คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสี่ จำคุก 25 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสอง จำคุก 3 ปี 6 เดือน เป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้วรรคของความผิดในบทมาตราเดียวกัน ไม่ถือเป็นการแก้บทความผิด แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 จะแก้โทษด้วยก็เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และคงให้จำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 277, 283 ทวิ, 317
จำเลยให้การรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา นาง อ. ผู้เสียหายที่ 1 และเด็กหญิง ศ. ผู้เสียหายที่ 2 โดยผู้เสียหายที่ 1 มารดาผู้แทนโดยชอบธรรม ยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ ผู้ร้องทั้งสองกับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสี่, 283 ทวิ วรรคสอง, 317 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงและฐานร่วมกันพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง คงจำคุก 25 ปี รวมจำคุก 27 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง, 283 ทวิ วรรคสอง, 317 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีและฐานร่วมกันพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 7 ปี ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว รวมทุกกระทงคงจำคุก 5 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสี่ จำคุก 25 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง จำคุก 3 ปี 6 เดือน เป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้วรรคของความผิดในบทมาตราเดียวกัน ไม่ถือเป็นการแก้บทความผิด แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 จะแก้โทษด้วยก็เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และคงให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 โดยจำเลยไม่ได้ร่วมสมคบกับพวกวางแผนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 ในลักษณะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาตั้งแต่ต้นอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยร่วมกับพวกคบคิดกันกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง ฎีกาของโจทก์จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 6 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของโจทก์
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสี่ จำคุก 25 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสอง จำคุก 3 ปี 6 เดือน เป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้วรรคของความผิดในบทมาตราเดียวกัน ไม่ถือเป็นการแก้บทความผิด แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 จะแก้โทษด้วยก็เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และคงให้จำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 277, 283 ทวิ, 317
จำเลยให้การรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา นาง อ. ผู้เสียหายที่ 1 และเด็กหญิง ศ. ผู้เสียหายที่ 2 โดยผู้เสียหายที่ 1 มารดาผู้แทนโดยชอบธรรม ยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ ผู้ร้องทั้งสองกับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสี่, 283 ทวิ วรรคสอง, 317 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงและฐานร่วมกันพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง คงจำคุก 25 ปี รวมจำคุก 27 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง, 283 ทวิ วรรคสอง, 317 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีและฐานร่วมกันพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 7 ปี ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว รวมทุกกระทงคงจำคุก 5 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสี่ จำคุก 25 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง จำคุก 3 ปี 6 เดือน เป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้วรรคของความผิดในบทมาตราเดียวกัน ไม่ถือเป็นการแก้บทความผิด แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 จะแก้โทษด้วยก็เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และคงให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 โดยจำเลยไม่ได้ร่วมสมคบกับพวกวางแผนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 ในลักษณะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาตั้งแต่ต้นอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยร่วมกับพวกคบคิดกันกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง ฎีกาของโจทก์จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 6 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของโจทก์
เหตุบกพร่องของสัญญาไม่ว่าจะเป็นการแสดงเจตนาลวงหรือกลฉ้อฉลของผู้คัดค้านอันนำไปสู่ข้ออ้างของผู้ร้องว่าเป็นการกระทำละเมิดของผู้คัดค้าน เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาเนื้อหาและความสมบูรณ์ของสัญญาซื้อขาย จึงเป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นหรือเกี่ยวเนื่องกับสัญญาโดยตรง อีกทั้งการยกเหตุดังกล่าวถือเป็นการโต้เถียงในเรื่องความมีอยู่ของสัญญา และการมีผลใช้บังคับของสัญญา ซึ่งอยู่ในอำนาจวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 การยื่นคำร้องคดีนี้จึงเป็นเรื่องสัญญา หาใช่มูลละเมิด และตามคำร้องดังกล่าวเป็นการตั้งสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับข้อโต้แย้งตามสัญญาซื้อขาย ซึ่งจะต้องดำเนินการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการตามข้อตกลงในสัญญา ผู้ร้องย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตนตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16 ทั้งผู้ร้องกล่าวอ้างมาในคำร้องดังกล่าวแล้วว่า ผู้คัดค้านมีพฤติการณ์ตั้งใจจะยักย้ายทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของตนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปให้พ้นจากอำนาจศาล หรือจะโอนขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินดังกล่าวเพื่อประวิงหรือขัดขวางต่อการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการซึ่งอาจจะออกบังคับเอาแก่ผู้คัดค้านหรือเพื่อจะทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ย่อมมีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองตามที่ขอนั้นมาใช้ได้ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 255 (1) (ก) การที่ศาลชั้นต้นด่วนยกคำร้องของผู้ร้องโดยไม่ไต่สวนให้ได้ความจริงว่าเป็นเช่นไรก่อน จึงเป็นการไม่ชอบ
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องขอให้มีคำสั่งอายัดเงินฝากในบัญชีที่มีชื่อบริษัทผู้คัดค้านเป็นเจ้าของบัญชี ตามบัญชีธนาคาร ก. สาขาถนนนวลจันทร์ เลขที่ 009 – 1 – 47XXX - X บัญชีธนาคาร ท. สาขาถนนนวลจันทร์ เลขที่ 149 – 3 – 01XXX – X บัญชีธนาคาร ก. สาขาถนนนวลจันทร์ เลขที่ 024 – 1 – 39XXX – X บัญชีธนาคาร ท. สาขาถนนนวลจันทร์ เลขที่ 149 – 2 – 45XXX - X บัญชีออมทรัพย์ธนาคาร ร. สาขาเทสโก้โลตัส สุขาภิบาล 1 เลขที่ 045 – 0 – 41XXX - X และเงินประกันตามสัญญาเช่าและสัญญาบริการในห้องเลขที่ 208 และ 209 อาคาร เอ็ม เอส สยามทาวเวอร์ เลขที่ 1023 ถนนพระราม 3 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ระหว่างบริษัท ท. กับผู้คัดค้านจำนวน 443,850 บาท ไว้ก่อนจนกว่าคณะอนุญาโตตุลาการจะได้มีคำชี้ขาด เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องก่อนหรือขณะดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการ ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตนตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16 หรือไม่ โดยผู้ร้องฎีกาว่า ข้อความตามสัญญาซื้อขายข้อ 7 ผู้ร้องและผู้คัดค้านมีเจตนาระงับข้อพิพาททั้งปวง โดยรวมถึงข้อพิพาททางแพ่งทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาททางสัญญาหรือละเมิดที่เกิดขึ้นจากหรือที่เกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขาย ถือเป็นสัญญาอนุญาโตตุลาการ ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้คัดค้านจงใจทำละเมิดต่อผู้ร้อง และผู้ร้องขอเรียกเงินมัดจำคืน แต่เหตุแห่งละเมิดสืบเนื่องมาจากที่ผู้ร้องถูกผู้คัดค้านหลอกลวงให้เข้าทำสัญญาซื้อขายโดยผู้คัดค้านไม่มีเจตนาก่อนิติสัมพันธ์ให้มีผลผูกพันตามสัญญาซื้อขายหรือส่งมอบสินค้าแก่ผู้ร้อง เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินมัดจำ 66,600,000 บาท เป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขายและเป็นข้อพิพาทที่ต้องระงับโดยวิธีอนุญาโตตุลาการนั้น เห็นว่า สัญญาซื้อขายข้อ 7 คู่สัญญาตกลงให้ระงับข้อพิพาท การโต้เถียง หรือการเรียกร้องสิทธิใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวข้องกับข้อตกลงนี้ รวมถึงความถูกต้อง ความไม่ถูกต้อง การฝ่าฝืน หรือการเลิกสัญญาดังกล่าว จะต้องได้รับการแก้หรือระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ จึงเป็นสัญญาอนุญาโตตุลาการตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 11 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้คัดค้านกับพวกร่วมกันกระทำละเมิดต่อผู้ร้องด้วยการหลอกลวงผู้ร้องโดยทุจริต ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งว่า ผู้คัดค้านมีถุงมือชนิดไนไตร ยี่ห้อ M. จำนวน 1,000,000 กล่อง ตามมาตรฐานคุณสมบัติที่ผู้ร้องต้องการและสามารถส่งมอบสินค้าให้ผู้ร้องได้ภายในกำหนด โดยไม่มีเจตนาที่จะผูกพันตามสัญญาหรือส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ร้องแต่อย่างใด ทั้งผู้คัดค้านไม่มีความสามารถที่จะชำระหนี้ด้วยการส่งมอบถุงมือไนไตรตามคุณสมบัติและจำนวนที่ระบุในสัญญาได้อย่างแน่นอน เพียงแต่อาศัยการหลอกลวงผู้ร้องให้ทำสัญญาซื้อขายเพื่อเป็นช่องทางที่จะได้รับเงินมัดจำจำนวนร้อยละ 30 ของราคาสินค้าทั้งหมด คิดเป็นจำนวนเงิน 66,600,000 บาท และเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2563 ผู้ร้องสั่งให้ E. Company โอนเงินของผู้ร้องเพื่อชำระมัดจำค่าถุงมือ 66,600,000 บาท ตามสัญญา เข้าบัญชีของผู้คัดค้านที่ธนาคาร ก. สาขาถนนนวลจันทร์ ต่อมาผู้คัดค้านกับพวกได้ร่วมกันยักย้ายเงินดังกล่าวโดยวิธีการถอนเงินสดออกจากบัญชี โอนเงินเข้าบัญชีบุคคลอื่น หรือจะโอนทรัพย์สินเพื่อประวิงหรือขัดขวางการบังคับตามคำบังคับเอาแก่ผู้คัดค้าน เพื่อทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบและมิให้ผู้ร้องสามารถติดตามเอาทรัพย์คืนนั้น เห็นว่า เหตุบกพร่องของสัญญาในกรณีที่ผู้ร้องอ้างไม่ว่าจะเป็นการแสดงเจตนาลวงหรือกลฉ้อฉลของผู้คัดค้านอันนำไปสู่ข้ออ้างของผู้ร้องว่าเป็นการกระทำละเมิดของผู้คัดค้าน เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาเนื้อหาและความสมบูรณ์ของสัญญาซื้อขาย จึงเป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นหรือเกี่ยวเนื่องกับสัญญาโดยตรง อีกทั้งการยกเหตุดังกล่าวถือเป็นการโต้เถียงในเรื่องความมีอยู่ของสัญญา และการมีผลใช้บังคับของสัญญา ซึ่งอยู่ในอำนาจวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 การยื่นคำร้องคดีนี้จึงเป็นเรื่องสัญญา หาใช่มูลละเมิดดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้างไม่ และตามคำร้องดังกล่าวเป็นการตั้งสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับข้อโต้แย้งตามสัญญาซื้อขายซึ่งจะต้องดำเนินการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการตามข้อตกลงในสัญญา ผู้ร้องย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตนตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16 ทั้งผู้ร้องกล่าวอ้างมาในคำร้องดังกล่าวแล้วว่า ผู้คัดค้านมีพฤติการณ์ตั้งใจจะยักย้ายทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของตนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปให้พ้นจากอำนาจศาล หรือจะโอนขายหรือจำหน่ายทรัพยสินดังกล่าวเพื่อประวิงหรือขัดขวางต่อการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งอาจจะออกบังคับเอาแก่ผู้คัดค้านหรือเพื่อจะทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ย่อมมีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองตามที่ขอนั้นมาใช้ได้ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 255 (1) (ก) การที่ศาลชั้นต้นด่วนยกคำร้องของผู้ร้องโดยไม่ไต่สวนให้ได้ความจริงว่าเป็นเช่นไรก่อน จึงเป็นการไม่ชอบ ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของผู้ร้องไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่เป็นเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำพิพากษา
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของผู้ร้องแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำสั่งใหม่
เหตุบกพร่องของสัญญาไม่ว่าจะเป็นการแสดงเจตนาลวงหรือกลฉ้อฉลของผู้คัดค้านอันนำไปสู่ข้ออ้างของผู้ร้องว่าเป็นการกระทำละเมิดของผู้คัดค้าน เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาเนื้อหาและความสมบูรณ์ของสัญญาซื้อขาย จึงเป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นหรือเกี่ยวเนื่องกับสัญญาโดยตรง อีกทั้งการยกเหตุดังกล่าวถือเป็นการโต้เถียงในเรื่องความมีอยู่ของสัญญา และการมีผลใช้บังคับของสัญญา ซึ่งอยู่ในอำนาจวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 การยื่นคำร้องคดีนี้จึงเป็นเรื่องสัญญา หาใช่มูลละเมิด และตามคำร้องดังกล่าวเป็นการตั้งสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับข้อโต้แย้งตามสัญญาซื้อขาย ซึ่งจะต้องดำเนินการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการตามข้อตกลงในสัญญา ผู้ร้องย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตนตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16 ทั้งผู้ร้องกล่าวอ้างมาในคำร้องดังกล่าวแล้วว่า ผู้คัดค้านมีพฤติการณ์ตั้งใจจะยักย้ายทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของตนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปให้พ้นจากอำนาจศาล หรือจะโอนขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินดังกล่าวเพื่อประวิงหรือขัดขวางต่อการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการซึ่งอาจจะออกบังคับเอาแก่ผู้คัดค้านหรือเพื่อจะทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ย่อมมีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองตามที่ขอนั้นมาใช้ได้ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 255 (1) (ก) การที่ศาลชั้นต้นด่วนยกคำร้องของผู้ร้องโดยไม่ไต่สวนให้ได้ความจริงว่าเป็นเช่นไรก่อน จึงเป็นการไม่ชอบ
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องขอให้มีคำสั่งอายัดเงินฝากในบัญชีที่มีชื่อบริษัทผู้คัดค้านเป็นเจ้าของบัญชี ตามบัญชีธนาคาร ก. สาขาถนนนวลจันทร์ เลขที่ 009 – 1 – 47XXX - X บัญชีธนาคาร ท. สาขาถนนนวลจันทร์ เลขที่ 149 – 3 – 01XXX – X บัญชีธนาคาร ก. สาขาถนนนวลจันทร์ เลขที่ 024 – 1 – 39XXX – X บัญชีธนาคาร ท. สาขาถนนนวลจันทร์ เลขที่ 149 – 2 – 45XXX - X บัญชีออมทรัพย์ธนาคาร ร. สาขาเทสโก้โลตัส สุขาภิบาล 1 เลขที่ 045 – 0 – 41XXX - X และเงินประกันตามสัญญาเช่าและสัญญาบริการในห้องเลขที่ 208 และ 209 อาคาร เอ็ม เอส สยามทาวเวอร์ เลขที่ 1023 ถนนพระราม 3 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ระหว่างบริษัท ท. กับผู้คัดค้านจำนวน 443,850 บาท ไว้ก่อนจนกว่าคณะอนุญาโตตุลาการจะได้มีคำชี้ขาด เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องก่อนหรือขณะดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการ ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตนตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16 หรือไม่ โดยผู้ร้องฎีกาว่า ข้อความตามสัญญาซื้อขายข้อ 7 ผู้ร้องและผู้คัดค้านมีเจตนาระงับข้อพิพาททั้งปวง โดยรวมถึงข้อพิพาททางแพ่งทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาททางสัญญาหรือละเมิดที่เกิดขึ้นจากหรือที่เกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขาย ถือเป็นสัญญาอนุญาโตตุลาการ ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้คัดค้านจงใจทำละเมิดต่อผู้ร้อง และผู้ร้องขอเรียกเงินมัดจำคืน แต่เหตุแห่งละเมิดสืบเนื่องมาจากที่ผู้ร้องถูกผู้คัดค้านหลอกลวงให้เข้าทำสัญญาซื้อขายโดยผู้คัดค้านไม่มีเจตนาก่อนิติสัมพันธ์ให้มีผลผูกพันตามสัญญาซื้อขายหรือส่งมอบสินค้าแก่ผู้ร้อง เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินมัดจำ 66,600,000 บาท เป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขายและเป็นข้อพิพาทที่ต้องระงับโดยวิธีอนุญาโตตุลาการนั้น เห็นว่า สัญญาซื้อขายข้อ 7 คู่สัญญาตกลงให้ระงับข้อพิพาท การโต้เถียง หรือการเรียกร้องสิทธิใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวข้องกับข้อตกลงนี้ รวมถึงความถูกต้อง ความไม่ถูกต้อง การฝ่าฝืน หรือการเลิกสัญญาดังกล่าว จะต้องได้รับการแก้หรือระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ จึงเป็นสัญญาอนุญาโตตุลาการตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 11 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้คัดค้านกับพวกร่วมกันกระทำละเมิดต่อผู้ร้องด้วยการหลอกลวงผู้ร้องโดยทุจริต ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งว่า ผู้คัดค้านมีถุงมือชนิดไนไตร ยี่ห้อ M. จำนวน 1,000,000 กล่อง ตามมาตรฐานคุณสมบัติที่ผู้ร้องต้องการและสามารถส่งมอบสินค้าให้ผู้ร้องได้ภายในกำหนด โดยไม่มีเจตนาที่จะผูกพันตามสัญญาหรือส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ร้องแต่อย่างใด ทั้งผู้คัดค้านไม่มีความสามารถที่จะชำระหนี้ด้วยการส่งมอบถุงมือไนไตรตามคุณสมบัติและจำนวนที่ระบุในสัญญาได้อย่างแน่นอน เพียงแต่อาศัยการหลอกลวงผู้ร้องให้ทำสัญญาซื้อขายเพื่อเป็นช่องทางที่จะได้รับเงินมัดจำจำนวนร้อยละ 30 ของราคาสินค้าทั้งหมด คิดเป็นจำนวนเงิน 66,600,000 บาท และเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2563 ผู้ร้องสั่งให้ E. Company โอนเงินของผู้ร้องเพื่อชำระมัดจำค่าถุงมือ 66,600,000 บาท ตามสัญญา เข้าบัญชีของผู้คัดค้านที่ธนาคาร ก. สาขาถนนนวลจันทร์ ต่อมาผู้คัดค้านกับพวกได้ร่วมกันยักย้ายเงินดังกล่าวโดยวิธีการถอนเงินสดออกจากบัญชี โอนเงินเข้าบัญชีบุคคลอื่น หรือจะโอนทรัพย์สินเพื่อประวิงหรือขัดขวางการบังคับตามคำบังคับเอาแก่ผู้คัดค้าน เพื่อทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบและมิให้ผู้ร้องสามารถติดตามเอาทรัพย์คืนนั้น เห็นว่า เหตุบกพร่องของสัญญาในกรณีที่ผู้ร้องอ้างไม่ว่าจะเป็นการแสดงเจตนาลวงหรือกลฉ้อฉลของผู้คัดค้านอันนำไปสู่ข้ออ้างของผู้ร้องว่าเป็นการกระทำละเมิดของผู้คัดค้าน เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาเนื้อหาและความสมบูรณ์ของสัญญาซื้อขาย จึงเป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นหรือเกี่ยวเนื่องกับสัญญาโดยตรง อีกทั้งการยกเหตุดังกล่าวถือเป็นการโต้เถียงในเรื่องความมีอยู่ของสัญญา และการมีผลใช้บังคับของสัญญา ซึ่งอยู่ในอำนาจวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 การยื่นคำร้องคดีนี้จึงเป็นเรื่องสัญญา หาใช่มูลละเมิดดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้างไม่ และตามคำร้องดังกล่าวเป็นการตั้งสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับข้อโต้แย้งตามสัญญาซื้อขายซึ่งจะต้องดำเนินการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการตามข้อตกลงในสัญญา ผู้ร้องย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตนตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16 ทั้งผู้ร้องกล่าวอ้างมาในคำร้องดังกล่าวแล้วว่า ผู้คัดค้านมีพฤติการณ์ตั้งใจจะยักย้ายทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของตนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปให้พ้นจากอำนาจศาล หรือจะโอนขายหรือจำหน่ายทรัพยสินดังกล่าวเพื่อประวิงหรือขัดขวางต่อการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งอาจจะออกบังคับเอาแก่ผู้คัดค้านหรือเพื่อจะทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ย่อมมีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองตามที่ขอนั้นมาใช้ได้ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 255 (1) (ก) การที่ศาลชั้นต้นด่วนยกคำร้องของผู้ร้องโดยไม่ไต่สวนให้ได้ความจริงว่าเป็นเช่นไรก่อน จึงเป็นการไม่ชอบ ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของผู้ร้องไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่เป็นเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำพิพากษา
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของผู้ร้องแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำสั่งใหม่
ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกันซึ่งปรากฏในคำพิพากษาตามยอมและสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลแพ่งกรุงเทพใต้แล้ว การที่ผู้ร้องมิได้ระบุโฉนดที่ดินเลขที่ 18874 เป็นหลักฐานประกอบไว้ในบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน ก็จะฟังว่า ผู้ร้องไม่ประสงค์ที่จะขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันเสียทีเดียวหาได้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกันเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอและ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 97 มิได้กำหนดระยะเวลาในการขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้ไว้ ผู้ร้องจึงชอบที่จะขออนุญาตแก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้จากการขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกันเป็นการขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันได้
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2553 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2554
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแก้ไขคำขอรับชำระหนี้ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องแก้ไขคำขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกันโดยขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 18874 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์พร้อมอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำสั่งศาลล้มละลายกลางชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง จึงไม่อนุญาตให้ผู้ร้องอุทธรณ์ ให้ยกคำร้องและไม่รับอุทธรณ์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่ผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังยุติได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกันแต่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ ผบ.22/2551 ในฐานะเจ้าหนี้ไม่มีประกันจากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94 ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอแก้ไขคำขอรับชำระหนี้จากเจ้าหนี้ไม่มีประกันเป็นเจ้าหนี้มีประกัน
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องมีว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 97 บัญญัติว่า “ถ้าเจ้าหนี้มีประกันขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกัน เจ้าหนี้นั้นต้องคืนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และสิทธิเหนือทรัพย์นั้นเป็นอันระงับ เว้นแต่เจ้าหนี้นั้นจะแสดงต่อศาลได้ว่า การละเว้นนั้นเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอในกรณีเช่นนี้ศาลอาจอนุญาตให้แก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้ โดยกำหนดให้คืนส่วนแบ่งหรือกำหนดอย่างอื่นตามที่เห็นสมควรก็ได้” โดยมาตรา 97 มิได้กำหนดระยะเวลาในการขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้ไว้ ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้ได้ไม่ว่าระยะเวลาใด ๆ แม้ว่าจะพ้นกำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 91 แล้วก็ตาม ส่วนปัญหาว่า ผู้ร้องขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกันเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อผู้คัดค้านตามคำขอรับชำระหนี้และบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน โดยระบุในคำขอรับชำระหนี้ว่าเป็นหนี้ตามคำพิพากษา ส่วนบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันก็ระบุว่า เป็นหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้คดีหมายเลขแดงที่ ผบ.22/2551 ระหว่างผู้ร้องเป็นโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 คดีนี้เป็นจำเลย มีหลักฐานประกอบหนี้เป็นคำพิพากษาตามยอม และสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ซึ่งจะนำส่งต้นฉบับหลักฐานในชั้นสอบสวน เมื่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำพิพากษาตามยอมและสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 4 ระบุว่า หากจำเลยทั้งสอง (คือจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีนี้) ผิดนัดไม่ชำระหนี้ไม่ว่างวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดในหนี้ทั้งหมด จำเลยทั้งสองยอมรับผิดชำระหนี้เต็มตามฟ้อง ให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดียึดทรัพย์จำนองห้องชุดเลขที่ 735/372 ชั้นที่ 29 อาคารเลขที่ 1 ชื่ออาคารชุดคอนโด ท. ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 1/2539 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 28741 และที่ดินโฉนดเลขที่ 18874 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด หากขายได้ไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกันจึงปรากฏในคำพิพากษาตามยอมและสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลแพ่งกรุงเทพใต้แล้ว การที่ผู้ร้องมิได้ระบุโฉนดที่ดินเลขที่ 18874 เป็นหลักฐานประกอบไว้ในบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน ก็จะฟังว่า ผู้ร้องไม่ประสงค์ที่จะขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันเสียทีเดียวหาได้ไม่ ทั้งตามบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของนายภานุ ลูกจ้างและทนายผู้ร้องให้ถ้อยคำไว้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกัน แต่พลั้งเผลอยื่นคำขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกันเนื่องจากเข้าใจว่าได้มีการขายทอดตลาดทรัพย์หลักประกันในคดีของศาลแพ่งกรุงเทพใต้แล้ว ผู้ร้องมิได้มีเจตนาขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกัน เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่าผู้ร้องปกปิดหลักประกันเพื่อเอาเปรียบเจ้าหนี้อื่น ทั้งผู้คัดค้านมิได้นำสืบพยานหลักฐานเพื่อหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่นเพียงแต่กล่าวอ้างลอย ๆ ว่า ผู้ร้องไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามวิสัยของสถาบันการเงินที่จะพึงมีเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่ผู้ร้องนำสืบว่า การที่ผู้ร้องขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกันเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอ ผู้ร้องชอบที่จะขออนุญาตแก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 97 ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า คำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ยกคำร้องของผู้ร้องชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง จึงไม่อนุญาตให้ผู้ร้องอุทธรณ์ ให้ยกคำร้องและไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาโดยได้มีการสืบพยานของคู่ความในศาลล้มละลายกลางเสร็จสิ้นแล้ว ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาใหม่ และเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่วินิจฉัยข้างต้นว่า ผู้ร้องขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกันเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอและพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 97 มิได้กำหนดระยะเวลาในการขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้ไว้ ผู้ร้องจึงชอบที่จะขออนุญาตแก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้จากการขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกันเป็นการขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันได้
พิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ร้องแก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้ได้ตามคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกันซึ่งปรากฏในคำพิพากษาตามยอมและสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลแพ่งกรุงเทพใต้แล้ว การที่ผู้ร้องมิได้ระบุโฉนดที่ดินเลขที่ 18874 เป็นหลักฐานประกอบไว้ในบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน ก็จะฟังว่า ผู้ร้องไม่ประสงค์ที่จะขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันเสียทีเดียวหาได้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกันเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอและ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 97 มิได้กำหนดระยะเวลาในการขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้ไว้ ผู้ร้องจึงชอบที่จะขออนุญาตแก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้จากการขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกันเป็นการขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันได้
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2553 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2554
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแก้ไขคำขอรับชำระหนี้ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องแก้ไขคำขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกันโดยขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 18874 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์พร้อมอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำสั่งศาลล้มละลายกลางชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง จึงไม่อนุญาตให้ผู้ร้องอุทธรณ์ ให้ยกคำร้องและไม่รับอุทธรณ์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่ผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังยุติได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกันแต่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ ผบ.22/2551 ในฐานะเจ้าหนี้ไม่มีประกันจากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94 ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอแก้ไขคำขอรับชำระหนี้จากเจ้าหนี้ไม่มีประกันเป็นเจ้าหนี้มีประกัน
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องมีว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 97 บัญญัติว่า “ถ้าเจ้าหนี้มีประกันขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกัน เจ้าหนี้นั้นต้องคืนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และสิทธิเหนือทรัพย์นั้นเป็นอันระงับ เว้นแต่เจ้าหนี้นั้นจะแสดงต่อศาลได้ว่า การละเว้นนั้นเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอในกรณีเช่นนี้ศาลอาจอนุญาตให้แก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้ โดยกำหนดให้คืนส่วนแบ่งหรือกำหนดอย่างอื่นตามที่เห็นสมควรก็ได้” โดยมาตรา 97 มิได้กำหนดระยะเวลาในการขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้ไว้ ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้ได้ไม่ว่าระยะเวลาใด ๆ แม้ว่าจะพ้นกำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 91 แล้วก็ตาม ส่วนปัญหาว่า ผู้ร้องขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกันเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อผู้คัดค้านตามคำขอรับชำระหนี้และบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน โดยระบุในคำขอรับชำระหนี้ว่าเป็นหนี้ตามคำพิพากษา ส่วนบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันก็ระบุว่า เป็นหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้คดีหมายเลขแดงที่ ผบ.22/2551 ระหว่างผู้ร้องเป็นโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 คดีนี้เป็นจำเลย มีหลักฐานประกอบหนี้เป็นคำพิพากษาตามยอม และสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ซึ่งจะนำส่งต้นฉบับหลักฐานในชั้นสอบสวน เมื่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำพิพากษาตามยอมและสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 4 ระบุว่า หากจำเลยทั้งสอง (คือจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีนี้) ผิดนัดไม่ชำระหนี้ไม่ว่างวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดในหนี้ทั้งหมด จำเลยทั้งสองยอมรับผิดชำระหนี้เต็มตามฟ้อง ให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดียึดทรัพย์จำนองห้องชุดเลขที่ 735/372 ชั้นที่ 29 อาคารเลขที่ 1 ชื่ออาคารชุดคอนโด ท. ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 1/2539 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 28741 และที่ดินโฉนดเลขที่ 18874 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด หากขายได้ไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกันจึงปรากฏในคำพิพากษาตามยอมและสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลแพ่งกรุงเทพใต้แล้ว การที่ผู้ร้องมิได้ระบุโฉนดที่ดินเลขที่ 18874 เป็นหลักฐานประกอบไว้ในบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน ก็จะฟังว่า ผู้ร้องไม่ประสงค์ที่จะขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันเสียทีเดียวหาได้ไม่ ทั้งตามบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของนายภานุ ลูกจ้างและทนายผู้ร้องให้ถ้อยคำไว้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกัน แต่พลั้งเผลอยื่นคำขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกันเนื่องจากเข้าใจว่าได้มีการขายทอดตลาดทรัพย์หลักประกันในคดีของศาลแพ่งกรุงเทพใต้แล้ว ผู้ร้องมิได้มีเจตนาขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกัน เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่าผู้ร้องปกปิดหลักประกันเพื่อเอาเปรียบเจ้าหนี้อื่น ทั้งผู้คัดค้านมิได้นำสืบพยานหลักฐานเพื่อหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่นเพียงแต่กล่าวอ้างลอย ๆ ว่า ผู้ร้องไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามวิสัยของสถาบันการเงินที่จะพึงมีเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่ผู้ร้องนำสืบว่า การที่ผู้ร้องขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกันเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอ ผู้ร้องชอบที่จะขออนุญาตแก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 97 ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า คำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ยกคำร้องของผู้ร้องชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง จึงไม่อนุญาตให้ผู้ร้องอุทธรณ์ ให้ยกคำร้องและไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาโดยได้มีการสืบพยานของคู่ความในศาลล้มละลายกลางเสร็จสิ้นแล้ว ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาใหม่ และเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่วินิจฉัยข้างต้นว่า ผู้ร้องขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกันเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอและพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 97 มิได้กำหนดระยะเวลาในการขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้ไว้ ผู้ร้องจึงชอบที่จะขออนุญาตแก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้จากการขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกันเป็นการขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันได้
พิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ร้องแก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้ได้ตามคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
เมื่อสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าคดีนี้ไม่มีคุณลักษณะที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมโดยเฉพาะ แต่ยังสามารถนำไปใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นได้ นอกจากนี้ ตามรายละเอียดของสินค้าและข้อมูลในแค็ตตาล็อกระบุคุณลักษณะและประสิทธิภาพการทำงานของสินค้าพิพาทว่าเหมาะกับการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่านำไปใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมเท่านั้น ดังนั้น สินค้าพิพาทจึงต้องจัดเข้าประเภทที่เหมาะสมตามหน้าที่การทำงานของสินค้านั้น จึงไม่อาจจัดเข้าในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ในฐานะเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ได้ แต่จัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ อัตราอากรร้อยละ 10
