำนักพิกัดอัตราศุลกากรของจำเลยเป็นพยานเบิกความในทำนองเดียวกันว่า จากการตรวจสอบเอกสารพบว่าบริษัท ส. ซึ่งเป็นบริษัทในประเทศสวีเดนได้ออกเอกสารรับรอง (certificate) ให้โจทก์เป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบหัวเก๋ง Scania Cab CP 19 ในประเทศไทย และเมื่อตรวจสอบเอกสารใบขนสินค้าขาเข้าพิพาทพบว่าในขณะนำเข้าโจทก์นำเข้า Cab Shell, Parts and Accessories of Cab โดยชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) โจทก์สำแดงรายการสินค้าเป็น Scania Cab Shell Type CP19 พิกัด 8707.90 ส่วนอุปกรณ์ประกอบ (Parts and Accessories of Cab) โจทก์สำแดงรายการสินค้าเป็นส่วนประกอบของยานยนต์ ซึ่งโจทก์นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ประกอบเข้าด้วยกันและชิ้นส่วนเหล่านั้นสามารถนำเข้าสู่กระบวนการประกอบหัวเก๋ง (Cab) ได้ทันทีด้วยการนำไปประกอบยึดติดชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกันนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำเบิกความของนายสมชายและนายมงคลว่า ชิ้นส่วนสินค้าที่โจทก์นำเข้าเหล่านั้นสามารถนำเข้าสู่กระบวนการประกอบหัวเก๋ง (Cab) ได้ทันทีด้วยการนำไปประกอบยึดติดชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยโจทก์ไม่ได้โต้แย้งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ จึงถือได้ว่าชิ้นส่วนสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้ามีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ป และเป็นของที่ใช้สำหรับประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์จึงเป็นของตามความในประเภทพิกัด 8707.90 ในฐานะเป็นแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ชิ้นส่วนรถยนต์ที่โจทก์นำเข้ามาต้องนำไปทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จหรือไม่ โจทก์มีนายสาธิต กรรมการบริษัทโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า อุปกรณ์ที่โจทก์นำเข้าไม่ถือเป็นอุปกรณ์ครบชุดสำเร็จเนื่องจากโจทก์ได้นำอุปกรณ์บางส่วนมาประกอบเพิ่มเติมและมีขั้นตอนการเจาะเป็นการกระทำเพิ่มเติมต่อชิ้นงาน คือ มีการเจาะหัวเก๋ง เพื่อทำการติดตั้ง Air Deflector ส่วนเอกสารหมาย ล.3 แผ่นที่ 18 ถึง 423 เป็นรายละเอียดขั้นตอนของการประกอบหัวเก๋ง ส่วนจำเลยมีนายสมชายและนายมงคล เจ้าพนักงานจำเลยเป็นพยานเบิกความในทำนองเดียวกันว่า ชิ้นส่วนที่โจทก์นำเข้าสามารถพิจารณาจำแนกเป็นประเภทพิกัดของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว แต่โจทก์ได้นำเข้ามาโดยถูกถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน สามารถนำเข้าไปสู่กระบวนการประกอบหัวเก๋งได้ทันที โดยไม่ต้องนำไปผ่านกระบวนการเพิ่มเติมใด ๆ (Any Further Working Operation) เพื่อให้ชิ้นส่วนนั้นสมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จก่อนนำไปประกอบ เห็นว่า ตามคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Explanatory Notes : EN) หลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) (7) กำหนดหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรสำหรับของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วหรือที่ถือได้ว่าเป็นของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน โดยระบุว่า ตามวัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์ข้อนี้ “ของที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน” หมายความถึงองค์ประกอบซึ่งจะนำมาประกอบเข้าด้วยกันโดยใช้อุปกรณ์ที่ยึดติด (ตะปูควง แป้นเกลียว สลัก ฯลฯ) หรือใช้หมุดย้ำหรือเชื่อม เป็นต้น ทั้งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับการประกอบกับของที่นำเข้าเท่านั้น ไม่ต้องคำนึงถึงความซับซ้อนในวิธีการประกอบ อย่างไรก็ตามชิ้นส่วนเหล่านี้จะต้องนำไปใช้ได้ทันทีโดยไม่นำไปทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จ แสดงว่ากระบวนการจัดทำเพิ่มเติมกับชิ้นส่วนที่นำเข้านั้นต้องไม่ใช่กระบวนการประกอบและต้องเป็นการทำต่อชิ้นส่วนนั้นเพื่อให้เป็นชิ้นส่วนที่สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จก่อนนำไปประกอบ ซึ่งเมื่อพิจารณาขั้นตอนการประกอบ รูปภาพส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าประกอบหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงของโจทก์ รวมถึงรายการชิ้นส่วน (Parts List) และหนังสือภาพชิ้นส่วน (Part Catalogue) ของหัวเก๋งรุ่น Model Cab CP19 ชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) และอุปกรณ์ประกอบของหัวเก๋ง (Parts and Accessories of Cab) ที่โจทก์นำเข้ามานั้นเป็นชิ้นส่วนที่สำเร็จหรือสมบูรณ์ตั้งแต่นำเข้า สามารถนำมาประกอบกันเป็นแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 สำเร็จรูปได้ทันที โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะของชิ้นส่วนที่นำเข้าและไม่ปรากฏว่าต้องมีการทำอะไรต่อชิ้นส่วนประกอบแต่ละชิ้นเพิ่มเติม เพื่อให้เป็นชิ้นส่วนสมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จก่อนนำไปประกอบกับชิ้นส่วนอื่น ส่วนที่โจทก์อ้างว่า ต้องมีการเจาะที่ด้านหลังและด้านข้างของหัวเก๋งเพื่อมาติดตั้งบังลมข้าง (Air Deflector) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญของสินค้า และมีการติดตั้งไฟสัญญาณ รวมถึงแผ่นป้ายทะเบียนการผลิตของโจทก์เข้าไปอีกด้วย นั้น เห็นว่า โจทก์มิได้นำสืบและไม่มีพยานหลักฐานใดมาสนับสนุนให้เห็นว่า การเจาะดังกล่าวเป็นกระบวนการจัดทำเพิ่มเติม (Further Working Operation) ที่จำเป็นเพื่อให้ชิ้นส่วนนั้นครบสมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จก่อนนำไปประกอบเป็นหัวเก๋ง แต่กลับได้ความจากคำเบิกความของนายสาธิตพยานโจทก์ที่ตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า ส่วนประกอบที่เป็นตัวลู่บังลม (Air Deflector) ซึ่งอยู่ด้านบนของหัวเก๋ง ประกอบขึ้นเอาไว้ใช้ลู่ลมไม่ให้มีการปะทะของลมเวลาขับเคลื่อน ซึ่งการติดตั้งตัวลู่บังลมดังกล่าวนั้นจะมีประโยชน์เมื่อบรรทุกของที่สูงกว่าหลังคารถก็จะทำให้ไม่มีแรงลมปะทะหัวเก๋ง แต่หากสิ่งของที่บรรทุกด้านหลังนั้นต่ำกว่าหลังคารถก็จะไม่มีประโยชน์ในการลู่ลมแต่อย่างใด ทั้งช่วยลดแรงปะทะในการลู่ลมซึ่งก็จะช่วยประหยัดน้ำมันด้วย อุปกรณ์ส่วนนี้กฎหมายจะกำหนดให้เป็นส่วนควบของรถยนต์บรรทุกด้วยหรือไม่ พยานไม่ทราบ แต่ความเข้าใจของพยานนั้นรถประเภทนี้ใช้สำหรับบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ซึ่งมีความสูงกว่าหลังคารถทุกคัน จึงต้องมีอุปกรณ์ลู่บังลมดังกล่าวติดไว้ที่บริเวณด้านบนหัวเก๋งทุกคัน แต่หากไม่มีอุปกรณ์ตัวลู่บังลมดังกล่าว รถบรรทุกก็สามารถใช้งานได้ตามปกติ เห็นว่า ตัวลู่บังลม (Air Deflector) เป็นเพียงอุปกรณ์เสริมที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตัวรถ ส่วนไฟสัญญาณและแผ่นป้ายทะเบียนการผลิต ถือเป็นอุปกรณ์เสริมในการขับขี่และอุปกรณ์แสดงถึงผู้ผลิตที่ไม่ได้มีส่วนสาระสำคัญต่อการทำงานของหัวเก๋ง (Cab) การเจาะติดตัวลู่บังลม (Air Deflector) ไฟสัญญาณและแผ่นป้ายทะเบียนการผลิต จึงไม่ถือเป็นจัดทำเพิ่มเติม (Further Working Operation) เพื่อให้เป็นชิ้นส่วนที่สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จในความหมายของหลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ความจากทางนำสืบของจำเลยว่า สำนักตรวจสอบอากรของจำเลยได้เข้าไปตรวจสอบภายในโรงงานโจทก์พบว่ามีพนักงานเพียง 5 ถึง 6 คน ทำหน้าที่ขันนอต ยึดประตู กระจกหน้า กระจังหน้า ป้ายเครื่องหมายให้ติดกันกับหัวเก๋ง (Cab) ด้วยเครื่องมือง่าย ๆ เท่านั้น ซึ่งโจทก์ไม่ได้นำสืบโต้แย้งคัดค้านในส่วนนี้ให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่า ชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) และอุปกรณ์ของหัวเก๋ง (Parts and Accessories of Cab) ที่โจทก์นำเข้ามาถือเป็นลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ป