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีวางประกัน) เลขที่ กค 9200067/26-05-2558 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 กค 9200068/26-05-2558 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 กค 9200158/28-05-2558 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 กค 9200159/02-06-2558 ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2558 กค 9200560/03-06-2558 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2558 กค 9200561/03-06-2558 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2558 กค 9200222/26-06-2558 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2558 กค 9200575/27-07-2558 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 กค 9200576/27-07-2558 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 กค 9200112/28-07-2558 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 และ กค 9200167/17-11-2558 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ กค 40.3/3/2562/ป1/2562(3.4) ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ให้จำเลยคืนเงินประกันและเบี้ยปรับพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.625 ต่อเดือน จนถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 1,343,970.59 บาท และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.625 ต่อเดือน จากต้นเงิน 859,816.33 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความ 40,000 บาท แทนจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนแบบแจ้งการประเมิน เลขที่ กค 9200067/26-05-2558 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 เลขที่ กค 9200068/26-05-2558 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 เลขที่ กค 9200158/28-05-2558 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 เลขที่ กค 9200159/02-06-2558 ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2558 เลขที่ กค 9200560/03-06-2558 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2558 เลขที่ กค 9200561/03-06-2558 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2558 เลขที่ กค 9200222/26-06-2558 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2558 เลขที่ กค 9200575/27-07-2558 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 เลขที่ กค 9200576/27-07-2558 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 เลขที่ กค 9200112/28-07-2558 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 และเลขที่ กค 9200167/17-11-2558 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ กค 40.3/3/2562/ป1/2562(3.4) ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ให้จำเลยคืนเงินประกันค่าอากร 728,858.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 0.625 ต่อเดือนของต้นเงิน 41,720 บาท นับแต่วันที่ 18 มกราคม 2554 ของต้นเงิน 79,130 บาท นับแต่วันที่ 15 มีนาคม 2554 ของต้นเงิน 38,626 บาท นับแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2555 ของต้นเงิน 36,425.66 บาท นับแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2556 ของต้นเงิน 117,270 บาท นับแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2555 ของต้นเงิน 36,400 บาท นับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2554 ของต้นเงิน 65,479.07 บาท นับแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2553 ของต้นเงิน 49,146.13 บาท นับแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2556 ของต้นเงิน 71,280 บาท นับแต่วันที่ 6 มีนาคม 2555 ของต้นเงิน 137,138 บาท นับแต่วันที่ 31 มกราคม 2555 และของต้นเงิน 56,243.47 บาท นับแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไปโดยไม่คิดทบต้น เศษของเดือนนับเป็นหนึ่งเดือนจนถึงวันที่มีการอนุมัติให้จ่ายคืน แต่มิให้เกินจำนวนเงินประกันค่าอากรที่ต้องคืน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า เมื่อระหว่างเดือนกันยายน 2553 ถึงเดือนธันวาคม 2557 โจทก์นำเข้าสินค้าประเภทเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่มีคุณลักษณะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ (Static Converter) วันที่ 28 กันยายน 2553 โจทก์ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลย โดยสำแดงพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 อัตราอากรร้อยละ 1 พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยพิจารณาแล้วเห็นว่าสินค้าดังกล่าวจัดเข้าพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ จึงดำเนินคดีโจทก์ในความผิดฐานสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 99 โจทก์โต้แย้งและขอวางเงินประกันค่าอากรในอัตราร้อยละ 10 กับวางเงินประกันค่าปรับจำนวน 2 เท่าของเงินอากรที่ขาดสำหรับความผิดฐานสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรเป็นเงิน 130,958 บาท ต่อมาโจทก์นำเข้าสินค้าประเภทเดียวกันโดยยื่นใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลย จำนวน 10 ฉบับ สำแดงพิกัดศุลกากรประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 แต่โต้แย้งพิกัดและขอชำระอากรในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 อัตราอากรร้อยละ 1 และร้อยละ 0 ตามช่วงเวลาที่นำเข้า โดยขอวางเงินประกันค่าอากรส่วนที่เหลือไว้ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยให้โจทก์ชำระอากรกับวางเงินประกันค่าอากรไว้ในอัตราร้อยละ 10 และตรวจปล่อยสินค้าให้โจทก์รับไปแล้ว ต่อมาสำนักพิกัดอัตราศุลกากรของจำเลยได้พิจารณาตัวอย่างสินค้าของโจทก์แล้วเห็นว่า สินค้าที่นำเข้าจัดเข้าพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยจึงประเมินเรียกเก็บภาษีอากรที่โจทก์ต้องชำระตามแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีวางประกัน) โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของโจทก์ โดยกำหนดให้สินค้าเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่โจทก์นำเข้าจัดเป็นสินค้าในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงประการเดียวว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าจัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ อัตราอากรร้อยละ 10 หรือจัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ในฐานะเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) อัตราอากรร้อยละ 1 หรือร้อยละ 0 ตามช่วงเวลาที่นำเข้า โดยจำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่ได้หยิบยกพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาพิจารณาประกอบกับใบโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน (Brochure) ของบริษัทผู้ผลิตที่โจทก์ได้นำส่ง ซึ่งลักษณะสินค้าของโจทก์เป็นตู้ขนาดใหญ่ บางรุ่นไม่มีแบตเตอรี่บรรจุอยู่ภายใน บางรุ่นก็มีแบตเตอรี่บรรจุอยู่ภายใน ลักษณะไม่เหมือนกับเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้กับเครื่องประมวลผลอัตโนมัติที่ประชาชนใช้กันทั่วไปในบ้านเรือนหรือในสำนักงานที่มีลักษณะเป็นกล่องขนาดไม่ใหญ่นักและนำมาใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติเท่านั้น เมื่อพิจารณาลักษณะของสินค้าตามแค็ตตาล็อกหรือคู่มือการใช้สินค้าแล้วเห็นว่าลักษณะสินค้าโจทก์ตามใบขนสินค้าขาเข้าดังกล่าวทุกฉบับเป็นตู้ขนาดใหญ่ ตามแค็ตตาล็อกของสินค้าที่โจทก์นำเข้าระบุสินค้าของโจทก์สามารถนำไปใช้กับ Data Center และอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นSensitive Electronic Equipment หรือเครื่องมือที่มีความไวต่อกระแสไฟฟ้า เช่น เครื่องมือแพทย์ต่าง ๆ ดังจะเห็นได้จากข้อความ "This is unique and perfectly responds to today's data center requirements" ซึ่งแปลว่า เครื่องนี้รองรับโดยสมบูรณ์กับความต้องการของศูนย์ข้อมูล หรือ "It is possible to add power as the data center power requirement grow" ซึ่งแปลว่า เครื่องนี้สามารถเพิ่มพลังงานตามความต้องการพลังงานของการเจริญเติบโตของศูนย์ข้อมูล แสดงให้เห็นว่า เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่โจทก์นำเข้าไม่ใช่เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้กันทั่วไปกับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ ประกอบกับตามคู่มือการใช้งานหรือแค็ตตาล็อกไม่มีข้อความใดระบุว่าเป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ มีแต่ข้อความใช้กับ "Data Center" ซึ่งข้อความทั้งหมดดังกล่าวหมายถึงเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) สามารถใช้กับอุปกรณ์ทาง data center และเพิ่มจำนวนพลังงานตามการเติบโตของอุปกรณ์ทาง data center หรือใช้กับระบบโครงสร้างพื้นฐาน มีช่องเสียบอุปกรณ์หลายช่องตามความต้องการของลูกค้า สินค้าที่โจทก์นำเข้าไม่ได้ใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติและไม่มีข้อความที่แสดงว่าสินค้าของโจทก์ดังกล่าวผลิตเพื่อนำไปใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติในใบโฆษณาแต่อย่างใด จึงไม่จัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ของพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 นั้น พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีพยานปากเดียวคือนายธีรวัฒน์ กรรมการผู้มีอำนาจโจทก์และเป็นผู้รับมอบอำนาจโจทก์ เบิกความว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่และตามใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มระบุว่าเป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคม และตามคู่มือการใช้งานสินค้า (Brochure) ก็ไม่มีข้อความว่าเครื่องจ่ายไฟสำรองนั้นสามารถนำไปใช้ได้กับอุปกรณ์อย่างอื่นและการตีความพิกัดอัตราศุลกากรของพนักงานเจ้าหน้าที่และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น สินค้าที่โจทก์นำเข้าจึงจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ส่วนจำเลยมีนางสาวธัญญา นางสาวศรัณยา นางณัฐธิดา นางจารุวรรณ นางสาวอังคณา นายเศรษฐภัสส์ นายทวีพงษ์ นายชาญชัย นายพริสร และนายชัยชนม์ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยเป็นพยานเบิกความสรุปได้ความทำนองเดียวกันว่า โจทก์นำเข้าสินค้าประเภทเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) รุ่น UPS CONCEPTPOWER DPA และ UPS CONCEPTPOWER DPA UPSCALE โดยยื่นใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม สำแดงพิกัดอัตราศุลกากร ประเภท 8504.40.11 อัตราอากรร้อยละ 1 ของราคา แต่ในการตรวจปล่อยสินค้านั้นพบว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้ามีลักษณะเป็นตู้ขนาดใหญ่เป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่เป็นแบบ Double Conversion True Online หรือ True Double Conversion Online ภายในไม่มีแบตเตอรี่ และมีข้อมูลจากผู้ผลิตว่าสินค้านั้นไม่ได้ระบุเจาะจงว่าเป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติแต่ยังใช้กับระบบอื่นได้ จึงจัดเข้าพิกัดอัตราศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 ของราคา โดยนางสาวอังคณาและนายชัยชนม์ยังได้เบิกความเกี่ยวกับพิกัดอัตราศุลกากร ได้ความว่า พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ได้กำหนดพิกัดอัตราศุลกากร ประเภท 8504.40 สำหรับสินค้าประเภทเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ โดยแยกย่อยออกเป็น 5 ระดับ สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติและหน่วยของเครื่องดังกล่าวและอุปกรณ์โทรคมนาคมแยกย่อยออกเป็นประเภทพิกัดย่อย 8504.40.11 เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) และประเภทพิกัดย่อย 8504.40.19 อื่น ๆ สำหรับเครื่องชาร์ตแบตเตอรี่มีพิกัดเกิน 100 เควีเอ จัดอยู่ในประเภทพิกัดย่อย 8504.40.20 สำหรับเครื่องกลับกระแสไฟฟ้าอื่น ๆ จัดอยู่ในประเภทพิกัดย่อย 8504.40.30 สำหรับเครื่องผกผัน (อินเวอร์เตอร์) จัดอยู่ในประเภทพิกัดย่อย 8504.40.40 และสำหรับอื่น ๆ จัดอยู่ในประเภทพิกัดย่อย 8504.40.90 และยังได้ความจากข้อมูลในเว็บไซด์ www.newaveups.com ซึ่งเป็นเว็บไซด์ของบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าคดีนี้ให้โจทก์ โดยข้อมูลในเว็บไซด์ดังกล่าวไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้กับระบบอื่นได้ และเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่โจทก์นำเข้ามีทั้งระบบใช้ไฟ 1 เฟส (ใช้กับแรงดันไฟฟ้า 220 – 240 V) และใช้ไฟ 3 เฟส (ใช้กับแรงดันไฟฟ้า 380 – 415 V) มาเป็นเหตุผลประกอบเพิ่มเติมโดยเห็นว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้าเป็นสินค้าที่ใช้ไฟ 3 เฟส เป็นสินค้าที่ใช้สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 15 วรรคสาม บัญญัติว่า "การตีความให้ถือตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 ท้ายพระราชกำหนดนี้ ประกอบกับคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาว่าด้วยการจัดตั้งคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากร..." ดังนั้น การจะจัดสินค้าพิพาทว่าอยู่ในประเภทพิกัดศุลกากรใดจึงต้องใช้หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ประกอบคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Explanatory Notes : EN) ดังกล่าว ซึ่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 2 พิกัดอัตราอากรขาเข้า และตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 1 หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร ข้อ 1 บัญญัติว่า "...การจำแนกประเภทให้จำแนกตามความของประเภทนั้น ๆ ตามหมายเหตุของหมวดหรือของตอนที่เกี่ยวข้องและตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้ หากว่าประเภทหรือหมายเหตุดังกล่าวไม่ได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น" และข้อ 6 บัญญัติว่า "ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การจำแนกประเภทของของเข้าในประเภทย่อยของประเภทใดประเภทหนึ่งให้เป็นไปตามความของประเภทย่อยที่เกี่ยวข้องและตามหลักเกณฑ์ข้างต้นโดยอนุโลม โดยพิจารณาเปรียบเทียบในระหว่างประเภทย่อยที่อยู่ในระดับเดียวกัน ตามวัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์นี้ให้ใช้หมายเหตุของหมวดและของตอนที่เกี่ยวข้องด้วย เว้นแต่จะมีข้อความระบุไว้เป็นอย่างอื่น" ดังนั้น ความหมายของรายการสินค้าในประเภทย่อยระดับใดระดับหนึ่งย่อมต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของข้อความในประเภทย่อยระดับที่เหนือขึ้นไป ซึ่งตามบัญชีพิกัดอัตราศุลกากร ในพิกัดประเภทย่อยที่ 8504.40 เครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ มีการจัดรายการสินค้าแบ่งพิกัดเป็นรายการย่อยลงไปอีก 5 ระดับ คือ หนึ่ง สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าวและอุปกรณ์โทรคมนาคม โดยระดับนี้มีพิกัดย่อยลงไปอีก 2 ระดับ คือ ประเภทย่อย 8504.40.11 เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) และประเภทย่อย 8504.40.19 อื่น ๆ สอง ประเภทย่อย 8504.40.20 เครื่องชาร์ตแบตเตอรี่มีพิกัดเกิน 100 เควีเอ สาม ประเภทย่อย 8504.40.30 เครื่องกลับกระแสไฟฟ้าอื่น ๆ สี่ ประเภทย่อย 8504.40.40 เครื่องผกผัน (อินเวอร์เตอร์) และห้าประเภทย่อย 8504.40.90 อื่น ๆ ดังนี้ เมื่อเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) เป็นประเภทย่อยของพิกัดระดับ สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคม พิกัด 8504.40.11 จึงต้องเป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมเท่านั้น หากกฎหมายต้องการที่จะให้เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) สามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่น ๆ โดยไม่จำกัดเฉพาะสำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมเท่านั้น ก็ย่อมจัดให้เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) เป็นรายการย่อยในระดับเดียวกับเครื่องชาร์ตแบตเตอรี่มีพิกัดเกิน 100 เควีเอ เครื่องกลับกระแสไฟฟ้าอื่น ๆ หรือเครื่องผกผัน (อินเวอร์เตอร์) มิใช่จัดให้อยู่ในรายการประเภทย่อยของพิกัดระดับ สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคม เมื่อนายชัยชนม์ พยานจำเลยซึ่งเป็นผู้พิจารณาประเภทพิกัดศุลกากรและเป็นผู้ตรวจสอบตัวสินค้าพิพาทเบิกความว่า สินค้าพิพาทบางใบขนสินค้าไม่มีแบตเตอรี่ สินค้าที่ไม่มีแบตเตอรี่ย่อมไม่สามารถสำรองไฟฟ้าไว้ใช้ได้แต่ต้องนำแบตเตอรี่มาเชื่อมต่อที่ช่องเสียบที่มีอยู่ กรณีจึงเห็นได้ว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ (Static Converter) ซึ่งจัดอยู่ในพิกัดประเภทย่อยที่ 8504.40 มีหลักการทำงานที่เรียกว่า True Online Double Conversion มีลักษณะเป็นตู้ขนาดใหญ่และสามารถเพิ่มจำนวนหน่วยการจ่ายไฟฟ้าสำรองหรืออุปกรณ์เพิ่มเติม (Module) ได้ตามความต้องการของลูกค้าหรือลักษณะการใช้งานและตามแค็ตตาล็อกระบุว่าเหมาะสำหรับใช้กับศูนย์ข้อมูล (Data Center) ดังจะเห็นได้จากข้อความ "This is unique and perfectly responds to today's data center requirements" ซึ่งแปลว่า เครื่องนี้รองรับโดยสมบูรณ์กับความต้องการของศูนย์ข้อมูล หรือ "It is possible to add power as the data center power requirement grow" ซึ่งแปลว่า เครื่องนี้สามารถเพิ่มพลังงานตามความต้องการพลังงานของการเจริญเติบโตของศูนย์ข้อมูล และตามแค็ตตาล็อกเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) คดีนี้ใช้กับศูนย์ข้อมูล (Data Center), เบลดเสิร์ฟเวอร์ (Blade server) ระบบป้องกันพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ และยังได้ความจากข้อมูลในเว็บไซด์ www.newaveups.com ซึ่งเป็นเว็บไซด์ของบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าคดีนี้ให้โจทก์ โดยข้อมูลเว็บไซด์ดังกล่าวไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้กับระบบอื่นได้ นอกจากนี้เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่โจทก์นำเข้ายังมีช่องเสียบสายสัญญาณต่าง ๆ ได้แก่ สาย USB สาย RS-232 ซึ่งเป็นสายสื่อสาร ไม่ใช่สายไฟฟ้า SNMP Slot ซึ่งเป็นช่องติดต่อระหว่างเครือข่าย (Network) จึงไม่ใช่เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) สำหรับใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติหรือคอมพิวเตอร์เท่านั้น และโจทก์ก็ยอมรับในคำฟ้องว่าระบบไฟฟ้า 3 เฟส 380/220 V ไม่ได้จำกัดให้ใช้สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าในงานอุตสาหกรรมเท่านั้น ดังนั้น สินค้าพิพาทจึงจัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ อัตราอากรร้อยละ 10 ของราคา ส่วนที่โจทก์นำสืบว่าก่อนหน้านี้เมื่อปี 2559 คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เคยพิจารณาอุทธรณ์สินค้าเครื่องจ่ายไฟสำรองรายโจทก์คดีนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว โดยเจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าเป็นสินค้าพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 ของราคา แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เป็นสินค้าพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 อัตราอากรร้อยละ 1 ของราคา นั้น เนื่องจากในเอกสารแค็ตตาล็อกสินค้าดังกล่าวระบุชัดเจนว่าออกแบบเพื่อใช้ป้องกันอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Computer and Servers) รายละเอียดปรากฏตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ในรายงานการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งสินค้าในคดีดังกล่าวเป็นสินค้าเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) รุ่น POWERWARE PW 9155 และรุ่น POWERWARE PW 9355 แต่สินค้าพิพาทคดีนี้เป็นสินค้าคนละรุ่นกับที่เคยมีการพิจารณาไว้ดังกล่าว ดังนั้น เมื่อสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าคดีนี้ไม่มีคุณลักษณะที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมโดยเฉพาะ แต่ยังสามารถนำไปใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นได้ นอกจากนี้ ตามรายละเอียดของสินค้าและข้อมูลในแค็ตตาล็อกระบุคุณลักษณะและประสิทธิภาพการทำงานของสินค้าพิพาทว่าเหมาะกับการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่านำไปใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมเท่านั้น ดังนั้น สินค้าพิพาทจึงต้องจัดเข้าประเภทที่เหมาะสมตามหน้าที่การทำงานของสินค้านั้น จึงไม่อาจจัดเข้าในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ในฐานะเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ได้ แต่จัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ อัตราอากรร้อยละ 10 การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยในข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
เมื่อสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าคดีนี้ไม่มีคุณลักษณะที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมโดยเฉพาะ แต่ยังสามารถนำไปใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นได้ นอกจากนี้ ตามรายละเอียดของสินค้าและข้อมูลในแค็ตตาล็อกระบุคุณลักษณะและประสิทธิภาพการทำงานของสินค้าพิพาทว่าเหมาะกับการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่านำไปใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมเท่านั้น ดังนั้น สินค้าพิพาทจึงต้องจัดเข้าประเภทที่เหมาะสมตามหน้าที่การทำงานของสินค้านั้น จึงไม่อาจจัดเข้าในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ในฐานะเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ได้ แต่จัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ อัตราอากรร้อยละ 10
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีวางประกัน) เลขที่ กค 9200067/26-05-2558 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 กค 9200068/26-05-2558 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 กค 9200158/28-05-2558 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 กค 9200159/02-06-2558 ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2558 กค 9200560/03-06-2558 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2558 กค 9200561/03-06-2558 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2558 กค 9200222/26-06-2558 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2558 กค 9200575/27-07-2558 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 กค 9200576/27-07-2558 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 กค 9200112/28-07-2558 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 และ กค 9200167/17-11-2558 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ กค 40.3/3/2562/ป1/2562(3.4) ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ให้จำเลยคืนเงินประกันและเบี้ยปรับพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.625 ต่อเดือน จนถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 1,343,970.59 บาท และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.625 ต่อเดือน จากต้นเงิน 859,816.33 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความ 40,000 บาท แทนจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนแบบแจ้งการประเมิน เลขที่ กค 9200067/26-05-2558 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 เลขที่ กค 9200068/26-05-2558 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 เลขที่ กค 9200158/28-05-2558 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 เลขที่ กค 9200159/02-06-2558 ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2558 เลขที่ กค 9200560/03-06-2558 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2558 เลขที่ กค 9200561/03-06-2558 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2558 เลขที่ กค 9200222/26-06-2558 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2558 เลขที่ กค 9200575/27-07-2558 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 เลขที่ กค 9200576/27-07-2558 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 เลขที่ กค 9200112/28-07-2558 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 และเลขที่ กค 9200167/17-11-2558 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ กค 40.3/3/2562/ป1/2562(3.4) ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ให้จำเลยคืนเงินประกันค่าอากร 728,858.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 0.625 ต่อเดือนของต้นเงิน 41,720 บาท นับแต่วันที่ 18 มกราคม 2554 ของต้นเงิน 79,130 บาท นับแต่วันที่ 15 มีนาคม 2554 ของต้นเงิน 38,626 บาท นับแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2555 ของต้นเงิน 36,425.66 บาท นับแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2556 ของต้นเงิน 117,270 บาท นับแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2555 ของต้นเงิน 36,400 บาท นับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2554 ของต้นเงิน 65,479.07 บาท นับแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2553 ของต้นเงิน 49,146.13 บาท นับแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2556 ของต้นเงิน 71,280 บาท นับแต่วันที่ 6 มีนาคม 2555 ของต้นเงิน 137,138 บาท นับแต่วันที่ 31 มกราคม 2555 และของต้นเงิน 56,243.47 บาท นับแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไปโดยไม่คิดทบต้น เศษของเดือนนับเป็นหนึ่งเดือนจนถึงวันที่มีการอนุมัติให้จ่ายคืน แต่มิให้เกินจำนวนเงินประกันค่าอากรที่ต้องคืน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า เมื่อระหว่างเดือนกันยายน 2553 ถึงเดือนธันวาคม 2557 โจทก์นำเข้าสินค้าประเภทเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่มีคุณลักษณะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ (Static Converter) วันที่ 28 กันยายน 2553 โจทก์ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลย โดยสำแดงพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 อัตราอากรร้อยละ 1 พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยพิจารณาแล้วเห็นว่าสินค้าดังกล่าวจัดเข้าพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ จึงดำเนินคดีโจทก์ในความผิดฐานสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 99 โจทก์โต้แย้งและขอวางเงินประกันค่าอากรในอัตราร้อยละ 10 กับวางเงินประกันค่าปรับจำนวน 2 เท่าของเงินอากรที่ขาดสำหรับความผิดฐานสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรเป็นเงิน 130,958 บาท ต่อมาโจทก์นำเข้าสินค้าประเภทเดียวกันโดยยื่นใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลย จำนวน 10 ฉบับ สำแดงพิกัดศุลกากรประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 แต่โต้แย้งพิกัดและขอชำระอากรในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 อัตราอากรร้อยละ 1 และร้อยละ 0 ตามช่วงเวลาที่นำเข้า โดยขอวางเงินประกันค่าอากรส่วนที่เหลือไว้ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยให้โจทก์ชำระอากรกับวางเงินประกันค่าอากรไว้ในอัตราร้อยละ 10 และตรวจปล่อยสินค้าให้โจทก์รับไปแล้ว ต่อมาสำนักพิกัดอัตราศุลกากรของจำเลยได้พิจารณาตัวอย่างสินค้าของโจทก์แล้วเห็นว่า สินค้าที่นำเข้าจัดเข้าพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยจึงประเมินเรียกเก็บภาษีอากรที่โจทก์ต้องชำระตามแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีวางประกัน) โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของโจทก์ โดยกำหนดให้สินค้าเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่โจทก์นำเข้าจัดเป็นสินค้าในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงประการเดียวว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าจัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ อัตราอากรร้อยละ 10 หรือจัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ในฐานะเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) อัตราอากรร้อยละ 1 หรือร้อยละ 0 ตามช่วงเวลาที่นำเข้า โดยจำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่ได้หยิบยกพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาพิจารณาประกอบกับใบโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน (Brochure) ของบริษัทผู้ผลิตที่โจทก์ได้นำส่ง ซึ่งลักษณะสินค้าของโจทก์เป็นตู้ขนาดใหญ่ บางรุ่นไม่มีแบตเตอรี่บรรจุอยู่ภายใน บางรุ่นก็มีแบตเตอรี่บรรจุอยู่ภายใน ลักษณะไม่เหมือนกับเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้กับเครื่องประมวลผลอัตโนมัติที่ประชาชนใช้กันทั่วไปในบ้านเรือนหรือในสำนักงานที่มีลักษณะเป็นกล่องขนาดไม่ใหญ่นักและนำมาใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติเท่านั้น เมื่อพิจารณาลักษณะของสินค้าตามแค็ตตาล็อกหรือคู่มือการใช้สินค้าแล้วเห็นว่าลักษณะสินค้าโจทก์ตามใบขนสินค้าขาเข้าดังกล่าวทุกฉบับเป็นตู้ขนาดใหญ่ ตามแค็ตตาล็อกของสินค้าที่โจทก์นำเข้าระบุสินค้าของโจทก์สามารถนำไปใช้กับ Data Center และอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นSensitive Electronic Equipment หรือเครื่องมือที่มีความไวต่อกระแสไฟฟ้า เช่น เครื่องมือแพทย์ต่าง ๆ ดังจะเห็นได้จากข้อความ "This is unique and perfectly responds to today's data center requirements" ซึ่งแปลว่า เครื่องนี้รองรับโดยสมบูรณ์กับความต้องการของศูนย์ข้อมูล หรือ "It is possible to add power as the data center power requirement grow" ซึ่งแปลว่า เครื่องนี้สามารถเพิ่มพลังงานตามความต้องการพลังงานของการเจริญเติบโตของศูนย์ข้อมูล แสดงให้เห็นว่า เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่โจทก์นำเข้าไม่ใช่เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้กันทั่วไปกับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ ประกอบกับตามคู่มือการใช้งานหรือแค็ตตาล็อกไม่มีข้อความใดระบุว่าเป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ มีแต่ข้อความใช้กับ "Data Center" ซึ่งข้อความทั้งหมดดังกล่าวหมายถึงเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) สามารถใช้กับอุปกรณ์ทาง data center และเพิ่มจำนวนพลังงานตามการเติบโตของอุปกรณ์ทาง data center หรือใช้กับระบบโครงสร้างพื้นฐาน มีช่องเสียบอุปกรณ์หลายช่องตามความต้องการของลูกค้า สินค้าที่โจทก์นำเข้าไม่ได้ใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติและไม่มีข้อความที่แสดงว่าสินค้าของโจทก์ดังกล่าวผลิตเพื่อนำไปใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติในใบโฆษณาแต่อย่างใด จึงไม่จัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ของพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 นั้น พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีพยานปากเดียวคือนายธีรวัฒน์ กรรมการผู้มีอำนาจโจทก์และเป็นผู้รับมอบอำนาจโจทก์ เบิกความว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่และตามใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มระบุว่าเป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคม และตามคู่มือการใช้งานสินค้า (Brochure) ก็ไม่มีข้อความว่าเครื่องจ่ายไฟสำรองนั้นสามารถนำไปใช้ได้กับอุปกรณ์อย่างอื่นและการตีความพิกัดอัตราศุลกากรของพนักงานเจ้าหน้าที่และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น สินค้าที่โจทก์นำเข้าจึงจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ส่วนจำเลยมีนางสาวธัญญา นางสาวศรัณยา นางณัฐธิดา นางจารุวรรณ นางสาวอังคณา นายเศรษฐภัสส์ นายทวีพงษ์ นายชาญชัย นายพริสร และนายชัยชนม์ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยเป็นพยานเบิกความสรุปได้ความทำนองเดียวกันว่า โจทก์นำเข้าสินค้าประเภทเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) รุ่น UPS CONCEPTPOWER DPA และ UPS CONCEPTPOWER DPA UPSCALE โดยยื่นใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม สำแดงพิกัดอัตราศุลกากร ประเภท 8504.40.11 อัตราอากรร้อยละ 1 ของราคา แต่ในการตรวจปล่อยสินค้านั้นพบว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้ามีลักษณะเป็นตู้ขนาดใหญ่เป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่เป็นแบบ Double Conversion True Online หรือ True Double Conversion Online ภายในไม่มีแบตเตอรี่ และมีข้อมูลจากผู้ผลิตว่าสินค้านั้นไม่ได้ระบุเจาะจงว่าเป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติแต่ยังใช้กับระบบอื่นได้ จึงจัดเข้าพิกัดอัตราศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 ของราคา โดยนางสาวอังคณาและนายชัยชนม์ยังได้เบิกความเกี่ยวกับพิกัดอัตราศุลกากร ได้ความว่า พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ได้กำหนดพิกัดอัตราศุลกากร ประเภท 8504.40 สำหรับสินค้าประเภทเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ โดยแยกย่อยออกเป็น 5 ระดับ สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติและหน่วยของเครื่องดังกล่าวและอุปกรณ์โทรคมนาคมแยกย่อยออกเป็นประเภทพิกัดย่อย 8504.40.11 เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) และประเภทพิกัดย่อย 8504.40.19 อื่น ๆ สำหรับเครื่องชาร์ตแบตเตอรี่มีพิกัดเกิน 100 เควีเอ จัดอยู่ในประเภทพิกัดย่อย 8504.40.20 สำหรับเครื่องกลับกระแสไฟฟ้าอื่น ๆ จัดอยู่ในประเภทพิกัดย่อย 8504.40.30 สำหรับเครื่องผกผัน (อินเวอร์เตอร์) จัดอยู่ในประเภทพิกัดย่อย 8504.40.40 และสำหรับอื่น ๆ จัดอยู่ในประเภทพิกัดย่อย 8504.40.90 และยังได้ความจากข้อมูลในเว็บไซด์ www.newaveups.com ซึ่งเป็นเว็บไซด์ของบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าคดีนี้ให้โจทก์ โดยข้อมูลในเว็บไซด์ดังกล่าวไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้กับระบบอื่นได้ และเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่โจทก์นำเข้ามีทั้งระบบใช้ไฟ 1 เฟส (ใช้กับแรงดันไฟฟ้า 220 – 240 V) และใช้ไฟ 3 เฟส (ใช้กับแรงดันไฟฟ้า 380 – 415 V) มาเป็นเหตุผลประกอบเพิ่มเติมโดยเห็นว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้าเป็นสินค้าที่ใช้ไฟ 3 เฟส เป็นสินค้าที่ใช้สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 15 วรรคสาม บัญญัติว่า "การตีความให้ถือตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 ท้ายพระราชกำหนดนี้ ประกอบกับคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาว่าด้วยการจัดตั้งคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากร..." ดังนั้น การจะจัดสินค้าพิพาทว่าอยู่ในประเภทพิกัดศุลกากรใดจึงต้องใช้หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ประกอบคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Explanatory Notes : EN) ดังกล่าว ซึ่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 2 พิกัดอัตราอากรขาเข้า และตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 1 หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร ข้อ 1 บัญญัติว่า "...การจำแนกประเภทให้จำแนกตามความของประเภทนั้น ๆ ตามหมายเหตุของหมวดหรือของตอนที่เกี่ยวข้องและตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้ หากว่าประเภทหรือหมายเหตุดังกล่าวไม่ได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น" และข้อ 6 บัญญัติว่า "ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การจำแนกประเภทของของเข้าในประเภทย่อยของประเภทใดประเภทหนึ่งให้เป็นไปตามความของประเภทย่อยที่เกี่ยวข้องและตามหลักเกณฑ์ข้างต้นโดยอนุโลม โดยพิจารณาเปรียบเทียบในระหว่างประเภทย่อยที่อยู่ในระดับเดียวกัน ตามวัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์นี้ให้ใช้หมายเหตุของหมวดและของตอนที่เกี่ยวข้องด้วย เว้นแต่จะมีข้อความระบุไว้เป็นอย่างอื่น" ดังนั้น ความหมายของรายการสินค้าในประเภทย่อยระดับใดระดับหนึ่งย่อมต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของข้อความในประเภทย่อยระดับที่เหนือขึ้นไป ซึ่งตามบัญชีพิกัดอัตราศุลกากร ในพิกัดประเภทย่อยที่ 8504.40 เครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ มีการจัดรายการสินค้าแบ่งพิกัดเป็นรายการย่อยลงไปอีก 5 ระดับ คือ หนึ่ง สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าวและอุปกรณ์โทรคมนาคม โดยระดับนี้มีพิกัดย่อยลงไปอีก 2 ระดับ คือ ประเภทย่อย 8504.40.11 เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) และประเภทย่อย 8504.40.19 อื่น ๆ สอง ประเภทย่อย 8504.40.20 เครื่องชาร์ตแบตเตอรี่มีพิกัดเกิน 100 เควีเอ สาม ประเภทย่อย 8504.40.30 เครื่องกลับกระแสไฟฟ้าอื่น ๆ สี่ ประเภทย่อย 8504.40.40 เครื่องผกผัน (อินเวอร์เตอร์) และห้าประเภทย่อย 8504.40.90 อื่น ๆ ดังนี้ เมื่อเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) เป็นประเภทย่อยของพิกัดระดับ สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคม พิกัด 8504.40.11 จึงต้องเป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมเท่านั้น หากกฎหมายต้องการที่จะให้เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) สามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่น ๆ โดยไม่จำกัดเฉพาะสำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมเท่านั้น ก็ย่อมจัดให้เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) เป็นรายการย่อยในระดับเดียวกับเครื่องชาร์ตแบตเตอรี่มีพิกัดเกิน 100 เควีเอ เครื่องกลับกระแสไฟฟ้าอื่น ๆ หรือเครื่องผกผัน (อินเวอร์เตอร์) มิใช่จัดให้อยู่ในรายการประเภทย่อยของพิกัดระดับ สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคม เมื่อนายชัยชนม์ พยานจำเลยซึ่งเป็นผู้พิจารณาประเภทพิกัดศุลกากรและเป็นผู้ตรวจสอบตัวสินค้าพิพาทเบิกความว่า สินค้าพิพาทบางใบขนสินค้าไม่มีแบตเตอรี่ สินค้าที่ไม่มีแบตเตอรี่ย่อมไม่สามารถสำรองไฟฟ้าไว้ใช้ได้แต่ต้องนำแบตเตอรี่มาเชื่อมต่อที่ช่องเสียบที่มีอยู่ กรณีจึงเห็นได้ว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ (Static Converter) ซึ่งจัดอยู่ในพิกัดประเภทย่อยที่ 8504.40 มีหลักการทำงานที่เรียกว่า True Online Double Conversion มีลักษณะเป็นตู้ขนาดใหญ่และสามารถเพิ่มจำนวนหน่วยการจ่ายไฟฟ้าสำรองหรืออุปกรณ์เพิ่มเติม (Module) ได้ตามความต้องการของลูกค้าหรือลักษณะการใช้งานและตามแค็ตตาล็อกระบุว่าเหมาะสำหรับใช้กับศูนย์ข้อมูล (Data Center) ดังจะเห็นได้จากข้อความ "This is unique and perfectly responds to today's data center requirements" ซึ่งแปลว่า เครื่องนี้รองรับโดยสมบูรณ์กับความต้องการของศูนย์ข้อมูล หรือ "It is possible to add power as the data center power requirement grow" ซึ่งแปลว่า เครื่องนี้สามารถเพิ่มพลังงานตามความต้องการพลังงานของการเจริญเติบโตของศูนย์ข้อมูล และตามแค็ตตาล็อกเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) คดีนี้ใช้กับศูนย์ข้อมูล (Data Center), เบลดเสิร์ฟเวอร์ (Blade server) ระบบป้องกันพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ และยังได้ความจากข้อมูลในเว็บไซด์ www.newaveups.com ซึ่งเป็นเว็บไซด์ของบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าคดีนี้ให้โจทก์ โดยข้อมูลเว็บไซด์ดังกล่าวไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้กับระบบอื่นได้ นอกจากนี้เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่โจทก์นำเข้ายังมีช่องเสียบสายสัญญาณต่าง ๆ ได้แก่ สาย USB สาย RS-232 ซึ่งเป็นสายสื่อสาร ไม่ใช่สายไฟฟ้า SNMP Slot ซึ่งเป็นช่องติดต่อระหว่างเครือข่าย (Network) จึงไม่ใช่เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) สำหรับใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติหรือคอมพิวเตอร์เท่านั้น และโจทก์ก็ยอมรับในคำฟ้องว่าระบบไฟฟ้า 3 เฟส 380/220 V ไม่ได้จำกัดให้ใช้สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าในงานอุตสาหกรรมเท่านั้น ดังนั้น สินค้าพิพาทจึงจัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ อัตราอากรร้อยละ 10 ของราคา ส่วนที่โจทก์นำสืบว่าก่อนหน้านี้เมื่อปี 2559 คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เคยพิจารณาอุทธรณ์สินค้าเครื่องจ่ายไฟสำรองรายโจทก์คดีนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว โดยเจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าเป็นสินค้าพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 ของราคา แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เป็นสินค้าพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 อัตราอากรร้อยละ 1 ของราคา นั้น เนื่องจากในเอกสารแค็ตตาล็อกสินค้าดังกล่าวระบุชัดเจนว่าออกแบบเพื่อใช้ป้องกันอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Computer and Servers) รายละเอียดปรากฏตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ในรายงานการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งสินค้าในคดีดังกล่าวเป็นสินค้าเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) รุ่น POWERWARE PW 9155 และรุ่น POWERWARE PW 9355 แต่สินค้าพิพาทคดีนี้เป็นสินค้าคนละรุ่นกับที่เคยมีการพิจารณาไว้ดังกล่าว ดังนั้น เมื่อสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าคดีนี้ไม่มีคุณลักษณะที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมโดยเฉพาะ แต่ยังสามารถนำไปใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นได้ นอกจากนี้ ตามรายละเอียดของสินค้าและข้อมูลในแค็ตตาล็อกระบุคุณลักษณะและประสิทธิภาพการทำงานของสินค้าพิพาทว่าเหมาะกับการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่านำไปใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมเท่านั้น ดังนั้น สินค้าพิพาทจึงต้องจัดเข้าประเภทที่เหมาะสมตามหน้าที่การทำงานของสินค้านั้น จึงไม่อาจจัดเข้าในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ในฐานะเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ได้ แต่จัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ อัตราอากรร้อยละ 10 การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยในข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
โจทก์ว่าจ้างจำเลยควบคุมงานก่อสร้างโครงการอาคารชุดของโจทก์ การควบคุมงานในส่วนงานโครงสร้างและงานสถาปัตยกรรมอันเป็นงานก่อสร้างของบริษัท น. งานที่ก่อสร้างมีความชำรุดบกพร่องและยังไม่ได้แก้ไข จำเลยจึงไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมงานให้ถูกต้องตามที่ได้ให้สัญญา เป็นการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แต่การควบคุมงานในส่วนงานระบบของบริษัท อ. เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าจ้างควบคุมงานของเดือนมีนาคม 2559 จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะไม่มาควบคุมงาน การที่จำเลยไม่มาควบคุมงานตั้งแต่เดือนเมษายน 2559 ถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเพราะทิ้งงาน ที่โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 25 เมษายน 2559 แจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา และมีหนังสือลงวันที่ 22 มิถุนายน 2559 บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย แต่ตามหนังสือบอกกล่าวดังกล่าวโจทก์เพียงแจ้งให้จำเลยกลับมาทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างภายใน 15 วัน และขอให้จำเลยเรียกบริษัท อ. เข้ามาแก้ไขความบกพร่องที่เกิดจากการทำงานของบริษัทดังกล่าว เมื่อจำเลยเพิกเฉย โจทก์ก็มีหนังสือบอกเลิกสัญญา เท่ากับว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาด้วยเหตุที่จำเลยทิ้งงานและเหตุที่จำเลยไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท อ. ซึ่งทั้งสองเหตุนี้จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา โจทก์ย่อมไม่อาจนำมาเป็นเหตุในการบอกเลิกสัญญาได้ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงไม่ชอบ มีผลเท่ากับกับโจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญา
ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 4 วรรคสอง ระบุไว้ในตอนท้ายว่า การที่โจทก์ไม่บอกเลิกสัญญา ไม่เป็นเหตุให้จำเลยพ้นจากความรับผิดตามสัญญา จำเลยจึงยังคงต้องรับผิดชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า บริษัท น. ได้ยื่นฟ้องขอให้บังคับโจทก์คืนเงินประกันผลงานและชำระค่าจ้างทำงานก่อสร้างดังกล่าวส่วนที่ยังค้างชำระ โจทก์ฟ้องแย้งขอให้บังคับบริษัท น. ชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการทำงานก่อสร้างบกพร่อง ตามคดีหมายเลขแดงที่ 2309/2561 ของศาลชั้นต้น ต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์คืนเงินประกันผลงานที่โจทก์หักไว้จากค่าจ้างในแต่ละงวด รวม 14,256,971.38 บาท และให้รับผิดในค่าจ้างที่ยังไม่ได้ชำระ 7,978,778.68 บาท แก่บริษัท น. โดยให้หักกลบลบหนี้กับค่าเสียหายที่บริษัท น. ทำงานก่อสร้างบกพร่อง เป็นเงิน 4,857,212.97 บาท ซึ่งค่าเสียหายในส่วนของงานก่อสร้างที่บกพร่องเป็นค่าเสียหายจำนวนเดียวกับที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในคดีนี้ ถือเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้ จำเลยและบริษัท น. ต้องรับผิดแก่โจทก์เช่นอย่างลูกหนี้ร่วมตาม ป.พ.พ. มาตรา 301 การที่บริษัท น. ชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ด้วยวิธีการหักกลบลบหนี้กับเงินประกันผลงานและค่าจ้างที่โจทก์ค้างชำระ ย่อมเป็นประโยชน์แก่จำเลยด้วยตามมาตรา 292 วรรคหนึ่ง มีผลให้หนี้ของจำเลยในคดีนี้ระงับไป จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แก่โจทก์อีก
ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 5 ระบุว่า หากโจทก์บอกเลิกสัญญาตามข้อ 4 แล้ว จำเลยจะต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไว้ให้แก่โจทก์ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าการบอกเลิกสัญญาของโจทก์ไม่ชอบด้วยสัญญาข้อ 4 วรรคสอง มีผลเท่ากับโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างที่จำเลยได้รับไปแล้วคืน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 27,661,402.03 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 24,022,929.26 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 มิถุนายน 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาท
โจทก์และจำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2556 โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยควบคุมงานก่อสร้างโครงการอาคารชุดของโจทก์ ประกอบด้วยงานก่อสร้างปรับปรุงอาคาร A, B และ C งานสถาปัตยกรรมตกแต่งภายใน และงานวิศวกรรมระบบประกอบอาคาร ตกลงค่าจ้างเป็นเงิน 7,366,950 บาท แบ่งชำระเป็น 20 งวดเดือน กำหนดระยะเวลาควบคุมการก่อสร้าง 20 เดือน นับแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2556 และจะควบคุมการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2558 ซึ่งต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน 2557 โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างบริษัท น. ก่อสร้างคอนโดมิเนียม อาคาร A, B และ C ในส่วนของงานโครงสร้าง งานสถาปัตยกรรม และงานระบบสุขาภิบาล กำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 25 กรกฎาคม 2558 และทำสัญญาว่าจ้างบริษัท อ. ทำงานระบบประกอบอาคารชุดคอนโดมิเนียม อาคาร A, B และ C ประกอบด้วยงานระบบไฟฟ้าสื่อสาร งานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ งานระบบสุขาภิบาล งานระบบดับเพลิง และงานภายนอกอาคาร กำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 25 กรกฎาคม 2558 จำเลยทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2556 ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2558 แต่งานก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ จำเลยยังคงทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างต่อมาโดยได้รับค่าจ้างจากโจทก์เป็นรายเดือน โดยโจทก์ชำระค่าจ้างเพียงถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2559 รวมเป็นเงินค่าจ้างที่จำเลยได้รับจากโจทก์ทั้งสิ้น 9,539,404.32 บาท แต่โจทก์ไม่ชำระค่าจ้างของเดือนมีนาคม 2559 จำเลยจึงหยุดทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างตั้งแต่เดือนเมษายน 2559 เป็นต้นไป ต่อมาโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 25 เมษายน 2559 แจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงมีหนังสือลงวันที่ 22 มิถุนายน 2559 บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย หลังจากนั้นโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 แจ้งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายและเรียกเงินค่าจ้างคืน แต่จำเลยเพิกเฉย บริษัท อ. ยื่นฟ้องโจทก์เรียกค่าจ้างที่ค้างชำระและให้คืนเงินประกันผลงานอันเกิดจากการทำงานตามสัญญาว่าจ้างรับเหมาทำงานระบบประกอบอาคารชุดคอนโดมิเนียม โจทก์ให้การและฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการที่บริษัท อ. ทำงานล่าช้าและบกพร่อง โดยค่าเสียหายในส่วนของงานบกพร่องนั้นเป็นรายการเดียวกับค่าเสียหายในคดีนี้ที่โจทก์ยื่นฟ้องให้จำเลยรับผิดจากการที่ไม่ได้ควบคุมงานระบบของบริษัท อ. ให้เป็นไปตามสัญญา ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าววินิจฉัยว่าบริษัท อ. ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา และฟังไม่ได้ว่าความชำรุดบกพร่องของงานระบบเกิดจากความผิดของบริษัท อ. แล้วพิพากษาให้โจทก์ชำระค่าจ้างที่ค้างชำระและคืนเงินประกันผลงานแก่บริษัท อ. และยกฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้โจทก์ฎีกา คดีถึงที่สุดแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยผิดสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างและต้องรับผิดชำระค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด และตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไปแล้วให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ซึ่งเห็นสมควรวินิจฉัยไปพร้อมกัน โดยจำเลยฎีกาว่า จำเลยทำหน้าที่ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ความเสียหายที่โจทก์ฟ้องเกิดจากบริษัท น. ไม่ปฏิบัติตามสัญญา ไม่ได้เกิดจากการไม่ปฏิบัติหน้าที่ของจำเลย ส่วนโจทก์ฎีกาว่า งานของผู้รับเหมายังไม่แล้วเสร็จ เพราะยังไม่ได้ส่งมอบงานตามสัญญาและมีงานบกพร่องที่ผู้รับเหมาจะต้องแก้ไข สัญญาว่าจ้างจำเลยควบคุมงานยังไม่ได้สิ้นสุดลง จำเลยต้องปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาต่อไป แต่จำเลยผิดสัญญาด้วยการทิ้งงาน โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และจำเลยต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไปแล้วให้แก่โจทก์ตามสัญญา เห็นว่า ตามข้อเสนอบริการบริหารงานโครงการและควบคุมงานก่อสร้างซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างได้กำหนดขอบเขตการให้บริการไว้ในข้อ 3 ถึงข้อ 5 ว่า จำเลยมีหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้าง โดยทำการควบคุมและกำกับดูแลให้คู่สัญญาของโครงการปฏิบัติตามสัญญาและทำภารกิจต่าง ๆ ให้สำเร็จ ศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนโจทก์ในการตรวจสอบงานต่าง ๆ พร้อมทั้งเสนอความเห็นต่อโจทก์เพื่อใช้ประกอบการตรวจรับมอบงาน ดังนั้น ในช่วงระยะเวลาที่จำเลยมาทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2556 ถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2559 จำเลยต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาดังกล่าว ในข้อนี้ โจทก์มีนายกมล กรรมการผู้จัดการโจทก์ และนายพิละพรรธน์ พนักงานของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบและสำรวจความเสียหายของงานก่อสร้าง เบิกความในทำนองเดียวกันว่า โจทก์ตรวจสอบการก่อสร้างของบริษัท น. พบว่าทำงานบกพร่องผิดสัญญาหลายประการ อันเกิดจากจำเลยควบคุมงานไม่ได้คุณภาพ ไม่ได้ใช้ความสามารถของตนในการตรวจสอบถึงความบกพร่องและสั่งให้แก้ไข ส่วนจำเลยมีนายคณบฎหรืออภิชัช พนักงานของจำเลยซึ่งทำงานในตำแหน่งผู้จัดการโครงการก่อสร้างอาคารของโจทก์ เบิกความว่า ขณะทำงานพยานตรวจพบความเสียหายที่เกิดจากการทำงานของบริษัทผู้รับเหมาทั้งสองรายและแจ้งให้ผู้รับเหมาแก้ไขแล้ว รวมทั้งแจ้งให้โจทก์ทราบในระหว่างการประชุมผู้ทำงานด้วย เห็นว่า โจทก์มีภาพถ่ายรอยร้าวของผนังอาคาร ช่องหน้าต่างที่กว้างกว่าบานหน้าต่างเกินมาตรฐาน น้ำที่รั่วเข้าห้องพัก และลานจอดรถใต้อาคารที่มีน้ำท่วมขัง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานที่ก่อสร้างชำรุดบกพร่องมาสนับสนุน และสอดคล้องกับรายงานการประชุม Site Meeting ครั้งที่ 65/2558 ที่นายโกสิน ตัวแทนของบริษัท น. แถลงต่อที่ประชุมยอมรับว่าลูกค้าห้องเลขที่ 225, 417 และ 418 อาคาร C แจ้งว่าพื้นลามิเนตยุบ โดยจำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งถึงความชำรุดบกพร่องของงานดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า งานก่อสร้างของบริษัท น. มีความชำรุดบกพร่องที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขดังที่โจทก์นำสืบ เมื่อพิจารณาถึงขั้นตอนการทำงานของบริษัท น. ที่ปรากฏในสำเนารายงานการประชุม Site Meeting แล้ว เชื่อว่าบริษัทดังกล่าวก่อสร้างงานชำรุดบกพร่องตั้งแต่ในช่วงระยะเวลาที่จำเลยมาควบคุมงาน แม้จะตรวจพบความชำรุดบกพร่องในภายหลัง แต่ก็ถือว่าอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลย หากจำเลยซึ่งเป็นผู้มีวิชาชีพด้านการควบคุมงานก่อสร้างได้ใช้ความรู้ความชำนาญในวิชาชีพทำการควบคุมงานโดยใกล้ชิดและตรวจสอบผลงานก่อสร้างของบริษัท น. ด้วยความละเอียดรอบคอบ ย่อมสามารถตรวจพบความชำรุดบกพร่องของงานก่อสร้างตามที่โจทก์นำสืบและสั่งให้ดำเนินการแก้ไขพร้อมทั้งแจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อใช้ประกอบในการตรวจรับมอบงานได้ไม่ยาก แต่จำเลยกลับไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ถูกต้องตามที่ได้ให้สัญญาไว้แก่โจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจากงานก่อสร้างของบริษัท น. ที่มีความชำรุดบกพร่องและยังไม่ได้รับการแก้ไข จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แต่การควบคุมงานในส่วนงานระบบของบริษัท อ. ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ พ.1627/2561 ซึ่งวินิจฉัยว่า บริษัท อ. ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา และฟังไม่ได้ว่าความชำรุดบกพร่องของงานระบบเกิดจากความผิดของบริษัท อ. คดีนี้จึงต้องถือว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท อ. สำหรับข้ออ้างว่าจำเลยทิ้งงานนั้น เห็นว่า ตามข้อเสนอบริการบริหารงานโครงการและควบคุมงานก่อสร้างซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างได้กำหนดขอบเขตการให้บริการไว้ในข้อ 8 ว่า จำเลยมีหน้าที่ดูแลผลงานหลังการก่อสร้างเสร็จสิ้นลง โดยยังคงความรับผิดชอบต่อไปจนกว่าความรับผิดของคู่สัญญาของโครงการสิ้นสุดลงและหมดระยะเวลาประกันผลงานทุกสัญญา แสดงว่าหลังจากควบคุมงานก่อสร้างจนเสร็จและโจทก์รับมอบงานจากผู้รับเหมาแล้ว จำเลยยังคงมีหน้าที่ดูแลผลงานหลังการก่อสร้างต่อไปอีกจนหมดระยะเวลารับประกันผลงานก่อสร้างของผู้รับเหมา หาใช่ว่าเมื่อครบกำหนดระยะเวลาควบคุมงานตามที่ระบุในสัญญาแล้วสัญญาจะสิ้นสุดลงทันทีไม่ ส่วนที่สัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 2.2 วรรคหนึ่ง ระบุว่า ในกรณีที่ครบกำหนดระยะเวลารับจ้างควบคุมการก่อสร้างแล้ว แต่การก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จอันเนื่องมาจากความบกพร่อง หรือความผิด หรือเหตุใด ๆ ที่จำเลยต้องรับผิดชอบ จำเลยตกลงจะควบคุมการก่อสร้างต่อไปจนกว่างานจะเสร็จสิ้นโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และวรรคสอง ระบุว่า ในกรณีที่ครบกำหนดระยะเวลารับจ้างควบคุมการก่อสร้างแล้ว แต่การก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัยซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ ถ้าโจทก์มีความประสงค์จะว่าจ้างจำเลยต่อไป ให้โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบเป็นลายลักษณ์อักษร นั้น ปรากฏจากสำเนารายงานการประชุม Site Meeting ว่าเหตุที่งานล่าช้าเป็นเพราะจำนวนคนงานของผู้รับเหมาทั้งสองรายมีน้อย และจำเลยได้สั่งให้เร่งดำเนินการเพิ่มจำนวนคนงานมาตลอด ซึ่งตัวแทนของโจทก์ที่เข้าร่วมประชุมก็ได้รับทราบปัญหานี้แล้ว การที่ผู้รับเหมาทั้งสองรายก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญาถือเป็นเหตุสุดวิสัยซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ หาได้เกิดจากความบกพร่อง หรือความผิด หรือเหตุใด ๆ ที่จำเลยต้องรับผิดชอบ อันจะทำให้จำเลยต้องควบคุมการก่อสร้างต่อไปจนกว่างานจะเสร็จสิ้นโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมไม่ ดังจะเห็นได้จากเมื่อครบกำหนดระยะเวลาควบคุมงานในวันที่ 15 มิถุนายน 2558 ตามสัญญาแล้ว งานก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ จำเลยยังคงทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างต่อไปโดยโจทก์ชำระค่าจ้างให้เป็นรายเดือนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ดังนี้ แม้โจทก์ไม่ได้แจ้งความประสงค์จะว่าจ้างจำเลยต่อไปให้จำเลยทราบเป็นลายลักษณ์อักษรตามที่ระบุไว้ในสัญญา ก็ถือได้ว่าโจทก์กับจำเลยตกลงต่อระยะเวลาควบคุมงานตามสัญญาออกไปโดยปริยาย สัญญาว่าจ้างควบคุมงานก่อสร้างระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่โจทก์มีหน้าที่ชำระค่าจ้างให้แก่จำเลยตามระยะเวลาที่จำเลยมาควบคุมงานก่อสร้าง เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าจ้างของเดือนมีนาคม 2559 จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะไม่มาควบคุมงานภายหลังจากนั้น การที่จำเลยไม่มาควบคุมงานตั้งแต่เดือนเมษายน 2559 เป็นต้นไป จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเพราะทิ้งงาน มีปัญหาต้องพิจารณาต่อไปว่า โจทก์บอกเลิกสัญญาชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 4 ได้กำหนดขั้นตอนในการบอกเลิกสัญญาว่า ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์จะต้องบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรโดยแจ้งเหตุผลในการที่จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและขอให้จำเลยจัดการปรับปรุงแก้ไขเสียก่อน ถ้าจำเลยละเลยไม่จัดการแก้ไขภายใน 15 วัน โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญา ในข้อนี้ โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 25 เมษายน 2559 แจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา และมีหนังสือลงวันที่ 22 มิถุนายน 2559 บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย แต่ตามหนังสือบอกกล่าวดังกล่าวโจทก์เพียงแจ้งให้จำเลยกลับมาทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างภายใน 15 วัน และขอให้จำเลยเรียกบริษัท อ. เข้ามาแก้ไขความบกพร่องที่เกิดจากการทำงานของบริษัทดังกล่าว เมื่อจำเลยเพิกเฉย โจทก์ก็มีหนังสือบอกเลิกสัญญา เท่ากับว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาด้วยเหตุที่จำเลยทิ้งงานและเหตุที่จำเลยไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท อ. ซึ่งทั้งสองเหตุนี้จำเลยไม่ได้ผิดสัญญาดังที่ได้วินิจฉัยมาในตอนต้น โจทก์ย่อมไม่อาจนำมาเป็นเหตุในการบอกเลิกสัญญาได้ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงไม่ชอบ มีผลเท่ากับกับโจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญา อย่างไรก็ดี ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 4 วรรคสอง ระบุไว้ในตอนท้ายว่า การที่โจทก์ไม่บอกเลิกสัญญา ไม่เป็นเหตุให้จำเลยพ้นจากความรับผิดตามสัญญา ดังนั้น จำเลยจึงยังคงต้องรับผิดชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า บริษัท น. ได้ยื่นฟ้องขอให้บังคับโจทก์คืนเงินประกันผลงานและชำระค่าจ้างทำงานก่อสร้างดังกล่าวส่วนที่ยังค้างชำระ โจทก์ฟ้องแย้งขอให้บังคับบริษัท น. ชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการทำงานก่อสร้างบกพร่อง ตามคดีหมายเลขแดงที่ 2309/2561 ของศาลชั้นต้น ต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์คืนเงินประกันผลงานที่โจทก์หักไว้จากค่าจ้างในแต่ละงวด รวม 14,256,971.38 บาท และให้รับผิดในค่าจ้างที่ยังไม่ได้ชำระ 7,978,778.68 บาท แก่บริษัท น. โดยให้หักกลบลบหนี้กับค่าเสียหายที่บริษัท น. ทำงานก่อสร้างบกพร่อง เป็นเงิน 4,857,212.97 บาท ซึ่งค่าเสียหายในส่วนของงานก่อสร้างที่บกพร่องเป็นค่าเสียหายจำนวนเดียวกับที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในคดีนี้ ถือเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้ จำเลยและบริษัท น. ต้องรับผิดแก่โจทก์เช่นอย่างลูกหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 301 การที่บริษัท น. ชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ด้วยวิธีการหักกลบลบหนี้กับเงินประกันผลงานและค่าจ้างที่โจทก์ค้างชำระ ย่อมเป็นประโยชน์แก่จำเลยด้วยตามมาตรา 292 วรรคหนึ่ง มีผลให้หนี้ของจำเลยในคดีนี้ระงับไป จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แก่โจทก์อีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์ 500,000 บาท นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยจึงต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไปแล้วทั้งหมดให้แก่โจทก์ตามสัญญา นั้น เห็นว่า ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 5 ระบุว่า หากโจทก์บอกเลิกสัญญาตามข้อ 4 แล้ว จำเลยจะต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไว้ให้แก่โจทก์ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าการบอกเลิกสัญญาของโจทก์ไม่ชอบด้วยสัญญาข้อ 4 วรรคสอง ดังที่ได้วินิจฉัยมาในตอนต้น มีผลเท่ากับโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างที่จำเลยได้รับไปแล้วคืน ที่ศาลอุทธรณ์ยกคำขอในส่วนนี้ของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
คดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้อง โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ 10,039,404.32 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกามีเพียง 9,539,404.32 บาท ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 190,788 บาท และค่าขึ้นศาลอนาคต 100 บาท รวมเป็นเงิน 190,888 บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามา 200,000 บาท โดยคิดจากทุนทรัพย์ 10,039,404.32 บาท ซึ่งไม่ถูกต้อง จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลที่เสียเกินมา 9,112 บาท แก่โจทก์
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่เสียเกินมา 9,112 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์กับค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
โจทก์ว่าจ้างจำเลยควบคุมงานก่อสร้างโครงการอาคารชุดของโจทก์ การควบคุมงานในส่วนงานโครงสร้างและงานสถาปัตยกรรมอันเป็นงานก่อสร้างของบริษัท น. งานที่ก่อสร้างมีความชำรุดบกพร่องและยังไม่ได้แก้ไข จำเลยจึงไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมงานให้ถูกต้องตามที่ได้ให้สัญญา เป็นการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แต่การควบคุมงานในส่วนงานระบบของบริษัท อ. เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าจ้างควบคุมงานของเดือนมีนาคม 2559 จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะไม่มาควบคุมงาน การที่จำเลยไม่มาควบคุมงานตั้งแต่เดือนเมษายน 2559 ถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเพราะทิ้งงาน ที่โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 25 เมษายน 2559 แจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา และมีหนังสือลงวันที่ 22 มิถุนายน 2559 บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย แต่ตามหนังสือบอกกล่าวดังกล่าวโจทก์เพียงแจ้งให้จำเลยกลับมาทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างภายใน 15 วัน และขอให้จำเลยเรียกบริษัท อ. เข้ามาแก้ไขความบกพร่องที่เกิดจากการทำงานของบริษัทดังกล่าว เมื่อจำเลยเพิกเฉย โจทก์ก็มีหนังสือบอกเลิกสัญญา เท่ากับว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาด้วยเหตุที่จำเลยทิ้งงานและเหตุที่จำเลยไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท อ. ซึ่งทั้งสองเหตุนี้จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา โจทก์ย่อมไม่อาจนำมาเป็นเหตุในการบอกเลิกสัญญาได้ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงไม่ชอบ มีผลเท่ากับกับโจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญา
ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 4 วรรคสอง ระบุไว้ในตอนท้ายว่า การที่โจทก์ไม่บอกเลิกสัญญา ไม่เป็นเหตุให้จำเลยพ้นจากความรับผิดตามสัญญา จำเลยจึงยังคงต้องรับผิดชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า บริษัท น. ได้ยื่นฟ้องขอให้บังคับโจทก์คืนเงินประกันผลงานและชำระค่าจ้างทำงานก่อสร้างดังกล่าวส่วนที่ยังค้างชำระ โจทก์ฟ้องแย้งขอให้บังคับบริษัท น. ชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการทำงานก่อสร้างบกพร่อง ตามคดีหมายเลขแดงที่ 2309/2561 ของศาลชั้นต้น ต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์คืนเงินประกันผลงานที่โจทก์หักไว้จากค่าจ้างในแต่ละงวด รวม 14,256,971.38 บาท และให้รับผิดในค่าจ้างที่ยังไม่ได้ชำระ 7,978,778.68 บาท แก่บริษัท น. โดยให้หักกลบลบหนี้กับค่าเสียหายที่บริษัท น. ทำงานก่อสร้างบกพร่อง เป็นเงิน 4,857,212.97 บาท ซึ่งค่าเสียหายในส่วนของงานก่อสร้างที่บกพร่องเป็นค่าเสียหายจำนวนเดียวกับที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในคดีนี้ ถือเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้ จำเลยและบริษัท น. ต้องรับผิดแก่โจทก์เช่นอย่างลูกหนี้ร่วมตาม ป.พ.พ. มาตรา 301 การที่บริษัท น. ชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ด้วยวิธีการหักกลบลบหนี้กับเงินประกันผลงานและค่าจ้างที่โจทก์ค้างชำระ ย่อมเป็นประโยชน์แก่จำเลยด้วยตามมาตรา 292 วรรคหนึ่ง มีผลให้หนี้ของจำเลยในคดีนี้ระงับไป จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แก่โจทก์อีก
ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 5 ระบุว่า หากโจทก์บอกเลิกสัญญาตามข้อ 4 แล้ว จำเลยจะต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไว้ให้แก่โจทก์ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าการบอกเลิกสัญญาของโจทก์ไม่ชอบด้วยสัญญาข้อ 4 วรรคสอง มีผลเท่ากับโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างที่จำเลยได้รับไปแล้วคืน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 27,661,402.03 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 24,022,929.26 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 มิถุนายน 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาท
โจทก์และจำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2556 โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยควบคุมงานก่อสร้างโครงการอาคารชุดของโจทก์ ประกอบด้วยงานก่อสร้างปรับปรุงอาคาร A, B และ C งานสถาปัตยกรรมตกแต่งภายใน และงานวิศวกรรมระบบประกอบอาคาร ตกลงค่าจ้างเป็นเงิน 7,366,950 บาท แบ่งชำระเป็น 20 งวดเดือน กำหนดระยะเวลาควบคุมการก่อสร้าง 20 เดือน นับแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2556 และจะควบคุมการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2558 ซึ่งต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน 2557 โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างบริษัท น. ก่อสร้างคอนโดมิเนียม อาคาร A, B และ C ในส่วนของงานโครงสร้าง งานสถาปัตยกรรม และงานระบบสุขาภิบาล กำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 25 กรกฎาคม 2558 และทำสัญญาว่าจ้างบริษัท อ. ทำงานระบบประกอบอาคารชุดคอนโดมิเนียม อาคาร A, B และ C ประกอบด้วยงานระบบไฟฟ้าสื่อสาร งานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ งานระบบสุขาภิบาล งานระบบดับเพลิง และงานภายนอกอาคาร กำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 25 กรกฎาคม 2558 จำเลยทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2556 ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2558 แต่งานก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ จำเลยยังคงทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างต่อมาโดยได้รับค่าจ้างจากโจทก์เป็นรายเดือน โดยโจทก์ชำระค่าจ้างเพียงถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2559 รวมเป็นเงินค่าจ้างที่จำเลยได้รับจากโจทก์ทั้งสิ้น 9,539,404.32 บาท แต่โจทก์ไม่ชำระค่าจ้างของเดือนมีนาคม 2559 จำเลยจึงหยุดทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างตั้งแต่เดือนเมษายน 2559 เป็นต้นไป ต่อมาโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 25 เมษายน 2559 แจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงมีหนังสือลงวันที่ 22 มิถุนายน 2559 บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย หลังจากนั้นโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 แจ้งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายและเรียกเงินค่าจ้างคืน แต่จำเลยเพิกเฉย บริษัท อ. ยื่นฟ้องโจทก์เรียกค่าจ้างที่ค้างชำระและให้คืนเงินประกันผลงานอันเกิดจากการทำงานตามสัญญาว่าจ้างรับเหมาทำงานระบบประกอบอาคารชุดคอนโดมิเนียม โจทก์ให้การและฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการที่บริษัท อ. ทำงานล่าช้าและบกพร่อง โดยค่าเสียหายในส่วนของงานบกพร่องนั้นเป็นรายการเดียวกับค่าเสียหายในคดีนี้ที่โจทก์ยื่นฟ้องให้จำเลยรับผิดจากการที่ไม่ได้ควบคุมงานระบบของบริษัท อ. ให้เป็นไปตามสัญญา ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าววินิจฉัยว่าบริษัท อ. ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา และฟังไม่ได้ว่าความชำรุดบกพร่องของงานระบบเกิดจากความผิดของบริษัท อ. แล้วพิพากษาให้โจทก์ชำระค่าจ้างที่ค้างชำระและคืนเงินประกันผลงานแก่บริษัท อ. และยกฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้โจทก์ฎีกา คดีถึงที่สุดแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยผิดสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างและต้องรับผิดชำระค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด และตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไปแล้วให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ซึ่งเห็นสมควรวินิจฉัยไปพร้อมกัน โดยจำเลยฎีกาว่า จำเลยทำหน้าที่ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ความเสียหายที่โจทก์ฟ้องเกิดจากบริษัท น. ไม่ปฏิบัติตามสัญญา ไม่ได้เกิดจากการไม่ปฏิบัติหน้าที่ของจำเลย ส่วนโจทก์ฎีกาว่า งานของผู้รับเหมายังไม่แล้วเสร็จ เพราะยังไม่ได้ส่งมอบงานตามสัญญาและมีงานบกพร่องที่ผู้รับเหมาจะต้องแก้ไข สัญญาว่าจ้างจำเลยควบคุมงานยังไม่ได้สิ้นสุดลง จำเลยต้องปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาต่อไป แต่จำเลยผิดสัญญาด้วยการทิ้งงาน โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และจำเลยต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไปแล้วให้แก่โจทก์ตามสัญญา เห็นว่า ตามข้อเสนอบริการบริหารงานโครงการและควบคุมงานก่อสร้างซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างได้กำหนดขอบเขตการให้บริการไว้ในข้อ 3 ถึงข้อ 5 ว่า จำเลยมีหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้าง โดยทำการควบคุมและกำกับดูแลให้คู่สัญญาของโครงการปฏิบัติตามสัญญาและทำภารกิจต่าง ๆ ให้สำเร็จ ศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนโจทก์ในการตรวจสอบงานต่าง ๆ พร้อมทั้งเสนอความเห็นต่อโจทก์เพื่อใช้ประกอบการตรวจรับมอบงาน ดังนั้น ในช่วงระยะเวลาที่จำเลยมาทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2556 ถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2559 จำเลยต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาดังกล่าว ในข้อนี้ โจทก์มีนายกมล กรรมการผู้จัดการโจทก์ และนายพิละพรรธน์ พนักงานของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบและสำรวจความเสียหายของงานก่อสร้าง เบิกความในทำนองเดียวกันว่า โจทก์ตรวจสอบการก่อสร้างของบริษัท น. พบว่าทำงานบกพร่องผิดสัญญาหลายประการ อันเกิดจากจำเลยควบคุมงานไม่ได้คุณภาพ ไม่ได้ใช้ความสามารถของตนในการตรวจสอบถึงความบกพร่องและสั่งให้แก้ไข ส่วนจำเลยมีนายคณบฎหรืออภิชัช พนักงานของจำเลยซึ่งทำงานในตำแหน่งผู้จัดการโครงการก่อสร้างอาคารของโจทก์ เบิกความว่า ขณะทำงานพยานตรวจพบความเสียหายที่เกิดจากการทำงานของบริษัทผู้รับเหมาทั้งสองรายและแจ้งให้ผู้รับเหมาแก้ไขแล้ว รวมทั้งแจ้งให้โจทก์ทราบในระหว่างการประชุมผู้ทำงานด้วย เห็นว่า โจทก์มีภาพถ่ายรอยร้าวของผนังอาคาร ช่องหน้าต่างที่กว้างกว่าบานหน้าต่างเกินมาตรฐาน น้ำที่รั่วเข้าห้องพัก และลานจอดรถใต้อาคารที่มีน้ำท่วมขัง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานที่ก่อสร้างชำรุดบกพร่องมาสนับสนุน และสอดคล้องกับรายงานการประชุม Site Meeting ครั้งที่ 65/2558 ที่นายโกสิน ตัวแทนของบริษัท น. แถลงต่อที่ประชุมยอมรับว่าลูกค้าห้องเลขที่ 225, 417 และ 418 อาคาร C แจ้งว่าพื้นลามิเนตยุบ โดยจำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งถึงความชำรุดบกพร่องของงานดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า งานก่อสร้างของบริษัท น. มีความชำรุดบกพร่องที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขดังที่โจทก์นำสืบ เมื่อพิจารณาถึงขั้นตอนการทำงานของบริษัท น. ที่ปรากฏในสำเนารายงานการประชุม Site Meeting แล้ว เชื่อว่าบริษัทดังกล่าวก่อสร้างงานชำรุดบกพร่องตั้งแต่ในช่วงระยะเวลาที่จำเลยมาควบคุมงาน แม้จะตรวจพบความชำรุดบกพร่องในภายหลัง แต่ก็ถือว่าอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลย หากจำเลยซึ่งเป็นผู้มีวิชาชีพด้านการควบคุมงานก่อสร้างได้ใช้ความรู้ความชำนาญในวิชาชีพทำการควบคุมงานโดยใกล้ชิดและตรวจสอบผลงานก่อสร้างของบริษัท น. ด้วยความละเอียดรอบคอบ ย่อมสามารถตรวจพบความชำรุดบกพร่องของงานก่อสร้างตามที่โจทก์นำสืบและสั่งให้ดำเนินการแก้ไขพร้อมทั้งแจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อใช้ประกอบในการตรวจรับมอบงานได้ไม่ยาก แต่จำเลยกลับไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ถูกต้องตามที่ได้ให้สัญญาไว้แก่โจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจากงานก่อสร้างของบริษัท น. ที่มีความชำรุดบกพร่องและยังไม่ได้รับการแก้ไข จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แต่การควบคุมงานในส่วนงานระบบของบริษัท อ. ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ พ.1627/2561 ซึ่งวินิจฉัยว่า บริษัท อ. ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา และฟังไม่ได้ว่าความชำรุดบกพร่องของงานระบบเกิดจากความผิดของบริษัท อ. คดีนี้จึงต้องถือว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท อ. สำหรับข้ออ้างว่าจำเลยทิ้งงานนั้น เห็นว่า ตามข้อเสนอบริการบริหารงานโครงการและควบคุมงานก่อสร้างซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างได้กำหนดขอบเขตการให้บริการไว้ในข้อ 8 ว่า จำเลยมีหน้าที่ดูแลผลงานหลังการก่อสร้างเสร็จสิ้นลง โดยยังคงความรับผิดชอบต่อไปจนกว่าความรับผิดของคู่สัญญาของโครงการสิ้นสุดลงและหมดระยะเวลาประกันผลงานทุกสัญญา แสดงว่าหลังจากควบคุมงานก่อสร้างจนเสร็จและโจทก์รับมอบงานจากผู้รับเหมาแล้ว จำเลยยังคงมีหน้าที่ดูแลผลงานหลังการก่อสร้างต่อไปอีกจนหมดระยะเวลารับประกันผลงานก่อสร้างของผู้รับเหมา หาใช่ว่าเมื่อครบกำหนดระยะเวลาควบคุมงานตามที่ระบุในสัญญาแล้วสัญญาจะสิ้นสุดลงทันทีไม่ ส่วนที่สัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 2.2 วรรคหนึ่ง ระบุว่า ในกรณีที่ครบกำหนดระยะเวลารับจ้างควบคุมการก่อสร้างแล้ว แต่การก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จอันเนื่องมาจากความบกพร่อง หรือความผิด หรือเหตุใด ๆ ที่จำเลยต้องรับผิดชอบ จำเลยตกลงจะควบคุมการก่อสร้างต่อไปจนกว่างานจะเสร็จสิ้นโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และวรรคสอง ระบุว่า ในกรณีที่ครบกำหนดระยะเวลารับจ้างควบคุมการก่อสร้างแล้ว แต่การก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัยซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ ถ้าโจทก์มีความประสงค์จะว่าจ้างจำเลยต่อไป ให้โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบเป็นลายลักษณ์อักษร นั้น ปรากฏจากสำเนารายงานการประชุม Site Meeting ว่าเหตุที่งานล่าช้าเป็นเพราะจำนวนคนงานของผู้รับเหมาทั้งสองรายมีน้อย และจำเลยได้สั่งให้เร่งดำเนินการเพิ่มจำนวนคนงานมาตลอด ซึ่งตัวแทนของโจทก์ที่เข้าร่วมประชุมก็ได้รับทราบปัญหานี้แล้ว การที่ผู้รับเหมาทั้งสองรายก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญาถือเป็นเหตุสุดวิสัยซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ หาได้เกิดจากความบกพร่อง หรือความผิด หรือเหตุใด ๆ ที่จำเลยต้องรับผิดชอบ อันจะทำให้จำเลยต้องควบคุมการก่อสร้างต่อไปจนกว่างานจะเสร็จสิ้นโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมไม่ ดังจะเห็นได้จากเมื่อครบกำหนดระยะเวลาควบคุมงานในวันที่ 15 มิถุนายน 2558 ตามสัญญาแล้ว งานก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ จำเลยยังคงทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างต่อไปโดยโจทก์ชำระค่าจ้างให้เป็นรายเดือนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ดังนี้ แม้โจทก์ไม่ได้แจ้งความประสงค์จะว่าจ้างจำเลยต่อไปให้จำเลยทราบเป็นลายลักษณ์อักษรตามที่ระบุไว้ในสัญญา ก็ถือได้ว่าโจทก์กับจำเลยตกลงต่อระยะเวลาควบคุมงานตามสัญญาออกไปโดยปริยาย สัญญาว่าจ้างควบคุมงานก่อสร้างระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่โจทก์มีหน้าที่ชำระค่าจ้างให้แก่จำเลยตามระยะเวลาที่จำเลยมาควบคุมงานก่อสร้าง เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าจ้างของเดือนมีนาคม 2559 จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะไม่มาควบคุมงานภายหลังจากนั้น การที่จำเลยไม่มาควบคุมงานตั้งแต่เดือนเมษายน 2559 เป็นต้นไป จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเพราะทิ้งงาน มีปัญหาต้องพิจารณาต่อไปว่า โจทก์บอกเลิกสัญญาชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 4 ได้กำหนดขั้นตอนในการบอกเลิกสัญญาว่า ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์จะต้องบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรโดยแจ้งเหตุผลในการที่จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและขอให้จำเลยจัดการปรับปรุงแก้ไขเสียก่อน ถ้าจำเลยละเลยไม่จัดการแก้ไขภายใน 15 วัน โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญา ในข้อนี้ โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 25 เมษายน 2559 แจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา และมีหนังสือลงวันที่ 22 มิถุนายน 2559 บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย แต่ตามหนังสือบอกกล่าวดังกล่าวโจทก์เพียงแจ้งให้จำเลยกลับมาทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างภายใน 15 วัน และขอให้จำเลยเรียกบริษัท อ. เข้ามาแก้ไขความบกพร่องที่เกิดจากการทำงานของบริษัทดังกล่าว เมื่อจำเลยเพิกเฉย โจทก์ก็มีหนังสือบอกเลิกสัญญา เท่ากับว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาด้วยเหตุที่จำเลยทิ้งงานและเหตุที่จำเลยไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท อ. ซึ่งทั้งสองเหตุนี้จำเลยไม่ได้ผิดสัญญาดังที่ได้วินิจฉัยมาในตอนต้น โจทก์ย่อมไม่อาจนำมาเป็นเหตุในการบอกเลิกสัญญาได้ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงไม่ชอบ มีผลเท่ากับกับโจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญา อย่างไรก็ดี ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 4 วรรคสอง ระบุไว้ในตอนท้ายว่า การที่โจทก์ไม่บอกเลิกสัญญา ไม่เป็นเหตุให้จำเลยพ้นจากความรับผิดตามสัญญา ดังนั้น จำเลยจึงยังคงต้องรับผิดชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า บริษัท น. ได้ยื่นฟ้องขอให้บังคับโจทก์คืนเงินประกันผลงานและชำระค่าจ้างทำงานก่อสร้างดังกล่าวส่วนที่ยังค้างชำระ โจทก์ฟ้องแย้งขอให้บังคับบริษัท น. ชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการทำงานก่อสร้างบกพร่อง ตามคดีหมายเลขแดงที่ 2309/2561 ของศาลชั้นต้น ต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์คืนเงินประกันผลงานที่โจทก์หักไว้จากค่าจ้างในแต่ละงวด รวม 14,256,971.38 บาท และให้รับผิดในค่าจ้างที่ยังไม่ได้ชำระ 7,978,778.68 บาท แก่บริษัท น. โดยให้หักกลบลบหนี้กับค่าเสียหายที่บริษัท น. ทำงานก่อสร้างบกพร่อง เป็นเงิน 4,857,212.97 บาท ซึ่งค่าเสียหายในส่วนของงานก่อสร้างที่บกพร่องเป็นค่าเสียหายจำนวนเดียวกับที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในคดีนี้ ถือเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้ จำเลยและบริษัท น. ต้องรับผิดแก่โจทก์เช่นอย่างลูกหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 301 การที่บริษัท น. ชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ด้วยวิธีการหักกลบลบหนี้กับเงินประกันผลงานและค่าจ้างที่โจทก์ค้างชำระ ย่อมเป็นประโยชน์แก่จำเลยด้วยตามมาตรา 292 วรรคหนึ่ง มีผลให้หนี้ของจำเลยในคดีนี้ระงับไป จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แก่โจทก์อีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์ 500,000 บาท นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยจึงต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไปแล้วทั้งหมดให้แก่โจทก์ตามสัญญา นั้น เห็นว่า ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 5 ระบุว่า หากโจทก์บอกเลิกสัญญาตามข้อ 4 แล้ว จำเลยจะต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไว้ให้แก่โจทก์ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าการบอกเลิกสัญญาของโจทก์ไม่ชอบด้วยสัญญาข้อ 4 วรรคสอง ดังที่ได้วินิจฉัยมาในตอนต้น มีผลเท่ากับโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างที่จำเลยได้รับไปแล้วคืน ที่ศาลอุทธรณ์ยกคำขอในส่วนนี้ของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
คดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้อง โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ 10,039,404.32 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกามีเพียง 9,539,404.32 บาท ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 190,788 บาท และค่าขึ้นศาลอนาคต 100 บาท รวมเป็นเงิน 190,888 บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามา 200,000 บาท โดยคิดจากทุนทรัพย์ 10,039,404.32 บาท ซึ่งไม่ถูกต้อง จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลที่เสียเกินมา 9,112 บาท แก่โจทก์
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่เสียเกินมา 9,112 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์กับค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
ที่ดินพิพาทมีชื่อ ป. ท. ส. จำเลยที่ 2 และ น. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมโดยเจ้าของรวมเหล่านั้นมิได้แบ่งการครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัด เมื่อ น. ถึงแก่ความตาย ที่ดินพิพาทส่วนของ น. ย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งมีผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 รวมอยู่ด้วย สำหรับที่ดินพิพาทส่วนของ ส. เมื่อ ส. ถึงแก่ความตายย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งรวมถึงผู้ร้องที่ 4 ด้วย บุตรของ น. และ ส. ทุกคนจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีเช่นเดียวกับ น. และ ส. ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทอยู่แต่เดิม เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหน้าที่ต้องแจ้งประกาศการขายทอดตลาดให้ทายาททุกคนของ น. และ ส. ทราบ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 331 วรรคสอง และมาตรา 287 (4)การที่จำเลยที่ 2 ป. และ ท. ได้รับแจ้งประกาศขายทอดตลาดนั้นไม่อาจถือได้ว่าเป็นการรับแจ้งประกาศขายทอดตลาดแทนผู้ร้องทั้งสี่ด้วย เพราะมิใช่เป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 ทั้งไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้ทายาทของเจ้ามรดกที่ได้รับแจ้งข้อเท็จจริงใดให้ถือว่าเป็นการได้รับแจ้งแทนทายาทคนอื่นด้วย การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ทราบจึงเป็นการดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 331 วรรคสองแม้การส่งหมายแจ้งประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่ความตอนท้ายมาตรา 295 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะหรือมีคำสั่งกำหนดวิธีการอย่างใดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ศาลเห็นสมควร ข้อเท็จจริงได้ความแต่เพียงว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียทราบ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ร้องทั้งสี่จะสามารถหาบุคคลภายนอกมาประมูลซื้อที่ดินพิพาทในราคาสูงกว่าที่ผู้คัดค้านที่ 2 ประมูลซื้อได้ เมื่อที่ดินพิพาทมีราคาตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ 276,300 บาท ผู้คัดค้านที่ 2 ประมูลซื้อได้ในราคา 375,000 บาท สูงกว่าราคาประเมินดังกล่าว ประกอบกับจำเลยที่ 2 และผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมคนอื่นซึ่งได้รับหมายแจ้งประกาศขายทอดตลาดโดยชอบแล้วไม่มาดูแลการขาย จึงเป็นการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทในราคาที่เหมาะสมแล้ว กรณีไม่มีเหตุสมควรที่จะเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท
คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 115,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้วแต่จำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 53244 และ 53373 ของจำเลยที่ 2 ซึ่งถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับบุคคลอื่น ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างพิจารณา ผู้ร้องที่ 2 ถึงแก่ความตาย นายเกียรติศักดิ์ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 53244 และ 53373 ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคืนเงินที่ซื้อขายแก่ผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นผู้ซื้อทรัพย์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 53244 และ 53373 มีชื่อนางแปลง นางทองแดง นางแสง จำเลยที่ 2 และนายหนู เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมโดยไม่ได้มีการแบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัด นายหนูถึงแก่ความตายไปนานแล้ว ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 นางแปลง นางทองแดง นางแสง จำเลยที่ 2 และจ่าสิบเอกสมศักดิ์ เป็นบุตรของนายหนู วันที่ 10 กันยายน 2557 นางแสงถึงแก่ความตาย ผู้ร้องที่ 4 และนางสาวมยุรา เป็นบุตรของนางแสง โจทก์แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่านายหนูมีทายาท 4 คน คือ นางแปลง นางทองแดง นางแสงและจำเลยที่ 2 ส่วนนางแสงมีทายาท 1 คน คือ นางสาวมยุรา ต่อมาวันที่ 28 ตุลาคม 2560 เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งประกาศขายทอดตลาดที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 นางแปลง นางทองแดงและนางสาวมยุรา โดยไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรของนายหนู และผู้ร้องที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรของนางแสงทราบ วันที่ 4 ธันวาคม 2560 เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินทั้งสองแปลงโดยมีผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ซื้อได้ตามลำดับ
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 2 ว่า มีเหตุสมควรเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 53244 หรือไม่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 331 วรรคสอง บัญญัติว่า “ก่อนการขายทอดตลาดทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องตามวรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องแจ้งกำหนดวัน เวลา และสถานที่ซึ่งจะทำการขายทอดตลาดให้บรรดาผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งปรากฏตามทะเบียนหรือประการอื่นได้ทราบด้วย...” และบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 287 (4) ได้แก่ บุคคลผู้เป็นเจ้าของรวมหรือบุคคลผู้มีบุริมสิทธิ สิทธิยึดหน่วง หรือสิทธิอื่นตามมาตรา 322 เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ถูกบังคับคดี ข้อเท็จจริงได้ความว่าที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 53244 มีชื่อนางแปลง นางทองแดง นางแสง จำเลยที่ 2 และนายหนู เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม โดยเจ้าของรวมเหล่านั้นมิได้แบ่งการครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัด ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 นางแปลง นางทองแดง นางแสง จำเลยที่ 2 และจ่าสิบเอกสมศักดิ์เป็นทายาทโดยธรรมของนายหนู ส่วนผู้ร้องที่ 4 และนางสาวมยุราเป็นทายาทโดยธรรมของนางแสง เมื่อนายหนูถึงแก่ความตาย ที่ดินพิพาทส่วนของนายหนูย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งมีผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 รวมอยู่ด้วย สำหรับที่ดินพิพาทส่วนของนางแสงเมื่อนางแสงถึงแก่ความตายย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งรวมถึงผู้ร้องที่ 4 ด้วย บุตรของนายหนูและนางแสงทุกคนจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีเช่นเดียวกับนายหนูและนางแสงซึ่งเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทอยู่แต่เดิม เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหน้าที่ต้องแจ้งประกาศการขายทอดตลาดให้ทายาททุกคนของนายหนูและนางแสงทราบ การที่โจทก์มิได้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นทายาทของนายหนู และผู้ร้องที่ 4 เป็นทายาทของนางแสง เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ส่งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ทราบ โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีคงส่งประกาศขายทอดตลาดให้จำเลยที่ 2 นางแปลง นางทองแดง และนางสาวมยุราเท่านั้น ซึ่งการที่จำเลยที่ 2 นางแปลงและนางทองแดงได้รับแจ้งประกาศขายทอดตลาดจากเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการรับแจ้งประกาศขายทอดตลาดแทนผู้ร้องทั้งสี่ด้วย เพราะมิใช่เป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอก ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 ทั้งไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้ทายาทของเจ้ามรดกที่ได้รับแจ้งข้อเท็จจริงใดให้ถือว่าเป็นการได้รับแจ้งแทนทายาทคนอื่นด้วย การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของนายหนูและนางแสงทราบ จึงเป็นการดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 331 วรรคสอง แต่อย่างไรก็ดี แม้การส่งหมายแจ้งประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่ความตอนท้ายมาตรา 295 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะหรือมีคำสั่งกำหนดวิธีการอย่างใดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ศาลเห็นสมควร ข้อเท็จจริงคงได้ความตามคำร้องและทางนำสืบของผู้ร้องทั้งสี่แต่เพียงว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียทราบ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ร้องทั้งสี่จะสามารถหาบุคคลภายนอกมาประมูลซื้อที่ดินพิพาทในราคาสูงกว่าที่ผู้คัดค้านที่ 2 ประมูลซื้อได้ เมื่อที่ดินพิพาทมีราคาตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ 276,300 บาท ผู้คัดค้านที่ 2 ประมูลซื้อได้ในราคา 375,000 บาท สูงกว่าราคาประเมินดังกล่าว ประกอบกับจำเลยที่ 2 และผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมคนอื่นซึ่งได้รับหมายแจ้งประกาศขายทอดตลาดโดยชอบแล้วไม่มาดูแลการขาย จึงเป็นการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทในราคาที่เหมาะสมแล้ว กรณีไม่มีเหตุสมควรที่จะเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 53244
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่เฉพาะส่วนที่ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 53244 และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนนี้ทั้งสามศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4
ที่ดินพิพาทมีชื่อ ป. ท. ส. จำเลยที่ 2 และ น. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมโดยเจ้าของรวมเหล่านั้นมิได้แบ่งการครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัด เมื่อ น. ถึงแก่ความตาย ที่ดินพิพาทส่วนของ น. ย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งมีผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 รวมอยู่ด้วย สำหรับที่ดินพิพาทส่วนของ ส. เมื่อ ส. ถึงแก่ความตายย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งรวมถึงผู้ร้องที่ 4 ด้วย บุตรของ น. และ ส. ทุกคนจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีเช่นเดียวกับ น. และ ส. ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทอยู่แต่เดิม เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหน้าที่ต้องแจ้งประกาศการขายทอดตลาดให้ทายาททุกคนของ น. และ ส. ทราบ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 331 วรรคสอง และมาตรา 287 (4)การที่จำเลยที่ 2 ป. และ ท. ได้รับแจ้งประกาศขายทอดตลาดนั้นไม่อาจถือได้ว่าเป็นการรับแจ้งประกาศขายทอดตลาดแทนผู้ร้องทั้งสี่ด้วย เพราะมิใช่เป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 ทั้งไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้ทายาทของเจ้ามรดกที่ได้รับแจ้งข้อเท็จจริงใดให้ถือว่าเป็นการได้รับแจ้งแทนทายาทคนอื่นด้วย การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ทราบจึงเป็นการดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 331 วรรคสองแม้การส่งหมายแจ้งประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่ความตอนท้ายมาตรา 295 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะหรือมีคำสั่งกำหนดวิธีการอย่างใดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ศาลเห็นสมควร ข้อเท็จจริงได้ความแต่เพียงว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียทราบ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ร้องทั้งสี่จะสามารถหาบุคคลภายนอกมาประมูลซื้อที่ดินพิพาทในราคาสูงกว่าที่ผู้คัดค้านที่ 2 ประมูลซื้อได้ เมื่อที่ดินพิพาทมีราคาตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ 276,300 บาท ผู้คัดค้านที่ 2 ประมูลซื้อได้ในราคา 375,000 บาท สูงกว่าราคาประเมินดังกล่าว ประกอบกับจำเลยที่ 2 และผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมคนอื่นซึ่งได้รับหมายแจ้งประกาศขายทอดตลาดโดยชอบแล้วไม่มาดูแลการขาย จึงเป็นการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทในราคาที่เหมาะสมแล้ว กรณีไม่มีเหตุสมควรที่จะเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท
คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 115,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้วแต่จำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 53244 และ 53373 ของจำเลยที่ 2 ซึ่งถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับบุคคลอื่น ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างพิจารณา ผู้ร้องที่ 2 ถึงแก่ความตาย นายเกียรติศักดิ์ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 53244 และ 53373 ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคืนเงินที่ซื้อขายแก่ผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นผู้ซื้อทรัพย์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 53244 และ 53373 มีชื่อนางแปลง นางทองแดง นางแสง จำเลยที่ 2 และนายหนู เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมโดยไม่ได้มีการแบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัด นายหนูถึงแก่ความตายไปนานแล้ว ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 นางแปลง นางทองแดง นางแสง จำเลยที่ 2 และจ่าสิบเอกสมศักดิ์ เป็นบุตรของนายหนู วันที่ 10 กันยายน 2557 นางแสงถึงแก่ความตาย ผู้ร้องที่ 4 และนางสาวมยุรา เป็นบุตรของนางแสง โจทก์แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่านายหนูมีทายาท 4 คน คือ นางแปลง นางทองแดง นางแสงและจำเลยที่ 2 ส่วนนางแสงมีทายาท 1 คน คือ นางสาวมยุรา ต่อมาวันที่ 28 ตุลาคม 2560 เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งประกาศขายทอดตลาดที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 นางแปลง นางทองแดงและนางสาวมยุรา โดยไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรของนายหนู และผู้ร้องที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรของนางแสงทราบ วันที่ 4 ธันวาคม 2560 เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินทั้งสองแปลงโดยมีผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ซื้อได้ตามลำดับ
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 2 ว่า มีเหตุสมควรเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 53244 หรือไม่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 331 วรรคสอง บัญญัติว่า “ก่อนการขายทอดตลาดทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องตามวรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องแจ้งกำหนดวัน เวลา และสถานที่ซึ่งจะทำการขายทอดตลาดให้บรรดาผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งปรากฏตามทะเบียนหรือประการอื่นได้ทราบด้วย...” และบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 287 (4) ได้แก่ บุคคลผู้เป็นเจ้าของรวมหรือบุคคลผู้มีบุริมสิทธิ สิทธิยึดหน่วง หรือสิทธิอื่นตามมาตรา 322 เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ถูกบังคับคดี ข้อเท็จจริงได้ความว่าที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 53244 มีชื่อนางแปลง นางทองแดง นางแสง จำเลยที่ 2 และนายหนู เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม โดยเจ้าของรวมเหล่านั้นมิได้แบ่งการครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัด ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 นางแปลง นางทองแดง นางแสง จำเลยที่ 2 และจ่าสิบเอกสมศักดิ์เป็นทายาทโดยธรรมของนายหนู ส่วนผู้ร้องที่ 4 และนางสาวมยุราเป็นทายาทโดยธรรมของนางแสง เมื่อนายหนูถึงแก่ความตาย ที่ดินพิพาทส่วนของนายหนูย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งมีผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 รวมอยู่ด้วย สำหรับที่ดินพิพาทส่วนของนางแสงเมื่อนางแสงถึงแก่ความตายย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งรวมถึงผู้ร้องที่ 4 ด้วย บุตรของนายหนูและนางแสงทุกคนจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีเช่นเดียวกับนายหนูและนางแสงซึ่งเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทอยู่แต่เดิม เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหน้าที่ต้องแจ้งประกาศการขายทอดตลาดให้ทายาททุกคนของนายหนูและนางแสงทราบ การที่โจทก์มิได้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นทายาทของนายหนู และผู้ร้องที่ 4 เป็นทายาทของนางแสง เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ส่งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ทราบ โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีคงส่งประกาศขายทอดตลาดให้จำเลยที่ 2 นางแปลง นางทองแดง และนางสาวมยุราเท่านั้น ซึ่งการที่จำเลยที่ 2 นางแปลงและนางทองแดงได้รับแจ้งประกาศขายทอดตลาดจากเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการรับแจ้งประกาศขายทอดตลาดแทนผู้ร้องทั้งสี่ด้วย เพราะมิใช่เป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอก ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 ทั้งไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้ทายาทของเจ้ามรดกที่ได้รับแจ้งข้อเท็จจริงใดให้ถือว่าเป็นการได้รับแจ้งแทนทายาทคนอื่นด้วย การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของนายหนูและนางแสงทราบ จึงเป็นการดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 331 วรรคสอง แต่อย่างไรก็ดี แม้การส่งหมายแจ้งประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่ความตอนท้ายมาตรา 295 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะหรือมีคำสั่งกำหนดวิธีการอย่างใดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ศาลเห็นสมควร ข้อเท็จจริงคงได้ความตามคำร้องและทางนำสืบของผู้ร้องทั้งสี่แต่เพียงว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียทราบ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ร้องทั้งสี่จะสามารถหาบุคคลภายนอกมาประมูลซื้อที่ดินพิพาทในราคาสูงกว่าที่ผู้คัดค้านที่ 2 ประมูลซื้อได้ เมื่อที่ดินพิพาทมีราคาตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ 276,300 บาท ผู้คัดค้านที่ 2 ประมูลซื้อได้ในราคา 375,000 บาท สูงกว่าราคาประเมินดังกล่าว ประกอบกับจำเลยที่ 2 และผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมคนอื่นซึ่งได้รับหมายแจ้งประกาศขายทอดตลาดโดยชอบแล้วไม่มาดูแลการขาย จึงเป็นการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทในราคาที่เหมาะสมแล้ว กรณีไม่มีเหตุสมควรที่จะเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 53244
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่เฉพาะส่วนที่ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 53244 และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนนี้ทั้งสามศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4
เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว ย่อมมีผลให้โจทก์และจำเลยทั้งสองต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง แต่เนื่องจากจำเลยทั้งสองทำการงานให้แก่โจทก์แล้วบางส่วนจึงไม่อาจกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมได้ กรณีจึงต้องบังคับตามมาตรา 391 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้นั้น การที่จะชดใช้คืน ให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆ เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองยังมีข้อโต้เถียงกันเกี่ยวกับการงานที่ได้ทำไปแล้ว กรณีจึงมีข้อพิจารณาว่า ค่าแห่งการงานที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์นั้นมีเพียงใด เห็นว่า สัญญาว่าจ้างผลิตเครื่องสำอางแบบเบ็ดเสร็จที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองมีลักษณะเป็นการเฉพาะ มุ่งประสงค์ถึงผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญ คือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เสร็จสมบูรณ์พร้อมที่โจทก์สามารถนำไปวางจำหน่ายได้ แต่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองยังไม่เคยผลิตเครื่องสำอางเป็นผลสำเร็จและส่งมอบผลงานให้แก่โจทก์ตามสัญญาได้แม้แต่ชิ้นเดียว แม้จำเลยทั้งสองจะได้ดำเนินการคิดค้น วิเคราะห์วิจัย และพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้โจทก์จนสามารถนำไปขอจดแจ้งต่อนายทะเบียนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และตระเตรียมวัสดุอุปกรณ์และเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตไว้บ้างแล้วก็ตาม แต่ได้ความจากจำเลยที่ 2 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า สูตรในการผลิตเครื่องสำอางดังกล่าวตลอดจนส่วนประกอบหรือส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตนั้นจำเลยทั้งสองไม่ได้บอกให้โจทก์ทราบเนื่องจากต้องเก็บไว้เป็นความลับ หากโจทก์ประสงค์จะผลิตเครื่องสำอางที่จำเลยทั้งสองคิดค้น จะต้องว่าจ้างให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ผลิตเท่านั้น แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า โจทก์ไม่สามารถนำสูตรผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่จำเลยทั้งสองคิดค้น ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตที่จำเลยทั้งสองตระเตรียมไว้ไปใช้ประโยชน์หรือว่าจ้างบุคคลภายนอกทำการผลิตต่อให้แล้วเสร็จได้เลย ดังนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการงานที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 553,734.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 545,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งบังคับโจทก์ชำระเงิน 582,806.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 567,806.50 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยทั้งสอง และให้โจทก์ชำระค่าใช้ประโยชน์ในพื้นที่อัตราเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าโจทก์จะรับสินค้าไปจากจำเลยทั้งสอง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง (ที่ถูก และฟ้องแย้ง) ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องและฟ้องแย้งชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการค้าเครื่องสำอาง จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการให้บริการผลิตเครื่องสำอาง มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน เมื่อเดือนธันวาคม 2560 โจทก์ว่าจ้างจำเลยทั้งสองผลิตสินค้าประเภทเครื่องสำอางและบรรจุภัณฑ์แบบเบ็ดเสร็จ 3 รายการ คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวพรรณ (Cleansing Balm) ขนาด 90 กรัม 5,000 ชิ้น ครีมกันแดด ขนาด 35 กรัม 3,000 ชิ้น และครีมทาผิวหน้าและตา (Eye and Face Cream) ขนาด 20 กรัม 3,000 ชิ้น รวมค่าวัสดุอุปกรณ์และค่าจ้างเป็นเงิน 1,300,000 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โจทก์ชำระเงินมัดจำแก่จำเลยทั้งสองเป็นเงิน 500,000 บาท และค่ายื่นขอเครื่องหมายอนุมัติการให้บริการหรือจำหน่ายใด ๆ ที่ไม่ขัดต่อบัญญัติของศาสนาอิสลามหรือหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์ฮาลาล 45,000 บาท จำเลยที่ 1 ออกแบบบรรจุภัณฑ์และหีบห่อของเครื่องสำอางทั้ง 3 รายการ ไม่เป็นที่พอใจของโจทก์ จึงตกลงกันให้โจทก์เป็นฝ่ายออกแบบเอง แล้วจำเลยที่ 1 นำแบบที่โจทก์ออกแบบไว้ไปจัดพิมพ์ข้อความ ลายเส้น และตัวอักษรลงบนบรรจุภัณฑ์และหีบห่อของเครื่องสำอาง แต่ไม่สามารถกระทำจนสำเร็จได้ เนื่องจากการพิมพ์ไม่มีความคมชัด สีหลุดล่อน ไม่มีความคงทน วันที่ 12 มกราคม 2562 โจทก์ได้บอกเลิกสัญญา และเรียกให้จำเลยทั้งสองชำระเงินมัดจำและค่าดำเนินการขอหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์ฮาลาลคืน ต่อมาวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 จำเลยทั้งสองมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ และเรียกให้โจทก์มารับวัสดุอุปกรณ์ไปจากโรงงาน และชำระค่าใช้ประโยชน์ในพื้นที่จัดเก็บวัสดุอุปกรณ์และเคมีภัณฑ์ที่ตระเตรียมไว้สำหรับผลิตเครื่องสำอางแก่จำเลยทั้งสอง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยทั้งสองประการแรกว่า โจทก์หรือจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์กับจำเลยทั้งสองสมัครใจเลิกสัญญาต่อกันหรือไม่ เห็นว่า สัญญาว่าจ้างผลิตเครื่องสำอางแบบเบ็ดเสร็จระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองเป็นสัญญาจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 ถือเอาผลสำเร็จของงานคือโจทก์สามารถนำเครื่องสำอางที่ว่าจ้างจำเลยทั้งสองผลิตไปวางจำหน่ายในท้องตลาดได้ ซึ่งในการผลิตเครื่องสำอางดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากโจทก์และจำเลยทั้งสองตรงกันว่า จำเลยทั้งสองผู้รับจ้างเป็นผู้ผลิตทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่คิดค้นพัฒนาสูตรเครื่องสำอาง ขออนุญาตหรือจดแจ้งการผลิตต่อหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ผลิตเครื่องสำอาง คิดชื่อผลิตภัณฑ์ ออกแบบเครื่องหมาย (โลโก้) รวมทั้งออกแบบและผลิตหลอดเครื่องสำอาง กล่อง บรรจุภัณฑ์ ตลอดจนทำการบรรจุเครื่องสำอางลงในกล่องหรือบรรจุภัณฑ์พร้อมสำหรับวางจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคทั่วไป จึงเห็นได้ว่าการออกแบบหลอดและบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นขั้นตอนการผลิตที่สำคัญ ทั้งนี้เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีความสวยงามเป็นที่สนใจของลูกค้าสมกับเป็นเครื่องสำอางที่มีคุณภาพและราคาระดับสูงตามความประสงค์ของผู้ว่าจ้าง แต่จำเลยทั้งสองไม่สามารถดำเนินขั้นตอนนี้ให้แล้วเสร็จได้ โดยได้ความจากนางสาวกนกวรรณ กรรมการโจทก์ผู้ติดต่อว่าจ้างจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองได้ออกแบบมาให้โจทก์พิจารณาครั้งแรก เป็นการออกแบบโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ไม่มีความสวยงามและไม่มีเอกลักษณ์ ทั้งยังทำงานล่าช้ามาก โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองแก้ไขแล้ว แต่ยังคงออกแบบมาในลักษณะเดิม โจทก์จึงต้องออกแบบเอง แล้วให้จำเลยทั้งสองไปจัดพิมพ์ตามที่โจทก์ออกแบบไว้ แต่การพิมพ์ข้อความลงบนหลอดและกระปุกเครื่องสำอางยังคงไม่สวยงามและไม่มีความคมชัด แสดงถึงการพิมพ์ที่ไม่มีคุณภาพ ทั้งที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าเครื่องพิมพ์ที่ใช้เป็นชนิดเดียวกับที่ใช้พิมพ์หลอดเครื่องสำอางที่วางขายในห้างสรรพสินค้าหรือเคาน์เตอร์แบรนด์ ซึ่งจำเลยทั้งสองก็นำสืบรับว่า จำเลยทั้งสองได้จัดพิมพ์ข้อความ ลายเส้น และตัวอักษรลงบนบรรจุภัณฑ์และหีบห่อตามที่โจทก์ออกแบบมา แต่สีหลุดล่อนและไม่มีความคงทนถาวรจริง เพียงแต่บ่ายเบี่ยงว่าวิธีการพิมพ์และสีสันอาจไม่เหมาะสมจึงทำให้เกิดความเสียหายดังกล่าวเท่านั้น จึงรับฟังได้ว่า เหตุความบกพร่องของการพิมพ์ที่ทำให้งานไม่แล้วเสร็จอยู่ในขั้นตอนความรับผิดชอบของจำเลยทั้งสอง และยังไม่มีแนวทางแก้ไขที่จำเลยทั้งสองจะทำให้สำเร็จได้ ดังนั้น แม้ทางนำสืบของโจทก์จะไม่ได้ความชัดว่า จำเลยทั้งสองจะต้องผลิตเครื่องสำอางตามสัญญาว่าจ้างให้แล้วเสร็จเมื่อใด อันถือได้ว่าสัญญาไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนก็ตาม แต่เมื่อจำเลยทั้งสองไม่สามารถผลิตเครื่องสำอางให้แล้วเสร็จตามสัญญาว่าจ้างได้โดยแน่แท้ด้วยเหตุข้างต้น จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจอ้างประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาดังกล่าวได้ กรณีถือได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ในฐานะผู้ว่าจ้างย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตราบใดที่การที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 605 และมาตรา 386 เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว สัญญาว่าจ้างผลิตเครื่องสำอางระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองย่อมเป็นอันสิ้นสุดลง แม้ต่อมาจำเลยทั้งสองจะมีหนังสือบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ในภายหลัง ก็ไม่มีผลเป็นการเลิกสัญญาได้อีก กรณีหาใช่เป็นการที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองสมัครใจเลิกสัญญาต่อกันดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยไม่ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยทั้งสองประการต่อไปว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดคืนเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง และโจทก์ต้องชำระเงินแก่จำเลยทั้งสองตามฟ้องแย้งหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว ย่อมมีผลให้โจทก์และจำเลยทั้งสองต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง แต่เนื่องจากจำเลยทั้งสองทำการงานให้แก่โจทก์แล้วบางส่วน จึงไม่อาจกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมได้ กรณีจึงต้องบังคับตามมาตรา 391 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้นั้น การที่จะชดใช้คืน ให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆ เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองยังมีข้อโต้เถียงกันเกี่ยวกับการงานที่ได้ทำไปแล้ว กรณีจึงมีข้อพิจารณาว่า ค่าแห่งการงานที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์นั้นมีเพียงใด เห็นว่า สัญญาว่าจ้างผลิตเครื่องสำอางแบบเบ็ดเสร็จที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองมีลักษณะเป็นการเฉพาะ มุ่งประสงค์ถึงผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญ คือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เสร็จสมบูรณ์พร้อมที่โจทก์สามารถนำไปวางจำหน่ายได้ แต่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองยังไม่เคยผลิตเครื่องสำอางเป็นผลสำเร็จและส่งมอบผลงานให้แก่โจทก์ตามสัญญาได้แม้แต่ชิ้นเดียว แม้จำเลยทั้งสองจะได้ดำเนินการคิดค้น วิเคราะห์วิจัย และพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้โจทก์จนสามารถนำไปขอจดแจ้งต่อนายทะเบียนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และตระเตรียมวัสดุอุปกรณ์และเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตไว้บ้างแล้วก็ตาม แต่ได้ความจากจำเลยที่ 2 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า สูตรในการผลิตเครื่องสำอางดังกล่าว ตลอดจนส่วนประกอบหรือส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตนั้นจำเลยทั้งสองไม่ได้บอกให้โจทก์ทราบ เนื่องจากต้องเก็บไว้เป็นความลับ หากโจทก์ประสงค์จะผลิตเครื่องสำอางที่จำเลยทั้งสองคิดค้น จะต้องว่าจ้างให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ผลิตเท่านั้น แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า โจทก์ไม่สามารถนำสูตรผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่จำเลยทั้งสองคิดค้น ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตที่จำเลยทั้งสองตระเตรียมไว้ไปใช้ประโยชน์หรือว่าจ้างบุคคลภายนอกทำการผลิตต่อให้แล้วเสร็จได้เลย ดังนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการงานที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดค่าแห่งการงานส่วนนี้ให้จำเลยทั้งสองเป็นเงิน 508,013 บาท นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย สำหรับค่าดำเนินการขอหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์ฮาลาล 45,000 บาท นั้น มีลักษณะเป็นงานเพิ่มที่โจทก์ว่าจ้างจำเลยทั้งสองทำต่างหากนอกเหนือจากการขออนุญาตหรือจดแจ้งการผลิตต่อหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องตามสัญญาว่าจ้าง เมื่อได้ความว่าจำเลยทั้งสองดำเนินการให้โจทก์แล้ว โจทก์จึงไม่อาจเรียกคืนได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่กำหนดให้จำเลยทั้งสองคืนเงินส่วนนี้แก่โจทก์นั้นชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ต้องชดใช้เงินที่จำเลยทั้งสองจ่ายไปในการตระเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เคมีภัณฑ์ ตลอดจนเป็นค่าจ้างในขั้นตอนการผลิตและพัฒนาสินค้ารวม 1,067,806.50 บาท และค่าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ของจำเลยทั้งสองสำหรับจัดวางวัสดุอุปกรณ์และเคมีภัณฑ์เดือนละ 5,000 บาท จนกว่าโจทก์จะขนย้ายของออกไปจากโรงงานของจำเลยทั้งสอง และนำมาหักกลบลบหนี้กับเงินมัดจำ 500,000 บาท ที่ต้องคืนให้แก่โจทก์ได้นั้น เป็นการเรียกค่าเสียหายจากการเลิกสัญญา เมื่อจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงไม่อาจเรียกค่าเสียหายดังกล่าวจากโจทก์และนำมาหักกลบลบหนี้ได้ดังที่อ้าง จำเลยทั้งสองจึงต้องคืนเงินมัดจำ 500,000 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายนับแต่วันที่ได้รับไว้ แต่โจทก์ขอนับแต่วันผิดนัด (วันที่ 26 มีนาคม 2562) จึงกำหนดให้ตามที่โจทก์ขอ สำหรับจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 กระทำการภายในขอบอำนาจของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เนื่องจากได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา 7 ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละสามต่อปี” และมาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา 224 หนี้เงินนั้น ให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี..” ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 และพระราชกำหนดดังกล่าว มาตรา 7 บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติตามมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาสามารถยกขึ้นวินิจฉัยเองและกำหนดดอกเบี้ยให้เป็นไปตามพระราชกำหนดดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 26 มีนาคม 2562 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องและฟ้องแย้งชั้นฎีกาให้เป็นพับ
เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว ย่อมมีผลให้โจทก์และจำเลยทั้งสองต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง แต่เนื่องจากจำเลยทั้งสองทำการงานให้แก่โจทก์แล้วบางส่วนจึงไม่อาจกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมได้ กรณีจึงต้องบังคับตามมาตรา 391 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้นั้น การที่จะชดใช้คืน ให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆ เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองยังมีข้อโต้เถียงกันเกี่ยวกับการงานที่ได้ทำไปแล้ว กรณีจึงมีข้อพิจารณาว่า ค่าแห่งการงานที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์นั้นมีเพียงใด เห็นว่า สัญญาว่าจ้างผลิตเครื่องสำอางแบบเบ็ดเสร็จที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองมีลักษณะเป็นการเฉพาะ มุ่งประสงค์ถึงผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญ คือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เสร็จสมบูรณ์พร้อมที่โจทก์สามารถนำไปวางจำหน่ายได้ แต่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองยังไม่เคยผลิตเครื่องสำอางเป็นผลสำเร็จและส่งมอบผลงานให้แก่โจทก์ตามสัญญาได้แม้แต่ชิ้นเดียว แม้จำเลยทั้งสองจะได้ดำเนินการคิดค้น วิเคราะห์วิจัย และพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้โจทก์จนสามารถนำไปขอจดแจ้งต่อนายทะเบียนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และตระเตรียมวัสดุอุปกรณ์และเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตไว้บ้างแล้วก็ตาม แต่ได้ความจากจำเลยที่ 2 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า สูตรในการผลิตเครื่องสำอางดังกล่าวตลอดจนส่วนประกอบหรือส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตนั้นจำเลยทั้งสองไม่ได้บอกให้โจทก์ทราบเนื่องจากต้องเก็บไว้เป็นความลับ หากโจทก์ประสงค์จะผลิตเครื่องสำอางที่จำเลยทั้งสองคิดค้น จะต้องว่าจ้างให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ผลิตเท่านั้น แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า โจทก์ไม่สามารถนำสูตรผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่จำเลยทั้งสองคิดค้น ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตที่จำเลยทั้งสองตระเตรียมไว้ไปใช้ประโยชน์หรือว่าจ้างบุคคลภายนอกทำการผลิตต่อให้แล้วเสร็จได้เลย ดังนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการงานที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 553,734.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 545,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งบังคับโจทก์ชำระเงิน 582,806.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 567,806.50 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยทั้งสอง และให้โจทก์ชำระค่าใช้ประโยชน์ในพื้นที่อัตราเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าโจทก์จะรับสินค้าไปจากจำเลยทั้งสอง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง (ที่ถูก และฟ้องแย้ง) ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องและฟ้องแย้งชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการค้าเครื่องสำอาง จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการให้บริการผลิตเครื่องสำอาง มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน เมื่อเดือนธันวาคม 2560 โจทก์ว่าจ้างจำเลยทั้งสองผลิตสินค้าประเภทเครื่องสำอางและบรรจุภัณฑ์แบบเบ็ดเสร็จ 3 รายการ คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวพรรณ (Cleansing Balm) ขนาด 90 กรัม 5,000 ชิ้น ครีมกันแดด ขนาด 35 กรัม 3,000 ชิ้น และครีมทาผิวหน้าและตา (Eye and Face Cream) ขนาด 20 กรัม 3,000 ชิ้น รวมค่าวัสดุอุปกรณ์และค่าจ้างเป็นเงิน 1,300,000 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โจทก์ชำระเงินมัดจำแก่จำเลยทั้งสองเป็นเงิน 500,000 บาท และค่ายื่นขอเครื่องหมายอนุมัติการให้บริการหรือจำหน่ายใด ๆ ที่ไม่ขัดต่อบัญญัติของศาสนาอิสลามหรือหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์ฮาลาล 45,000 บาท จำเลยที่ 1 ออกแบบบรรจุภัณฑ์และหีบห่อของเครื่องสำอางทั้ง 3 รายการ ไม่เป็นที่พอใจของโจทก์ จึงตกลงกันให้โจทก์เป็นฝ่ายออกแบบเอง แล้วจำเลยที่ 1 นำแบบที่โจทก์ออกแบบไว้ไปจัดพิมพ์ข้อความ ลายเส้น และตัวอักษรลงบนบรรจุภัณฑ์และหีบห่อของเครื่องสำอาง แต่ไม่สามารถกระทำจนสำเร็จได้ เนื่องจากการพิมพ์ไม่มีความคมชัด สีหลุดล่อน ไม่มีความคงทน วันที่ 12 มกราคม 2562 โจทก์ได้บอกเลิกสัญญา และเรียกให้จำเลยทั้งสองชำระเงินมัดจำและค่าดำเนินการขอหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์ฮาลาลคืน ต่อมาวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 จำเลยทั้งสองมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ และเรียกให้โจทก์มารับวัสดุอุปกรณ์ไปจากโรงงาน และชำระค่าใช้ประโยชน์ในพื้นที่จัดเก็บวัสดุอุปกรณ์และเคมีภัณฑ์ที่ตระเตรียมไว้สำหรับผลิตเครื่องสำอางแก่จำเลยทั้งสอง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยทั้งสองประการแรกว่า โจทก์หรือจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์กับจำเลยทั้งสองสมัครใจเลิกสัญญาต่อกันหรือไม่ เห็นว่า สัญญาว่าจ้างผลิตเครื่องสำอางแบบเบ็ดเสร็จระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองเป็นสัญญาจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 ถือเอาผลสำเร็จของงานคือโจทก์สามารถนำเครื่องสำอางที่ว่าจ้างจำเลยทั้งสองผลิตไปวางจำหน่ายในท้องตลาดได้ ซึ่งในการผลิตเครื่องสำอางดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากโจทก์และจำเลยทั้งสองตรงกันว่า จำเลยทั้งสองผู้รับจ้างเป็นผู้ผลิตทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่คิดค้นพัฒนาสูตรเครื่องสำอาง ขออนุญาตหรือจดแจ้งการผลิตต่อหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ผลิตเครื่องสำอาง คิดชื่อผลิตภัณฑ์ ออกแบบเครื่องหมาย (โลโก้) รวมทั้งออกแบบและผลิตหลอดเครื่องสำอาง กล่อง บรรจุภัณฑ์ ตลอดจนทำการบรรจุเครื่องสำอางลงในกล่องหรือบรรจุภัณฑ์พร้อมสำหรับวางจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคทั่วไป จึงเห็นได้ว่าการออกแบบหลอดและบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นขั้นตอนการผลิตที่สำคัญ ทั้งนี้เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีความสวยงามเป็นที่สนใจของลูกค้าสมกับเป็นเครื่องสำอางที่มีคุณภาพและราคาระดับสูงตามความประสงค์ของผู้ว่าจ้าง แต่จำเลยทั้งสองไม่สามารถดำเนินขั้นตอนนี้ให้แล้วเสร็จได้ โดยได้ความจากนางสาวกนกวรรณ กรรมการโจทก์ผู้ติดต่อว่าจ้างจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองได้ออกแบบมาให้โจทก์พิจารณาครั้งแรก เป็นการออกแบบโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ไม่มีความสวยงามและไม่มีเอกลักษณ์ ทั้งยังทำงานล่าช้ามาก โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองแก้ไขแล้ว แต่ยังคงออกแบบมาในลักษณะเดิม โจทก์จึงต้องออกแบบเอง แล้วให้จำเลยทั้งสองไปจัดพิมพ์ตามที่โจทก์ออกแบบไว้ แต่การพิมพ์ข้อความลงบนหลอดและกระปุกเครื่องสำอางยังคงไม่สวยงามและไม่มีความคมชัด แสดงถึงการพิมพ์ที่ไม่มีคุณภาพ ทั้งที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าเครื่องพิมพ์ที่ใช้เป็นชนิดเดียวกับที่ใช้พิมพ์หลอดเครื่องสำอางที่วางขายในห้างสรรพสินค้าหรือเคาน์เตอร์แบรนด์ ซึ่งจำเลยทั้งสองก็นำสืบรับว่า จำเลยทั้งสองได้จัดพิมพ์ข้อความ ลายเส้น และตัวอักษรลงบนบรรจุภัณฑ์และหีบห่อตามที่โจทก์ออกแบบมา แต่สีหลุดล่อนและไม่มีความคงทนถาวรจริง เพียงแต่บ่ายเบี่ยงว่าวิธีการพิมพ์และสีสันอาจไม่เหมาะสมจึงทำให้เกิดความเสียหายดังกล่าวเท่านั้น จึงรับฟังได้ว่า เหตุความบกพร่องของการพิมพ์ที่ทำให้งานไม่แล้วเสร็จอยู่ในขั้นตอนความรับผิดชอบของจำเลยทั้งสอง และยังไม่มีแนวทางแก้ไขที่จำเลยทั้งสองจะทำให้สำเร็จได้ ดังนั้น แม้ทางนำสืบของโจทก์จะไม่ได้ความชัดว่า จำเลยทั้งสองจะต้องผลิตเครื่องสำอางตามสัญญาว่าจ้างให้แล้วเสร็จเมื่อใด อันถือได้ว่าสัญญาไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนก็ตาม แต่เมื่อจำเลยทั้งสองไม่สามารถผลิตเครื่องสำอางให้แล้วเสร็จตามสัญญาว่าจ้างได้โดยแน่แท้ด้วยเหตุข้างต้น จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจอ้างประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาดังกล่าวได้ กรณีถือได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ในฐานะผู้ว่าจ้างย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตราบใดที่การที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 605 และมาตรา 386 เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว สัญญาว่าจ้างผลิตเครื่องสำอางระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองย่อมเป็นอันสิ้นสุดลง แม้ต่อมาจำเลยทั้งสองจะมีหนังสือบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ในภายหลัง ก็ไม่มีผลเป็นการเลิกสัญญาได้อีก กรณีหาใช่เป็นการที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองสมัครใจเลิกสัญญาต่อกันดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยไม่ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยทั้งสองประการต่อไปว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดคืนเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง และโจทก์ต้องชำระเงินแก่จำเลยทั้งสองตามฟ้องแย้งหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว ย่อมมีผลให้โจทก์และจำเลยทั้งสองต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง แต่เนื่องจากจำเลยทั้งสองทำการงานให้แก่โจทก์แล้วบางส่วน จึงไม่อาจกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมได้ กรณีจึงต้องบังคับตามมาตรา 391 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้นั้น การที่จะชดใช้คืน ให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆ เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองยังมีข้อโต้เถียงกันเกี่ยวกับการงานที่ได้ทำไปแล้ว กรณีจึงมีข้อพิจารณาว่า ค่าแห่งการงานที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์นั้นมีเพียงใด เห็นว่า สัญญาว่าจ้างผลิตเครื่องสำอางแบบเบ็ดเสร็จที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองมีลักษณะเป็นการเฉพาะ มุ่งประสงค์ถึงผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญ คือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เสร็จสมบูรณ์พร้อมที่โจทก์สามารถนำไปวางจำหน่ายได้ แต่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองยังไม่เคยผลิตเครื่องสำอางเป็นผลสำเร็จและส่งมอบผลงานให้แก่โจทก์ตามสัญญาได้แม้แต่ชิ้นเดียว แม้จำเลยทั้งสองจะได้ดำเนินการคิดค้น วิเคราะห์วิจัย และพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้โจทก์จนสามารถนำไปขอจดแจ้งต่อนายทะเบียนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และตระเตรียมวัสดุอุปกรณ์และเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตไว้บ้างแล้วก็ตาม แต่ได้ความจากจำเลยที่ 2 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า สูตรในการผลิตเครื่องสำอางดังกล่าว ตลอดจนส่วนประกอบหรือส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตนั้นจำเลยทั้งสองไม่ได้บอกให้โจทก์ทราบ เนื่องจากต้องเก็บไว้เป็นความลับ หากโจทก์ประสงค์จะผลิตเครื่องสำอางที่จำเลยทั้งสองคิดค้น จะต้องว่าจ้างให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ผลิตเท่านั้น แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า โจทก์ไม่สามารถนำสูตรผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่จำเลยทั้งสองคิดค้น ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตที่จำเลยทั้งสองตระเตรียมไว้ไปใช้ประโยชน์หรือว่าจ้างบุคคลภายนอกทำการผลิตต่อให้แล้วเสร็จได้เลย ดังนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการงานที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดค่าแห่งการงานส่วนนี้ให้จำเลยทั้งสองเป็นเงิน 508,013 บาท นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย สำหรับค่าดำเนินการขอหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์ฮาลาล 45,000 บาท นั้น มีลักษณะเป็นงานเพิ่มที่โจทก์ว่าจ้างจำเลยทั้งสองทำต่างหากนอกเหนือจากการขออนุญาตหรือจดแจ้งการผลิตต่อหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องตามสัญญาว่าจ้าง เมื่อได้ความว่าจำเลยทั้งสองดำเนินการให้โจทก์แล้ว โจทก์จึงไม่อาจเรียกคืนได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่กำหนดให้จำเลยทั้งสองคืนเงินส่วนนี้แก่โจทก์นั้นชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ต้องชดใช้เงินที่จำเลยทั้งสองจ่ายไปในการตระเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เคมีภัณฑ์ ตลอดจนเป็นค่าจ้างในขั้นตอนการผลิตและพัฒนาสินค้ารวม 1,067,806.50 บาท และค่าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ของจำเลยทั้งสองสำหรับจัดวางวัสดุอุปกรณ์และเคมีภัณฑ์เดือนละ 5,000 บาท จนกว่าโจทก์จะขนย้ายของออกไปจากโรงงานของจำเลยทั้งสอง และนำมาหักกลบลบหนี้กับเงินมัดจำ 500,000 บาท ที่ต้องคืนให้แก่โจทก์ได้นั้น เป็นการเรียกค่าเสียหายจากการเลิกสัญญา เมื่อจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงไม่อาจเรียกค่าเสียหายดังกล่าวจากโจทก์และนำมาหักกลบลบหนี้ได้ดังที่อ้าง จำเลยทั้งสองจึงต้องคืนเงินมัดจำ 500,000 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายนับแต่วันที่ได้รับไว้ แต่โจทก์ขอนับแต่วันผิดนัด (วันที่ 26 มีนาคม 2562) จึงกำหนดให้ตามที่โจทก์ขอ สำหรับจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 กระทำการภายในขอบอำนาจของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เนื่องจากได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา 7 ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละสามต่อปี” และมาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา 224 หนี้เงินนั้น ให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี..” ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 และพระราชกำหนดดังกล่าว มาตรา 7 บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติตามมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาสามารถยกขึ้นวินิจฉัยเองและกำหนดดอกเบี้ยให้เป็นไปตามพระราชกำหนดดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 26 มีนาคม 2562 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องและฟ้องแย้งชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หนังสือแจ้งความจำนงชำระเงินที่ยืมมีข้อความว่า ธ. ได้ยืมเงินจากผู้ตาย จำนวน 1,000,000 บาท โดยผู้ตายให้ ธ. ผ่อนชำระเดือนละ 4,000 บาท จนเดือนสิงหาคม 2561 ผู้ตายถึงแก่ความตาย ธ. ผ่อนชำระไปแล้ว 48,000 บาท คงเหลือ 952,000 บาท และจะขอผ่อนชำระกับโจทก์ทั้งสอง (ภริยาผู้ตาย) เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะครบ และ ธ. ได้เบิกความยอมรับว่าเป็นผู้ทำเอกสารดังกล่าวด้วยตนเองโดยทำขึ้นหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว เหตุที่ทำเอกสารดังกล่าวเนื่องจากโจทก์ทั้งสองทวงถามเงินจาก ธ. เมื่อ ธ. มีความรับผิดที่จะต้องชำระหนี้แก่ผู้ตายในขณะที่ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นหนี้สินซึ่งค้างชำระอยู่แก่กองมรดกที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกหรือทายาทอื่นจะเรียกให้ชำระแก่กองมรดกได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1736 วรรคสอง จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกจึงมีเพียงสิทธิเรียกร้องให้ ธ. ชำระหนี้แก่กองมรดกเท่านั้น สิทธิเรียกร้องดังกล่าวไม่อาจแบ่งแยกแก่โจทก์ทั้งสองได้ ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตาย ธ. ได้ชำระเงินคืนแก่กองมรดกเพียงใด จึงยังไม่มีตัวเงินที่จะแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสอง กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกต้องไปว่ากล่าวเรียกร้องให้ ธ. ชำระหนี้แก่กองมรดกเพื่อรวบรวมและแบ่งปันให้แก่โจทก์ทั้งสองต่อไป
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมกิจ ชำระเงิน 3,732,076.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมกิจ แบ่งเงินในบัญชีเงินฝากชื่อบัญชี นายสมกิจ ธนาคาร อ. และธนาคาร ก. รวมทั้งสิ้น 5 บัญชี ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 1,535,342 บาท พร้อมดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นคนละ 1 ส่วนใน 3 ส่วน นับแต่วันที่ปรับปรุงรายการในสมุดบัญชีเงินฝากครั้งสุดท้าย ธนาคาร อ. บัญชีเลขที่ 02004189xxxx นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 และบัญชีเลขที่ 30003376xxxx นับแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2561 ธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 032 – 1 – 17xxx - x นับแต่วันที่ 4 มกราคม 2562 บัญชีเลขที่ 368 – 2 – 40xxx - x นับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2561 และบัญชีเลขที่ 368 – 2 – 00xxx - x นับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะได้รับแบ่งเงินเสร็จสิ้น และแบ่งเงินที่ได้จากนายธานินทร์ กู้ยืมไปให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 317,333.33 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมกิจ แบ่งเงินในบัญชีเงินฝากชื่อบัญชี นายสมกิจ ธนาคาร อ. และธนาคาร ก. รวมทั้งสิ้น 5 บัญชี ให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 คนละ 1,390,038.47 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสองอยู่กินฉันสามีภริยากับนายสมกิจ ผู้ตาย โดยโจทก์ที่ 1 อยู่กินกับผู้ตายตั้งแต่ปี 2509 มีบุตรด้วยกัน 7 คน โจทก์ที่ 2 อยู่กินกับผู้ตายตั้งแต่ปี 2515 มีบุตรด้วยกัน 5 คน ต่อมาปี 2521 ผู้ตายอยู่กินกับนางสาวอนันต์ มีบุตรด้วยกัน 2 คน จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของโจทก์ที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของนางสาวอนันต์ซึ่งถึงแก่ความตายไปก่อนแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2561 ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามคำสั่งศาล ผู้ตายมีทรัพย์สินคือเงินฝากในบัญชีธนาคาร 5 บัญชี เป็นเงินทั้งสิ้น 4,646,115.42 บาท นายธานินทร์ บุตรของผู้ตายกับโจทก์ที่ 2 ทำหนังสือแจ้งความจำนงขอผ่อนชำระเงินที่ยืมมาจากผู้ตายเป็นค่าสินสอด 1,000,000 บาท คงค้างชำระ 952,000 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสอง
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองต้องแบ่งเงินที่นายธานินทร์กู้ยืมไปจากผู้ตายให้แก่โจทก์ทั้งสองเพียงใด เห็นว่า ตามหนังสือแจ้งความจำนงชำระเงินที่ยืมมาเป็นค่าสินสอด มีข้อความว่า นายธานินทร์ ได้ยืมเงินค่าสินสอดจากผู้ตาย จำนวน 1,000,000 บาท โดยผู้ตายให้นายธานินทร์ผ่อนชำระเดือนละ 4,000 บาท จนเดือนสิงหาคม 2561 ผู้ตายถึงแก่ความตาย นายธานินทร์ผ่อนชำระเงินไปแล้ว 48,000 บาท คงเหลือ 952,000 บาท และจะขอผ่อนชำระกับโจทก์ทั้งสองเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะครบ และนายธานินทร์ได้เบิกความยอมรับว่าเป็นผู้ทำเอกสาร ดังกล่าวด้วยตนเองโดยทำขึ้นหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว เหตุที่ทำเอกสารดังกล่าวเนื่องจากโจทก์ทั้งสองทวงถามเงินสินสอดจากนายธานินทร์ เมื่อนายธานินทร์มีความรับผิดที่จะต้องชำระหนี้ค่าสินสอดแก่ผู้ตายในขณะที่ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นหนี้สินซึ่งค้างชำระอยู่แก่กองมรดกที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกหรือทายาทอื่นจะเรียกให้ชำระแก่กองมรดกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1736 วรรคสอง จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกจึงมีเพียงสิทธิเรียกร้องให้นายธานินทร์ชำระหนี้แก่กองมรดกเท่านั้น สิทธิเรียกร้องดังกล่าวไม่อาจแบ่งแยกแก่โจทก์ทั้งสองได้ ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตาย นายธานินทร์ได้ชำระเงินคืนแก่กองมรดกเพียงใด จึงยังไม่มีตัวเงินในส่วนนี้ที่จะแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสอง กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกต้องไปว่ากล่าวเรียกร้องให้นายธานินทร์ชำระหนี้แก่กองมรดกเพื่อรวบรวมและแบ่งปันให้แก่โจทก์ทั้งสองต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองนำหนี้ของนายธานินทร์ดังกล่าวไปรวมกับเงินฝากในบัญชีธนาคารทั้ง 5 บัญชีตามฟ้องแล้วแบ่งให้โจทก์ทั้งสองจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนฎีกาของโจทก์ทั้งสองในข้ออื่นไม่ทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงจึงไม่จำต้องวินิจฉัย
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กำหนดยอดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารตามฟ้องรวม 5 บัญชีเป็นเงิน 4,646,115.42 บาท เกินกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด ทั้งที่โจทก์ทั้งสองมิได้อุทธรณ์ จึงเป็นการกำหนดยอดเงินที่ไม่ชอบ เห็นควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็นยอดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร รวม 5 บัญชี เป็นเงิน 4,606,027.02 บาท นอกจากนี้คดีนี้โจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินในแต่ละบัญชีของผู้ตายนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระต้นเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยคนละ 1 ใน 3 ส่วน นับแต่วันที่ปรับปรุงรายการในสมุดบัญชีเงินฝากครั้งสุดท้าย ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ตามที่โจทก์ขอ ธนาคาร อ. บัญชีเลขที่ 020 – 0 – 4189xxx - x นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 และบัญชีเลขที่ 300 – 0 – 3376xxx - x นับแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2561 ธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 032 – 1 – 17xxx – x นับแต่วันที่ 4 มกราคม 2562 บัญชีเลขที่ 368 – 2 – 40xxx – x นับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2561 และบัญชีเลขที่ 368 – 2 – 00xxx – x นับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะได้รับแบ่งเงินเสร็จสิ้น จึงเกินคำขอของโจทก์เป็นการไม่ชอบเช่นกัน ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมกิจ แบ่งเงินในบัญชีเงินฝากชื่อบัญชี นายสมกิจ ธนาคาร อ. และธนาคาร ก. รวมทั้งสิ้น 5 บัญชี ให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 คนละ 1,535,342.34 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราตามบัญชีเงินฝากในธนาคารแต่ละธนาคารประกาศกำหนดนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หนังสือแจ้งความจำนงชำระเงินที่ยืมมีข้อความว่า ธ. ได้ยืมเงินจากผู้ตาย จำนวน 1,000,000 บาท โดยผู้ตายให้ ธ. ผ่อนชำระเดือนละ 4,000 บาท จนเดือนสิงหาคม 2561 ผู้ตายถึงแก่ความตาย ธ. ผ่อนชำระไปแล้ว 48,000 บาท คงเหลือ 952,000 บาท และจะขอผ่อนชำระกับโจทก์ทั้งสอง (ภริยาผู้ตาย) เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะครบ และ ธ. ได้เบิกความยอมรับว่าเป็นผู้ทำเอกสารดังกล่าวด้วยตนเองโดยทำขึ้นหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว เหตุที่ทำเอกสารดังกล่าวเนื่องจากโจทก์ทั้งสองทวงถามเงินจาก ธ. เมื่อ ธ. มีความรับผิดที่จะต้องชำระหนี้แก่ผู้ตายในขณะที่ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นหนี้สินซึ่งค้างชำระอยู่แก่กองมรดกที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกหรือทายาทอื่นจะเรียกให้ชำระแก่กองมรดกได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1736 วรรคสอง จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกจึงมีเพียงสิทธิเรียกร้องให้ ธ. ชำระหนี้แก่กองมรดกเท่านั้น สิทธิเรียกร้องดังกล่าวไม่อาจแบ่งแยกแก่โจทก์ทั้งสองได้ ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตาย ธ. ได้ชำระเงินคืนแก่กองมรดกเพียงใด จึงยังไม่มีตัวเงินที่จะแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสอง กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกต้องไปว่ากล่าวเรียกร้องให้ ธ. ชำระหนี้แก่กองมรดกเพื่อรวบรวมและแบ่งปันให้แก่โจทก์ทั้งสองต่อไป
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมกิจ ชำระเงิน 3,732,076.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมกิจ แบ่งเงินในบัญชีเงินฝากชื่อบัญชี นายสมกิจ ธนาคาร อ. และธนาคาร ก. รวมทั้งสิ้น 5 บัญชี ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 1,535,342 บาท พร้อมดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นคนละ 1 ส่วนใน 3 ส่วน นับแต่วันที่ปรับปรุงรายการในสมุดบัญชีเงินฝากครั้งสุดท้าย ธนาคาร อ. บัญชีเลขที่ 02004189xxxx นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 และบัญชีเลขที่ 30003376xxxx นับแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2561 ธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 032 – 1 – 17xxx - x นับแต่วันที่ 4 มกราคม 2562 บัญชีเลขที่ 368 – 2 – 40xxx - x นับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2561 และบัญชีเลขที่ 368 – 2 – 00xxx - x นับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะได้รับแบ่งเงินเสร็จสิ้น และแบ่งเงินที่ได้จากนายธานินทร์ กู้ยืมไปให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 317,333.33 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมกิจ แบ่งเงินในบัญชีเงินฝากชื่อบัญชี นายสมกิจ ธนาคาร อ. และธนาคาร ก. รวมทั้งสิ้น 5 บัญชี ให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 คนละ 1,390,038.47 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสองอยู่กินฉันสามีภริยากับนายสมกิจ ผู้ตาย โดยโจทก์ที่ 1 อยู่กินกับผู้ตายตั้งแต่ปี 2509 มีบุตรด้วยกัน 7 คน โจทก์ที่ 2 อยู่กินกับผู้ตายตั้งแต่ปี 2515 มีบุตรด้วยกัน 5 คน ต่อมาปี 2521 ผู้ตายอยู่กินกับนางสาวอนันต์ มีบุตรด้วยกัน 2 คน จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของโจทก์ที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของนางสาวอนันต์ซึ่งถึงแก่ความตายไปก่อนแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2561 ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามคำสั่งศาล ผู้ตายมีทรัพย์สินคือเงินฝากในบัญชีธนาคาร 5 บัญชี เป็นเงินทั้งสิ้น 4,646,115.42 บาท นายธานินทร์ บุตรของผู้ตายกับโจทก์ที่ 2 ทำหนังสือแจ้งความจำนงขอผ่อนชำระเงินที่ยืมมาจากผู้ตายเป็นค่าสินสอด 1,000,000 บาท คงค้างชำระ 952,000 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสอง
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองต้องแบ่งเงินที่นายธานินทร์กู้ยืมไปจากผู้ตายให้แก่โจทก์ทั้งสองเพียงใด เห็นว่า ตามหนังสือแจ้งความจำนงชำระเงินที่ยืมมาเป็นค่าสินสอด มีข้อความว่า นายธานินทร์ ได้ยืมเงินค่าสินสอดจากผู้ตาย จำนวน 1,000,000 บาท โดยผู้ตายให้นายธานินทร์ผ่อนชำระเดือนละ 4,000 บาท จนเดือนสิงหาคม 2561 ผู้ตายถึงแก่ความตาย นายธานินทร์ผ่อนชำระเงินไปแล้ว 48,000 บาท คงเหลือ 952,000 บาท และจะขอผ่อนชำระกับโจทก์ทั้งสองเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะครบ และนายธานินทร์ได้เบิกความยอมรับว่าเป็นผู้ทำเอกสาร ดังกล่าวด้วยตนเองโดยทำขึ้นหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว เหตุที่ทำเอกสารดังกล่าวเนื่องจากโจทก์ทั้งสองทวงถามเงินสินสอดจากนายธานินทร์ เมื่อนายธานินทร์มีความรับผิดที่จะต้องชำระหนี้ค่าสินสอดแก่ผู้ตายในขณะที่ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นหนี้สินซึ่งค้างชำระอยู่แก่กองมรดกที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกหรือทายาทอื่นจะเรียกให้ชำระแก่กองมรดกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1736 วรรคสอง จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกจึงมีเพียงสิทธิเรียกร้องให้นายธานินทร์ชำระหนี้แก่กองมรดกเท่านั้น สิทธิเรียกร้องดังกล่าวไม่อาจแบ่งแยกแก่โจทก์ทั้งสองได้ ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตาย นายธานินทร์ได้ชำระเงินคืนแก่กองมรดกเพียงใด จึงยังไม่มีตัวเงินในส่วนนี้ที่จะแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสอง กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกต้องไปว่ากล่าวเรียกร้องให้นายธานินทร์ชำระหนี้แก่กองมรดกเพื่อรวบรวมและแบ่งปันให้แก่โจทก์ทั้งสองต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองนำหนี้ของนายธานินทร์ดังกล่าวไปรวมกับเงินฝากในบัญชีธนาคารทั้ง 5 บัญชีตามฟ้องแล้วแบ่งให้โจทก์ทั้งสองจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนฎีกาของโจทก์ทั้งสองในข้ออื่นไม่ทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงจึงไม่จำต้องวินิจฉัย
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กำหนดยอดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารตามฟ้องรวม 5 บัญชีเป็นเงิน 4,646,115.42 บาท เกินกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด ทั้งที่โจทก์ทั้งสองมิได้อุทธรณ์ จึงเป็นการกำหนดยอดเงินที่ไม่ชอบ เห็นควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็นยอดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร รวม 5 บัญชี เป็นเงิน 4,606,027.02 บาท นอกจากนี้คดีนี้โจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินในแต่ละบัญชีของผู้ตายนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระต้นเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยคนละ 1 ใน 3 ส่วน นับแต่วันที่ปรับปรุงรายการในสมุดบัญชีเงินฝากครั้งสุดท้าย ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ตามที่โจทก์ขอ ธนาคาร อ. บัญชีเลขที่ 020 – 0 – 4189xxx - x นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 และบัญชีเลขที่ 300 – 0 – 3376xxx - x นับแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2561 ธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 032 – 1 – 17xxx – x นับแต่วันที่ 4 มกราคม 2562 บัญชีเลขที่ 368 – 2 – 40xxx – x นับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2561 และบัญชีเลขที่ 368 – 2 – 00xxx – x นับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะได้รับแบ่งเงินเสร็จสิ้น จึงเกินคำขอของโจทก์เป็นการไม่ชอบเช่นกัน ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมกิจ แบ่งเงินในบัญชีเงินฝากชื่อบัญชี นายสมกิจ ธนาคาร อ. และธนาคาร ก. รวมทั้งสิ้น 5 บัญชี ให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 คนละ 1,535,342.34 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราตามบัญชีเงินฝากในธนาคารแต่ละธนาคารประกาศกำหนดนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
เมื่อพิจารณาคำฟ้องโจทก์ข้อ 2 แล้ว โจทก์ไม่บรรยายว่า ข้อความเท็จในบัญชีผู้ถือหุ้นของจําเลยที่ 1 ที่โจทก์อ้างเป็นมูลเพื่อขอให้ลงโทษจําเลยทั้งสี่ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ และฐานลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัทเพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้นั้น มีข้อความอย่างไร หรือเป็นความเท็จด้วยเหตุใดและความจริงเป็นอย่างไร ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จําเลยทั้งสี่ไม่ยอมออกใบหุ้นให้แก่โจทก์ โจทก์ก็มิได้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดและจําเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ไม่เคยมีหนังสือเรียกประชุมผู้ถือหุ้นให้แก่โจทก์ทราบมาก่อน ก็ไม่มีรายละเอียดของการกระทำว่าเป็นการเรียกประชุมครั้งใด เมื่อวันที่เท่าใด อันจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ฯ มาตรา 41 และ 42 อีกทั้งคำขอท้ายฟ้องก็ไม่ได้อ้างบทบัญญัติความผิดอื่นมาด้วย ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) (6) ไม่อาจลงโทษจําเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ ส่วนจําเลยที่ 1 แม้ตามป.วิ.อ. มาตรา 170 บัญญัติว่า คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด ซึ่งหมายถึง คู่กรณีไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้คดีมีมูลได้ แต่หากคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาและศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องไม่ชอบ ซึ่งต้องพิพากษายกฟ้อง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ มาตรา 225
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 137, 267, 268, 352 และพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 41, 42 (1), (2) ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหาย 500,000 บาท เท่ากับจำนวนหุ้นของโจทก์และให้จำเลยที่ 4 โอนหุ้น 5,000 หุ้น ให้แก่โจทก์ และนับโทษจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 648/2564 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 649/2564 ของศาลอาญา
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะข้อหาตามฟ้องข้อ 2 เฉพาะจำเลยที่ 1 ให้ประทับฟ้องจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาในข้อหาดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้ยกฟ้องในข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาตามฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสี่
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีของโจทก์ตามฟ้องข้อ 2 มีมูลที่จะประทับฟ้องไว้พิจารณาสำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 หรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาคำฟ้องโจทก์ข้อ 2 แล้วโจทก์ไม่บรรยายว่า ข้อความเท็จในบัญชีผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ที่โจทก์อ้างเป็นมูลเพื่อขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ และฐานลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัทเพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้นั้น มีข้อความอย่างไร หรือเป็นความเท็จด้วยเหตุใด และความจริงเป็นอย่างไร ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ไม่ยอมออกใบหุ้นให้แก่โจทก์ โจทก์ก็มิได้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดและจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ไม่เคยมีหนังสือเรียกประชุมผู้ถือหุ้นให้แก่โจทก์ทราบมาก่อนก็ไม่มีรายละเอียดของการกระทำว่าเป็นการเรียกประชุมครั้งใด เมื่อวันที่เท่าใด อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 41 และ 42 อีกทั้งคำขอท้ายฟ้องก็ไม่ได้อ้างบทบัญญัติความผิดอื่นมาด้วย ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) (6) ไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ ส่วนจำเลยที่ 1 แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 บัญญัติว่า คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด ซึ่งหมายถึงคู่ความไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้คดีมีมูลได้ แต่หากคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกา และศาลฎีกา เห็นว่าฟ้องข้อ 2 ไม่ชอบ ซึ่งต้องพิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 จึงต้องยกฟ้องจำเลยที่ 1 ตามฟ้องข้อนี้ด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องของโจทก์ในข้อ 2.1 และข้อ 3 เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์อ้างข้อเท็จจริงรับตามคำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสี่ตามฟ้องข้อ 2 เป็นความผิดต่อเนื่องกับฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยมาข้างต้นแล้วว่าฟ้องข้อ 2 เป็นฟ้องที่ไม่ชอบ นอกจากนี้เมื่อพิจารณาข้ออ้างอื่นตามฎีกาโจทก์ และพิเคราะห์จากฟ้องข้อ 2.1 ที่โจทก์บรรยายว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันแจ้งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ผู้มีอำนาจหน้าที่รับจดแจ้งรายการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับบริษัทจำกัด โดยจำเลยทั้งสี่ร่วมกันแจ้งต่อนายทะเบียนว่า มีการประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 1/2561 และครั้งที่ 1/2563 มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจและผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ในบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น หากโจทก์จะอ้างว่าการกระทำตามฟ้องข้อ 2.1 และ ข้อ 3 เป็นการกระทำต่อเนื่องจากฟ้องข้อ 2 ซึ่งบรรยายฟ้องไว้ว่าเหตุเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 5 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 16 กันยายน 2560 แต่โดยปกติทั่วไปการประชุมสามัญประจำปี 2561 และปี 2563 ก็ย่อมต้องมีการประชุมในปีนั้น ๆ เมื่อโจทก์บรรยายมาในฟ้องข้อ 2.1 และ ข้อ 3 ว่า การกระทำผิดเกิดจากการประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 1/2561 และครั้งที่ 1/2563 ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่การกระทำตามฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 5 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 16กันยายน 2560 โจทก์จึงไม่อาจอ้างได้ว่าเวลากระทำความผิดตามฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 เกิดขึ้นในวันที่ 5 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 16 กันยายน 2560 ตามที่บรรยายไว้ในฟ้องข้อ 2 ประกอบการกระทำของจำเลยทั้งสี่ตามคำฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 ที่โจทก์อ้างถึงตั้งแต่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันโอนหุ้นของโจทก์โดยใช้นายชัยรัตน์ บิดาโจทก์เป็นเครื่องมือนั้นอาจเป็นการกระทำในวันเวลาใดก็ได้ก่อนที่จะมีการประชุมสามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2561 และครั้งที่ 1/2563 แต่ฟ้องโจทก์ข้อ 2.1 และข้อ 3 กลับไม่ได้บรรยายวันเวลาแห่งการกระทำใด ๆ ไว้เลย ฟ้องโจทก์ข้อ 2.1 และ ข้อ 3 จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 สำหรับฟ้องข้อ 2 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
เมื่อพิจารณาคำฟ้องโจทก์ข้อ 2 แล้ว โจทก์ไม่บรรยายว่า ข้อความเท็จในบัญชีผู้ถือหุ้นของจําเลยที่ 1 ที่โจทก์อ้างเป็นมูลเพื่อขอให้ลงโทษจําเลยทั้งสี่ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ และฐานลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัทเพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้นั้น มีข้อความอย่างไร หรือเป็นความเท็จด้วยเหตุใดและความจริงเป็นอย่างไร ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จําเลยทั้งสี่ไม่ยอมออกใบหุ้นให้แก่โจทก์ โจทก์ก็มิได้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดและจําเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ไม่เคยมีหนังสือเรียกประชุมผู้ถือหุ้นให้แก่โจทก์ทราบมาก่อน ก็ไม่มีรายละเอียดของการกระทำว่าเป็นการเรียกประชุมครั้งใด เมื่อวันที่เท่าใด อันจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ฯ มาตรา 41 และ 42 อีกทั้งคำขอท้ายฟ้องก็ไม่ได้อ้างบทบัญญัติความผิดอื่นมาด้วย ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) (6) ไม่อาจลงโทษจําเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ ส่วนจําเลยที่ 1 แม้ตามป.วิ.อ. มาตรา 170 บัญญัติว่า คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด ซึ่งหมายถึง คู่กรณีไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้คดีมีมูลได้ แต่หากคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาและศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องไม่ชอบ ซึ่งต้องพิพากษายกฟ้อง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ มาตรา 225
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 137, 267, 268, 352 และพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 41, 42 (1), (2) ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหาย 500,000 บาท เท่ากับจำนวนหุ้นของโจทก์และให้จำเลยที่ 4 โอนหุ้น 5,000 หุ้น ให้แก่โจทก์ และนับโทษจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 648/2564 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 649/2564 ของศาลอาญา
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะข้อหาตามฟ้องข้อ 2 เฉพาะจำเลยที่ 1 ให้ประทับฟ้องจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาในข้อหาดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้ยกฟ้องในข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาตามฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสี่
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีของโจทก์ตามฟ้องข้อ 2 มีมูลที่จะประทับฟ้องไว้พิจารณาสำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 หรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาคำฟ้องโจทก์ข้อ 2 แล้วโจทก์ไม่บรรยายว่า ข้อความเท็จในบัญชีผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ที่โจทก์อ้างเป็นมูลเพื่อขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ และฐานลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัทเพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้นั้น มีข้อความอย่างไร หรือเป็นความเท็จด้วยเหตุใด และความจริงเป็นอย่างไร ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ไม่ยอมออกใบหุ้นให้แก่โจทก์ โจทก์ก็มิได้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดและจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ไม่เคยมีหนังสือเรียกประชุมผู้ถือหุ้นให้แก่โจทก์ทราบมาก่อนก็ไม่มีรายละเอียดของการกระทำว่าเป็นการเรียกประชุมครั้งใด เมื่อวันที่เท่าใด อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 41 และ 42 อีกทั้งคำขอท้ายฟ้องก็ไม่ได้อ้างบทบัญญัติความผิดอื่นมาด้วย ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) (6) ไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ ส่วนจำเลยที่ 1 แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 บัญญัติว่า คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด ซึ่งหมายถึงคู่ความไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้คดีมีมูลได้ แต่หากคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกา และศาลฎีกา เห็นว่าฟ้องข้อ 2 ไม่ชอบ ซึ่งต้องพิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 จึงต้องยกฟ้องจำเลยที่ 1 ตามฟ้องข้อนี้ด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องของโจทก์ในข้อ 2.1 และข้อ 3 เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์อ้างข้อเท็จจริงรับตามคำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสี่ตามฟ้องข้อ 2 เป็นความผิดต่อเนื่องกับฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยมาข้างต้นแล้วว่าฟ้องข้อ 2 เป็นฟ้องที่ไม่ชอบ นอกจากนี้เมื่อพิจารณาข้ออ้างอื่นตามฎีกาโจทก์ และพิเคราะห์จากฟ้องข้อ 2.1 ที่โจทก์บรรยายว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันแจ้งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ผู้มีอำนาจหน้าที่รับจดแจ้งรายการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับบริษัทจำกัด โดยจำเลยทั้งสี่ร่วมกันแจ้งต่อนายทะเบียนว่า มีการประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 1/2561 และครั้งที่ 1/2563 มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจและผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ในบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น หากโจทก์จะอ้างว่าการกระทำตามฟ้องข้อ 2.1 และ ข้อ 3 เป็นการกระทำต่อเนื่องจากฟ้องข้อ 2 ซึ่งบรรยายฟ้องไว้ว่าเหตุเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 5 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 16 กันยายน 2560 แต่โดยปกติทั่วไปการประชุมสามัญประจำปี 2561 และปี 2563 ก็ย่อมต้องมีการประชุมในปีนั้น ๆ เมื่อโจทก์บรรยายมาในฟ้องข้อ 2.1 และ ข้อ 3 ว่า การกระทำผิดเกิดจากการประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 1/2561 และครั้งที่ 1/2563 ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่การกระทำตามฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 5 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 16กันยายน 2560 โจทก์จึงไม่อาจอ้างได้ว่าเวลากระทำความผิดตามฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 เกิดขึ้นในวันที่ 5 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 16 กันยายน 2560 ตามที่บรรยายไว้ในฟ้องข้อ 2 ประกอบการกระทำของจำเลยทั้งสี่ตามคำฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 ที่โจทก์อ้างถึงตั้งแต่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันโอนหุ้นของโจทก์โดยใช้นายชัยรัตน์ บิดาโจทก์เป็นเครื่องมือนั้นอาจเป็นการกระทำในวันเวลาใดก็ได้ก่อนที่จะมีการประชุมสามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2561 และครั้งที่ 1/2563 แต่ฟ้องโจทก์ข้อ 2.1 และข้อ 3 กลับไม่ได้บรรยายวันเวลาแห่งการกระทำใด ๆ ไว้เลย ฟ้องโจทก์ข้อ 2.1 และ ข้อ 3 จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 สำหรับฟ้องข้อ 2 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 บัญญัติให้มีความผิดมูลฐานเพื่อกำหนดประเภทของความผิดอาญาที่นำมาใช้เป็นฐานในการดำเนินคดีอาญาฐานฟอกเงินต่อบุคคลที่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อทรัพย?สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน และดำเนินการทางแพ่งร้องขอให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินเท่านั้น หาได้บัญญัติความผิดมูลฐานขึ้นมาเป็นฐานความผิดใหม่เพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดเหมือนดังเช่นความผิดอาญาทั่วไปไม่ ดังนั้น การพิจารณาองค์ประกอบของความผิดมูลฐานจึงไม่จำต้องพิจารณาแยกเป็นรายกรรมเหมือนความผิดอาญาทั่วไป แต่ต้องพิจารณาตามบทนิยามของความผิดมูลฐานนั้น ๆ เมื่อความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) ได้กำหนดองค์ประกอบของความผิดในส่วนวงเงินในการกระทําความผิดเพียงว่า มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค?าตั้งแต?ห?าล?านบาทขึ้นไป โดยมิได้ระบุว่าเป็นวงเงินในการกระทำความผิดแต่ละครั้ง จึงต้องพิจารณาองค์ประกอบของความผิดมูลฐานในส่วนดังกล่าวจากวงเงินในการเล่นการพนันที่จัดให้มีขึ้นทั้งหมด หากจัดให้มีการเล่นการพนันหลายครั้งต่อเนื่องกันก็ต้องพิจารณาจากวงเงินในการเล่นการพนันทุกครั้งรวมกัน
บ่อนการพนันทั้งสามแห่งจัดให้มีการเล่นการพนันหมุนเวียนกัน เปิดให้เล่นทั้งกลางวันและกลางคืน มีนักพนันหมุนเวียนกันเข้ามาเล่น บางช่วงเวลาถึงกับต้องรอคิวที่จะเล่น โดยเปิดให้เล่นการพนันประเภทไพ่ป๊อกบ่อนละประมาณ 2 ถึง 5 โต๊ะ มีตั้งแต่โต๊ะที่เปิดให้เล่นในราคา 50 บาท 100 บาท 200 บาท 500 บาท 1,000 บาท และ 2,000 บาท หากมีผู้เล่นจำนวนมากก็จะเปิดโต๊ะพนันเพิ่ม การเล่นใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที ต่อตา ผู้เล่นสามารถแทงกับเจ้ามือกี่คนก็ได้ ในการเล่นแต่ละตาหากเป็นโต๊ะ 100 บาท จะมีเงินสะพัดประมาณ 10,000 บาท หากโต๊ะใหญ่ขึ้นจะมีเงินสะพัดประมาณ 30,000 ถึง 60,000 บาท ประกอบกับได้ความว่าทางบ่อนยังรับจำนำทรัพย์สินต่าง ๆ ของผู้เข้าเล่นที่เสียการพนันจนหมดเพื่อนำเงินไปเล่นต่อ โดยในวันเข้าตรวจค้นเจ้าพนักงานสามารถยึดกุญแจรถจักรยานยนต์ที่รับจำนำได้ถึง 63 ดอก แสดงว่าบ่อนทั้งสามแห่งมีวงเงินในการเล่นการพนันมีมูลค่าสูง นอกจากนี้ยังได้ความจาก ธ. ว่าเป็นหนี้การพนันค้างชำระผู้คัดค้านที่ 1 จำนวนมาก จึงโอนที่ดินสี่แปลงพร้อมอาคารสี่ชั้นตีราคาใช้หนี้การพนันประมาณ 15,000,000 บาท คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 อันเป็นมาตรการทางแพ่ง การพิสูจน์ถึงการกระทำความผิดมูลฐานต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ผู้ร้องหาจำต้องนำสืบถึงขนาดให้รับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยเหมือนดังเช่นคดีอาญาไม่ เมื่อพิจารณาจำนวนหนี้การพนันของ ธ. ที่ค้างชำระแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ประกอบพฤติการณ์ที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งเป็นบ่อนการพนันที่มีวงเงินในการเล่นการพนันมีมูลค่าสูงและเปิดให้เล่นการพนันต่อเนื่องกันมาหลายครั้งเป็นเวลานานหลายปีแล้ว พยานหลักฐานผู้ร้องมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป อันเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกผู้ร้องทั้งสองสำนวนว่า ผู้ร้อง เรียกผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ทั้งสองสำนวนว่า ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ตามลำดับ และเรียกผู้คัดค้านที่ 3 สำนวนแรกว่า ผู้คัดค้านที่ 3
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องทั้งสองสำนวนเป็นใจความว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการพนัน คือ เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป และได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าวอันเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยผู้คัดค้านที่ 1 มีพฤติการณ์เปิดให้มีการเล่นการพนันมาตั้งแต่ปี 2548 กรณีปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสามประเภททองคำแท่ง ทองคำรูปพรรณ พระเลี่ยมทองคำ งาแกะเลี่ยมทองคำ พระเนื้อต่าง ๆ เครื่องประดับทองคำขาว เหรียญที่ระลึก จตุคาม เหรียญกษาปณ์ ธนบัตรไทย โทรศัพท์เคลื่อนที่ นาฬิกาข้อมือ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ที่ดินและสิทธิการรับจำนองที่ดิน รวมทั้งเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารต่าง ๆ รวม 344 รายการ และ 4 รายการ ในสำนวนแรกและสำนวนหลัง ราคาประเมิน 92,239,901.87 บาท และ 2,054,000 บาท ตามลำดับ เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวพร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนและประกาศตามกฎหมายแล้ว
ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำคัดค้านทั้งสองสำนวนเป็นใจความว่าขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างไต่สวน นางรวงทิพย์ยื่นคำคัดค้านไม่ให้ทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินท้ายคำร้องในสำนวนแรก ลำดับที่ 66 ตกเป็นของแผ่นดิน ต่อมานางรวงทิพย์ขอถอนคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก รายการที่ 1 ถึง 9, 16, 26, 32 ถึง 71, 73 ถึง 87, 94 ถึง 117, 124 ถึง 153, 160 ถึง 165, 178 ถึง 228, 230, 231, 244 ถึง 279, 281 ถึง 313, 315 ถึง 321, 323 ถึง 330, 339 ถึง 344 และทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนหลัง รายการที่ 3 และ 4 ตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง คืนทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก รายการที่ 10 ถึง 15, 27 ถึง 31, 88 ถึง 93, 118 ถึง 123, 154 ถึง 159, 166 ถึง 177, 229, 232 ถึง 243, 280, 314, 322, 331 ถึง 336 แก่ผู้คัดค้านที่ 1 คืนทรัพย์สินรายการที่ 72, 337 และ 338 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินเดียวกันให้แก่ผู้คัดค้านที่ 3 และคืนรถจักรยานยนต์ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนหลัง รายการที่ 1 และ 2 แก่ผู้คัดค้านที่ 2 โดยให้ถือเอาบัญชีรายการทรัพย์สินทั้งสองสำนวนเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาฉบับนี้ด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำร้องของผู้ร้องบรรยายว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป ซึ่งไม่อยู่ในความหมายของความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ที่ให้หมายความว่า การเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีจำนวนผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นแต่ละครั้งเกินกว่าหนึ่งร้อยคน หรือมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าเกินกว่าสิบล้านบาทขึ้นไป อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการตรวจค้นอาคารทั้งสามแห่งในคดีนี้ กรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์เป็นความผิดมูลฐานที่จะร้องขอให้ทรัพย์สินที่ยึดตกเป็นของแผ่นดิน พิพากษากลับให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เป็นมาตรการทางแพ่ง มติของคณะกรรมการธุรกรรมที่เชื่อว่าทรัพย์สินตามที่ตรวจสอบและมีคำสั่งให้ยึดหรืออายัดไว้เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน และให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินส่งเรื่องให้ผู้ร้องพิจารณายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ต้องพิจารณาตามบทนิยามของกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติและเลขาธิการส่งเรื่องให้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลว่าในขณะดังกล่าวทรัพย์สินที่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินนั้นเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานหรือไม่ การที่ผู้ร้องบรรยายคำร้องว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป จึงเป็นการบรรยายคำร้องตามบทนิยามความผิดมูลฐานของมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) ที่แก้ไขโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติให้ส่งเรื่องให้ผู้ร้องพิจารณายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินแล้ว พิพากษากลับ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาคดีใหม่ในปัญหาตามอุทธรณ์ข้ออื่นของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 10 ถึง 15 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก และให้คืนทรัพย์สินรายการที่ 26, 34, 36 ถึง 38, 178 ถึง 228, 303 ถึง 313, 315 ถึง 321 และ 323 ถึง 330 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้น กับทรัพย์สินรายการที่ 4 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนหลัง พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 กับให้คืนทรัพย์สินรายการที่ 2, 3, 10 ถึง 12 และ 19 ถึง 25 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 แต่ให้ทรัพย์สินรายการที่ 13 ถึง 15, 17 และ 18 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า เจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าพนักงานตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พระพุทธศักราช 2457 เข้าตรวจค้นอาคารที่สืบทราบว่ามีการจัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งตั้งอยู่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก รวม 3 แห่ง โดยวันที่ 6 มิถุนายน 2557 ตรวจค้นบ้านเลขที่ 26/1 เป็นบ้านพักไม้สองชั้น พบไพ่พลาสติก 186 สำรับ มีนายสุรชัยและนางศศิอ้างว่าเป็นเจ้าของบ้าน วันที่ 7 มิถุนายน 2557 ตรวจค้นอาคารเลขที่ 289/4 ด้านหน้าเป็นบ้านชั้นเดียว ด้านหลังมีทางเชื่อมต่อไปยังโกดัง พบไพ่ป๊อก 4 สำรับ กับแผ่นพลาสติก (ชิป) 33 แผ่น มีนายพิษณุแสดงตัวเป็นผู้ครอบครองบ้าน โดยอ้างว่าเป็นบ้านของพี่ชายตน และวันที่ 9 มิถุนายน 2557 ตรวจค้นโรงแรม จ. ที่ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นเจ้าของ พบนางกานต์สิรี พนักงานของโรงแรมดังกล่าว ขับรถยนต์จะออกจากโรงแรม ตรวจค้นภายในรถพบกุญแจรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวม 16 ดอก กุญแจประตู 14 อัน ชิปวงกลมสำหรับใช้เล่นการพนันพื้นสีแดงมีหมายเลข 50 อัน ชิปวงกลมสำหรับใช้เล่นการพนันพื้นสีเหลืองมีหมายเลข 49 อัน เหรียญพลาสติกสีต่าง ๆ สำหรับใช้เล่นการพนัน 40 อัน แผ่นพลาสติกสีเขียว สีส้ม สีเหลืองทรงสี่เหลี่ยม 13 อัน ลูกเต๋า 3 ลูก ไพ่ป๊อก 4 สำรับ กุญแจรถยนต์ 1 ดอก และอื่น ๆ ตรวจค้นห้องพักคนงานของโรงแรม พบกุญแจรถจักรยานยนต์ 63 ดอก สมุดเงินฝากธนาคาร 1 เล่ม ไพ่ป๊อก 4 สำรับ กุญแจรถยนต์ 1 ดอก พระเครื่อง 1 องค์ ใบซื้อ-ขายฝากทองคำ 1 ฉบับ แผ่นป้ายทะเบียนรถ 1 แผ่น และอื่น ๆ ตรวจค้นรถยนต์ของผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรผู้คัดค้านที่ 1 ที่จอดอยู่ในโรงแรม พบทองคำแท่งน้ำหนักแท่งละ 1 บาท 27 แท่ง พระเครื่องกรอบสีทอง 9 องค์ สร้อยคอสีทองพร้อมพระเครื่องกรอบสีทอง 2 องค์ สร้อยสีทอง 6 เส้น สร้อยสีเงินพร้อมพระเครื่อง 1 เส้น กำไลข้อมือสีขาว 2 วง กำไลข้อมือสีทอง 6 วง แหวนสีขาว 2 วง และแหวนสีทอง 5 วง อยู่ในกระเป๋าสะพาย และตรวจค้นห้องพักในโรงแรมซึ่งเป็นห้องพักไม่มีหมายเลขอยู่ตรงข้ามกับห้องพักหมายเลข 101 โดยมีผู้คัดค้านที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรผู้คัดค้านที่ 1 และเป็นผู้ดูแลโรงแรมนำตรวจค้น พบสมุดบัญชีธนาคารต่าง ๆ 10 เล่ม ทะเบียนรถจักรยานยนต์และรถยนต์อย่างละเล่ม ตู้นิรภัย 1 ใบ กระเป๋าเอกสาร 1 ใบ ภายในมีโฉนดที่ดิน 45 ฉบับ โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง กล่องสีแดงภายในมีสร้อยคอทองคำ 1 เส้น พร้อมพระเลี่ยมทองคำ 1 องค์ นาฬิกา 1 เรือน กระเป๋าสตางค์ 2 ใบ ภายในมีเงินสด 18,520 บาท และ 45,500 บาท เงินสดอยู่ข้างเตียงนอน 10,000 บาท และกระเป๋าหนังภายในมีเงินสด 70,920 บาท และอื่น ๆ ต่อมาวันที่ 10 มิถุนายน 2557 ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและเจ้าพนักงานตำรวจเปิดตู้นิรภัย พบเงินสด 26,000 บาท พระเครื่องกรอบสีทอง 71 องค์ แหวนสีเงิน 5 วง แหวนสีทองหัวแก้วสีขาวและสีอื่น 30 วง ต่างหูสีทอง 3 ชิ้น จี้สีทอง 3 ชิ้น แก้วสีฟ้า 1 ชิ้น กำไลสีทองฝังแก้วคล้ายเพชร 1 วง กำไลสีเงิน 2 วง สร้อยข้อมือสีทอง 1 เส้น สร้อยข้อมือสีมุก 1 เส้น กำไลหยก 1 วง เข็มขัดสีทอง สร้อยคอสีดำ สร้อยข้อมือสีทองน้ำหนักรวมประมาณ 3,544.4 กรัม และเงินเหรียญประมาณ 4,000 บาท พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาผู้คัดค้านที่ 1 ว่ากระทำความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานฟอกเงิน และมีหนังสือรายงานต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 พนักงานอัยการพิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้คัดค้านที่ 1 แต่คณะกรรมการธุรกรรมพิจารณาแล้วมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้คัดค้านที่ 1 กับพวกมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว จึงมีมติมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมและทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ระหว่างตรวจสอบคณะกรรมการธุรกรรมได้มีมติและเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินได้มีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสามไว้ชั่วคราวหลายรายการ อาทิ ทองคำแท่ง ทองคำรูปพรรณ พระเครื่องเนื้อทองคำ พระเครื่องเลี่ยมทองคำ ธนบัตรไทย รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ที่ดิน เงินในบัญชีเงินฝากธนาคารต่าง ๆ ต่อมาในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 3/2559 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 และครั้งที่ 6/2559 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2559 คณะกรรมการธุรกรรมพิจารณาแล้ว กรณีปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสามรวม 344 รายการ ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก รวมราคาประเมิน 92,239,901.87 บาท และรวม 4 รายการ ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนหลัง รวมราคาประเมิน 2,054,000 บาท เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน จึงมีมติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินส่งเรื่องให้ผู้ร้องพิจารณาเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสามตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ว่า มีการจัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไปหรือไม่ เห็นว่า พยานผู้ร้องเบิกความถึงลักษณะและวิธีการเล่นรวมทั้งสถานที่ที่เข้าไปเล่นการพนันอย่างละเอียดสอดคล้องต้องกัน หากพยานไม่ได้เข้าไปเล่นจริงก็ไม่น่าจะเบิกความในรายละเอียดได้เช่นนั้น ส่วนที่พยานเบิกความเกี่ยวกับจำนวนโต๊ะและราคาที่เปิดให้เล่นในแต่ละโต๊ะแตกต่างกันไปบ้าง น่าจะเป็นเพราะพยานเหล่านั้นไปเล่นคนละวันกันข้อแตกต่างดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นพิรุธ โดยเฉพาะพยานปากนายอนุสรณ์ นางนันทพร นางชุติมา นางมาริสา และนางนิตยา ยังได้จำนำรถจักรยานยนต์ไว้ที่บ่อนบ้านเลขที่ 289/4 และบ่อนบ้านเลขที่ 26/1 ซึ่งภายหลังเจ้าพนักงานยึดกุญแจรถคันที่จำนำได้จากโรงแรม จ. ยิ่งสนับสนุนคำเบิกความของพยานดังกล่าวที่ยืนยันถึงการเข้าไปเล่นการพนันให้หนักแน่นขึ้นไปอีก จึงเชื่อว่าพยานผู้ร้องเบิกความเกี่ยวกับการเล่นการพนันที่เกิดขึ้นตามที่ได้พบเห็นมาจริง เหตุที่ในวันตรวจค้นเจ้าพนักงานไม่พบการเล่นการพนันนั้น น่าจะเป็นเพราะเจ้าพนักงานได้ตรวจค้นบ่อนการพนันที่อาคารข้างโรงแรม ล. และที่โรงแรม อ. ในพื้นที่อำเภอเมืองพิษณุโลกตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2557 ก่อนการตรวจค้นบ่อนการพนันทั้งสามแห่งในคดีนี้ 2 ถึง 5 วัน ย่อมทำให้ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันไหวตัวและขนย้ายอุปกรณ์ที่ใช้เล่นการพนันออกจากบ่อนการพนันทั้งสามแห่งซึ่งอยู่ในท้องที่เดียวกันตั้งแต่ก่อนที่เจ้าพนักงานเข้าไปตรวจค้นแล้ว อย่างไรก็ตาม ในวันตรวจค้นเจ้าพนักงานยังยึดได้ไพ่ป๊อก 4 สำรับ กับแผ่นพลาสติก (ชิป) 33 แผ่น ที่บ้านเลขที่ 289/4 ยึดได้ไพ่พลาสติก 186 สำรับ ที่บ้านเลขที่ 26/1 และยึดได้กุญแจรถจักรยานยนต์ที่รับจำนำ 63 ดอก ที่ห้องพักคนงานในโรงแรม จ. นอกจากนี้ยังยึดกุญแจรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวม 16 ดอก ชิปวงกลมพื้นสีแดง 50 อัน ชิปวงกลมพื้นสีเหลือง 49 อัน เหรียญพลาสติกสีต่าง ๆ 40 อัน แผ่นพลาสติกสีเขียว สีส้ม สีเหลืองทรงสี่เหลี่ยม 13 อัน ลูกเต๋า 3 ลูก ไพ่ป๊อก 4 สำรับ ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้เล่นการพนันในบ่อนได้จากในรถยนต์ของนางกานต์สิรี พนักงานของโรงแรม จ. ขณะจะขับออกจากโรงแรม สอดคล้องกับคำเบิกความของพยานผู้ร้อง ที่นางกานต์สิรีเบิกความเป็นพยานผู้คัดค้านทั้งสามว่า สิ่งของที่เจ้าพนักงานตรวจยึดเป็นของเพื่อนชื่อเมย์ซึ่งลืมไว้ในรถยนต์ที่ขอยืมจากนางกานต์สิรีไปขนของย้ายห้องนั้น เป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งในชั้นสอบสวนนางกานต์สิรีให้การว่าตนเป็นลูกค้าที่มาสอบถามห้องพักแต่ห้องพักเต็มจึงขับรถออกไป อันเป็นการบิดเบือนความจริงเพื่อไม่ให้เชื่อมโยงไปถึงโรงแรม จ. ที่ตนเองทำงานอยู่ คำเบิกความของนางกานต์สิรีจึงไม่น่าเชื่อถือ พยานหลักฐานผู้ร้องรับฟังได้ว่า มีการจัดให้มีการเล่นการพนันที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งโดยไม่ได้รับอนุญาตหลายครั้งตั้งแต่ปี 2550 ต่อเนื่องมาถึงปี 2557 ก่อนเจ้าพนักงานเข้าตรวจค้น สำหรับผู้จัดให้มีการเล่นการพนันนั้น พยานผู้ร้องที่จำนำรถจักรยานยนต์ที่บ่อนการพนันเบิกความว่า ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันคือเจ๊เบี้ยว ซึ่งเป็นชื่อเล่นของผู้คัดค้านที่ 1 แม้พยานเหล่านั้นจะไม่ยืนยันว่าเจ๊เบี้ยวคือผู้คัดค้านที่ 1 แต่พยานผู้ร้องปากนางสาวธมนพัชร์ นางธนธิปหรือธันยพร และนางกมลวรรณ ซึ่งรู้จักผู้คัดค้านที่ 1 มาก่อน และมีโอกาสพูดคุยกับผู้คัดค้านที่ 1 เกี่ยวกับการเข้าไปเล่นการพนันที่บ่อนดังกล่าว เบิกความยืนยันว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันที่บ่อนการพนันทั้งสามแห่ง โดยไม่ปรากฏว่าพยานทั้งสามปากมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้คัดค้านที่ 1 มาก่อน คำเบิกความจึงมีน้ำหนักให้รับฟัง นอกจากนี้ยังได้ความจากนางยุพินพยานผู้ร้องว่า พยานเคยไปเล่นการพนันที่บ่อนบ้านคลอง แต่ถูกผู้คัดค้านที่ 1 จับได้ว่าพยานสับเปลี่ยนไพ่ จึงยึดรถยนต์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของพยานไว้เป็นประกัน พยานไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจในข้อหากรรโชกทรัพย์ สอดคล้องกับสำเนาบันทึกคำให้การของพยานในฐานะผู้กล่าวหาในคดีดังกล่าว โดยได้ความเพิ่มเติมจากพันตำรวจเอกสามารถ พยานผู้ร้องซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนในคดีกรรโชกทรัพย์ตอบทนายผู้คัดค้านทั้งสามถามค้านว่า คดีดังกล่าวพยานสอบปากคำนายเอกราช นายเอกราชให้การว่าเป็นลูกน้องของเจ๊เบี้ยวหรือผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของบ่อนการพนันเลขที่ 26/1 และสอบปากคำผู้คัดค้านที่ 1 ในฐานะผู้ต้องหา ผู้คัดค้านที่ 1 ให้การว่านางยุพินเล่นการพนันโกงสับเปลี่ยนไพ่ ความข้อนี้ผู้คัดค้านที่ 1 เบิกความตอบทนายผู้คัดค้านทั้งสามถามติงยอมรับว่า ในวันเกิดเหตุกรรโชกทรัพย์ ผู้คัดค้านที่ 1 ไปที่เกิดเหตุจริง เจือสมกับคำเบิกความของนางยุพิน เพียงแต่บ่ายเบี่ยงเป็นว่านายสราวุธโทรศัพท์บอกให้ไปดูนางยุพินว่าเกิดอะไรขึ้น คำเบิกความของนางยุพินจึงเชื่อถือได้ พฤติการณ์ของผู้คัดค้านที่ 1 ดังที่ได้ความจากนางยุพินชี้ชัดว่าผู้คัดค้านที่ 1 มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดให้มีการเล่นการพนันที่บ่อนบ้านเลขที่ 26/1 หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าบ่อนบ้านคลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าพนักงานยึดกุญแจรถจักรยานยนต์ที่ผู้เล่นการพนันจำนำไว้ที่บ่อนบ้านเลขที่ 289/4 และบ่อนบ้านเลขที่ 26/1 ได้จากห้องพักคนงานในโรงแรม จ. จำนวนมาก หากผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับบ่อนการพนันดังกล่าวย่อมไม่มีเหตุที่จะนำกุญแจรถจักรยานยนต์ที่รับจำนำมาเก็บไว้ที่โรงแรมของผู้คัดค้านที่ 1 ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 นำสืบว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบ่อนการพนันและไม่ได้จัดให้มีการเล่นการพนันที่สถานที่ทั้งสามแห่งนั้น คงมีแต่ผู้คัดค้านทั้งสามเบิกความลอย ๆ และนางกานต์สิรีซึ่งเบิกความเป็นพิรุธไม่น่าเชื่อถือ ที่นายสุรชัย สามีนางศศิ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 26/1 เบิกความเป็นพยานผู้คัดค้านทั้งสามว่า ไม่รู้จักผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 1 ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบ้านหลังดังกล่าว ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งยังขัดกับคำเบิกความของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ยอมรับว่าได้ไปที่บ้านเลขที่ 26/1 ในวันเกิดเหตุกรรโชกทรัพย์นางยุพินในปี 2551 คำเบิกความของนายสุรชัยจึงไม่น่าเชื่อถือ พยานปากอื่นของผู้คัดค้านทั้งสามนอกจากนี้ก็ล้วนแต่อ้างเพียงว่าพยานไม่เคยทราบว่าผู้คัดค้านที่ 1 เกี่ยวข้องกับการเล่นการพนันเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อนำสืบที่เลื่อนลอยไม่น่าเชื่อถือเช่นกัน พยานหลักฐานผู้ร้องมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานผู้คัดค้านทั้งสาม ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันในสถานที่ที่เจ้าพนักงานตรวจค้นทั้งสามแห่ง ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกาในทำนองว่า คำนวณจำนวนเงินที่เล่นการพนันตามคำเบิกความของพยานผู้ร้องแล้ว ในการเล่นแต่ละครั้งมีวงเงินไม่ถึงห้าล้านบาท นั้น พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติให้ส่งเรื่องให้ผู้ร้องพิจารณายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน บัญญัติให้ความผิดมูลฐานตามอนุมาตรานี้หมายความว่า “ความผิดเกี่ยวกับการพนันตามกฎหมายว?