และนำไปประกอบเป็นแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ซึ่งอยู่ในประเภทพิกัด 8707.90 ได้ทันทีโดยไม่ต้องนำไปทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จจึงต้องจำแนกเข้าพิกัดของของที่สมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ประกอบเข้าด้วยกันตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 1 ข้อ 2 (ก) และข้อ 6 ในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มิใช่ประเภทพิกัดอัตราของชิ้นส่วนว่าด้วยของนั้น ๆ (Parts by Parts) ดังที่โจทก์อ้าง ฎีกาประเด็นนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประเด็นต่อมาว่า โจทก์ได้รับยกเว้นอากรหรือลดอัตราอากรตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 หรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าได้รับการลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามข้อ 2 (8) ของประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2544 และตามข้อ 2 (8) (8.1) ของประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 12) ลงวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2546 โดยตามประกาศกระทรวงการคลังระบุให้ลดอัตราอากรแก่ส่วนประกอบและอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็นของพิกัดประเภทใดที่จะนำเข้ามาเพื่อประกอบหรือผลิตเป็นยานบกตามตอนที่ 87 เมื่อโจทก์ปฏิบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแล้ว โจทก์จึงได้รับสิทธิลดอัตราอากร นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า ประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวให้สิทธิลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของในภาค 2 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ตามพิกัดที่ระบุในประกาศดังกล่าวซึ่งในการนำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาทของโจทก์นั้น โจทก์นำเข้าโดยขอใช้สิทธิในฐานะเป็นชิ้นส่วนอุปกรณ์ หรือของตามประเภทย่อยที่นำเข้ามาเพื่อใช้ผลิตหรือประกอบเป็นส่วนประกอบหรืออุปกรณ์ของยานยนต์ตามประเภท 87.01 ถึงประเภท 87.06 อันเป็นการขอใช้สิทธิลดอัตราอากรในฐานะนำเข้าเป็นชิ้นส่วนรายชิ้น แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าจัดอยู่ในประเภทพิกัด 8707.90 ในฐานะเป็นแค้ปสำหรับยานยนต์ตามประเภท 87.01 โจทก์จึงไม่ได้รับสิทธิลดอัตราอากรตามประกาศกระทรวงการคลังทั้งสองฉบับดังกล่าว ที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าจัดเป็นของในประเภทแค้ปตามประเภทพิกัด 8707.90 อัตราอากรร้อยละ 80 (นำเข้าก่อนวันที่ 17 ธันวาคม 2546) ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 และอัตราอากรร้อยละ 40 (นำเข้าหลังวันที่ 17 ธันวาคม 2546) ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2546 สำหรับชิ้นส่วนที่สำแดงปริมาณเกินกว่าจำนวนที่ต้องใช้ในการประกอบแค้ป Cab ต่อ 1 ชุด ให้จัดเป็นของตามประเภทพิกัดที่ว่าด้วยของนั้น จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาประเด็นนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประเด็นสุดท้ายว่า มีเหตุควรงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยแจ้งการประเมินอากรแก่โจทก์ หากโจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมินประเด็นใด โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 112 ฉ ที่ใช้บังคับในขณะนั้น เมื่อตามคำอุทธรณ์และคัดค้านการประเมินและแบบแจ้งการประเมิน โจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยกเลิกหรือแก้ไขการประเมินเท่านั้น โดยไม่ได้ร้องขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มไว้ด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธินำประเด็นนี้มาฟ้องต่อศาลตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 8 ฎีกาของโจทก์ประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อตรวจดูการคำนวณเงินเพิ่มอากรขาเข้าตามแบบแจ้งการประเมินอากรขาเข้า ฉบับลงวันที่ 25 มีนาคม 2556 ขณะเกิดความรับผิดอากรขาเข้าของโจทก์ในคดีนี้ยังอยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ซึ่งมาตรา 112 จัตวา ไม่ได้กำหนดว่าเงินเพิ่มอากรขาเข้าต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม จึงต้องบังคับตามบทกฎหมายดังกล่าว แต่เมื่อต่อมาวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้และให้ยกเลิกพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 โดยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 22 กำหนดให้เงินเพิ่มอากรขาเข้าต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ฉะนั้น จำเลยจึงมีสิทธิเรียกเงินเพิ่มส่วนที่เกินอากรขาเข้าได้จนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 เท่านั้น หากเงินเพิ่มอากรขาเข้าถึงวันดังกล่าวแล้ว ยังไม่เท่าอากรขาเข้า ก็ให้คำนวณเงินเพิ่มอากรขาเข้าต่อไปจนกว่าจะเท่าจำนวนอากรขาเข้า ซึ่งเมื่อพิจารณาจากใบขนสินค้าพิพาททุกฉบับเงินเพิ่มอากรขาเข้าคำนวณถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 เกินจำนวนอากรขาเข้าที่ต้องเสียเพิ่มแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิคิดเงินเพิ่มอากรขาเข้านับแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 อีก ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26 วรรคสอง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์รับผิดชำระเงินเพิ่มอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของอากรขาเข้าที่ต้องเสียเพิ่มโดยไม่คิดทบต้นที่คำนวณจนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 แต่ไม่ต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มส่วนที่เกินอากรขาเข้าที่คำนวณนับแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 ได้บัญญัติถึงเรื่องคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไว้ตั้งแต่มาตรา 112 สัตต ถึงมาตรา 112 อัฏฐารส ซึ่งให้อำนาจคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในการวินิจฉัยคำอุทธรณ์ของผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกที่ไม่พอใจการประเมินอากรของพนักงานเจ้าหน้าที่ คดีนี้เมื่อเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยเห็นว่าสินค้าพิพาทของโจทก์ เข้าประเภทพิกัดชิ้นส่วนอุปกรณ์ของรถทรัคแทรกเตอร์ที่สามารถประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ครบสมบูรณ์ตามประเภทพิกัด 8701.20 ส่วนโจทก์เห็นว่า สินค้าพิพาทเข้าประเภทพิกัดส่วนประกอบ และอุปกรณ์ของยานยนต์ตามประเภทพิกัด 87.01 ถึง 87.06 ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์แล้ววินิจฉัยให้สินค้าพิพาทที่โจทก์สำแดงในแต่ละใบขนสินค้าขาเข้าตามแบบแจ้งการประเมินอากรและคำอุทธรณ์ที่เมื่อนำมาประกอบเข้าด้วยกันแล้วมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ป (Cab) ให้จัดเป็นของในประเภทพิกัดของแค้ป ตามประเภทพิกัด 8707.90 ตาม พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 และให้สินค้ารายอุทธรณ์ในแต่ละใบขนสินค้าขาเข้ารายการใดที่สำแดงปริมาณเกินกว่าจำนวนที่ต้องใช้ในการประกอบเป็นแค้ปต่อ 1 ชุด ให้ชำระอากรตามประเภทของสินค้านั้น ๆ และอัตราอากรตามที่เป็นอยู่ ณ วันนำเข้า การวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงเป็นการวินิจฉัยในประเด็นเดียวกันที่ว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าจัดเข้าประเภทพิกัดอัตราศุลกากรใด โดยคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ใด้พิจารณาประกอบข้อ 2 (ก) ตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้าย พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 จึงถือได้ว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ตามประเด็นเดียวกันกับที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ทำการประเมินไว้ จากการพิจารณาข้อเท็จจริง ชนิดของของหรือสินค้าพิพาท และข้อเท็จจริงการนำเข้าของโจทก์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่าสินค้าพิพาทเข้าประเภทพิกัดอัตราศุลกากรใด ก็มีคำวินิจฉัยให้เข้าประเภทพิกัดอัตราศุลกากรนั้น ซึ่งอาจเป็นประเภทพิกัดอัตราศุลกากรอื่นนอกเหนือจากประเภทพิกัดอัตราศุลกากรที่เจ้าพนักงานประเมินมีความเห็นหรือประเภทพิกัดอัตราศุลกากรที่ผู้นำเข้าอุทธรณ์ก็ได้ การที่โจทก์ต้องเสียอากร เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม ในจำนวนซึ่งมากกว่าจำนวนที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ประเมินให้โจทก์เสียนั้น ก็เป็นประเด็นสืบเนื่องมาจากประเภทพิกัดอัตราศุลกากรที่ได้มีการโต้แย้งกันมาตั้งแต่ชั้นเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยตลอดมาจนถึงชั้นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ มิใช่การเรียกเก็บอากรเพิ่มเติมในประเด็นข้ออื่น เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงมีอำนาจแก้ไข เปลี่ยนแปลง ยกเลิก เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินได้ และตามมาตรา 112 โสฬส วรรคสอง หากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า เจ้าพนักงานประเมินประเมินจำนวนค่าอากรน้อยไปกว่าจำนวนที่ผู้อุทธรณ์จะต้องเสียตามกฎหมาย คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจแก้ไข หรือมีคำสั่งให้ผู้อุทธรณ์ เสียอากรเพิ่มขึ้นให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 ทวิ วรรคหนึ่ง วรรคสอง และ พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง มาตรา 12 วรรคหนึ่ง การพิจารณาว่าสินค้าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรต้องเสียอากรขาเข้าหรือภาษีอื่นหรือไม่ ต้องพิจารณาว่าของหรือสินค้าอยู่ในสภาพ ราคา และพิกัดอัตราศุลกากรใดในขณะนำเข้าสำเร็จเสียก่อน แล้วจึงจะพิจารณาต่อไปว่าพิกัดอัตราศุลกากรของของที่นำเข้าดังกล่าวได้รับสิทธิพิเศษยกเว้นอากรหรือลดอัตราอากรศุลกากรหรือต้องเสียอากรในอัตราเท่าใด โดยการจะจัดสินค้าที่นำเข้าว่าอยู่ในประเภทพิกัดใดนั้น ตาม พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 15 วรรคสาม ต้องใช้หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้าย พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ประกอบคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ที่ใช้บังคับในขณะนำของเข้า ซึ่งการพิจารณาว่าของหรือสินค้าที่นำเข้ามาเป็นชิ้นส่วนที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ หรือเป็นชิ้นส่วนที่ถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกันมีจำนวนและลักษณะเพียงพอที่ถือว่าเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว อันส่งผลให้ประเภทพิกัดอัตราศุลกากรของของที่นำเข้าเปลี่ยนจาก “ชิ้นส่วนของของหรือสินค้า” กลายเป็น “ของหรือสินค้าที่ครบสมบูรณ์” แล้วนั้น ตามคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ได้อธิบายหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 2 (ก) ไว้ ซึ่งจากหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 2 (ก) มิได้หมายถึงเฉพาะการนำเข้าแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จรูปหรือนำเข้าชิ้นส่วนแค้ปทั้งหมดทุกรายการเท่านั้น แต่ยังหมายความรวมถึงการนำเข้าชิ้นส่วนแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่มีจำนวนเพียงพอที่เมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้วมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จสามารถนำไปใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องนำไปทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จแล้ว ย่อมถือได้ว่าเป็นการนำเข้าแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่เป็นชิ้นส่วนอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) และอุปกรณ์ของหัวเก๋ง (Parts and Accessories of Cab) ที่โจทก์นำเข้ามาถือเป็นลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ป และนำไปประกอบเป็นแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ซึ่งอยู่ในประเภทพิกัด 8727.90 ได้ทันทีโดยไม่ต้องนำไปทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จจึงต้องจำแนกเข้าพิกัดของของที่สมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ประกอบเข้าด้วยกันตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 1 ข้อ 2 (ก) และข้อ 6 ตามภาค 1 บัญชีท้าย พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มิใช่ประเภทพิกัดอัตราของชิ้นส่วนว่าด้วยของนั้น ๆ (Parts by Parts) โจทก์จึงไม่ได้รับสิทธิลดอัตราอากรตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.ก.กำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ดังที่โจทก์อ้างเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยแจ้งการประเมินอากรแก่โจทก์ หากโจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมินประเด็นใด โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 112 ฉ ที่ใช้บังคับในขณะนั้น เมื่อตามคำอุทธรณ์และคัดค้านการประเมินและแบบแจ้งการประเมิน โจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยกเลิกหรือแก้ไขการประเมินเท่านั้น โดยไม่ได้ร้องขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มไว้ด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธินำประเด็นนี้มาฟ้องต่อศาลตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 8 อย่างไรก็ตามเมื่อตรวจดูการคำนวณเงินเพิ่มอากรขาเข้าตามแบบแจ้งการประเมินอากรขาเข้าแล้ว ขณะเกิดความรับผิดอากรขาเข้าของโจทก์ในคดีนี้ยังอยู่ในบังคับตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 ซึ่งมาตรา 112 จัตวา ไม่ได้กำหนดว่าเงินเพิ่มอากรขาเข้าต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม จึงต้องบังคับตามบทกฎหมายดังกล่าว แต่เมื่อต่อมาวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้และให้ยกเลิก พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 โดย พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 22 กำหนดให้เงินเพิ่มอากรขาเข้าต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ฉะนั้น จำเลยจึงมีสิทธิเรียกเงินเพิ่มส่วนที่เกินอากรขาเข้าได้จนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 เท่านั้น หากเงินเพิ่มอากรขาเข้าถึงวันดังกล่าวแล้ว ยังไม่เท่าอากรขาเข้า ก็ให้คำนวณเงินเพิ่มอากรขาเข้าต่อไปจนกว่าจะเท่าจำนวนอากรขาเข้า ซึ่งเมื่อพิจารณาจากใบขนสินค้าพิพาททุกฉบับเงินเพิ่มอากรขาเข้าคำนวณถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 เกินจำนวนอากรขาเข้าที่ต้องเสียเพิ่มแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิคิดเงินเพิ่มอากรขาเข้านับแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 อีก ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ เลขที่ กอ 159/2560/ป14/2560 (3.11) ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2560 ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลย และให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มทั้งหมดให้แก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์เฉพาะในส่วนของการนำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0084581077 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0094581292 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0114580374 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0114580737 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0114581165 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0124680342 ใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 2801-0124581065 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0014680823 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0014680838 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0024680791 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0024680790 ใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0034680333 และใบขนสินค้าเลขที่ 2801-0034680898 ทั้ง 13 ฉบับ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ระหว่างวันที่ 20 สิงหาคม 2545 ถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2547 โจทก์ได้นำชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) และส่วนประกอบพร้อมอุปกรณ์ประกอบของหัวเก๋ง (Parts and Accessories of Cab) เพื่อผลิตหรือประกอบเป็นหัวเก๋ง (Cab) สำหรับเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์คือ รถทรัคแทรกเตอร์ เข้ามาในราชอาณาจักร จำนวน 36 ใบขน โดยได้ชำระภาษีตามที่โจทก์สำแดงตามประเภทพิกัดอัตราว่าด้วยของนั้น ๆ (Parts by Parts) อาทิเช่น ส่วนประกอบรถยนต์ ประเภทพิกัด 8708.990 สลักเกลียวทำด้วยเหล็ก ประเภทพิกัด 7318.150 อุปกรณ์ทำด้วยยาง ประเภทพิกัด 4016.999 อุปกรณ์ทำด้วยเหล็ก ประเภทพิกัด 7326.900 สติกเกอร์ทำด้วยพลาสติก ประเภทพิกัด 3918.900 เป็นต้น ต่อมาวันที่ 24 เมษายน 2556 พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยออกแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ) เลขที่ กค 0514(2)/214/3-3-04757 ถึงเลขที่ 0514(2)/214/3-3-04792 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2556 แก่โจทก์รวม 36 ฉบับ โดยให้เหตุผลว่า บริษัท ส. และโจทก์ได้ร่วมกันนำสินค้าที่นำเข้าทั้งหมดมาเพื่อประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ทั้งคัน จึงต้องชำระอากรประเภทพิกัด 8701.20 อัตราร้อยละ 30 ในฐานะเป็นของครบชุดสมบูรณ์ โจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมิน วันที่ 17 พฤษภาคม 2556 โจทก์จึงยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินตามแบบแจ้งการประเมินทั้ง 36 ฉบับ ต่อมาวันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 พร้อมด้วยคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2560 ให้โจทก์ทราบทางไปรษณีย์ โดยคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยว่า ให้ยกคำขออุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ เพิกถอนการประเมินอากรของพนักงานเจ้าหน้าที่ และให้สินค้ารายอุทธรณ์ชำระอากรตามประเภทพิกัดและอัตราอากร ดังนี้ ข้อ 1) ให้สินค้ารายอุทธรณ์ในแต่ละใบขนสินค้าขาเข้า ที่เมื่อนำเข้ามาประกอบเข้าด้วยกันแล้วมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ป ตามหลักเกณฑ์การตีความข้อ 2 (ก) ให้สินค้าดังกล่าวจัดเป็นของในประเภทพิกัดของแค้ป ตามประเภทพิกัด 8707.90 อัตราอากรร้อยละ 80 (นำเข้าก่อนวันที่ 17 ธันวาคม 2546) ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 และร้อยละ 40 (นำเข้าหลังวันที่ 17 ธันวาคม 2546) ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 12) ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2546 และหลักเกณฑ์การตีความข้อ 1 ข้อ 2 (ก) และข้อ 6 และข้อ 2) ให้สินค้ารายอุทธรณ์ในแต่ละใบขนสินค้าขาเข้า รายการใดที่สำแดงปริมาณเกินกว่าจำนวนที่ต้องใช้ในการประกอบเป็นแค้ป ต่อ 1 ชุด ให้ชำระอากรตามประเภทของสินค้านั้น ๆ และอัตราอากรตามที่เป็นอยู่ ณ วันนำเข้า ส่วนใบขนสินค้าพิพาทจำนวน 13 ฉบับ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยมีแบบแจ้งการประเมินเรียกเก็บอากรขาเข้าเพิ่มเติมไปยังโจทก์พ้นกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่จำเลยอาจใช้สิทธิบังคับจากโจทก์ได้ จำเลยจึงไม่มีอำนาจประเมินเรียกเก็บอากรตามใบขนสินค้าทั้ง 13 ฉบับ คู่ความไม่ฎีกาในประเด็นดังกล่าว จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประเด็นแรกว่า คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่วินิจฉัยให้โจทก์เสียค่าอากรและภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้นเป็นคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ชอบหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้โจทก์มีภาระที่ต้องเสียอากร เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มในอัตราที่สูงมาก โดยสูงเกินกว่าพิกัดอัตราศุลกากรที่โจทก์และจำเลยได้มีข้อโต้แย้งต่อกัน และวินิจฉัยในประเด็นที่ไม่เคยมีการหยิบยกขึ้นมากล่าวในชั้นตรวจสอบกล่าวหา แจ้งการประเมิน โต้แย้งคัดค้าน อุทธรณ์ หรือแจ้งข้อกล่าวหาทางอาญาทั้งสิ้น อีกทั้งในเรื่องที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยนี้ก็ไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นมาให้โจทก์ได้ชี้แจงก่อน การกระทำดังกล่าวของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เป็นการกระทำเสมือนเป็นเจ้าพนักงานประเมินเสียเองจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย นั้น พิเคราะห์แล้ว พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ได้บัญญัติถึงเรื่องคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไว้ตั้งแต่มาตรา 112 สัตต ถึงมาตรา 112 อัฏฐารส ซึ่งความในมาตรา 112 สัตต วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ประกอบด้วยอธิบดีเป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งอธิบดีแต่งตั้งอีกจำนวนไม่น้อยกว่าห้าคนแต่ไม่เกินเจ็ดคน เป็นกรรมการ” มาตรา 112 ทวาทศ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยอุทธรณ์ ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกหนังสือเรียกผู้อุทธรณ์หรือบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งบัญชี เอกสาร หลักฐาน หรือข้อมูล ไม่ว่าในสื่อรูปแบบใด ๆ หรือสิ่งของอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่อุทธรณ์มาแสดงได้...” มาตรา 112 ปัณรส บัญญัติว่า “คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด และในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยในภายหลัง คำวินิจฉัยที่เปลี่ยนแปลงนั้นมิให้มีผลใช้บังคับย้อนหลัง เว้นแต่ในกรณีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัย ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการตามคำพิพากษาในส่วนที่เป็นโทษย้อนหลังได้เฉพาะบุคคลซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้น” มาตรา 112 โสฬส วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่จะต้องชำระอากรเพิ่มหรือเงินประกันไม่คุ้มค่าอากร การอุทธรณ์ตามมาตรา 112 ฉ ไม่เป็นเหตุทุเลาการชำระเงินอากรตามจำนวนที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินไว้...” วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสียอากรเพิ่มขึ้น ผู้อุทธรณ์จะต้องชำระภายในกำหนดเวลาเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง” มาตรา 112 อัฏฐารส บัญญัติว่า “ผู้อุทธรณ์มีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์โดยฟ้องเป็นคดีต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์...” ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า จากบทบัญญัติดังกล่าวได้ให้อำนาจคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในการวินิจฉัยคำอุทธรณ์ของผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกที่ไม่พอใจการประเมินอากรของพนักงานเจ้าหน้าที่ คดีนี้เมื่อเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยเห็นว่าสินค้าพิพาทของโจทก์เข้าประเภทพิกัดชิ้นส่วนอุปกรณ์ของรถทรัคแทรกเตอร์ที่สามารถประกอบพิกัดเป็นรถทรัคแทรกเตอร์ครบสมบูรณ์ตามประเภทพิกัด 8701.20 ส่วนโจทก์เห็นว่า สินค้าพิพาทเข้าประเภทพิกัดส่วนประกอบ และอุปกรณ์ของยานยนต์ตามประเภทพิกัด 87.01 ถึง 87.06 ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์แล้ววินิจฉัยให้สินค้าพิพาทที่โจทก์สำแดงในแต่ละใบขนสินค้าขาเข้าตามแบบแจ้งการประเมินอากรและคำอุทธรณ์ที่เมื่อนำมาประกอบเข้าด้วยกันแล้วมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ป (Cab) ให้จัดเป็นของในประเภทพิกัดของแค้ป ตามประเภทพิกัด 8707.90 ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 และให้สินค้ารายอุทธรณ์ในแต่ละใบขนสินค้าขาเข้า รายการใดที่สำแดงปริมาณเกินกว่าจำนวนที่ต้องใช้ในการประกอบเป็นแค้ปต่อ 1 ชุด ให้ชำระอากรตามประเภทของสินค้านั้น ๆ และอัตราอากรตามที่เป็นอยู่ ณ วันนำเข้า การวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงเป็นการวินิจฉัยในประเด็นเดียวกันที่ว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าจัดเข้าประเภทพิกัดอัตราศุลกากรใด โดยคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาประกอบข้อ 2 (ก) ตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ซึ่งมีหลักอยู่ว่า ประเภทที่ระบุถึงของใด ให้หมายรวมถึงของนั้นที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ หากว่าในขณะนำเข้ามีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วและให้หมายรวมถึงของที่สมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน จึงถือได้ว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ตามประเด็นเดียวกันกับที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ทำการประเมินไว้ ซึ่งจากการพิจารณาข้อเท็จจริง ชนิดของของหรือสินค้าพิพาท และข้อเท็จจริงการนำเข้าของโจทก์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่าสินค้าพิพาทเข้าประเภทพิกัดอัตราศุลกากรใด ก็มีคำวินิจฉัยให้เข้าประเภทพิกัดอัตราศุลกากรนั้น ซึ่งอาจเป็นประเภทพิกัดอัตราศุลกากรอื่นนอกเหนือจากประเภทพิกัดอัตราศุลกากรที่เจ้าพนักงานประเมินมีความเห็นหรือประเภทพิกัดอัตราศุลกากรที่ผู้นำเข้าอุทธรณ์ก็ได้ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้โจทก์มีภาระที่ต้องเสียอากร เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มในอัตราที่สูงกว่าการประเมินจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า อัตราอากรของของหรือสินค้าจะเป็นไปตามประเภทพิกัดหรือประเภทพิกัดย่อยของสินค้าพิพาท เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่าสินค้าพิพาทของโจทก์จัดเป็นของในประเภทพิกัด 8707.90 โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาทระหว่างวันที่ 20 สิงหาคม 2545 ถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2547 ดังนั้น สินค้าพิพาทของโจทก์จึงต้องเสียอัตราอากรแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา คือ เสียอัตราอากรร้อยละ 80 สำหรับของที่นำเข้าก่อนวันที่ 17 ธันวาคม 2546 ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 และเสียอัตราอากรร้อยละ 40 สำหรับของที่นำเข้าหลังวันที่ 17 ธันวาคม 2546 เนื่องจากสินค้าประเภทพิกัดดังกล่าวได้รับสิทธิลดอัตราอากรตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 12) ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2546 เพื่อนำมาคำนวณเป็นค่าอากรขาเข้าที่โจทก์ต้องเสียสำหรับสินค้าพิพาท ดังนั้น การที่โจทก์ต้องเสียอากร เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม ในจำนวนซึ่งมากกว่าจำนวนที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ประเมินให้โจทก์เสียนั้น ก็เป็นประเด็นสืบเนื่องมาจากประเภทพิกัดอัตราศุลกากรที่ได้มีการโต้แย้งกันมาตั้งแต่ชั้นเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยตลอดมาจนถึงชั้นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ มิใช่การเรียกเก็บอากรเพิ่มเติมในประเด็นข้ออื่น ส่วนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มของของที่นำเข้านั้น เมื่อมีคำวินิจฉัยในเรื่องประเภทพิกัดอัตราศุลกากรอันมีผลกระทบต่ออากรขาเข้าที่โจทก์ต้องเสียซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงย่อมมีผลต่อจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่โจทก์มีความรับผิดโดยผลของกฎหมายด้วย เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงมีอำนาจแก้ไข เปลี่ยนแปลง ยกเลิก เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินได้ และจากบทบัญญัติตามมาตรา 112 โสฬส วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสียอากรเพิ่มขึ้น ผู้อุทธรณ์จะต้องชำระภายในกำหนดเวลาเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง” แสดงให้เห็นว่า หากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าเจ้าพนักงานประเมินประเมินจำนวนค่าอากรน้อยไปกว่าจำนวนที่ผู้อุทธรณ์จะต้องเสียตามกฎหมาย คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจแก้ไข หรือมีคำสั่งให้ผู้อุทธรณ์เสียอากรเพิ่มขึ้นให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าหากโจทก์ทราบถึงข้อเท็จจริงว่าจะมีประเด็นตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์ย่อมต้องทำการโต้แย้ง ชี้แจง ขอทำหนังสือเพิ่มเติมคำอุทธรณ์ หรืออธิบายความในประเด็นนี้อย่างแน่นอน นั้น เห็นว่า เมื่อพิจารณาจากพยานหลักฐานและเอกสารที่โจทก์นำส่งในชั้นเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยในชั้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และในชั้นศาล ก็ล้วนเป็นพยานหลักฐานและเอกสารตามข้อต่อสู้ของโจทก์ที่โต้แย้งในประเด็นที่ว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าเข้าประเภทพิกัดส่วนประกอบ และอุปกรณ์ของยานยนต์ตามประเภทพิกัด 87.01 ถึง 87.06 ตามที่โจทก์กล่าวอ้างแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มิได้กระทำการนอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายทั้งไม่ได้วินิจฉัยนอกเหนือจากประเด็นแห่งคดีที่มีอยู่ จึงเป็นคำวินิจฉัยที่ชอบแล้ว ฎีกาประเด็นนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประเด็นต่อมาว่า คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เรื่องพิกัดอัตราศุลกากรถูกต้องหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า การนำเข้าสินค้าของโจทก์ตามใบขนสินค้าพิพาท ไม่ใช่เป็นการนำเข้าสินค้าที่ถือเป็นสินค้าที่มีสาระสำคัญของหัวเก๋ง (Cab) ที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว ประเภท Scania Cab Shell Type CP19 ซึ่งอยู่ในประเภทพิกัด 8707.90 แต่เป็นการนำเข้าสินค้าหลากหลายรายการ ซึ่งแต่ละรายการมีประเภทพิกัดอัตราศุลกากรแตกต่างกัน สินค้าพิพาทของโจทก์ได้รับสิทธิลดอัตราอากรตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2544 และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 12) ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2546 เนื่องจากสินค้าที่โจทก์นำเข้ามีชิ้นส่วน ซี.เค.ดี. ของแค้ปบางชิ้นที่ต้องมีการเจาะ จึงมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญแล้วแต่ยังต้องนำชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งมาทำเพิ่มเติมในแบบ (Further Working Operation) จึงไม่สามารถถือเป็นสาระสำคัญของหัวเก๋ง (Cab) ได้ ประกาศกระทรวงการคลังซึ่งให้สิทธิยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 12 เป็นกฎหมายพิเศษ จึงไม่อาจนำพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 ทวิ หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 2 (ก) อันเป็นกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 ทวิ วรรคหนึ่ง ที่ใช้บังคับขณะนำของเข้า บัญญัติว่า “ความรับผิดในอันจะต้องเสียค่าภาษีสำหรับของที่นำเข้าเกิดขึ้นในเวลาที่นำของเข้าสำเร็จ” วรรคสอง บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 87 และมาตรา 88 การคำนวณค่าภาษีให้ถือตามสภาพของ ราคาของและพิกัดอัตราศุลกากรที่เป็นอยู่ในเวลาที่ความรับผิดในอันจะต้องเสียค่าภาษีเกิดขึ้น...” และพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ของที่นำเข้ามาหรือพาเข้ามาในหรือส่งหรือพาออกไปนอกราชอาณาจักรนั้นให้เรียกเก็บและเสียอากรตามที่กำหนดไว้ในพิกัดอัตราศุลกากรท้ายพระราชกำหนดนี้ หรือตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกำหนดนี้” มาตรา 12 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เพื่อประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศหรือเพื่อความผาสุกของประชาชนหรือเพื่อความมั่นคงของประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจประกาศลดอัตราอากรสำหรับของใด ๆ จากอัตราที่กำหนดไว้ในพิกัดอัตราศุลกากร หรือยกเว้นอากรสำหรับของใด ๆ หรือเรียกเก็บอากรพิเศษเพิ่มขึ้นสำหรับของใด ๆ ไม่เกินร้อยละห้าสิบของอัตราอากรที่กำหนดไว้ในพิกัดอัตราศุลกากรสำหรับของนั้น ทั้งนี้ โดยจะกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้” ดังนั้น การพิจารณาว่าสินค้าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรต้องเสียอากรขาเข้าหรือภาษีอื่นหรือไม่ ต้องพิจารณาว่า ของหรือสินค้าอยู่ในสภาพ ราคา และพิกัดอัตราศุลกากรใดในขณะนำเข้าสำเร็จเสียก่อนแล้ว จึงจะพิจารณาต่อไปว่าพิกัดอัตราศุลกากรของของที่นำเข้าดังกล่าวได้รับสิทธิพิเศษยกเว้นอากรหรือลดอัตราอากรศุลกากรหรือต้องเสียอากรในอัตราเท่าใด โดยการจะจัดสินค้าที่นำเข้าว่าอยู่ในประเภทพิกัดใดนั้น พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 15 วรรคสาม บัญญัติว่า “การตีความให้ถือตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 ท้ายพระราชกำหนดนี้ ประกอบกับคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาว่าด้วยการจัดตั้งคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากร ซึ่งทำเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2493 และประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515” การตีความว่าของอยู่ในประเภทพิกัดอัตราศุลกากรใดจึงต้องใช้หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ประกอบคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Explanatory Notes, Third edition (2002) ของ Harmonized Commodity Description and Coding System : EN/HS) ที่ใช้บังคับในขณะนำของเข้าในคดีนี้ ซึ่งหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 ข้อ 1 ระบุว่า “ชื่อของหมวด ตอน และตอนย่อย ได้กำหนดขึ้นเพื่อให้สะดวกแก่การอ้างอิงเท่านั้น ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การจำแนกประเภทให้จำแนกตามความของประเภทนั้น ๆ ตามหมายเหตุของหมวดหรือของตอนที่เกี่ยวข้องและตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้ หากว่าประเภทหรือหมายเหตุดังกล่าวไม่ได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น” ข้อ 2 (ก) วรรคหนึ่ง ระบุว่า “ประเภทที่ระบุถึงของใด ให้หมายรวมถึงของนั้นที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ หากว่าในขณะนำเข้ามีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วและให้หมายรวมถึงของที่สมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว (หรือที่จำแนกเข้าประเภทของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วตามนัยแห่งหลักเกณฑ์นี้) ที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน” ข้อ 6 ระบุว่า “ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การจำแนกประเภทของของเข้าในประเภทย่อยของประเภทใดประเภทหนึ่งให้เป็นไปตามความของประเภทย่อยที่เกี่ยวข้องและตามหลักเกณฑ์ข้างต้นโดยอนุโลม โดยพิจารณาเปรียบเทียบในระหว่างประเภทย่อยที่อยู่ในระดับเดียวกัน ตามวัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์นี้ให้ใช้หมายเหตุของหมวดและของตอนที่เกี่ยวข้องด้วย เว้นแต่จะมีข้อความระบุไว้เป็นอย่างอื่น” ซึ่งการพิจารณาว่าของหรือสินค้าที่นำเข้ามาเป็นชิ้นส่วนที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ หรือเป็นชิ้นส่วนที่ถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกันมีจำนวนและลักษณะเพียงพอที่ถือว่าเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว อันส่งผลให้ประเภทพิกัดอัตราศุลกากรของของที่นำเข้าเปลี่ยนจาก “ชิ้นส่วนของของหรือสินค้า” กลายเป็น “ของหรือสินค้าที่ครบสมบูรณ์” แล้วนั้น ตามคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ได้อธิบายหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 2 (ก) ดังนี้ หลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) (ของที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ) (1) ความตอนแรกของหลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) เป็นการขยายขอบเขตของประเภทพิกัดซึ่งรวมถึงของใด ให้คลุมถึงไม่เฉพาะของสำเร็จรูปแต่คลุมถึงของที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จด้วยหากว่าในขณะนำเข้าของนั้นมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว หลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) (ของที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน) (5) ความตอนหลังของหลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) บัญญัติว่า ของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกันให้จำแนกเข้าประเภทเดียวกับของที่ประกอบแล้ว ของที่นำเข้าในลักษณะดังกล่าว โดยปกติเนื่องมาจากเหตุเช่นเป็นความต้องการหรือเพื่อความสะดวกในการบรรจุ การขนถ่ายหรือการขนส่ง (6) หลักเกณฑ์ข้อนี้ใช้รวมถึงของที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จที่นำเข้ามา โดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน ถ้าหากของนั้นถือได้ว่าเป็นของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วตามความตอนแรกของหลักเกณฑ์ข้อนี้ (7) ตามวัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์ข้อนี้ “ของที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน” หมายความถึงองค์ประกอบซึ่งจะนำมาประกอบเข้าด้วยกันโดยใช้อุปกรณ์ที่ยึดติด (ตะปูควง แป้นเกลียว สลัก ฯลฯ) หรือใช้หมุดย้ำหรือเชื่อม เป็นต้น ทั้งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับการประกอบกับของที่นำเข้าเท่านั้น ไม่ต้องคำนึงถึงความซับซ้อนในวิธีการประกอบ อย่างไรก็ตามชิ้นส่วนเหล่านี้จะต้องนำไปใช้ได้ทันทีโดยไม่นำไปทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จ องค์ประกอบที่ยังไม่ได้ประกอบซึ่งมีจำนวนเกินกว่าของครบสมบูรณ์พึงมี ต้องแยกส่วนที่เกินจำแนกประเภทต่างหาก เมื่อตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 2 พิกัดอัตราศุลกากรขาเข้าได้ระบุสินค้าที่อยู่ในตอนที่ 87 ยานบกนอกจากรถที่เดินบนรางรถไฟหรือรางรถราง ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานดังกล่าว ประเภทพิกัด 87.07 ตัวถัง (รวมถึงแค้ป) สำหรับยานยนต์ตามประเภท 87.01 ถึง 87.05 ประเภทพิกัดย่อย 8707.90 – อื่น ๆ – – สำหรับยานยนต์ตามประเภท 87.01 ดังนั้น จากหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 2 (ก) จึงมิได้หมายถึงเฉพาะการนำเข้าแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จรูปหรือนำเข้าชิ้นส่วนแค้ปทั้งหมดทุกรายการเท่านั้น แต่ยังหมายความรวมถึงการนำเข้าชิ้นส่วนแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่มีจำนวนเพียงพอที่เมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้วมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จสามารถนำไปใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องนำไปทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จแล้ว ย่อมถือได้ว่าเป็นการนำเข้าแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่เป็นชิ้นส่วนอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว ปัญหาว่าชิ้นส่วนสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าจะจัดอยู่ในประเภทพิกัดใดจึงต้องพิจารณาว่า ชิ้นส่วนสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าเมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้วมีลักษณะสภาพโดยรวมเป็นสาระสำคัญของแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วหรือไม่ โดยจำเลยมีนายสมชาย เจ้าหน้าที่สำนักตรวจสอบอากร และนายมงคล เจ้าหน้าที่สำนักพิกัดอัตราศุลกากรของจำเลยเป็นพยานเบิกความในทำนองเดียวกันว่า จากการตรวจสอบเอกสารพบว่าบริษัท ส. ซึ่งเป็นบริษัทในประเทศสวีเดนได้ออกเอกสารรับรอง (certificate) ให้โจทก์เป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบหัวเก๋ง Scania Cab CP 19 ในประเทศไทย และเมื่อตรวจสอบเอกสารใบขนสินค้าขาเข้าพิพาทพบว่าในขณะนำเข้าโจทก์นำเข้า Cab Shell, Parts and Accessories of Cab โดยชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) โจทก์สำแดงรายการสินค้าเป็น Scania Cab Shell Type CP19 พิกัด 8707.90 ส่วนอุปกรณ์ประกอบ (Parts and Accessories of Cab) โจทก์สำแดงรายการสินค้าเป็นส่วนประกอบของยานยนต์ ซึ่งโจทก์นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ประกอบเข้าด้วยกันและชิ้นส่วนเหล่านั้นสามารถนำเข้าสู่กระบวนการประกอบหัวเก๋ง (Cab) ได้ทันทีด้วยการนำไปประกอบยึดติดชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกันนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำเบิกความของนายสมชายและนายมงคลว่า ชิ้นส่วนสินค้าที่โจทก์นำเข้าเหล่านั้นสามารถนำเข้าสู่กระบวนการประกอบหัวเก๋ง (Cab) ได้ทันทีด้วยการนำไปประกอบยึดติดชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยโจทก์ไม่ได้โต้แย้งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ จึงถือได้ว่าชิ้นส่วนสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้ามีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ป และเป็นของที่ใช้สำหรับประกอบเป็นรถทรัคแทรกเตอร์จึงเป็นของตามความในประเภทพิกัด 8707.90 ในฐานะเป็นแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ชิ้นส่วนรถยนต์ที่โจทก์นำเข้ามาต้องนำไปทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จหรือไม่ โจทก์มีนายสาธิต กรรมการบริษัทโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า อุปกรณ์ที่โจทก์นำเข้าไม่ถือเป็นอุปกรณ์ครบชุดสำเร็จเนื่องจากโจทก์ได้นำอุปกรณ์บางส่วนมาประกอบเพิ่มเติมและมีขั้นตอนการเจาะเป็นการกระทำเพิ่มเติมต่อชิ้นงาน คือ มีการเจาะหัวเก๋ง เพื่อทำการติดตั้ง Air Deflector ส่วนเอกสารหมาย ล.3 แผ่นที่ 18 ถึง 423 เป็นรายละเอียดขั้นตอนของการประกอบหัวเก๋ง ส่วนจำเลยมีนายสมชายและนายมงคล เจ้าพนักงานจำเลยเป็นพยานเบิกความในทำนองเดียวกันว่า ชิ้นส่วนที่โจทก์นำเข้าสามารถพิจารณาจำแนกเป็นประเภทพิกัดของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว แต่โจทก์ได้นำเข้ามาโดยถูกถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน สามารถนำเข้าไปสู่กระบวนการประกอบหัวเก๋งได้ทันที โดยไม่ต้องนำไปผ่านกระบวนการเพิ่มเติมใด ๆ (Any Further Working Operation) เพื่อให้ชิ้นส่วนนั้นสมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จก่อนนำไปประกอบ เห็นว่า ตามคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Explanatory Notes : EN) หลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) (7) กำหนดหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรสำหรับของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วหรือที่ถือได้ว่าเป็นของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน โดยระบุว่า ตามวัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์ข้อนี้ “ของที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน” หมายความถึงองค์ประกอบซึ่งจะนำมาประกอบเข้าด้วยกันโดยใช้อุปกรณ์ที่ยึดติด (ตะปูควง แป้นเกลียว สลัก ฯลฯ) หรือใช้หมุดย้ำหรือเชื่อม เป็นต้น ทั้งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับการประกอบกับของที่นำเข้าเท่านั้น ไม่ต้องคำนึงถึงความซับซ้อนในวิธีการประกอบ อย่างไรก็ตามชิ้นส่วนเหล่านี้จะต้องนำไปใช้ได้ทันทีโดยไม่นำไปทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จ แสดงว่ากระบวนการจัดทำเพิ่มเติมกับชิ้นส่วนที่นำเข้านั้นต้องไม่ใช่กระบวนการประกอบและต้องเป็นการทำต่อชิ้นส่วนนั้นเพื่อให้เป็นชิ้นส่วนที่สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จก่อนนำไปประกอบ ซึ่งเมื่อพิจารณาขั้นตอนการประกอบ รูปภาพส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าประกอบหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงของโจทก์ รวมถึงรายการชิ้นส่วน (Parts List) และหนังสือภาพชิ้นส่วน (Part Catalogue) ของหัวเก๋งรุ่น Model Cab CP19 ชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) และอุปกรณ์ประกอบของหัวเก๋ง (Parts and Accessories of Cab) ที่โจทก์นำเข้ามานั้นเป็นชิ้นส่วนที่สำเร็จหรือสมบูรณ์ตั้งแต่นำเข้า สามารถนำมาประกอบกันเป็นแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 สำเร็จรูปได้ทันที โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะของชิ้นส่วนที่นำเข้าและไม่ปรากฏว่าต้องมีการทำอะไรต่อชิ้นส่วนประกอบแต่ละชิ้นเพิ่มเติม เพื่อให้เป็นชิ้นส่วนสมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จก่อนนำไปประกอบกับชิ้นส่วนอื่น ส่วนที่โจทก์อ้างว่า ต้องมีการเจาะที่ด้านหลังและด้านข้างของหัวเก๋งเพื่อมาติดตั้งบังลมข้าง (Air Deflector) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญของสินค้า และมีการติดตั้งไฟสัญญาณ รวมถึงแผ่นป้ายทะเบียนการผลิตของโจทก์เข้าไปอีกด้วย นั้น เห็นว่า โจทก์มิได้นำสืบและไม่มีพยานหลักฐานใดมาสนับสนุนให้เห็นว่า การเจาะดังกล่าวเป็นกระบวนการจัดทำเพิ่มเติม (Further Working Operation) ที่จำเป็นเพื่อให้ชิ้นส่วนนั้นครบสมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จก่อนนำไปประกอบเป็นหัวเก๋ง แต่กลับได้ความจากคำเบิกความของนายสาธิตพยานโจทก์ที่ตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า ส่วนประกอบที่เป็นตัวลู่บังลม (Air Deflector) ซึ่งอยู่ด้านบนของหัวเก๋ง ประกอบขึ้นเอาไว้ใช้ลู่ลมไม่ให้มีการปะทะของลมเวลาขับเคลื่อน ซึ่งการติดตั้งตัวลู่บังลมดังกล่าวนั้นจะมีประโยชน์เมื่อบรรทุกของที่สูงกว่าหลังคารถก็จะทำให้ไม่มีแรงลมปะทะหัวเก๋ง แต่หากสิ่งของที่บรรทุกด้านหลังนั้นต่ำกว่าหลังคารถก็จะไม่มีประโยชน์ในการลู่ลมแต่อย่างใด ทั้งช่วยลดแรงปะทะในการลู่ลมซึ่งก็จะช่วยประหยัดน้ำมันด้วย อุปกรณ์ส่วนนี้กฎหมายจะกำหนดให้เป็นส่วนควบของรถยนต์บรรทุกด้วยหรือไม่ พยานไม่ทราบ แต่ความเข้าใจของพยานนั้นรถประเภทนี้ใช้สำหรับบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ซึ่งมีความสูงกว่าหลังคารถทุกคัน จึงต้องมีอุปกรณ์ลู่บังลมดังกล่าวติดไว้ที่บริเวณด้านบนหัวเก๋งทุกคัน แต่หากไม่มีอุปกรณ์ตัวลู่บังลมดังกล่าว รถบรรทุกก็สามารถใช้งานได้ตามปกติ เห็นว่า ตัวลู่บังลม (Air Deflector) เป็นเพียงอุปกรณ์เสริมที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตัวรถ ส่วนไฟสัญญาณและแผ่นป้ายทะเบียนการผลิต ถือเป็นอุปกรณ์เสริมในการขับขี่และอุปกรณ์แสดงถึงผู้ผลิตที่ไม่ได้มีส่วนสาระสำคัญต่อการทำงานของหัวเก๋ง (Cab) การเจาะติดตัวลู่บังลม (Air Deflector) ไฟสัญญาณและแผ่นป้ายทะเบียนการผลิต จึงไม่ถือเป็นจัดทำเพิ่มเติม (Further Working Operation) เพื่อให้เป็นชิ้นส่วนที่สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จในความหมายของหลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ความจากทางนำสืบของจำเลยว่า สำนักตรวจสอบอากรของจำเลยได้เข้าไปตรวจสอบภายในโรงงานโจทก์พบว่ามีพนักงานเพียง 5 ถึง 6 คน ทำหน้าที่ขันนอต ยึดประตู กระจกหน้า