าด?วยการพนัน เฉพาะความผิดเกี่ยวกับการเป?นผู?จัดให?มีการเล?นการพนันโดยไม?ได?รับอนุญาตโดยมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต?ห?าล?านบาทขึ้นไป หรือเป?นการจัดให?มีการเล?นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์” เห็นว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 บัญญัติให้มีความผิดมูลฐานเพื่อกำหนดประเภทของความผิดอาญาที่นำมาใช้เป็นฐานในการดำเนินคดีอาญาฐานฟอกเงินต่อบุคคลที่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อทรัพย?สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน และดำเนินการทางแพ่งร้องขอให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินเท่านั้น หาได้บัญญัติความผิดมูลฐานขึ้นมาเป็นฐานความผิดใหม่เพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดเหมือนดังเช่นความผิดอาญาทั่วไปไม่ ดังนั้น การพิจารณาองค์ประกอบของความผิดมูลฐานจึงไม่จำต้องพิจารณาแยกเป็นรายกรรมเหมือนความผิดอาญาทั่วไป แต่ต้องพิจารณาตามบทนิยามของความผิดมูลฐานนั้น ๆ เมื่อความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) ได้กำหนดองค์ประกอบของความผิดในส่วนวงเงินในการกระทำความผิดเพียงว่า มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค?าตั้งแต?ห?าล?านบาทขึ้นไป โดยมิได้ระบุว่าเป็นวงเงินในการกระทำความผิดแต่ละครั้ง จึงต้องพิจารณาองค์ประกอบของความผิดมูลฐานในส่วนดังกล่าวจากวงเงินในการเล่นการพนันที่จัดให้มีขึ้นทั้งหมด หากจัดให้มีการเล่นการพนันหลายครั้งต่อเนื่องกันก็ต้องพิจารณาจากวงเงินในการเล่นการพนันทุกครั้งรวมกัน ในประเด็นข้อนี้ ได้ความจากพยานผู้ร้องซึ่งเคยไปเล่นการพนันที่บ่อนการพนันทั้งสามแห่งว่า บ่อนการพนันทั้งสามแห่งจัดให้มีการเล่นการพนันหมุนเวียนกัน เปิดให้เล่นทั้งกลางวันและกลางคืน มีนักพนันหมุนเวียนกันเข้ามาเล่น บางช่วงเวลาถึงกับต้องรอคิวที่จะเล่น โดยเปิดให้เล่นการพนันประเภทไพ่ป๊อกบ่อนละประมาณ 2 ถึง 5 โต๊ะ มีตั้งแต่โต๊ะที่เปิดให้เล่นในราคา 50 บาท 100 บาท 200 บาท 500 บาท 1,000 บาท และ 2,000 บาท หากมีผู้เล่นจำนวนมากก็จะเปิดโต๊ะพนันเพิ่ม ส่วนวิธีการเล่นได้ความจากนางมาริสาพยานผู้ร้องว่า แต่ละคนจะมีชิปและป้ายวงกลมซึ่งระบุหมายเลขของหลุมไว้ คนเล่นจะไปประจำยังหลุมหมายเลขที่ตนเองได้รับ จะเก็บเงินเมื่อเปิดไพ่แล้ว มีเจ้ามือเรียกว่าแม่ไก่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับคนเล่นซึ่งแต่ละโต๊ะจะมี 5 ถึง 6 คน แจกไพ่ให้คนละ 2 ใบ 25 คน แจกไพ่เสร็จหงายไพ่เลย ใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที ต่อตา ผู้เล่นสามารถแทงกับเจ้ามือกี่คนก็ได้ หากเลือกแทงกับเจ้ามือหลายคนก็ต้องใช้เงินมากขึ้น ผู้เล่นแทงได้คนละ 2 มือ เช่น มีเจ้ามือ 10 คน แทงคนละ 100 บาท ต้องใช้เงิน 1,000 บาท ถ้าเล่น 2 มือ ต้องใช้เงิน 2,000 บาท ต่อตา ในการเล่นแต่ละตาหากเป็นโต๊ะ 100 บาท จะมีเงินสะพัดประมาณ 10,000 บาท หากโต๊ะใหญ่ขึ้นจะมีเงินสะพัดประมาณ 30,000 ถึง 60,000 บาท ประกอบกับได้ความว่าทางบ่อนยังรับจำนำทรัพย์สินต่าง ๆ ของผู้เข้าเล่นที่เสียการพนันจนหมดเพื่อนำเงินไปเล่นต่อ โดยในวันเข้าตรวจค้นเจ้าพนักงานสามารถยึดกุญแจรถจักรยานยนต์ที่รับจำนำได้ถึง 63 ดอก แสดงว่าบ่อนทั้งสามแห่งมีวงเงินในการเล่นการพนันมีมูลค่าสูง นอกจากนี้ยังได้ความจากนางธนธิปหรือธันยพรพยานผู้ร้องว่า พยานเป็นหนี้การพนันค้างชำระผู้คัดค้านที่ 1 จำนวนมาก จึงนำที่ดินโฉนดเลขที่ 217 และ 147840 ถึง 147842 รวมสี่แปลงพร้อมอาคารสี่ชั้น รวมเป็นเงินประมาณ 26,000,000 บาท ตีราคาใช้หนี้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 โดยการขายที่ดินโฉนดเลขที่ 217 เป็นแปลงแรกเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2550 เพื่อชำระหนี้การพนัน 7,000,000 บาท ส่วนที่ดินสามแปลงที่เหลือยอมให้ผู้คัดค้านที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์รวม และต่อมาเมื่อหนี้การพนันของพยานเพิ่มขึ้น ผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้พยานจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในส่วนของพยานให้ผู้คัดค้านที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียว ซึ่งความข้อนี้ผู้คัดค้านที่ 1 เบิกความโต้แย้งว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ซื้อที่ดินดังกล่าวจากนางธนธิปหรือธันยพรจริงในราคา 11,000,000 บาท เนื่องจากนางธนธิปหรือธันยพรเป็นหนี้ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เกือบ 20,000,000 บาท แต่ไม่มีเงินผ่อนชำระหนี้ ผู้คัดค้านที่ 1 จึงนำเงินไปชำระหนี้แทนจนได้ที่ดินทั้งสี่แปลง เห็นว่า หากนางธนธิปหรือธันยพรขายที่ดินทั้งสี่แปลงให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 โดยวิธีให้ผู้คัดค้านที่ 1 ชำระหนี้จำนองแก่ธนาคารแทนตนจริง นางธนธิปหรือธันยพรย่อมต้องจดทะเบียนขายที่ดินทั้งสี่แปลงให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ในวันเดียวกับวันจดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง แต่ตามสำเนาสารบัญจดทะเบียนด้านหลังโฉนดที่ดิน ปรากฏว่านางธนธิปหรือธันยพรจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินทั้งสี่แปลงจากธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมกันเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2550 แต่ในวันเดียวกันนั้นนางธนธิปหรือธันยพรจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 217 ให้ผู้คัดค้านที่ 1 เพียงแปลงเดียว ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 147840 ถึง 147842 นางธนธิปหรือธันยพรเพียงแต่จดทะเบียนให้ผู้คัดค้านที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์รวมกับตนโดยไม่มีค่าตอบแทน จากนั้นวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 จดทะเบียนจำนองที่ดินทั้งสามแปลงเฉพาะส่วนของตนไว้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 และวันที่ 12 ตุลาคม 2550 จดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสามแปลงชำระหนี้จำนองดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งขัดแย้งกับคำเบิกความของผู้คัดค้านที่ 1 แต่สอดคล้องกับที่นางธนธิปหรือธันยพรเบิกความข้างต้นและที่เบิกความตอบทนายผู้คัดค้านทั้งสามถามค้านว่า การจำนองดังกล่าวไม่ได้รับเงินจากผู้คัดค้านที่ 1 ทำให้น่าเชื่อว่านางธนธิปหรือธันยพรโอนที่ดินทั้งสี่แปลงพร้อมอาคารสี่ชั้นซึ่งมีราคารวมประมาณ 26,000,000 บาท ใช้หนี้การพนันแก่ผู้คัดค้านที่ 1 จริง แต่เมื่อนางธนธิปหรือธันยพรเบิกความตอบทนายผู้คัดค้านทั้งสามถามค้านยอมรับว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ให้เงินไปไถ่ถอนจำนอง 11,000,000 บาท จึงเป็นการตีราคาใช้หนี้การพนันเพียงประมาณ 15,000,000 บาท คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 อันเป็นมาตรการทางแพ่ง การพิสูจน์ถึงการกระทำความผิดมูลฐานต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ผู้ร้องหาจำต้องนำสืบถึงขนาดให้รับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยเหมือนดังเช่นคดีอาญาไม่ เมื่อพิจารณาจำนวนหนี้การพนันของนางธนธิปหรือธันยพรที่ค้างชำระแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ประกอบพฤติการณ์ที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งเป็นบ่อนการพนันที่มีวงเงินในการเล่นการพนันมีมูลค่าสูงและเปิดให้เล่นการพนันต่อเนื่องกันมาหลายครั้งเป็นเวลานานหลายปีดังวินิจฉัยมาข้างต้นแล้ว พยานหลักฐานผู้ร้องมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป อันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อโต้แย้งอื่นที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 อ้างมาในฎีกาเพราะเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า ทรัพย์สินที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ตกเป็นของแผ่นดินไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดนั้น ศาลฎีกาไม่ได้อนุญาตให้ฎีกา ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าผู้คัดค้านที่ 1 กระทำความผิดมูลฐาน และพิพากษาให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินจึงชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 บัญญัติให้มีความผิดมูลฐานเพื่อกำหนดประเภทของความผิดอาญาที่นำมาใช้เป็นฐานในการดำเนินคดีอาญาฐานฟอกเงินต่อบุคคลที่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อทรัพย?สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน และดำเนินการทางแพ่งร้องขอให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินเท่านั้น หาได้บัญญัติความผิดมูลฐานขึ้นมาเป็นฐานความผิดใหม่เพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดเหมือนดังเช่นความผิดอาญาทั่วไปไม่ ดังนั้น การพิจารณาองค์ประกอบของความผิดมูลฐานจึงไม่จำต้องพิจารณาแยกเป็นรายกรรมเหมือนความผิดอาญาทั่วไป แต่ต้องพิจารณาตามบทนิยามของความผิดมูลฐานนั้น ๆ เมื่อความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) ได้กำหนดองค์ประกอบของความผิดในส่วนวงเงินในการกระทําความผิดเพียงว่า มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค?าตั้งแต?ห?าล?านบาทขึ้นไป โดยมิได้ระบุว่าเป็นวงเงินในการกระทำความผิดแต่ละครั้ง จึงต้องพิจารณาองค์ประกอบของความผิดมูลฐานในส่วนดังกล่าวจากวงเงินในการเล่นการพนันที่จัดให้มีขึ้นทั้งหมด หากจัดให้มีการเล่นการพนันหลายครั้งต่อเนื่องกันก็ต้องพิจารณาจากวงเงินในการเล่นการพนันทุกครั้งรวมกัน
บ่อนการพนันทั้งสามแห่งจัดให้มีการเล่นการพนันหมุนเวียนกัน เปิดให้เล่นทั้งกลางวันและกลางคืน มีนักพนันหมุนเวียนกันเข้ามาเล่น บางช่วงเวลาถึงกับต้องรอคิวที่จะเล่น โดยเปิดให้เล่นการพนันประเภทไพ่ป๊อกบ่อนละประมาณ 2 ถึง 5 โต๊ะ มีตั้งแต่โต๊ะที่เปิดให้เล่นในราคา 50 บาท 100 บาท 200 บาท 500 บาท 1,000 บาท และ 2,000 บาท หากมีผู้เล่นจำนวนมากก็จะเปิดโต๊ะพนันเพิ่ม การเล่นใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที ต่อตา ผู้เล่นสามารถแทงกับเจ้ามือกี่คนก็ได้ ในการเล่นแต่ละตาหากเป็นโต๊ะ 100 บาท จะมีเงินสะพัดประมาณ 10,000 บาท หากโต๊ะใหญ่ขึ้นจะมีเงินสะพัดประมาณ 30,000 ถึง 60,000 บาท ประกอบกับได้ความว่าทางบ่อนยังรับจำนำทรัพย์สินต่าง ๆ ของผู้เข้าเล่นที่เสียการพนันจนหมดเพื่อนำเงินไปเล่นต่อ โดยในวันเข้าตรวจค้นเจ้าพนักงานสามารถยึดกุญแจรถจักรยานยนต์ที่รับจำนำได้ถึง 63 ดอก แสดงว่าบ่อนทั้งสามแห่งมีวงเงินในการเล่นการพนันมีมูลค่าสูง นอกจากนี้ยังได้ความจาก ธ. ว่าเป็นหนี้การพนันค้างชำระผู้คัดค้านที่ 1 จำนวนมาก จึงโอนที่ดินสี่แปลงพร้อมอาคารสี่ชั้นตีราคาใช้หนี้การพนันประมาณ 15,000,000 บาท คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 อันเป็นมาตรการทางแพ่ง การพิสูจน์ถึงการกระทำความผิดมูลฐานต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ผู้ร้องหาจำต้องนำสืบถึงขนาดให้รับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยเหมือนดังเช่นคดีอาญาไม่ เมื่อพิจารณาจำนวนหนี้การพนันของ ธ. ที่ค้างชำระแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ประกอบพฤติการณ์ที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งเป็นบ่อนการพนันที่มีวงเงินในการเล่นการพนันมีมูลค่าสูงและเปิดให้เล่นการพนันต่อเนื่องกันมาหลายครั้งเป็นเวลานานหลายปีแล้ว พยานหลักฐานผู้ร้องมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป อันเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกผู้ร้องทั้งสองสำนวนว่า ผู้ร้อง เรียกผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ทั้งสองสำนวนว่า ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ตามลำดับ และเรียกผู้คัดค้านที่ 3 สำนวนแรกว่า ผู้คัดค้านที่ 3
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องทั้งสองสำนวนเป็นใจความว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการพนัน คือ เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป และได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าวอันเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยผู้คัดค้านที่ 1 มีพฤติการณ์เปิดให้มีการเล่นการพนันมาตั้งแต่ปี 2548 กรณีปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสามประเภททองคำแท่ง ทองคำรูปพรรณ พระเลี่ยมทองคำ งาแกะเลี่ยมทองคำ พระเนื้อต่าง ๆ เครื่องประดับทองคำขาว เหรียญที่ระลึก จตุคาม เหรียญกษาปณ์ ธนบัตรไทย โทรศัพท์เคลื่อนที่ นาฬิกาข้อมือ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ที่ดินและสิทธิการรับจำนองที่ดิน รวมทั้งเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารต่าง ๆ รวม 344 รายการ และ 4 รายการ ในสำนวนแรกและสำนวนหลัง ราคาประเมิน 92,239,901.87 บาท และ 2,054,000 บาท ตามลำดับ เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวพร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนและประกาศตามกฎหมายแล้ว
ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำคัดค้านทั้งสองสำนวนเป็นใจความว่าขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างไต่สวน นางรวงทิพย์ยื่นคำคัดค้านไม่ให้ทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินท้ายคำร้องในสำนวนแรก ลำดับที่ 66 ตกเป็นของแผ่นดิน ต่อมานางรวงทิพย์ขอถอนคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก รายการที่ 1 ถึง 9, 16, 26, 32 ถึง 71, 73 ถึง 87, 94 ถึง 117, 124 ถึง 153, 160 ถึง 165, 178 ถึง 228, 230, 231, 244 ถึง 279, 281 ถึง 313, 315 ถึง 321, 323 ถึง 330, 339 ถึง 344 และทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนหลัง รายการที่ 3 และ 4 ตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง คืนทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก รายการที่ 10 ถึง 15, 27 ถึง 31, 88 ถึง 93, 118 ถึง 123, 154 ถึง 159, 166 ถึง 177, 229, 232 ถึง 243, 280, 314, 322, 331 ถึง 336 แก่ผู้คัดค้านที่ 1 คืนทรัพย์สินรายการที่ 72, 337 และ 338 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินเดียวกันให้แก่ผู้คัดค้านที่ 3 และคืนรถจักรยานยนต์ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนหลัง รายการที่ 1 และ 2 แก่ผู้คัดค้านที่ 2 โดยให้ถือเอาบัญชีรายการทรัพย์สินทั้งสองสำนวนเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาฉบับนี้ด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำร้องของผู้ร้องบรรยายว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป ซึ่งไม่อยู่ในความหมายของความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ที่ให้หมายความว่า การเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีจำนวนผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นแต่ละครั้งเกินกว่าหนึ่งร้อยคน หรือมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าเกินกว่าสิบล้านบาทขึ้นไป อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการตรวจค้นอาคารทั้งสามแห่งในคดีนี้ กรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์เป็นความผิดมูลฐานที่จะร้องขอให้ทรัพย์สินที่ยึดตกเป็นของแผ่นดิน พิพากษากลับให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เป็นมาตรการทางแพ่ง มติของคณะกรรมการธุรกรรมที่เชื่อว่าทรัพย์สินตามที่ตรวจสอบและมีคำสั่งให้ยึดหรืออายัดไว้เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน และให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินส่งเรื่องให้ผู้ร้องพิจารณายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ต้องพิจารณาตามบทนิยามของกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติและเลขาธิการส่งเรื่องให้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลว่าในขณะดังกล่าวทรัพย์สินที่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินนั้นเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานหรือไม่ การที่ผู้ร้องบรรยายคำร้องว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป จึงเป็นการบรรยายคำร้องตามบทนิยามความผิดมูลฐานของมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) ที่แก้ไขโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติให้ส่งเรื่องให้ผู้ร้องพิจารณายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินแล้ว พิพากษากลับ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาคดีใหม่ในปัญหาตามอุทธรณ์ข้ออื่นของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 10 ถึง 15 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก และให้คืนทรัพย์สินรายการที่ 26, 34, 36 ถึง 38, 178 ถึง 228, 303 ถึง 313, 315 ถึง 321 และ 323 ถึง 330 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้น กับทรัพย์สินรายการที่ 4 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนหลัง พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 กับให้คืนทรัพย์สินรายการที่ 2, 3, 10 ถึง 12 และ 19 ถึง 25 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 แต่ให้ทรัพย์สินรายการที่ 13 ถึง 15, 17 และ 18 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า เจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าพนักงานตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พระพุทธศักราช 2457 เข้าตรวจค้นอาคารที่สืบทราบว่ามีการจัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งตั้งอยู่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก รวม 3 แห่ง โดยวันที่ 6 มิถุนายน 2557 ตรวจค้นบ้านเลขที่ 26/1 เป็นบ้านพักไม้สองชั้น พบไพ่พลาสติก 186 สำรับ มีนายสุรชัยและนางศศิอ้างว่าเป็นเจ้าของบ้าน วันที่ 7 มิถุนายน 2557 ตรวจค้นอาคารเลขที่ 289/4 ด้านหน้าเป็นบ้านชั้นเดียว ด้านหลังมีทางเชื่อมต่อไปยังโกดัง พบไพ่ป๊อก 4 สำรับ กับแผ่นพลาสติก (ชิป) 33 แผ่น มีนายพิษณุแสดงตัวเป็นผู้ครอบครองบ้าน โดยอ้างว่าเป็นบ้านของพี่ชายตน และวันที่ 9 มิถุนายน 2557 ตรวจค้นโรงแรม จ. ที่ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นเจ้าของ พบนางกานต์สิรี พนักงานของโรงแรมดังกล่าว ขับรถยนต์จะออกจากโรงแรม ตรวจค้นภายในรถพบกุญแจรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวม 16 ดอก กุญแจประตู 14 อัน ชิปวงกลมสำหรับใช้เล่นการพนันพื้นสีแดงมีหมายเลข 50 อัน ชิปวงกลมสำหรับใช้เล่นการพนันพื้นสีเหลืองมีหมายเลข 49 อัน เหรียญพลาสติกสีต่าง ๆ สำหรับใช้เล่นการพนัน 40 อัน แผ่นพลาสติกสีเขียว สีส้ม สีเหลืองทรงสี่เหลี่ยม 13 อัน ลูกเต๋า 3 ลูก ไพ่ป๊อก 4 สำรับ กุญแจรถยนต์ 1 ดอก และอื่น ๆ ตรวจค้นห้องพักคนงานของโรงแรม พบกุญแจรถจักรยานยนต์ 63 ดอก สมุดเงินฝากธนาคาร 1 เล่ม ไพ่ป๊อก 4 สำรับ กุญแจรถยนต์ 1 ดอก พระเครื่อง 1 องค์ ใบซื้อ-ขายฝากทองคำ 1 ฉบับ แผ่นป้ายทะเบียนรถ 1 แผ่น และอื่น ๆ ตรวจค้นรถยนต์ของผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรผู้คัดค้านที่ 1 ที่จอดอยู่ในโรงแรม พบทองคำแท่งน้ำหนักแท่งละ 1 บาท 27 แท่ง พระเครื่องกรอบสีทอง 9 องค์ สร้อยคอสีทองพร้อมพระเครื่องกรอบสีทอง 2 องค์ สร้อยสีทอง 6 เส้น สร้อยสีเงินพร้อมพระเครื่อง 1 เส้น กำไลข้อมือสีขาว 2 วง กำไลข้อมือสีทอง 6 วง แหวนสีขาว 2 วง และแหวนสีทอง 5 วง อยู่ในกระเป๋าสะพาย และตรวจค้นห้องพักในโรงแรมซึ่งเป็นห้องพักไม่มีหมายเลขอยู่ตรงข้ามกับห้องพักหมายเลข 101 โดยมีผู้คัดค้านที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรผู้คัดค้านที่ 1 และเป็นผู้ดูแลโรงแรมนำตรวจค้น พบสมุดบัญชีธนาคารต่าง ๆ 10 เล่ม ทะเบียนรถจักรยานยนต์และรถยนต์อย่างละเล่ม ตู้นิรภัย 1 ใบ กระเป๋าเอกสาร 1 ใบ ภายในมีโฉนดที่ดิน 45 ฉบับ โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง กล่องสีแดงภายในมีสร้อยคอทองคำ 1 เส้น พร้อมพระเลี่ยมทองคำ 1 องค์ นาฬิกา 1 เรือน กระเป๋าสตางค์ 2 ใบ ภายในมีเงินสด 18,520 บาท และ 45,500 บาท เงินสดอยู่ข้างเตียงนอน 10,000 บาท และกระเป๋าหนังภายในมีเงินสด 70,920 บาท และอื่น ๆ ต่อมาวันที่ 10 มิถุนายน 2557 ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและเจ้าพนักงานตำรวจเปิดตู้นิรภัย พบเงินสด 26,000 บาท พระเครื่องกรอบสีทอง 71 องค์ แหวนสีเงิน 5 วง แหวนสีทองหัวแก้วสีขาวและสีอื่น 30 วง ต่างหูสีทอง 3 ชิ้น จี้สีทอง 3 ชิ้น แก้วสีฟ้า 1 ชิ้น กำไลสีทองฝังแก้วคล้ายเพชร 1 วง กำไลสีเงิน 2 วง สร้อยข้อมือสีทอง 1 เส้น สร้อยข้อมือสีมุก 1 เส้น กำไลหยก 1 วง เข็มขัดสีทอง สร้อยคอสีดำ สร้อยข้อมือสีทองน้ำหนักรวมประมาณ 3,544.4 กรัม และเงินเหรียญประมาณ 4,000 บาท พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาผู้คัดค้านที่ 1 ว่ากระทำความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานฟอกเงิน และมีหนังสือรายงานต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 พนักงานอัยการพิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้คัดค้านที่ 1 แต่คณะกรรมการธุรกรรมพิจารณาแล้วมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้คัดค้านที่ 1 กับพวกมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว จึงมีมติมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมและทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ระหว่างตรวจสอบคณะกรรมการธุรกรรมได้มีมติและเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินได้มีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสามไว้ชั่วคราวหลายรายการ อาทิ ทองคำแท่ง ทองคำรูปพรรณ พระเครื่องเนื้อทองคำ พระเครื่องเลี่ยมทองคำ ธนบัตรไทย รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ที่ดิน เงินในบัญชีเงินฝากธนาคารต่าง ๆ ต่อมาในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 3/2559 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 และครั้งที่ 6/2559 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2559 คณะกรรมการธุรกรรมพิจารณาแล้ว กรณีปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสามรวม 344 รายการ ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก รวมราคาประเมิน 92,239,901.87 บาท และรวม 4 รายการ ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนหลัง รวมราคาประเมิน 2,054,000 บาท เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน จึงมีมติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินส่งเรื่องให้ผู้ร้องพิจารณาเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสามตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ว่า มีการจัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไปหรือไม่ เห็นว่า พยานผู้ร้องเบิกความถึงลักษณะและวิธีการเล่นรวมทั้งสถานที่ที่เข้าไปเล่นการพนันอย่างละเอียดสอดคล้องต้องกัน หากพยานไม่ได้เข้าไปเล่นจริงก็ไม่น่าจะเบิกความในรายละเอียดได้เช่นนั้น ส่วนที่พยานเบิกความเกี่ยวกับจำนวนโต๊ะและราคาที่เปิดให้เล่นในแต่ละโต๊ะแตกต่างกันไปบ้าง น่าจะเป็นเพราะพยานเหล่านั้นไปเล่นคนละวันกันข้อแตกต่างดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นพิรุธ โดยเฉพาะพยานปากนายอนุสรณ์ นางนันทพร นางชุติมา นางมาริสา และนางนิตยา ยังได้จำนำรถจักรยานยนต์ไว้ที่บ่อนบ้านเลขที่ 289/4 และบ่อนบ้านเลขที่ 26/1 ซึ่งภายหลังเจ้าพนักงานยึดกุญแจรถคันที่จำนำได้จากโรงแรม จ. ยิ่งสนับสนุนคำเบิกความของพยานดังกล่าวที่ยืนยันถึงการเข้าไปเล่นการพนันให้หนักแน่นขึ้นไปอีก จึงเชื่อว่าพยานผู้ร้องเบิกความเกี่ยวกับการเล่นการพนันที่เกิดขึ้นตามที่ได้พบเห็นมาจริง เหตุที่ในวันตรวจค้นเจ้าพนักงานไม่พบการเล่นการพนันนั้น น่าจะเป็นเพราะเจ้าพนักงานได้ตรวจค้นบ่อนการพนันที่อาคารข้างโรงแรม ล. และที่โรงแรม อ. ในพื้นที่อำเภอเมืองพิษณุโลกตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2557 ก่อนการตรวจค้นบ่อนการพนันทั้งสามแห่งในคดีนี้ 2 ถึง 5 วัน ย่อมทำให้ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันไหวตัวและขนย้ายอุปกรณ์ที่ใช้เล่นการพนันออกจากบ่อนการพนันทั้งสามแห่งซึ่งอยู่ในท้องที่เดียวกันตั้งแต่ก่อนที่เจ้าพนักงานเข้าไปตรวจค้นแล้ว อย่างไรก็ตาม ในวันตรวจค้นเจ้าพนักงานยังยึดได้ไพ่ป๊อก 4 สำรับ กับแผ่นพลาสติก (ชิป) 33 แผ่น ที่บ้านเลขที่ 289/4 ยึดได้ไพ่พลาสติก 186 สำรับ ที่บ้านเลขที่ 26/1 และยึดได้กุญแจรถจักรยานยนต์ที่รับจำนำ 63 ดอก ที่ห้องพักคนงานในโรงแรม จ. นอกจากนี้ยังยึดกุญแจรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวม 16 ดอก ชิปวงกลมพื้นสีแดง 50 อัน ชิปวงกลมพื้นสีเหลือง 49 อัน เหรียญพลาสติกสีต่าง ๆ 40 อัน แผ่นพลาสติกสีเขียว สีส้ม สีเหลืองทรงสี่เหลี่ยม 13 อัน ลูกเต๋า 3 ลูก ไพ่ป๊อก 4 สำรับ ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้เล่นการพนันในบ่อนได้จากในรถยนต์ของนางกานต์สิรี พนักงานของโรงแรม จ. ขณะจะขับออกจากโรงแรม สอดคล้องกับคำเบิกความของพยานผู้ร้อง ที่นางกานต์สิรีเบิกความเป็นพยานผู้คัดค้านทั้งสามว่า สิ่งของที่เจ้าพนักงานตรวจยึดเป็นของเพื่อนชื่อเมย์ซึ่งลืมไว้ในรถยนต์ที่ขอยืมจากนางกานต์สิรีไปขนของย้ายห้องนั้น เป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งในชั้นสอบสวนนางกานต์สิรีให้การว่าตนเป็นลูกค้าที่มาสอบถามห้องพักแต่ห้องพักเต็มจึงขับรถออกไป อันเป็นการบิดเบือนความจริงเพื่อไม่ให้เชื่อมโยงไปถึงโรงแรม จ. ที่ตนเองทำงานอยู่ คำเบิกความของนางกานต์สิรีจึงไม่น่าเชื่อถือ พยานหลักฐานผู้ร้องรับฟังได้ว่า มีการจัดให้มีการเล่นการพนันที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งโดยไม่ได้รับอนุญาตหลายครั้งตั้งแต่ปี 2550 ต่อเนื่องมาถึงปี 2557 ก่อนเจ้าพนักงานเข้าตรวจค้น สำหรับผู้จัดให้มีการเล่นการพนันนั้น พยานผู้ร้องที่จำนำรถจักรยานยนต์ที่บ่อนการพนันเบิกความว่า ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันคือเจ๊เบี้ยว ซึ่งเป็นชื่อเล่นของผู้คัดค้านที่ 1 แม้พยานเหล่านั้นจะไม่ยืนยันว่าเจ๊เบี้ยวคือผู้คัดค้านที่ 1 แต่พยานผู้ร้องปากนางสาวธมนพัชร์ นางธนธิปหรือธันยพร และนางกมลวรรณ ซึ่งรู้จักผู้คัดค้านที่ 1 มาก่อน และมีโอกาสพูดคุยกับผู้คัดค้านที่ 1 เกี่ยวกับการเข้าไปเล่นการพนันที่บ่อนดังกล่าว เบิกความยืนยันว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันที่บ่อนการพนันทั้งสามแห่ง โดยไม่ปรากฏว่าพยานทั้งสามปากมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้คัดค้านที่ 1 มาก่อน คำเบิกความจึงมีน้ำหนักให้รับฟัง นอกจากนี้ยังได้ความจากนางยุพินพยานผู้ร้องว่า พยานเคยไปเล่นการพนันที่บ่อนบ้านคลอง แต่ถูกผู้คัดค้านที่ 1 จับได้ว่าพยานสับเปลี่ยนไพ่ จึงยึดรถยนต์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของพยานไว้เป็นประกัน พยานไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจในข้อหากรรโชกทรัพย์ สอดคล้องกับสำเนาบันทึกคำให้การของพยานในฐานะผู้กล่าวหาในคดีดังกล่าว โดยได้ความเพิ่มเติมจากพันตำรวจเอกสามารถ พยานผู้ร้องซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนในคดีกรรโชกทรัพย์ตอบทนายผู้คัดค้านทั้งสามถามค้านว่า คดีดังกล่าวพยานสอบปากคำนายเอกราช นายเอกราชให้การว่าเป็นลูกน้องของเจ๊เบี้ยวหรือผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของบ่อนการพนันเลขที่ 26/1 และสอบปากคำผู้คัดค้านที่ 1 ในฐานะผู้ต้องหา ผู้คัดค้านที่ 1 ให้การว่านางยุพินเล่นการพนันโกงสับเปลี่ยนไพ่ ความข้อนี้ผู้คัดค้านที่ 1 เบิกความตอบทนายผู้คัดค้านทั้งสามถามติงยอมรับว่า ในวันเกิดเหตุกรรโชกทรัพย์ ผู้คัดค้านที่ 1 ไปที่เกิดเหตุจริง เจือสมกับคำเบิกความของนางยุพิน เพียงแต่บ่ายเบี่ยงเป็นว่านายสราวุธโทรศัพท์บอกให้ไปดูนางยุพินว่าเกิดอะไรขึ้น คำเบิกความของนางยุพินจึงเชื่อถือได้ พฤติการณ์ของผู้คัดค้านที่ 1 ดังที่ได้ความจากนางยุพินชี้ชัดว่าผู้คัดค้านที่ 1 มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดให้มีการเล่นการพนันที่บ่อนบ้านเลขที่ 26/1 หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าบ่อนบ้านคลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าพนักงานยึดกุญแจรถจักรยานยนต์ที่ผู้เล่นการพนันจำนำไว้ที่บ่อนบ้านเลขที่ 289/4 และบ่อนบ้านเลขที่ 26/1 ได้จากห้องพักคนงานในโรงแรม จ. จำนวนมาก หากผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับบ่อนการพนันดังกล่าวย่อมไม่มีเหตุที่จะนำกุญแจรถจักรยานยนต์ที่รับจำนำมาเก็บไว้ที่โรงแรมของผู้คัดค้านที่ 1 ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 นำสืบว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบ่อนการพนันและไม่ได้จัดให้มีการเล่นการพนันที่สถานที่ทั้งสามแห่งนั้น คงมีแต่ผู้คัดค้านทั้งสามเบิกความลอย ๆ และนางกานต์สิรีซึ่งเบิกความเป็นพิรุธไม่น่าเชื่อถือ ที่นายสุรชัย สามีนางศศิ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 26/1 เบิกความเป็นพยานผู้คัดค้านทั้งสามว่า ไม่รู้จักผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 1 ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบ้านหลังดังกล่าว ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งยังขัดกับคำเบิกความของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ยอมรับว่าได้ไปที่บ้านเลขที่ 26/1 ในวันเกิดเหตุกรรโชกทรัพย์นางยุพินในปี 2551 คำเบิกความของนายสุรชัยจึงไม่น่าเชื่อถือ พยานปากอื่นของผู้คัดค้านทั้งสามนอกจากนี้ก็ล้วนแต่อ้างเพียงว่าพยานไม่เคยทราบว่าผู้คัดค้านที่ 1 เกี่ยวข้องกับการเล่นการพนันเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อนำสืบที่เลื่อนลอยไม่น่าเชื่อถือเช่นกัน พยานหลักฐานผู้ร้องมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานผู้คัดค้านทั้งสาม ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันในสถานที่ที่เจ้าพนักงานตรวจค้นทั้งสามแห่ง ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกาในทำนองว่า คำนวณจำนวนเงินที่เล่นการพนันตามคำเบิกความของพยานผู้ร้องแล้ว ในการเล่นแต่ละครั้งมีวงเงินไม่ถึงห้าล้านบาท นั้น พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติให้ส่งเรื่องให้ผู้ร้องพิจารณายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน บัญญัติให้ความผิดมูลฐานตามอนุมาตรานี้หมายความว่า “ความผิดเกี่ยวกับการพนันตามกฎหมายว?าด?วยการพนัน เฉพาะความผิดเกี่ยวกับการเป?นผู?จัดให?มีการเล?นการพนันโดยไม?ได?รับอนุญาตโดยมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต?ห?าล?านบาทขึ้นไป หรือเป?นการจัดให?มีการเล?นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์” เห็นว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 บัญญัติให้มีความผิดมูลฐานเพื่อกำหนดประเภทของความผิดอาญาที่นำมาใช้เป็นฐานในการดำเนินคดีอาญาฐานฟอกเงินต่อบุคคลที่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อทรัพย?สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน และดำเนินการทางแพ่งร้องขอให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินเท่านั้น หาได้บัญญัติความผิดมูลฐานขึ้นมาเป็นฐานความผิดใหม่เพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดเหมือนดังเช่นความผิดอาญาทั่วไปไม่ ดังนั้น การพิจารณาองค์ประกอบของความผิดมูลฐานจึงไม่จำต้องพิจารณาแยกเป็นรายกรรมเหมือนความผิดอาญาทั่วไป แต่ต้องพิจารณาตามบทนิยามของความผิดมูลฐานนั้น ๆ เมื่อความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) ได้กำหนดองค์ประกอบของความผิดในส่วนวงเงินในการกระทำความผิดเพียงว่า มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค?าตั้งแต?ห?าล?านบาทขึ้นไป โดยมิได้ระบุว่าเป็นวงเงินในการกระทำความผิดแต่ละครั้ง จึงต้องพิจารณาองค์ประกอบของความผิดมูลฐานในส่วนดังกล่าวจากวงเงินในการเล่นการพนันที่จัดให้มีขึ้นทั้งหมด หากจัดให้มีการเล่นการพนันหลายครั้งต่อเนื่องกันก็ต้องพิจารณาจากวงเงินในการเล่นการพนันทุกครั้งรวมกัน ในประเด็นข้อนี้ ได้ความจากพยานผู้ร้องซึ่งเคยไปเล่นการพนันที่บ่อนการพนันทั้งสามแห่งว่า บ่อนการพนันทั้งสามแห่งจัดให้มีการเล่นการพนันหมุนเวียนกัน เปิดให้เล่นทั้งกลางวันและกลางคืน มีนักพนันหมุนเวียนกันเข้ามาเล่น บางช่วงเวลาถึงกับต้องรอคิวที่จะเล่น โดยเปิดให้เล่นการพนันประเภทไพ่ป๊อกบ่อนละประมาณ 2 ถึง 5 โต๊ะ มีตั้งแต่โต๊ะที่เปิดให้เล่นในราคา 50 บาท 100 บาท 200 บาท 500 บาท 1,000 บาท และ 2,000 บาท หากมีผู้เล่นจำนวนมากก็จะเปิดโต๊ะพนันเพิ่ม ส่วนวิธีการเล่นได้ความจากนางมาริสาพยานผู้ร้องว่า แต่ละคนจะมีชิปและป้ายวงกลมซึ่งระบุหมายเลขของหลุมไว้ คนเล่นจะไปประจำยังหลุมหมายเลขที่ตนเองได้รับ จะเก็บเงินเมื่อเปิดไพ่แล้ว มีเจ้ามือเรียกว่าแม่ไก่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับคนเล่นซึ่งแต่ละโต๊ะจะมี 5 ถึง 6 คน แจกไพ่ให้คนละ 2 ใบ 25 คน แจกไพ่เสร็จหงายไพ่เลย ใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที ต่อตา ผู้เล่นสามารถแทงกับเจ้ามือกี่คนก็ได้ หากเลือกแทงกับเจ้ามือหลายคนก็ต้องใช้เงินมากขึ้น ผู้เล่นแทงได้คนละ 2 มือ เช่น มีเจ้ามือ 10 คน แทงคนละ 100 บาท ต้องใช้เงิน 1,000 บาท ถ้าเล่น 2 มือ ต้องใช้เงิน 2,000 บาท ต่อตา ในการเล่นแต่ละตาหากเป็นโต๊ะ 100 บาท จะมีเงินสะพัดประมาณ 10,000 บาท หากโต๊ะใหญ่ขึ้นจะมีเงินสะพัดประมาณ 30,000 ถึง 60,000 บาท ประกอบกับได้ความว่าทางบ่อนยังรับจำนำทรัพย์สินต่าง ๆ ของผู้เข้าเล่นที่เสียการพนันจนหมดเพื่อนำเงินไปเล่นต่อ โดยในวันเข้าตรวจค้นเจ้าพนักงานสามารถยึดกุญแจรถจักรยานยนต์ที่รับจำนำได้ถึง 63 ดอก แสดงว่าบ่อนทั้งสามแห่งมีวงเงินในการเล่นการพนันมีมูลค่าสูง นอกจากนี้ยังได้ความจากนางธนธิปหรือธันยพรพยานผู้ร้องว่า พยานเป็นหนี้การพนันค้างชำระผู้คัดค้านที่ 1 จำนวนมาก จึงนำที่ดินโฉนดเลขที่ 217 และ 147840 ถึง 147842 รวมสี่แปลงพร้อมอาคารสี่ชั้น รวมเป็นเงินประมาณ 26,000,000 บาท ตีราคาใช้หนี้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 โดยการขายที่ดินโฉนดเลขที่ 217 เป็นแปลงแรกเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2550 เพื่อชำระหนี้การพนัน 7,000,000 บาท ส่วนที่ดินสามแปลงที่เหลือยอมให้ผู้คัดค้านที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์รวม และต่อมาเมื่อหนี้การพนันของพยานเพิ่มขึ้น ผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้พยานจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในส่วนของพยานให้ผู้คัดค้านที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียว ซึ่งความข้อนี้ผู้คัดค้านที่ 1 เบิกความโต้แย้งว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ซื้อที่ดินดังกล่าวจากนางธนธิปหรือธันยพรจริงในราคา 11,000,000 บาท เนื่องจากนางธนธิปหรือธันยพรเป็นหนี้ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เกือบ 20,000,000 บาท แต่ไม่มีเงินผ่อนชำระหนี้ ผู้คัดค้านที่ 1 จึงนำเงินไปชำระหนี้แทนจนได้ที่ดินทั้งสี่แปลง เห็นว่า หากนางธนธิปหรือธันยพรขายที่ดินทั้งสี่แปลงให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 โดยวิธีให้ผู้คัดค้านที่ 1 ชำระหนี้จำนองแก่ธนาคารแทนตนจริง นางธนธิปหรือธันยพรย่อมต้องจดทะเบียนขายที่ดินทั้งสี่แปลงให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ในวันเดียวกับวันจดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง แต่ตามสำเนาสารบัญจดทะเบียนด้านหลังโฉนดที่ดิน ปรากฏว่านางธนธิปหรือธันยพรจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินทั้งสี่แปลงจากธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมกันเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2550 แต่ในวันเดียวกันนั้นนางธนธิปหรือธันยพรจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 217 ให้ผู้คัดค้านที่ 1 เพียงแปลงเดียว ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 147840 ถึง 147842 นางธนธิปหรือธันยพรเพียงแต่จดทะเบียนให้ผู้คัดค้านที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์รวมกับตนโดยไม่มีค่าตอบแทน จากนั้นวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 จดทะเบียนจำนองที่ดินทั้งสามแปลงเฉพาะส่วนของตนไว้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 และวันที่ 12 ตุลาคม 2550 จดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสามแปลงชำระหนี้จำนองดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งขัดแย้งกับคำเบิกความของผู้คัดค้านที่ 1 แต่สอดคล้องกับที่นางธนธิปหรือธันยพรเบิกความข้างต้นและที่เบิกความตอบทนายผู้คัดค้านทั้งสามถามค้านว่า การจำนองดังกล่าวไม่ได้รับเงินจากผู้คัดค้านที่ 1 ทำให้น่าเชื่อว่านางธนธิปหรือธันยพรโอนที่ดินทั้งสี่แปลงพร้อมอาคารสี่ชั้นซึ่งมีราคารวมประมาณ 26,000,000 บาท ใช้หนี้การพนันแก่ผู้คัดค้านที่ 1 จริง แต่เมื่อนางธนธิปหรือธันยพรเบิกความตอบทนายผู้คัดค้านทั้งสามถามค้านยอมรับว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ให้เงินไปไถ่ถอนจำนอง 11,000,000 บาท จึงเป็นการตีราคาใช้หนี้การพนันเพียงประมาณ 15,000,000 บาท คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 อันเป็นมาตรการทางแพ่ง การพิสูจน์ถึงการกระทำความผิดมูลฐานต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ผู้ร้องหาจำต้องนำสืบถึงขนาดให้รับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยเหมือนดังเช่นคดีอาญาไม่ เมื่อพิจารณาจำนวนหนี้การพนันของนางธนธิปหรือธันยพรที่ค้างชำระแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ประกอบพฤติการณ์ที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งเป็นบ่อนการพนันที่มีวงเงินในการเล่นการพนันมีมูลค่าสูงและเปิดให้เล่นการพนันต่อเนื่องกันมาหลายครั้งเป็นเวลานานหลายปีดังวินิจฉัยมาข้างต้นแล้ว พยานหลักฐานผู้ร้องมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป อันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อโต้แย้งอื่นที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 อ้างมาในฎีกาเพราะเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า ทรัพย์สินที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ตกเป็นของแผ่นดินไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดนั้น ศาลฎีกาไม่ได้อนุญาตให้ฎีกา ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าผู้คัดค้านที่ 1 กระทำความผิดมูลฐาน และพิพากษาให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินจึงชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
การที่ผู้ร้องไม่ได้แจ้งรายการหนี้ต่อเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 41 วรรคท้าย คงทำให้ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าหนี้บุริมสิทธิอันจะได้รับชําระหนี้ก่อนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จํานองเท่านั้น แต่ผู้ร้องยังเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิที่ใช้สิทธิขอกันส่วนได้ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง ประกอบมาตรา 41 (2) และที่ผู้ร้องไม่ได้ส่งรายการหนี้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายในกำหนด สิทธิของผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง ซึ่งเป็นบุริมสิทธิลำดับเดียวกับบุริมสิทธิตามมาตรา 273 (1) แห่ง ป.พ.พ. และมีอยู่เหนือทรัพย์ส่วนบุคคลของแต่ละเจ้าของห้องชุดตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 41 (2) ก็ไม่ได้เสียไป เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงต้องรับการแจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชําระเพื่อกันเงินที่เหลือจากการขายทอดตลาดห้องชุดหลังจากบังคับจํานองชําระหนี้แก่โจทก์
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองห้องชุดเลขที่ 60/703 และ 60/704 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 12374 มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ หลังจากนั้นบริษัทบริหารสินทรัพย์ ก. ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือบอกกล่าวแจ้งไปยังผู้จัดการนิติบุคคลของผู้ร้อง ขอให้ตรวจสอบและแจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางค้างชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 30 วัน นับแต่วันรับหนังสือ เพื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจะกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรับการแจ้งบัญชีค่าใช้จ่ายและค่าส่วนกลางค้างชำระของผู้ร้องไว้เพื่อกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรับการแจ้งบัญชีค่าใช้จ่ายและค่าส่วนกลางค้างชำระของผู้ร้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2542 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองห้องชุดเลขที่ 60/703 และ 60/704 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 12374 มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ วันที่ 25 ธันวาคม 2558 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือบอกกล่าวแจ้งไปยังผู้จัดการนิติบุคคลของผู้ร้อง ขอให้แจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 30 วัน นับแต่วันรับหนังสือบอกกล่าว เพื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจะกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง ซึ่งมีบุคคลลงลายมือชื่อรับเอกสารดังกล่าวไว้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ต่อมาวันที่ 6 มีนาคม 2563 โจทก์ซื้อทรัพย์ดังกล่าวจากการขายทอดตลาดในราคาห้องละ 530,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,060,000 บาท ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแจ้งรายการค่าส่วนกลางค้างชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่า ผู้ร้องไม่ได้แจ้งภาระค่าใช้จ่ายภายในกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 335 จึงไม่กันส่วนเงินค้างชำระให้แก่ผู้ร้อง
คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องรับการแจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง ประกอบมาตรา 41 (2) ให้ถือว่า ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษาและการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางเป็นบุริมสิทธิในลำดับเดียวกับบุริมสิทธิตามมาตรา 273 (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมีอยู่เหนือทรัพย์ส่วนบุคคลของแต่ละเจ้าของห้องชุด ซึ่งบุริมสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 273 (1) คือ บุริมสิทธิรักษาอสังหาริมทรัพย์ และพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 41 วรรคท้าย บัญญัติว่า บุริมสิทธิตาม (2) ถ้าผู้จัดการได้ส่งรายการหนี้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วให้ถือว่าอยู่ในลำดับก่อนจำนอง การที่ผู้ร้องไม่ได้แจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 41 วรรคท้าย คงทำให้ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าหนี้บุริมสิทธิอันจะได้รับชำระหนี้ก่อนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำนองเท่านั้น แต่ผู้ร้องยังคงเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิที่ใช้สิทธิขอกันส่วนในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง ประกอบมาตรา 41 (2) แม้ผู้ร้องไม่ได้ส่งรายการหนี้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายในกำหนด สิทธิของผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 วรรคสอง ซึ่งเป็นบุริมสิทธิลำดับเดียวกับบุริมสิทธิตามมาตรา 273 (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมีอยู่เหนือทรัพย์ส่วนบุคคลของแต่ละเจ้าของห้องชุดตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 41 (2) ก็ไม่ได้เสียไป เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงต้องรับการแจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ของผู้ร้องเพื่อกันเงินที่เหลือจากการขายทอดตลาดห้องชุดหลังจากบังคับจำนองชำระหนี้แก่โจทก์ เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีก เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษามานั้น ศาลฎีกาคงเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
การที่ผู้ร้องไม่ได้แจ้งรายการหนี้ต่อเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 41 วรรคท้าย คงทำให้ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าหนี้บุริมสิทธิอันจะได้รับชําระหนี้ก่อนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จํานองเท่านั้น แต่ผู้ร้องยังเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิที่ใช้สิทธิขอกันส่วนได้ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง ประกอบมาตรา 41 (2) และที่ผู้ร้องไม่ได้ส่งรายการหนี้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายในกำหนด สิทธิของผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง ซึ่งเป็นบุริมสิทธิลำดับเดียวกับบุริมสิทธิตามมาตรา 273 (1) แห่ง ป.พ.พ. และมีอยู่เหนือทรัพย์ส่วนบุคคลของแต่ละเจ้าของห้องชุดตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 41 (2) ก็ไม่ได้เสียไป เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงต้องรับการแจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชําระเพื่อกันเงินที่เหลือจากการขายทอดตลาดห้องชุดหลังจากบังคับจํานองชําระหนี้แก่โจทก์
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองห้องชุดเลขที่ 60/703 และ 60/704 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 12374 มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ หลังจากนั้นบริษัทบริหารสินทรัพย์ ก. ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือบอกกล่าวแจ้งไปยังผู้จัดการนิติบุคคลของผู้ร้อง ขอให้ตรวจสอบและแจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางค้างชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 30 วัน นับแต่วันรับหนังสือ เพื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจะกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรับการแจ้งบัญชีค่าใช้จ่ายและค่าส่วนกลางค้างชำระของผู้ร้องไว้เพื่อกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรับการแจ้งบัญชีค่าใช้จ่ายและค่าส่วนกลางค้างชำระของผู้ร้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2542 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองห้องชุดเลขที่ 60/703 และ 60/704 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 12374 มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ วันที่ 25 ธันวาคม 2558 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือบอกกล่าวแจ้งไปยังผู้จัดการนิติบุคคลของผู้ร้อง ขอให้แจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 30 วัน นับแต่วันรับหนังสือบอกกล่าว เพื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจะกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง ซึ่งมีบุคคลลงลายมือชื่อรับเอกสารดังกล่าวไว้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ต่อมาวันที่ 6 มีนาคม 2563 โจทก์ซื้อทรัพย์ดังกล่าวจากการขายทอดตลาดในราคาห้องละ 530,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,060,000 บาท ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแจ้งรายการค่าส่วนกลางค้างชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่า ผู้ร้องไม่ได้แจ้งภาระค่าใช้จ่ายภายในกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 335 จึงไม่กันส่วนเงินค้างชำระให้แก่ผู้ร้อง
คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องรับการแจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง ประกอบมาตรา 41 (2) ให้ถือว่า ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษาและการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางเป็นบุริมสิทธิในลำดับเดียวกับบุริมสิทธิตามมาตรา 273 (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมีอยู่เหนือทรัพย์ส่วนบุคคลของแต่ละเจ้าของห้องชุด ซึ่งบุริมสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 273 (1) คือ บุริมสิทธิรักษาอสังหาริมทรัพย์ และพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 41 วรรคท้าย บัญญัติว่า บุริมสิทธิตาม (2) ถ้าผู้จัดการได้ส่งรายการหนี้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วให้ถือว่าอยู่ในลำดับก่อนจำนอง การที่ผู้ร้องไม่ได้แจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 41 วรรคท้าย คงทำให้ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าหนี้บุริมสิทธิอันจะได้รับชำระหนี้ก่อนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำนองเท่านั้น แต่ผู้ร้องยังคงเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิที่ใช้สิทธิขอกันส่วนในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง ประกอบมาตรา 41 (2) แม้ผู้ร้องไม่ได้ส่งรายการหนี้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายในกำหนด สิทธิของผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 วรรคสอง ซึ่งเป็นบุริมสิทธิลำดับเดียวกับบุริมสิทธิตามมาตรา 273 (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมีอยู่เหนือทรัพย์ส่วนบุคคลของแต่ละเจ้าของห้องชุดตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 41 (2) ก็ไม่ได้เสียไป เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงต้องรับการแจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ของผู้ร้องเพื่อกันเงินที่เหลือจากการขายทอดตลาดห้องชุดหลังจากบังคับจำนองชำระหนี้แก่โจทก์ เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีก เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษามานั้น ศาลฎีกาคงเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 หัวหน้าสำนักงานปลัดมีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการ และสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาเป็นผู้จัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจัดจ้างและเบิกเงินงบประมาณทั้งหมด ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เข้าไปมีหน้าที่ในขั้นตอนการจัดทำและรับรองเอกสารดังกล่าว จำเลยที่ 1 มีส่วนเกี่ยวข้องเพียงเป็นผู้อนุมัติเห็นชอบการจัดจ้างและเบิกเงินงบประมาณตามที่สำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาเสนอมาเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ขององค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาและเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสาร หรือกรอกข้อความลงในเอกสารโดยตรง การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 151 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) อย่างไรก็ตามจำเลยที่ 1 เป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการกำหนดนโยบายและรับผิดชอบในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาให้เป็นไปตามกฎหมาย และมีอำนาจอนุมัติสั่งซื้อหรือสั่งจ้างและเบิกจ่ายเงินงบประมาณในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 และระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงินการเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2547 โดยภาระดังกล่าวจำเลยที่ 1 ย่อมมีหน้าที่ต้องบริหารงานองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาด้วยความโปร่งใสและไม่ผิดระเบียบแบบแผนของทางราชการ การที่จำเลยที่ 1 ให้ความเห็นชอบอนุมัติการจัดจ้างและเบิกเงินงบประมาณเพื่อจ่ายค่าจ้างปิดกั้นคลองบางแพรกให้แก่จำเลยที่ 3 ทั้งที่รู้อยู่ว่าไม่มีการจัดจ้างจริง เป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาได้รับความเสียหายต้องสูญเสียเงินงบประมาณไปในการจัดจ้างอันเป็นความเท็จ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตาม ป.อ. มาตรา 157 (เดิม)
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 151, 157, 162 นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีหมายเลขแดงที่ อท 257/2561 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง และนับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อจากโทษในคดีหมายเลขดำที่ อท 86/2562 คดีหมายเลขดำที่ อท 108/2562 คดีหมายเลขดำที่ อท 109/2562 และคดีหมายเลขดำที่ อท 110/2562 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ประกอบมาตรา 86, 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 83 จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 86 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 5 ปี การกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 3 ปี 4 เดือน ทางนำสืบของจำเลยทั้งสี่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี 9 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 2 ปี 6 เดือน นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีหมายเลขแดงที่ อท 257/2561 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อจากโทษในคดีหมายเลขดำที่ อท 86/2562 คดีหมายเลขดำที่ อท 108/2562 คดีหมายเลขดำที่ อท 109/2562 และคดีหมายเลขดำที่ อท 110/2562 ของศาลชั้นต้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลยังไม่มีคำพิพากษา จึงให้ยกคำขอในส่วนนี้
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในส่วนของจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา จำเลยที่ 3 ประกอบอาชีพค้าขาย ส่วนจำเลยที่ 4 ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา หมู่ที่ 11 จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 มาตรา 65 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 ในปีงบประมาณ 2557 องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาตั้งงบประมาณประเภทเงินสำรองจ่ายไว้ใช้ในกิจการที่ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้า รวมถึงการแก้ไขปัญหาสาธารณภัยต่าง ๆ ไว้ในข้อบัญญัติขององค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา เป็นเงิน 2,000,000 บาท เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2556 จำเลยที่ 1 เรียกประชุมคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อติดตามสถานการณ์ เตรียมการป้องกัน และแก้ไขปัญหาอุทกภัยในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา ครั้งที่ 6/2556 ที่ประชุมมีมติให้ก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำชั่วคราวคลองบางแพรก (คาร์ฟูร์) หมู่ที่ 11 เพื่อป้องกันอุทกภัย และมอบหมายให้สำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ ต่อมาสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจัดจ้างขอเบิกเงินงบประมาณเพื่อจ่ายค่าจ้างปิดกั้นคลองบางแพรกให้แก่จำเลยที่ 3 โดยอ้างว่าในการปิดกั้นคลองดังกล่าวนั้น จำเลยที่ 1 เห็นชอบให้ดำเนินการจัดจ้างโดยวิธีตกลงราคาตามที่สำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาเสนอ มีผู้เข้าเสนอราคา 3 ราย คือ จำเลยที่ 3 นายทวี และนายชื่น องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาตกลงจ้างจำเลยที่ 3 ผู้เสนอราคาต่ำสุดให้เป็นผู้รับจ้าง จำเลยที่ 3 ส่งมอบงานจ้าง และคณะกรรมการตรวจรับงานจ้างได้ตรวจรับงานของจำเลยที่ 3 แล้ว ซึ่งจำเลยที่ 1 มีคำสั่งอนุมัติให้จ่ายค่าจ้างหักภาษี ณ ที่จ่ายแก่จำเลยที่ 3 เป็นเงิน 67,320 บาท ตามฎีกาเบิกเงินตามงบประมาณรายจ่าย เลขที่คลังรับ 72/2557 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2556 อันเป็นการจัดทำเอกสารเท็จ เพราะในความเป็นจริงองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนามิได้จ้างจำเลยที่ 3 ให้เป็นผู้รับจ้างปิดกั้นคลองบางแพรก แต่เป็นกรณีที่ราษฎรหมู่ที่ 11 ช่วยกันออกเงินซื้อวัสดุและร่วมกันปิดกั้นคลองดังกล่าว โดยขอสนับสนุนเครื่องจักรและทรายบรรจุกระสอบจากองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา สำหรับจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ คดีในส่วนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ปัญหาข้อแรกที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) และมาตรา 162 (1) (4) (เดิม) หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่รับผิดชอบในการก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำชั่วคราวคลองบางแพรก จำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าหน่วยงานย่อมต้องทราบความเป็นมาในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดีว่า ในการปิดกั้นคลองบางแพรกนั้น เป็นกรณีที่ราษฎรหมู่ที่ 11 ช่วยกันออกเงินซื้อวัสดุและร่วมกันปิดกั้น โดยขอสนับสนุนเครื่องจักรและทรายบรรจุกระสอบจากองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา มิใช่เป็นการจัดจ้างจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับจ้างโดยวิธีตกลงราคาตามเอกสารเกี่ยวกับการจัดจ้างที่สำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาจัดทำเสนอเพื่อขอเบิกเงินงบประมาณจ่ายค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ 3 แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยรู้จักและมิได้เป็นผู้ติดต่อให้จำเลยที่ 3 นายทวี และนายชื่น เข้ายื่นใบเสนอราคาเป็นผู้รับจ้าง แต่โจทก์อ้างนางธนกร ลูกจ้างตามภารกิจซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปช่วยงานที่สำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาเป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกปากคำของผู้ให้ถ้อยคำ ยืนยันว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งการให้พยานพิมพ์เอกสารประกอบฎีกาเบิกเงินตามงบประมาณรายจ่าย เลขที่คลังรับ 72/2557 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2556 ประกอบด้วยรายงานขอจ้างโดยวิธีตกลงราคา ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2556 ใบเสนอราคาของจำเลยที่ 3 นายทวี และนายชื่น ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2556 บันทึกตกลงการจ้างเลขที่ 42/2557 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2556 หนังสือขอเข้าทำงานจ้างของจำเลยที่ 3 ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2556 หนังสือขอส่งมอบงานจ้างของจำเลยที่ 3 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2556 ใบตรวจรับงานของคณะกรรมการตรวจรับงานจ้าง ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2556 บันทึกขออนุมัติเบิกเงินค่าจ้าง ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2556 และใบรับรองของผู้เบิก ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2556 หลังจากจัดพิมพ์เอกสารดังกล่าวเสร็จแล้ว พยานนำเอกสารไปให้บุคคลที่เกี่ยวข้องลงลายมือชื่อ แล้วรวบรวมเป็นหลักฐานประกอบฎีกาขอเบิกเงินงบประมาณจากกองคลัง โดยในการจัดทำเอกสารดังกล่าวนั้น จำเลยที่ 2 เป็นผู้นำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 3 นายทวี และนายชื่นมาให้พยานใช้ประกอบการจัดพิมพ์รายงานขอจ้างโดยวิธีตกลงราคาและใบเสนอราคา พร้อมเขียนจำนวนเงินที่จะให้พยานพิมพ์ลงไว้ในใบเสนอราคาของผู้เสนอราคาแต่ละรายด้วย ซึ่งจากคำให้การในชั้นไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ป.ป.ช. และคำเบิกความของนางธนกรดังกล่าว ความปรากฏตามรายงานการประชุม บันทึกขออนุมัติจัดจ้างและบันทึกตกลงการจ้าง ว่า ที่ประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนามีมติให้ก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำชั่วคราวคลองบางแพรก และสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนามีบันทึกขออนุมัติจัดจ้างตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 รวมทั้งองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนามีการทำสัญญาจ้างกับจำเลยที่ 3 ในวันที่ 21 ตุลาคม 2556 แต่ตามใบเสนอราคาของจำเลยที่ 3 นายทวี และนายชื่น และหนังสือขอเข้าทำงานจ้างของจำเลยที่ 3 กลับระบุว่า จำเลยที่ 3 นายทวี และนายชื่น ยื่นใบเสนอราคาต่อองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา และจำเลยที่ 3 มีหนังสือขอเข้าทำงานจ้างโดยอ้างว่าเป็นผู้ได้รับการตกลงจ้าง ในวันที่ 18 ตุลาคม 2556 อันเป็นเวลาก่อนวันที่ที่ประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนามีมติให้ก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำชั่วคราวคลองบางแพรก และสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนามีบันทึกขออนุมัติจัดจ้าง รวมทั้งองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนามีการทำสัญญาจ้างกับจำเลยที่ 3 นับเป็นข้อพิรุธอย่างยิ่ง ทั้งตามรายงานการประชุมก็ปรากฏว่า ที่ประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นผู้เข้าร่วมประชุมด้วย เพียงแต่มีมติเห็นชอบให้ก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำชั่วคราวดังกล่าว โดยในรายงานการประชุมระบุว่า ชาวบ้านได้สนับสนุนเครื่องสูบน้ำ 5 เครื่อง องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาสนับสนุนน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องละ 40 ลิตร และจ้างคนดูแลเขื่อนและเครื่องสูบน้ำ 2 คน มิได้ระบุว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้มีการจัดจ้างตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 แต่อย่างใด เช่นนี้ พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 ลงนามเป็นผู้รับรองในเอกสารเกี่ยวกับการจัดจ้างและลงนามเป็นผู้เบิกเงินงบประมาณเพื่อจ่ายค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ 3 จึงบ่งชี้แจ้งชัดว่าจำเลยที่ 2 รับรู้และมีส่วนร่วมในการจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจัดจ้างอันเป็นความเท็จดังกล่าว เป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาได้รับความเสียหายต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ 3 ทั้งที่ไม่มีการจัดจ้างจริง ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ที่ว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจัดจ้างอันเป็นความเท็จนั้น ไม่สมเหตุสมผลรับฟังไม่ได้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำชั่วคราวคลองบางแพรกโดยตรงจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) และฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารรับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทำการอย่างใดขึ้นหรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ และรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 (1) (4) (เดิม) ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 มีว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือไม่ โดยจำเลยที่ 3 ฎีกาว่า เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาเป็นผู้จัดทำเอกสารเกี่ยวกับการเสนอราคารวมตลอดถึงการเบิกรับเงินค่าจ้างของจำเลยที่ 3 มิใช่จำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดทำ จำเลยที่ 3 เข้าไปเกี่ยวข้องเนื่องจากจำเลยที่ 4 แจ้งว่า องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาจะช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายในการปิดกั้นคลองบางแพรก โดยแนะนำให้หาตัวผู้รับจ้างปิดกั้นคลองเพื่อเบิกเงินงบประมาณมาเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างคนสูบน้ำหรือเฝ้าเครื่องสูบน้ำ และจำเลยที่ 4 สอบถามจำเลยที่ 3 ว่าเป็นผู้รับจ้างได้หรือไม่ จำเลยที่ 3 ตกลงเป็นผู้รับจ้างเพราะเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นกรณีที่สามารถเบิกเงินงบประมาณมาเป็นค่าใช้จ่ายในการดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือราษฎรที่เดือดร้อนจากอุทกภัยได้ จำเลยที่ 4 จึงให้จำเลยที่ 3 นำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านไปมอบให้เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาเพื่อจัดทำหลักฐานการจัดจ้าง ต่อมาเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาแจ้งจำเลยที่ 3 ให้ไปรับเช็ค และให้จำเลยที่ 3 ลงนามในเอกสารต่าง ๆ จำเลยที่ 3 เข้าใจว่าเป็นเช็คจ่ายค่าจ้างคนสูบน้ำหรือเฝ้าเครื่องสูบน้ำ จึงนำเช็คไปขึ้นเงินและนำเงินไปมอบให้จำเลยที่ 4 ทั้งหมด จำเลยที่ 3 ไม่มีเจตนาช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิด และจำเลยที่ 4 ฎีกาว่า นางอรุณี ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา เป็นผู้โทรศัพท์ติดต่อให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับจ้างปิดกั้นคลองบางแพรก จำเลยที่ 4 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และจำเลยที่ 4 รับเงินจากจำเลยที่ 3 เพื่อนำไปจ่ายให้แก่ราษฎรหมู่ที่ 11 ที่มาช่วยกันปิดกั้นคลอง ค่าซื้อทราย ค่าซื้อเสาเข็ม และค่าจ้างรถแบ็กโฮ ไม่ได้เก็บไว้เป็นประโยชน์ส่วนตน ข้อเท็จจริงตามสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และคำเบิกความของพยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังลงโทษจำเลยที่ 4 ได้ ทั้งการกระทำของจำเลยที่ 4 น่าจะเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 3 มิใช่จำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า สำหรับจำเลยที่ 3 ข้อเท็จจริงได้ความจากคำให้การของจำเลยที่ 3 ว่า ในวันที่ราษฎรหมู่ที่ 11 ร่วมกันปิดกั้นคลองบางแพรกนั้น จำเลยที่ 3 ไปช่วยปิดกั้นคลองด้วย แสดงว่าจำเลยที่ 3 ทราบมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนามิได้มีการจ้างผู้รับจ้างปิดกั้นคลองดังกล่าว จำเลยที่ 3 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาระหว่างปี 2547 ถึงปี 2555 นับว่าเป็นผู้มีความรู้สูงและเคยดำรงตำแหน่งหน้าที่สำคัญมีหน้าที่ให้ความเห็นชอบในข้อบัญญัติต่าง ๆ และการดำเนินการบริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา โดยวุฒิภาวะเช่นนั้น จำเลยที่ 3 ย่อมต้องทราบว่าการจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจัดจ้างเพื่อเบิกเงินงบประมาณจ่ายค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ 3 อันเป็นความเท็จ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยระเบียบแบบแผนของทางราชการและเป็นความผิดมีโทษทางอาญา แต่จำเลยที่ 3 กลับรับสมอ้างเป็นผู้รับจ้างปิดกั้นคลองบางแพรก ทั้งที่ไม่มีการจัดจ้างจริง โดยจำเลยที่ 3 นำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของตนไปมอบให้เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาใช้ประกอบการจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจัดจ้าง ทั้งยังลงนามเป็นผู้เสนอราคาและเป็นผู้รับจ้างในใบเสนอราคา หนังสือขอเข้าทำงานจ้างของจำเลยที่ 3 บันทึกตกลงการจ้าง หนังสือขอส่งมอบงานจ้างของจำเลยที่ 3 และบิลเงินสด ซึ่งเอกสารดังกล่าวล้วนมีข้อความระบุชัดแจ้งว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเสนอราคาและรับจ้างก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำชั่วคราวคลองบางแพรก มิใช่เป็นการจ้างคนสูบน้ำหรือเฝ้าเครื่องสูบน้ำตามที่จำเลยที่ 3 อ้างในฎีกา พฤติการณ์ดังที่กล่าวมาจึงบ่งชี้ให้เห็นถึงข้อพิรุธของจำเลยที่ 3 คดีรับฟังได้ตามทางไต่สวนว่า จำเลยที่ 3 มีเจตนารับสมอ้างเป็นผู้รับจ้างปิดกั้นคลองบางแพรก เพื่อช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดให้สำเร็จลุล่วงไป อันเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 3 จะยกข้ออ้างว่ากระทำไปโดยสุจริตเพื่อนำเงินมาช่วยเหลือราษฎรที่เดือดร้อนจากอุทกภัยขึ้นมาแก้ตัวให้พ้นผิดหาได้ไม่ ส่วนจำเลยที่ 4 นั้น เห็นว่า การรับฟังว่าจำเลยที่ 4 มีเจตนากระทำความผิดหรือไม่ ต้องพิจารณาจากการกระทำของจำเลยที่ 4 ประกอบพฤติการณ์แห่งคดีเป็นสำคัญ จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า นางอรุณีเป็นผู้โทรศัพท์ติดต่อให้จำเลยที่ 3 รับสมอ้างเป็นผู้รับจ้างปิดกั้นคลองบางแพรก จำเลยที่ 4 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 4 เบิกความตอบศาลยอมรับว่า จำเลยที่ 4 อยู่ในเหตุการณ์ขณะนั้นด้วย โดยนางอรุณีโทรศัพท์มาหาจำเลยที่ 4 บอกว่า น้ำท่วมมากจะต้องจัดหาผู้รับจ้างปิดกั้นคลองบางแพรก จำเลยที่ 4 จึงให้นางอรุณีคุยโทรศัพท์กับจำเลยที่ 3 และเบิกความตอบโจทก์ขออนุญาตศาลถามว่า หลังจากนายชื่นได้รับหนังสือจากเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ให้ไปชี้แจงข้อกล่าวหา นายชื่นนำเอกสารดังกล่าวไปหาจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 จึงพานายชื่นไปพบนายวิเชียร ที่ปรึกษากฎหมายของจำเลยที่ 1 แสดงว่าจำเลยที่ 4 รู้จักคุ้นเคยกับจำเลยที่ 1 และรับรู้ในเรื่องที่จำเลยที่ 3 รับสมอ้างเป็นผู้รับจ้างปิดกั้นคลองบางแพรก ทั้งที่ไม่มีการจัดจ้างจริง พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมประชุมในการประชุมขององค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา ครั้งที่ 6/2556 เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2556 ตามรายงานการประชุม รับเงินที่ได้มาจากการจัดจ้างและเบิกเงินงบประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาอันเป็นความเท็จสืบต่อมาจากจำเลยที่ 3 จึงบ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยที่ 4 มีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในการกระทำความผิดด้วย ที่จำเลยที่ 4 อ้างว่า จำเลยที่ 4 มีเจตนานำเงินที่ได้มาโดยมิชอบดังกล่าวไปจ่ายให้แก่ราษฎรหมู่ที่ 11 ที่มาช่วยกันปิดกั้นคลองบางแพรก ค่าซื้อทราย ค่าซื้อเสาเข็ม และค่าจ้างรถแบ็กโฮ นั้น จำเลยที่ 4 คงมีแต่นายห่วง ซึ่งเป็นญาติกับจำเลยที่ 4 เป็นพยานให้การต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ป.ป.ช. ว่า พยานได้รับเงินจากจำเลยที่ 4 จำนวน 5,000 บาท และนายสนั่น ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้ประกอบกิจการค้าขายทราย เป็นพยานเบิกความในชั้นพิจารณาว่า ในช่วงเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 4 สั่งซื้อทรายจากพยานหนึ่งหรือสองคันรถบรรทุกสิบล้อ กับว่าจ้างพวกของพยานให้นำรถแบ็กโฮไปกดเสาเข็ม โดยพยานคิดราคาค่าทราย 4,000 บาท ต่อหนึ่งคันรถบรรทุกสิบล้อ ส่วนพวกของพยานคิดค่าจ้างรถแบ็กโฮวันละประมาณ 10,000 บาท และจำเลยที่ 4 เป็นผู้จ่ายค่าซื้อทรายให้แก่พยาน แต่สำหรับการจ่ายค่าจ้างรถแบ็กโฮนั้น พยานไม่ทราบรายละเอียด ส่วนพยานปากอื่นที่จำเลยที่ 4 อ้างเป็นพยาน เช่น นายสัญญา นายสุรพล นายจรัญ และนายจรัล ต่างให้การต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ป.ป.ช. ว่า จำเลยที่ 4 ไม่เคยนำเงินมาให้พยานเพื่อนำไปมอบให้แก่ราษฎรที่สำรองเงินค่าใช้จ่ายในการปิดกั้นคลองบางแพรก ทั้งนายชื่นเบิกความเป็นพยานโจทก์ในชั้นพิจารณายืนยันว่า พยานไม่ได้รับเงินค่าจ้างเฝ้าเครื่องสูบน้ำจากจำเลยที่ 4 แต่อย่างใด ข้ออ้างของจำเลยที่ 4 จึงมีน้ำหนักน้อย คดีรับฟังได้ตามทางไต่สวนว่า จำเลยที่ 4 มีเจตนาร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 4 เป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา มิใช่เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาที่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดจ้างและเบิกเงินงบประมาณโดยตรง จำเลยที่ 4 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เช่นเดียวกับจำเลยที่ 3 ฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 มีว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 86 หรือไม่ เห็นว่า ตามทางไต่สวนได้ความว่า ในการปิดกั้นคลองบางแพรกนั้น ที่ประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนามอบหมายให้สำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าหน่วยงานเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการ และสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาเป็นผู้จัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจัดจ้างและเบิกเงินงบประมาณทั้งหมด ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เข้าไปมีหน้าที่ในขั้นตอนการจัดทำและรับรองเอกสารดังกล่าว จำเลยที่ 1 คงมีส่วนเกี่ยวข้องเพียงเป็นผู้อนุมัติเห็นชอบการจัดจ้างและเบิกเงินงบประมาณตามที่สำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาเสนอมาเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ขององค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา และเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสาร หรือกรอกข้อความลงในเอกสารโดยตรง การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) จำเลยที่ 3 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 86 ฎีกาของจำเลยที่ 3 ข้อนี้ฟังขึ้น อย่างไรก็ตาม จำเลยที่ 1 เป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการกำหนดนโยบายและรับผิดชอบในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาให้เป็นไปตามกฎหมาย และมีอำนาจอนุมัติสั่งซื้อหรือสั่งจ้างและเบิกจ่ายเงินงบประมาณในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 และระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2547 โดยภาระดังกล่าว จำเลยที่ 1 ย่อมมีหน้าที่ต้องบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาด้วยความโปร่งใสและไม่ผิดระเบียบแบบแผนของทางราชการ การที่จำเลยที่ 1 ให้ความเห็นชอบอนุมัติการจัดจ้างและเบิกเงินงบประมาณเพื่อจ่ายค่าจ้างปิดกั้นคลองบางแพรกให้แก่จำเลยที่ 3 ทั้งที่รู้อยู่ว่าไม่มีการจัดจ้างจริง เป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาได้รับความเสียหายต้องสูญเสียเงินงบประมาณไปในการจัดจ้างอันเป็นความเท็จ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) จำเลยที่ 3 จึงยังคงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 และกรณีดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ซึ่งมิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213, 225 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 48 จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 คงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 86 คงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 กับฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 86 และศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยทั้งสี่เสียใหม่ให้เหมาะสมแก่สภาพความผิด กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ที่ขอให้ลงโทษสถานเบาอีกต่อไป
ปัญหาข้อสุดท้ายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 มีว่า สมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 3 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 อันเป็นการส่งเสริมให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาได้รับความเสียหายต้องสูญเสียเงินงบประมาณไปในการจัดจ้างอันเป็นความเท็จ มีผลกระทบต่องบประมาณของรัฐที่ได้มาจากการเสียภาษีอากรของประชาชนเพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศ พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยที่ 3 ไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน และจำเลยที่ 3 ได้วางเงินต่อศาลเพื่อบรรเทาผลร้ายแล้ว ก็ไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุกให้ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 3 จึงเหมาะสมแก่สภาพความผิดแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 83 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 83, 162 (1) (4) (เดิม) จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 86 การกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 3 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 และที่ 4 คนละ 2 ปี ลดโทษให้จำเลยทั้งสี่คนละหนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 2 ปี 3 เดือน คงจำคุกจำเลยที่ 3 และที่ 4 คนละ 1 ปี 6 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยที่ 2 หัวหน้าสำนักงานปลัดมีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการ และสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาเป็นผู้จัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจัดจ้างและเบิกเงินงบประมาณทั้งหมด ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เข้าไปมีหน้าที่ในขั้นตอนการจัดทำและรับรองเอกสารดังกล่าว จำเลยที่ 1 มีส่วนเกี่ยวข้องเพียงเป็นผู้อนุมัติเห็นชอบการจัดจ้างและเบิกเงินงบประมาณตามที่สำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาเสนอมาเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ขององค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาและเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสาร หรือกรอกข้อความลงในเอกสารโดยตรง การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 151 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) อย่างไรก็ตามจำเลยที่ 1 เป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการกำหนดนโยบายและรับผิดชอบในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาให้เป็นไปตามกฎหมาย และมีอำนาจอนุมัติสั่งซื้อหรือสั่งจ้างและเบิกจ่ายเงินงบประมาณในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 และระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงินการเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2547 โดยภาระดังกล่าวจำเลยที่ 1 ย่อมมีหน้าที่ต้องบริหารงานองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาด้วยความโปร่งใสและไม่ผิดระเบียบแบบแผนของทางราชการ การที่จำเลยที่ 1 ให้ความเห็นชอบอนุมัติการจัดจ้างและเบิกเงินงบประมาณเพื่อจ่ายค่าจ้างปิดกั้นคลองบางแพรกให้แก่จำเลยที่ 3 ทั้งที่รู้อยู่ว่าไม่มีการจัดจ้างจริง เป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาได้รับความเสียหายต้องสูญเสียเงินงบประมาณไปในการจัดจ้างอันเป็นความเท็จ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตาม ป.อ. มาตรา 157 (เดิม)
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 151, 157, 162 นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีหมายเลขแดงที่ อท 257/2561 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง และนับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อจากโทษในคดีหมายเลขดำที่ อท 86/2562 คดีหมายเลขดำที่ อท 108/2562 คดีหมายเลขดำที่ อท 109/2562 และคดีหมายเลขดำที่ อท 110/2562 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ประกอบมาตรา 86, 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 83 จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 86 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 5 ปี การกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 3 ปี 4 เดือน ทางนำสืบของจำเลยทั้งสี่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี 9 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 2 ปี 6 เดือน นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีหมายเลขแดงที่ อท 257/2561 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อจากโทษในคดีหมายเลขดำที่ อท 86/2562 คดีหมายเลขดำที่ อท 108/2562 คดีหมายเลขดำที่ อท 109/2562 และคดีหมายเลขดำที่ อท 110/2562 ของศาลชั้นต้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลยังไม่มีคำพิพากษา จึงให้ยกคำขอในส่วนนี้