กระจังหน้า ป้ายเครื่องหมายให้ติดกันกับหัวเก๋ง (Cab) ด้วยเครื่องมือง่าย ๆ เท่านั้น ซึ่งโจทก์ไม่ได้นำสืบโต้แย้งคัดค้านในส่วนนี้ให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่า ชิ้นส่วนหัวเก๋ง (Cab Shell) และอุปกรณ์ของหัวเก๋ง (Parts and Accessories of Cab) ที่โจทก์นำเข้ามาถือเป็นลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของแค้ป และนำไปประกอบเป็นแค้ปสำหรับยานยนต์ประเภท 87.01 ซึ่งอยู่ในประเภทพิกัด 8707.90 ได้ทันทีโดยไม่ต้องนำไปทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์จนถึงขั้นสำเร็จจึงต้องจำแนกเข้าพิกัดของของที่สมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ประกอบเข้าด้วยกันตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 1 ข้อ 2 (ก) และข้อ 6 ในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มิใช่ประเภทพิกัดอัตราของชิ้นส่วนว่าด้วยของนั้น ๆ (Parts by Parts) ดังที่โจทก์อ้าง ฎีกาประเด็นนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประเด็นต่อมาว่า โจทก์ได้รับยกเว้นอากรหรือลดอัตราอากรตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 หรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าได้รับการลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามข้อ 2 (8) ของประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2544 และตามข้อ 2 (8) (8.1) ของประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 12) ลงวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2546 โดยตามประกาศกระทรวงการคลังระบุให้ลดอัตราอากรแก่ส่วนประกอบและอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็นของพิกัดประเภทใดที่จะนำเข้ามาเพื่อประกอบหรือผลิตเป็นยานบกตามตอนที่ 87 เมื่อโจทก์ปฏิบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแล้ว โจทก์จึงได้รับสิทธิลดอัตราอากร นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า ประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวให้สิทธิลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของในภาค 2 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ตามพิกัดที่ระบุในประกาศดังกล่าวซึ่งในการนำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาทของโจทก์นั้น โจทก์นำเข้าโดยขอใช้สิทธิในฐานะเป็นชิ้นส่วนอุปกรณ์ หรือของตามประเภทย่อยที่นำเข้ามาเพื่อใช้ผลิตหรือประกอบเป็นส่วนประกอบหรืออุปกรณ์ของยานยนต์ตามประเภท 87.01 ถึงประเภท 87.06 อันเป็นการขอใช้สิทธิลดอัตราอากรในฐานะนำเข้าเป็นชิ้นส่วนรายชิ้น แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าจัดอยู่ในประเภทพิกัด 8707.90 ในฐานะเป็นแค้ปสำหรับยานยนต์ตามประเภท 87.01 โจทก์จึงไม่ได้รับสิทธิลดอัตราอากรตามประกาศกระทรวงการคลังทั้งสองฉบับดังกล่าว ที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าจัดเป็นของในประเภทแค้ปตามประเภทพิกัด 8707.90 อัตราอากรร้อยละ 80 (นำเข้าก่อนวันที่ 17 ธันวาคม 2546) ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 และอัตราอากรร้อยละ 40 (นำเข้าหลังวันที่ 17 ธันวาคม 2546) ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2546 สำหรับชิ้นส่วนที่สำแดงปริมาณเกินกว่าจำนวนที่ต้องใช้ในการประกอบแค้ป Cab ต่อ 1 ชุด ให้จัดเป็นของตามประเภทพิกัดที่ว่าด้วยของนั้น จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาประเด็นนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประเด็นสุดท้ายว่า มีเหตุควรงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยแจ้งการประเมินอากรแก่โจทก์ หากโจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมินประเด็นใด โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 112 ฉ ที่ใช้บังคับในขณะนั้น เมื่อตามคำอุทธรณ์และคัดค้านการประเมินและแบบแจ้งการประเมิน โจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยกเลิกหรือแก้ไขการประเมินเท่านั้น โดยไม่ได้ร้องขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มไว้ด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธินำประเด็นนี้มาฟ้องต่อศาลตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 8 ฎีกาของโจทก์ประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อตรวจดูการคำนวณเงินเพิ่มอากรขาเข้าตามแบบแจ้งการประเมินอากรขาเข้า ฉบับลงวันที่ 25 มีนาคม 2556 ขณะเกิดความรับผิดอากรขาเข้าของโจทก์ในคดีนี้ยังอยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ซึ่งมาตรา 112 จัตวา ไม่ได้กำหนดว่าเงินเพิ่มอากรขาเข้าต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม จึงต้องบังคับตามบทกฎหมายดังกล่าว แต่เมื่อต่อมาวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้และให้ยกเลิกพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 โดยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 22 กำหนดให้เงินเพิ่มอากรขาเข้าต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ฉะนั้น จำเลยจึงมีสิทธิเรียกเงินเพิ่มส่วนที่เกินอากรขาเข้าได้จนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 เท่านั้น หากเงินเพิ่มอากรขาเข้าถึงวันดังกล่าวแล้ว ยังไม่เท่าอากรขาเข้า ก็ให้คำนวณเงินเพิ่มอากรขาเข้าต่อไปจนกว่าจะเท่าจำนวนอากรขาเข้า ซึ่งเมื่อพิจารณาจากใบขนสินค้าพิพาททุกฉบับเงินเพิ่มอากรขาเข้าคำนวณถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 เกินจำนวนอากรขาเข้าที่ต้องเสียเพิ่มแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิคิดเงินเพิ่มอากรขาเข้านับแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 อีก ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26 วรรคสอง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์รับผิดชำระเงินเพิ่มอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของอากรขาเข้าที่ต้องเสียเพิ่มโดยไม่คิดทบต้นที่คำนวณจนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 แต่ไม่ต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มส่วนที่เกินอากรขาเข้าที่คำนวณนับแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีอ้างว่า จำเลยทั้งสองชำระหนี้ค่าเช่าให้แก่โจทก์ทั้งเก้าครบถ้วน มิได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ต่อมาวันที่ 5 มกราคม 2561 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแก้ไขการประมาณราคาทรัพย์สินที่ยึดและให้งดหรือชะลอการขายทอดตลาดทรัพย์สินไว้ก่อน อ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีประมาณราคาทรัพย์สินที่ยึดต่ำกว่าราคาประเมินที่บริษัท ฟ. ประเมินไว้ ดังนี้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยยกคำร้องทั้งสองฉบับดังกล่าวจึงเป็นคนละประเด็นกับคำร้องของจำเลยทั้งสองที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่อายัดเงินค่าเช่าทรัพย์สินในตลาดของจำเลยทั้งสอง มิใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีอ้างว่า จำเลยทั้งสองชำระหนี้ค่าเช่าให้แก่โจทก์ทั้งเก้าครบถ้วน มิได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ต่อมาวันที่ 5 มกราคม 2561 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแก้ไขการประมาณราคาทรัพย์สินที่ยึดและให้งดหรือชะลอการขายทอดตลาดทรัพย์สินไว้ก่อน อ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีประมาณราคาทรัพย์สินที่ยึดต่ำกว่าราคาประเมินที่บริษัท ฟ. ประเมินไว้ ดังนี้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยยกคำร้องทั้งสองฉบับดังกล่าวจึงเป็นคนละประเด็นกับคำร้องของจำเลยทั้งสองที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่อายัดเงินค่าเช่าทรัพย์สินในตลาดของจำเลยทั้งสอง มิใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|