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในส่วนของจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา จำเลยที่ 3 ประกอบอาชีพค้าขาย ส่วนจำเลยที่ 4 ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา หมู่ที่ 11 จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 มาตรา 65 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 ในปีงบประมาณ 2557 องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาตั้งงบประมาณประเภทเงินสำรองจ่ายไว้ใช้ในกิจการที่ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้า รวมถึงการแก้ไขปัญหาสาธารณภัยต่าง ๆ ไว้ในข้อบัญญัติขององค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา เป็นเงิน 2,000,000 บาท เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2556 จำเลยที่ 1 เรียกประชุมคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อติดตามสถานการณ์ เตรียมการป้องกัน และแก้ไขปัญหาอุทกภัยในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา ครั้งที่ 6/2556 ที่ประชุมมีมติให้ก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำชั่วคราวคลองบางแพรก (คาร์ฟูร์) หมู่ที่ 11 เพื่อป้องกันอุทกภัย และมอบหมายให้สำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ ต่อมาสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจัดจ้างขอเบิกเงินงบประมาณเพื่อจ่ายค่าจ้างปิดกั้นคลองบางแพรกให้แก่จำเลยที่ 3 โดยอ้างว่าในการปิดกั้นคลองดังกล่าวนั้น จำเลยที่ 1 เห็นชอบให้ดำเนินการจัดจ้างโดยวิธีตกลงราคาตามที่สำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาเสนอ มีผู้เข้าเสนอราคา 3 ราย คือ จำเลยที่ 3 นายทวี และนายชื่น องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาตกลงจ้างจำเลยที่ 3 ผู้เสนอราคาต่ำสุดให้เป็นผู้รับจ้าง จำเลยที่ 3 ส่งมอบงานจ้าง และคณะกรรมการตรวจรับงานจ้างได้ตรวจรับงานของจำเลยที่ 3 แล้ว ซึ่งจำเลยที่ 1 มีคำสั่งอนุมัติให้จ่ายค่าจ้างหักภาษี ณ ที่จ่ายแก่จำเลยที่ 3 เป็นเงิน 67,320 บาท ตามฎีกาเบิกเงินตามงบประมาณรายจ่าย เลขที่คลังรับ 72/2557 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2556 อันเป็นการจัดทำเอกสารเท็จ เพราะในความเป็นจริงองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนามิได้จ้างจำเลยที่ 3 ให้เป็นผู้รับจ้างปิดกั้นคลองบางแพรก แต่เป็นกรณีที่ราษฎรหมู่ที่ 11 ช่วยกันออกเงินซื้อวัสดุและร่วมกันปิดกั้นคลองดังกล่าว โดยขอสนับสนุนเครื่องจักรและทรายบรรจุกระสอบจากองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา สำหรับจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ คดีในส่วนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ปัญหาข้อแรกที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) และมาตรา 162 (1) (4) (เดิม) หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่รับผิดชอบในการก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำชั่วคราวคลองบางแพรก จำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าหน่วยงานย่อมต้องทราบความเป็นมาในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดีว่า ในการปิดกั้นคลองบางแพรกนั้น เป็นกรณีที่ราษฎรหมู่ที่ 11 ช่วยกันออกเงินซื้อวัสดุและร่วมกันปิดกั้น โดยขอสนับสนุนเครื่องจักรและทรายบรรจุกระสอบจากองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา มิใช่เป็นการจัดจ้างจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับจ้างโดยวิธีตกลงราคาตามเอกสารเกี่ยวกับการจัดจ้างที่สำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาจัดทำเสนอเพื่อขอเบิกเงินงบประมาณจ่ายค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ 3 แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยรู้จักและมิได้เป็นผู้ติดต่อให้จำเลยที่ 3 นายทวี และนายชื่น เข้ายื่นใบเสนอราคาเป็นผู้รับจ้าง แต่โจทก์อ้างนางธนกร ลูกจ้างตามภารกิจซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปช่วยงานที่สำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาเป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกปากคำของผู้ให้ถ้อยคำ ยืนยันว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งการให้พยานพิมพ์เอกสารประกอบฎีกาเบิกเงินตามงบประมาณรายจ่าย เลขที่คลังรับ 72/2557 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2556 ประกอบด้วยรายงานขอจ้างโดยวิธีตกลงราคา ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2556 ใบเสนอราคาของจำเลยที่ 3 นายทวี และนายชื่น ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2556 บันทึกตกลงการจ้างเลขที่ 42/2557 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2556 หนังสือขอเข้าทำงานจ้างของจำเลยที่ 3 ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2556 หนังสือขอส่งมอบงานจ้างของจำเลยที่ 3 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2556 ใบตรวจรับงานของคณะกรรมการตรวจรับงานจ้าง ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2556 บันทึกขออนุมัติเบิกเงินค่าจ้าง ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2556 และใบรับรองของผู้เบิก ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2556 หลังจากจัดพิมพ์เอกสารดังกล่าวเสร็จแล้ว พยานนำเอกสารไปให้บุคคลที่เกี่ยวข้องลงลายมือชื่อ แล้วรวบรวมเป็นหลักฐานประกอบฎีกาขอเบิกเงินงบประมาณจากกองคลัง โดยในการจัดทำเอกสารดังกล่าวนั้น จำเลยที่ 2 เป็นผู้นำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 3 นายทวี และนายชื่นมาให้พยานใช้ประกอบการจัดพิมพ์รายงานขอจ้างโดยวิธีตกลงราคาและใบเสนอราคา พร้อมเขียนจำนวนเงินที่จะให้พยานพิมพ์ลงไว้ในใบเสนอราคาของผู้เสนอราคาแต่ละรายด้วย ซึ่งจากคำให้การในชั้นไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ป.ป.ช. และคำเบิกความของนางธนกรดังกล่าว ความปรากฏตามรายงานการประชุม บันทึกขออนุมัติจัดจ้างและบันทึกตกลงการจ้าง ว่า ที่ประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนามีมติให้ก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำชั่วคราวคลองบางแพรก และสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนามีบันทึกขออนุมัติจัดจ้างตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 รวมทั้งองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนามีการทำสัญญาจ้างกับจำเลยที่ 3 ในวันที่ 21 ตุลาคม 2556 แต่ตามใบเสนอราคาของจำเลยที่ 3 นายทวี และนายชื่น และหนังสือขอเข้าทำงานจ้างของจำเลยที่ 3 กลับระบุว่า จำเลยที่ 3 นายทวี และนายชื่น ยื่นใบเสนอราคาต่อองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา และจำเลยที่ 3 มีหนังสือขอเข้าทำงานจ้างโดยอ้างว่าเป็นผู้ได้รับการตกลงจ้าง ในวันที่ 18 ตุลาคม 2556 อันเป็นเวลาก่อนวันที่ที่ประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนามีมติให้ก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำชั่วคราวคลองบางแพรก และสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนามีบันทึกขออนุมัติจัดจ้าง รวมทั้งองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนามีการทำสัญญาจ้างกับจำเลยที่ 3 นับเป็นข้อพิรุธอย่างยิ่ง ทั้งตามรายงานการประชุมก็ปรากฏว่า ที่ประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นผู้เข้าร่วมประชุมด้วย เพียงแต่มีมติเห็นชอบให้ก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำชั่วคราวดังกล่าว โดยในรายงานการประชุมระบุว่า ชาวบ้านได้สนับสนุนเครื่องสูบน้ำ 5 เครื่อง องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาสนับสนุนน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องละ 40 ลิตร และจ้างคนดูแลเขื่อนและเครื่องสูบน้ำ 2 คน มิได้ระบุว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้มีการจัดจ้างตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 แต่อย่างใด เช่นนี้ พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 ลงนามเป็นผู้รับรองในเอกสารเกี่ยวกับการจัดจ้างและลงนามเป็นผู้เบิกเงินงบประมาณเพื่อจ่ายค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ 3 จึงบ่งชี้แจ้งชัดว่าจำเลยที่ 2 รับรู้และมีส่วนร่วมในการจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจัดจ้างอันเป็นความเท็จดังกล่าว เป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาได้รับความเสียหายต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ 3 ทั้งที่ไม่มีการจัดจ้างจริง ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ที่ว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจัดจ้างอันเป็นความเท็จนั้น ไม่สมเหตุสมผลรับฟังไม่ได้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำชั่วคราวคลองบางแพรกโดยตรงจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) และฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารรับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทำการอย่างใดขึ้นหรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ และรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 (1) (4) (เดิม) ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 มีว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือไม่ โดยจำเลยที่ 3 ฎีกาว่า เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาเป็นผู้จัดทำเอกสารเกี่ยวกับการเสนอราคารวมตลอดถึงการเบิกรับเงินค่าจ้างของจำเลยที่ 3 มิใช่จำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดทำ จำเลยที่ 3 เข้าไปเกี่ยวข้องเนื่องจากจำเลยที่ 4 แจ้งว่า องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาจะช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายในการปิดกั้นคลองบางแพรก โดยแนะนำให้หาตัวผู้รับจ้างปิดกั้นคลองเพื่อเบิกเงินงบประมาณมาเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างคนสูบน้ำหรือเฝ้าเครื่องสูบน้ำ และจำเลยที่ 4 สอบถามจำเลยที่ 3 ว่าเป็นผู้รับจ้างได้หรือไม่ จำเลยที่ 3 ตกลงเป็นผู้รับจ้างเพราะเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นกรณีที่สามารถเบิกเงินงบประมาณมาเป็นค่าใช้จ่ายในการดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือราษฎรที่เดือดร้อนจากอุทกภัยได้ จำเลยที่ 4 จึงให้จำเลยที่ 3 นำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านไปมอบให้เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาเพื่อจัดทำหลักฐานการจัดจ้าง ต่อมาเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาแจ้งจำเลยที่ 3 ให้ไปรับเช็ค และให้จำเลยที่ 3 ลงนามในเอกสารต่าง ๆ จำเลยที่ 3 เข้าใจว่าเป็นเช็คจ่ายค่าจ้างคนสูบน้ำหรือเฝ้าเครื่องสูบน้ำ จึงนำเช็คไปขึ้นเงินและนำเงินไปมอบให้จำเลยที่ 4 ทั้งหมด จำเลยที่ 3 ไม่มีเจตนาช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิด และจำเลยที่ 4 ฎีกาว่า นางอรุณี ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา เป็นผู้โทรศัพท์ติดต่อให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับจ้างปิดกั้นคลองบางแพรก จำเลยที่ 4 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และจำเลยที่ 4 รับเงินจากจำเลยที่ 3 เพื่อนำไปจ่ายให้แก่ราษฎรหมู่ที่ 11 ที่มาช่วยกันปิดกั้นคลอง ค่าซื้อทราย ค่าซื้อเสาเข็ม และค่าจ้างรถแบ็กโฮ ไม่ได้เก็บไว้เป็นประโยชน์ส่วนตน ข้อเท็จจริงตามสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และคำเบิกความของพยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังลงโทษจำเลยที่ 4 ได้ ทั้งการกระทำของจำเลยที่ 4 น่าจะเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 3 มิใช่จำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า สำหรับจำเลยที่ 3 ข้อเท็จจริงได้ความจากคำให้การของจำเลยที่ 3 ว่า ในวันที่ราษฎรหมู่ที่ 11 ร่วมกันปิดกั้นคลองบางแพรกนั้น จำเลยที่ 3 ไปช่วยปิดกั้นคลองด้วย แสดงว่าจำเลยที่ 3 ทราบมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนามิได้มีการจ้างผู้รับจ้างปิดกั้นคลองดังกล่าว จำเลยที่ 3 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาระหว่างปี 2547 ถึงปี 2555 นับว่าเป็นผู้มีความรู้สูงและเคยดำรงตำแหน่งหน้าที่สำคัญมีหน้าที่ให้ความเห็นชอบในข้อบัญญัติต่าง ๆ และการดำเนินการบริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา โดยวุฒิภาวะเช่นนั้น จำเลยที่ 3 ย่อมต้องทราบว่าการจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจัดจ้างเพื่อเบิกเงินงบประมาณจ่ายค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ 3 อันเป็นความเท็จ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยระเบียบแบบแผนของทางราชการและเป็นความผิดมีโทษทางอาญา แต่จำเลยที่ 3 กลับรับสมอ้างเป็นผู้รับจ้างปิดกั้นคลองบางแพรก ทั้งที่ไม่มีการจัดจ้างจริง โดยจำเลยที่ 3 นำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของตนไปมอบให้เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาใช้ประกอบการจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจัดจ้าง ทั้งยังลงนามเป็นผู้เสนอราคาและเป็นผู้รับจ้างในใบเสนอราคา หนังสือขอเข้าทำงานจ้างของจำเลยที่ 3 บันทึกตกลงการจ้าง หนังสือขอส่งมอบงานจ้างของจำเลยที่ 3 และบิลเงินสด ซึ่งเอกสารดังกล่าวล้วนมีข้อความระบุชัดแจ้งว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเสนอราคาและรับจ้างก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำชั่วคราวคลองบางแพรก มิใช่เป็นการจ้างคนสูบน้ำหรือเฝ้าเครื่องสูบน้ำตามที่จำเลยที่ 3 อ้างในฎีกา พฤติการณ์ดังที่กล่าวมาจึงบ่งชี้ให้เห็นถึงข้อพิรุธของจำเลยที่ 3 คดีรับฟังได้ตามทางไต่สวนว่า จำเลยที่ 3 มีเจตนารับสมอ้างเป็นผู้รับจ้างปิดกั้นคลองบางแพรก เพื่อช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดให้สำเร็จลุล่วงไป อันเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 3 จะยกข้ออ้างว่ากระทำไปโดยสุจริตเพื่อนำเงินมาช่วยเหลือราษฎรที่เดือดร้อนจากอุทกภัยขึ้นมาแก้ตัวให้พ้นผิดหาได้ไม่ ส่วนจำเลยที่ 4 นั้น เห็นว่า การรับฟังว่าจำเลยที่ 4 มีเจตนากระทำความผิดหรือไม่ ต้องพิจารณาจากการกระทำของจำเลยที่ 4 ประกอบพฤติการณ์แห่งคดีเป็นสำคัญ จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า นางอรุณีเป็นผู้โทรศัพท์ติดต่อให้จำเลยที่ 3 รับสมอ้างเป็นผู้รับจ้างปิดกั้นคลองบางแพรก จำเลยที่ 4 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 4 เบิกความตอบศาลยอมรับว่า จำเลยที่ 4 อยู่ในเหตุการณ์ขณะนั้นด้วย โดยนางอรุณีโทรศัพท์มาหาจำเลยที่ 4 บอกว่า น้ำท่วมมากจะต้องจัดหาผู้รับจ้างปิดกั้นคลองบางแพรก จำเลยที่ 4 จึงให้นางอรุณีคุยโทรศัพท์กับจำเลยที่ 3 และเบิกความตอบโจทก์ขออนุญาตศาลถามว่า หลังจากนายชื่นได้รับหนังสือจากเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ให้ไปชี้แจงข้อกล่าวหา นายชื่นนำเอกสารดังกล่าวไปหาจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 จึงพานายชื่นไปพบนายวิเชียร ที่ปรึกษากฎหมายของจำเลยที่ 1 แสดงว่าจำเลยที่ 4 รู้จักคุ้นเคยกับจำเลยที่ 1 และรับรู้ในเรื่องที่จำเลยที่ 3 รับสมอ้างเป็นผู้รับจ้างปิดกั้นคลองบางแพรก ทั้งที่ไม่มีการจัดจ้างจริง พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมประชุมในการประชุมขององค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา ครั้งที่ 6/2556 เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2556 ตามรายงานการประชุม รับเงินที่ได้มาจากการจัดจ้างและเบิกเงินงบประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาอันเป็นความเท็จสืบต่อมาจากจำเลยที่ 3 จึงบ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยที่ 4 มีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในการกระทำความผิดด้วย ที่จำเลยที่ 4 อ้างว่า จำเลยที่ 4 มีเจตนานำเงินที่ได้มาโดยมิชอบดังกล่าวไปจ่ายให้แก่ราษฎรหมู่ที่ 11 ที่มาช่วยกันปิดกั้นคลองบางแพรก ค่าซื้อทราย ค่าซื้อเสาเข็ม และค่าจ้างรถแบ็กโฮ นั้น จำเลยที่ 4 คงมีแต่นายห่วง ซึ่งเป็นญาติกับจำเลยที่ 4 เป็นพยานให้การต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ป.ป.ช. ว่า พยานได้รับเงินจากจำเลยที่ 4 จำนวน 5,000 บาท และนายสนั่น ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้ประกอบกิจการค้าขายทราย เป็นพยานเบิกความในชั้นพิจารณาว่า ในช่วงเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 4 สั่งซื้อทรายจากพยานหนึ่งหรือสองคันรถบรรทุกสิบล้อ กับว่าจ้างพวกของพยานให้นำรถแบ็กโฮไปกดเสาเข็ม โดยพยานคิดราคาค่าทราย 4,000 บาท ต่อหนึ่งคันรถบรรทุกสิบล้อ ส่วนพวกของพยานคิดค่าจ้างรถแบ็กโฮวันละประมาณ 10,000 บาท และจำเลยที่ 4 เป็นผู้จ่ายค่าซื้อทรายให้แก่พยาน แต่สำหรับการจ่ายค่าจ้างรถแบ็กโฮนั้น พยานไม่ทราบรายละเอียด ส่วนพยานปากอื่นที่จำเลยที่ 4 อ้างเป็นพยาน เช่น นายสัญญา นายสุรพล นายจรัญ และนายจรัล ต่างให้การต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ป.ป.ช. ว่า จำเลยที่ 4 ไม่เคยนำเงินมาให้พยานเพื่อนำไปมอบให้แก่ราษฎรที่สำรองเงินค่าใช้จ่ายในการปิดกั้นคลองบางแพรก ทั้งนายชื่นเบิกความเป็นพยานโจทก์ในชั้นพิจารณายืนยันว่า พยานไม่ได้รับเงินค่าจ้างเฝ้าเครื่องสูบน้ำจากจำเลยที่ 4 แต่อย่างใด ข้ออ้างของจำเลยที่ 4 จึงมีน้ำหนักน้อย คดีรับฟังได้ตามทางไต่สวนว่า จำเลยที่ 4 มีเจตนาร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 4 เป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา มิใช่เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาที่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดจ้างและเบิกเงินงบประมาณโดยตรง จำเลยที่ 4 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เช่นเดียวกับจำเลยที่ 3 ฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 มีว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 86 หรือไม่ เห็นว่า ตามทางไต่สวนได้ความว่า ในการปิดกั้นคลองบางแพรกนั้น ที่ประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนามอบหมายให้สำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าหน่วยงานเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการ และสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาเป็นผู้จัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจัดจ้างและเบิกเงินงบประมาณทั้งหมด ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เข้าไปมีหน้าที่ในขั้นตอนการจัดทำและรับรองเอกสารดังกล่าว จำเลยที่ 1 คงมีส่วนเกี่ยวข้องเพียงเป็นผู้อนุมัติเห็นชอบการจัดจ้างและเบิกเงินงบประมาณตามที่สำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาเสนอมาเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ขององค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนา และเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสาร หรือกรอกข้อความลงในเอกสารโดยตรง การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) จำเลยที่ 3 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 86 ฎีกาของจำเลยที่ 3 ข้อนี้ฟังขึ้น อย่างไรก็ตาม จำเลยที่ 1 เป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการกำหนดนโยบายและรับผิดชอบในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาให้เป็นไปตามกฎหมาย และมีอำนาจอนุมัติสั่งซื้อหรือสั่งจ้างและเบิกจ่ายเงินงบประมาณในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 และระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2547 โดยภาระดังกล่าว จำเลยที่ 1 ย่อมมีหน้าที่ต้องบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาด้วยความโปร่งใสและไม่ผิดระเบียบแบบแผนของทางราชการ การที่จำเลยที่ 1 ให้ความเห็นชอบอนุมัติการจัดจ้างและเบิกเงินงบประมาณเพื่อจ่ายค่าจ้างปิดกั้นคลองบางแพรกให้แก่จำเลยที่ 3 ทั้งที่รู้อยู่ว่าไม่มีการจัดจ้างจริง เป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาได้รับความเสียหายต้องสูญเสียเงินงบประมาณไปในการจัดจ้างอันเป็นความเท็จ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) จำเลยที่ 3 จึงยังคงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 และกรณีดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ซึ่งมิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213, 225 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 48 จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 คงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 86 คงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 กับฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 86 และศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยทั้งสี่เสียใหม่ให้เหมาะสมแก่สภาพความผิด กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ที่ขอให้ลงโทษสถานเบาอีกต่อไป
ปัญหาข้อสุดท้ายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 มีว่า สมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 3 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 อันเป็นการส่งเสริมให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนตำบลบางรักพัฒนาได้รับความเสียหายต้องสูญเสียเงินงบประมาณไปในการจัดจ้างอันเป็นความเท็จ มีผลกระทบต่องบประมาณของรัฐที่ได้มาจากการเสียภาษีอากรของประชาชนเพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศ พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยที่ 3 ไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน และจำเลยที่ 3 ได้วางเงินต่อศาลเพื่อบรรเทาผลร้ายแล้ว ก็ไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุกให้ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 3 จึงเหมาะสมแก่สภาพความผิดแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 83 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 83, 162 (1) (4) (เดิม) จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 86 การกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 3 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 และที่ 4 คนละ 2 ปี ลดโทษให้จำเลยทั้งสี่คนละหนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 2 ปี 3 เดือน คงจำคุกจำเลยที่ 3 และที่ 4 คนละ 1 ปี 6 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยทั้งสามร่วมกันทำการประมงโดยใช้อวนลากคานถ่างซึ่งถือเป็นประมงพาณิชย์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.การประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 36 จึงเป็นการทำการประมงโดยฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรงตามมาตรา 114 (2) เรือยนต์ประมงหางยาวพร้อมเครื่องยนต์ของกลางซึ่งจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ในการกระทำความผิดจึงต้องริบเสียทั้งสิ้นตามมาตรา 169 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 5, 36, 71, 114, 129, 147, 169 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 36 วรรคหนึ่ง, 71 วรรคหนึ่ง (1), 129 วรรคหนึ่ง, 147 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันทำการประมงพาณิชย์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ปรับคนละ 100,000 บาท และฐานร่วมกันใช้เครื่องมือทำการประมงที่ต้องห้ามทำการประมงในที่จับสัตว์น้ำตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ปรับคนละ 10,000 บาท รวมปรับคนละ 110,000 บาท จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับคนละ 55,000 บาท โทษปรับให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ให้คุมความประพฤติของจำเลยทั้งสามมีกำหนด 1 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติรวม 3 ครั้ง กับให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ริบเครื่องมือประมงชนิดอวนลากคานถ่างถ่วงลูกหินของกลาง ส่วนเรือยนต์ประมงหางยาวพร้อมเครื่องยนต์ของกลางให้คืนแก่เจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 8 ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมายรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แผนกคดีสิ่งแวดล้อมพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบเรือยนต์ประมงหางยาวพร้อมเครื่องยนต์ของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาให้ริบเรือยนต์ประมงหางยาวพร้อมเครื่องยนต์ของกลางนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันทำการประมงโดยใช้เรือยนต์ประมงหางยาว ชื่อเรือ ภ. ขนาด 2.16 ตันกรอส ความยาว 7.30 เมตร กว้าง 1.80 เมตร ลึก 0.70 เมตร พร้อมเครื่องยนต์เรือ ยี่ห้อคูโบต้า ขนาด 3 สูบ 12.18 กิโลวัตต์ ตัวถังเรือทำด้วยไม้สีแดง กาบสีฟ้า-ขาว 1 ลำ ประกอบเครื่องมือประมงชนิดอวนลากคานถ่างถ่วงลูกหินประกอบเรือกล มีถุงอวน 1 ปาก ขนาดความยาวคร่าวล่าง 2.20 เมตร ความยาว 3.30 เมตร และมีเหล็กถ่างปากอวนขณะทำการประมงพร้อมลูกหินถ่วง 2 ก้อน กับอุปกรณ์ 1 ชุด อันเป็นประมงพาณิชย์จับสัตว์น้ำอยู่บริเวณแนวเขตทะเลชายฝั่งโดยไม่ได้รับใบอนุญาต อันเป็นการทำการประมงโดยฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง และร่วมกันใช้เครื่องมือประมงชนิดอวนลากคานถ่างถ่วงลูกหิน มีถุงอวน 1 ปาก ขนาดความยาวคร่าวล่าง 2.20 เมตร ความยาว 3.30 เมตร และมีเหล็กถ่างปากอวนขณะทำการประมงพร้อมลูกหินถ่วง 2 ก้อน กับอุปกรณ์ 1 ชุด อันเป็นเครื่องมือทำการประมงที่ห้ามใช้ทำการประมงมาประกอบเรือกลทำการประมงจับสัตว์น้ำประเภทหอยแครง บริเวณน่านน้ำภายในและบริเวณเขตทะเลชายฝั่ง อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า เรือยนต์ประมงหางยาวพร้อมเครื่องยนต์ของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 169 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดการประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 54 บัญญัติว่า “เครื่องมือทำการประมง สัตว์น้ำ ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ เรือประมง หรือสิ่งอื่นใดที่ใช้ในการกระทำความผิดหรือได้มาโดยการกระทำความผิด และความผิดนั้นเป็นการทำการประมงโดยฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรงตามมาตรา 114 ให้ริบเสียทั้งสิ้น เว้นแต่เป็นกรณีมีการวางประกันให้ริบเงินประกันแทน” มาตรา 114 บัญญัติว่า “การกระทำดังต่อไปนี้ให้ถือว่าเป็นการทำการประมงโดยฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง (1)...(2) ทำการประมงโดยไม่มีใบอนุญาตทำการประมงหรือไม่มีใบอนุญาตใช้เครื่องมือทำการประมงตามมาตรา 31 มาตรา 32 มาตรา 36 หรือมาตรา 48...” มาตรา 36 บัญญัติว่า “ผู้ใดจะทำการประมงพาณิชย์ต้องได้รับใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์จากอธิบดี หรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย” และตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดการใช้เรือประมงทุกขนาดประกอบเครื่องมือทำการประมงบางประเภทเป็นประมงพาณิชย์ พ.ศ. 2560 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในบทนิยามคำว่า “ประมงพาณิชย์” ในมาตรา 5 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 กำหนดให้การทำการประมงโดยใช้อวนลากคานถ่างเป็นประมงพาณิชย์ ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งสามร่วมกันทำการประมงโดยใช้อวนลากคานถ่างซึ่งถือเป็นประมงพาณิชย์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 36 จึงเป็นการทำการประมงโดยฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรงตามมาตรา 114 (2) เรือยนต์ประมงหางยาวพร้อมเครื่องยนต์ของกลางซึ่งจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ในการกระทำความผิดจึงต้องริบเสียทั้งสิ้นตามมาตรา 169 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้ริบเรือยนต์ประมงหางยาวพร้อมเครื่องยนต์ของกลางนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามร่วมกันทำการประมงโดยใช้อวนลากคานถ่างซึ่งถือเป็นประมงพาณิชย์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.การประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 36 จึงเป็นการทำการประมงโดยฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรงตามมาตรา 114 (2) เรือยนต์ประมงหางยาวพร้อมเครื่องยนต์ของกลางซึ่งจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ในการกระทำความผิดจึงต้องริบเสียทั้งสิ้นตามมาตรา 169 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 5, 36, 71, 114, 129, 147, 169 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 36 วรรคหนึ่ง, 71 วรรคหนึ่ง (1), 129 วรรคหนึ่ง, 147 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันทำการประมงพาณิชย์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ปรับคนละ 100,000 บาท และฐานร่วมกันใช้เครื่องมือทำการประมงที่ต้องห้ามทำการประมงในที่จับสัตว์น้ำตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ปรับคนละ 10,000 บาท รวมปรับคนละ 110,000 บาท จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับคนละ 55,000 บาท โทษปรับให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ให้คุมความประพฤติของจำเลยทั้งสามมีกำหนด 1 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติรวม 3 ครั้ง กับให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ริบเครื่องมือประมงชนิดอวนลากคานถ่างถ่วงลูกหินของกลาง ส่วนเรือยนต์ประมงหางยาวพร้อมเครื่องยนต์ของกลางให้คืนแก่เจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 8 ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมายรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แผนกคดีสิ่งแวดล้อมพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบเรือยนต์ประมงหางยาวพร้อมเครื่องยนต์ของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาให้ริบเรือยนต์ประมงหางยาวพร้อมเครื่องยนต์ของกลางนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันทำการประมงโดยใช้เรือยนต์ประมงหางยาว ชื่อเรือ ภ. ขนาด 2.16 ตันกรอส ความยาว 7.30 เมตร กว้าง 1.80 เมตร ลึก 0.70 เมตร พร้อมเครื่องยนต์เรือ ยี่ห้อคูโบต้า ขนาด 3 สูบ 12.18 กิโลวัตต์ ตัวถังเรือทำด้วยไม้สีแดง กาบสีฟ้า-ขาว 1 ลำ ประกอบเครื่องมือประมงชนิดอวนลากคานถ่างถ่วงลูกหินประกอบเรือกล มีถุงอวน 1 ปาก ขนาดความยาวคร่าวล่าง 2.20 เมตร ความยาว 3.30 เมตร และมีเหล็กถ่างปากอวนขณะทำการประมงพร้อมลูกหินถ่วง 2 ก้อน กับอุปกรณ์ 1 ชุด อันเป็นประมงพาณิชย์จับสัตว์น้ำอยู่บริเวณแนวเขตทะเลชายฝั่งโดยไม่ได้รับใบอนุญาต อันเป็นการทำการประมงโดยฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง และร่วมกันใช้เครื่องมือประมงชนิดอวนลากคานถ่างถ่วงลูกหิน มีถุงอวน 1 ปาก ขนาดความยาวคร่าวล่าง 2.20 เมตร ความยาว 3.30 เมตร และมีเหล็กถ่างปากอวนขณะทำการประมงพร้อมลูกหินถ่วง 2 ก้อน กับอุปกรณ์ 1 ชุด อันเป็นเครื่องมือทำการประมงที่ห้ามใช้ทำการประมงมาประกอบเรือกลทำการประมงจับสัตว์น้ำประเภทหอยแครง บริเวณน่านน้ำภายในและบริเวณเขตทะเลชายฝั่ง อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า เรือยนต์ประมงหางยาวพร้อมเครื่องยนต์ของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 169 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดการประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 54 บัญญัติว่า “เครื่องมือทำการประมง สัตว์น้ำ ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ เรือประมง หรือสิ่งอื่นใดที่ใช้ในการกระทำความผิดหรือได้มาโดยการกระทำความผิด และความผิดนั้นเป็นการทำการประมงโดยฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรงตามมาตรา 114 ให้ริบเสียทั้งสิ้น เว้นแต่เป็นกรณีมีการวางประกันให้ริบเงินประกันแทน” มาตรา 114 บัญญัติว่า “การกระทำดังต่อไปนี้ให้ถือว่าเป็นการทำการประมงโดยฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง (1)...(2) ทำการประมงโดยไม่มีใบอนุญาตทำการประมงหรือไม่มีใบอนุญาตใช้เครื่องมือทำการประมงตามมาตรา 31 มาตรา 32 มาตรา 36 หรือมาตรา 48...” มาตรา 36 บัญญัติว่า “ผู้ใดจะทำการประมงพาณิชย์ต้องได้รับใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์จากอธิบดี หรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย” และตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดการใช้เรือประมงทุกขนาดประกอบเครื่องมือทำการประมงบางประเภทเป็นประมงพาณิชย์ พ.ศ. 2560 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในบทนิยามคำว่า “ประมงพาณิชย์” ในมาตรา 5 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 กำหนดให้การทำการประมงโดยใช้อวนลากคานถ่างเป็นประมงพาณิชย์ ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งสามร่วมกันทำการประมงโดยใช้อวนลากคานถ่างซึ่งถือเป็นประมงพาณิชย์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 36 จึงเป็นการทำการประมงโดยฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรงตามมาตรา 114 (2) เรือยนต์ประมงหางยาวพร้อมเครื่องยนต์ของกลางซึ่งจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ในการกระทำความผิดจึงต้องริบเสียทั้งสิ้นตามมาตรา 169 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้ริบเรือยนต์ประมงหางยาวพร้อมเครื่องยนต์ของกลางนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
คดีนี้โจทก์มีคำขอให้จำเลยชดใช้เงินที่ยักยอกไปจากผู้ร้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 จำเลยถึงแก่ความตายระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา อันส่งผลให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (1) แต่เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินที่โจทก์ขอมาด้วย คดีในส่วนแพ่งจึงต้องดำเนินการเพื่อให้บุคคลที่กฎหมายกำหนดเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 ต่อไป
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 2393/2560 ของศาลจังหวัดพัทยา และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 2,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นายจอร์จ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,000,000 บาท นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
จำเลยไม่ให้การในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และยกคำร้องของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ โดยรักษาการอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 7 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคหนึ่ง (เดิม) จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 3 เดือน นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 2393/2560 ของศาลจังหวัดพัทยา กับให้จำเลยชำระเงิน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา เรือนจำกลางเพชรบุรีส่งหนังสือฉบับลงวันที่ 7 มิถุนายน 2566 เรื่อง ผู้ต้องขังเสียชีวิต แจ้งว่าจำเลยถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2566 ด้วยสาเหตุมะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย โจทก์และผู้ร้องไม่คัดค้าน
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) จึงให้จำหน่ายคดีในส่วนอาญาเสียจากสารบบความ สำหรับคดีในส่วนแพ่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการเพื่อให้บุคคลที่กฎหมายกำหนดเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42
คดีนี้โจทก์มีคำขอให้จำเลยชดใช้เงินที่ยักยอกไปจากผู้ร้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 จำเลยถึงแก่ความตายระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา อันส่งผลให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (1) แต่เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินที่โจทก์ขอมาด้วย คดีในส่วนแพ่งจึงต้องดำเนินการเพื่อให้บุคคลที่กฎหมายกำหนดเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 ต่อไป
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 2393/2560 ของศาลจังหวัดพัทยา และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 2,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นายจอร์จ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,000,000 บาท นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
จำเลยไม่ให้การในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และยกคำร้องของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ โดยรักษาการอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 7 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคหนึ่ง (เดิม) จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 3 เดือน นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 2393/2560 ของศาลจังหวัดพัทยา กับให้จำเลยชำระเงิน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา เรือนจำกลางเพชรบุรีส่งหนังสือฉบับลงวันที่ 7 มิถุนายน 2566 เรื่อง ผู้ต้องขังเสียชีวิต แจ้งว่าจำเลยถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2566 ด้วยสาเหตุมะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย โจทก์และผู้ร้องไม่คัดค้าน
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) จึงให้จำหน่ายคดีในส่วนอาญาเสียจากสารบบความ สำหรับคดีในส่วนแพ่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการเพื่อให้บุคคลที่กฎหมายกำหนดเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42
มาตรา 7 วรรคสอง (1) (เดิม) ของ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 บัญญัติว่า “เครื่องหมายการค้าที่มีหรือประกอบด้วยลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นสาระสำคัญดังต่อไปนี้ ให้ถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะ (1) ชื่อตัว ชื่อสกุลของบุคคลธรรมดาที่ไม่เป็นชื่อสกุลตามความหมายอันเข้าใจกันโดยธรรมดา ชื่อเต็มของนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น หรือชื่อในทางการค้าที่แสดงโดยลักษณะพิเศษและไม่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง...” จากบทบัญญัติดังกล่าว ข้อความว่า “ที่แสดงโดยลักษณะพิเศษ” เป็นคำขยายของคำว่า “ชื่อในทางการค้า” เท่านั้น มิได้รวมไปถึงชื่อตัว ชื่อสกุลของบุคคลธรรมดาที่ไม่เป็นชื่อสกุลตามความหมายอันเข้าใจกันโดยธรรมดา ข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่า เครื่องหมายการค้าตามคำขอของโจทก์เป็นชื่อตัวและชื่อสกุลของบุคคลธรรมดาที่ไม่เป็นชื่อสกุลตามความหมายอันเข้าใจกันโดยธรรมดา ทั้งคำดังกล่าวก็มิได้เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าตามที่โจทก์ขอจดทะเบียนโดยตรง ย่อมมีลักษณะที่ทำให้ประชาชนหรือผู้ใช้สินค้าทราบและเข้าใจได้ว่าสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นแตกต่างไปจากสินค้าอื่น ถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะ โดยไม่จำเป็นต้องแสดงโดยลักษณะพิเศษแต่อย่างใด เครื่องหมายการค้าตามคำขอของโจทก์จึงมีลักษณะบ่งเฉพาะอันพึงรับจดทะเบียนได้ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 7 วรรคสอง (1) (เดิม)
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า และให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าดำเนินการเกี่ยวกับคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ 797628 ของโจทก์ ต่อไป
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามหนังสือสำนักเครื่องหมายการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญาที่ พณ 0704/527 และ พณ 0704/13531 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ 713/2562 ซึ่งปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอเลขที่ 797628 กับให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าดำเนินการเกี่ยวกับคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ดังกล่าวต่อไปตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า เครื่องหมายการค้า PIERRE CARDIN ตามคำขอของโจทก์เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะอันพึงรับจดทะเบียนได้หรือไม่ เห็นว่า มาตรา 7 วรรคสอง (1) (เดิม) ของพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 บัญญัติว่า “เครื่องหมายการค้าที่มีหรือประกอบด้วยลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นสาระสำคัญดังต่อไปนี้ ให้ถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะ (1) ชื่อตัว ชื่อสกุลของบุคคลธรรมดาที่ไม่เป็นชื่อสกุลตามความหมายอันเข้าใจกันโดยธรรมดา ชื่อเต็มของนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น หรือชื่อในทางการค้าที่แสดงโดยลักษณะพิเศษและไม่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง...” จากบทบัญญัติดังกล่าว ข้อความว่า “ที่แสดงโดยลักษณะพิเศษ” เป็นคำขยายของคำว่า “ชื่อในทางการค้า” เท่านั้น มิได้รวมไปถึงชื่อตัว ชื่อสกุลของบุคคลธรรมดาที่ไม่เป็นชื่อสกุลตามความหมายอันเข้าใจกันโดยธรรมดา ข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่า เครื่องหมายการค้าตามคำขอของโจทก์เป็นชื่อตัวและชื่อสกุลของบุคคลธรรมดาที่ไม่เป็นชื่อสกุลตามความหมายอันเข้าใจกันโดยธรรมดา ทั้งคำดังกล่าวก็มิได้เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าตามที่โจทก์ขอจดทะเบียนโดยตรง ย่อมมีลักษณะที่ทำให้ประชาชนหรือผู้ใช้สินค้าทราบและเข้าใจได้ว่าสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นแตกต่างไปจากสินค้าอื่น ถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะ โดยไม่จำเป็นต้องแสดงโดยลักษณะพิเศษแต่อย่างใด เครื่องหมายการค้าตามคำขอของโจทก์จึงมีลักษณะบ่งเฉพาะอันพึงรับจดทะเบียนได้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 7 วรรคสอง (1) (เดิม) กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยในประเด็นอื่นอีกเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.
มาตรา 7 วรรคสอง (1) (เดิม) ของ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 บัญญัติว่า “เครื่องหมายการค้าที่มีหรือประกอบด้วยลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นสาระสำคัญดังต่อไปนี้ ให้ถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะ (1) ชื่อตัว ชื่อสกุลของบุคคลธรรมดาที่ไม่เป็นชื่อสกุลตามความหมายอันเข้าใจกันโดยธรรมดา ชื่อเต็มของนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น หรือชื่อในทางการค้าที่แสดงโดยลักษณะพิเศษและไม่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง...” จากบทบัญญัติดังกล่าว ข้อความว่า “ที่แสดงโดยลักษณะพิเศษ” เป็นคำขยายของคำว่า “ชื่อในทางการค้า” เท่านั้น มิได้รวมไปถึงชื่อตัว ชื่อสกุลของบุคคลธรรมดาที่ไม่เป็นชื่อสกุลตามความหมายอันเข้าใจกันโดยธรรมดา ข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่า เครื่องหมายการค้าตามคำขอของโจทก์เป็นชื่อตัวและชื่อสกุลของบุคคลธรรมดาที่ไม่เป็นชื่อสกุลตามความหมายอันเข้าใจกันโดยธรรมดา ทั้งคำดังกล่าวก็มิได้เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าตามที่โจทก์ขอจดทะเบียนโดยตรง ย่อมมีลักษณะที่ทำให้ประชาชนหรือผู้ใช้สินค้าทราบและเข้าใจได้ว่าสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นแตกต่างไปจากสินค้าอื่น ถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะ โดยไม่จำเป็นต้องแสดงโดยลักษณะพิเศษแต่อย่างใด เครื่องหมายการค้าตามคำขอของโจทก์จึงมีลักษณะบ่งเฉพาะอันพึงรับจดทะเบียนได้ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 7 วรรคสอง (1) (เดิม)
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า และให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าดำเนินการเกี่ยวกับคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ 797628 ของโจทก์ ต่อไป
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามหนังสือสำนักเครื่องหมายการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญาที่ พณ 0704/527 และ พณ 0704/13531 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ 713/2562 ซึ่งปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอเลขที่ 797628 กับให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าดำเนินการเกี่ยวกับคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ดังกล่าวต่อไปตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า เครื่องหมายการค้า PIERRE CARDIN ตามคำขอของโจทก์เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะอันพึงรับจดทะเบียนได้หรือไม่ เห็นว่า มาตรา 7 วรรคสอง (1) (เดิม) ของพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 บัญญัติว่า “เครื่องหมายการค้าที่มีหรือประกอบด้วยลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นสาระสำคัญดังต่อไปนี้ ให้ถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะ (1) ชื่อตัว ชื่อสกุลของบุคคลธรรมดาที่ไม่เป็นชื่อสกุลตามความหมายอันเข้าใจกันโดยธรรมดา ชื่อเต็มของนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น หรือชื่อในทางการค้าที่แสดงโดยลักษณะพิเศษและไม่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง...” จากบทบัญญัติดังกล่าว ข้อความว่า “ที่แสดงโดยลักษณะพิเศษ” เป็นคำขยายของคำว่า “ชื่อในทางการค้า” เท่านั้น มิได้รวมไปถึงชื่อตัว ชื่อสกุลของบุคคลธรรมดาที่ไม่เป็นชื่อสกุลตามความหมายอันเข้าใจกันโดยธรรมดา ข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่า เครื่องหมายการค้าตามคำขอของโจทก์เป็นชื่อตัวและชื่อสกุลของบุคคลธรรมดาที่ไม่เป็นชื่อสกุลตามความหมายอันเข้าใจกันโดยธรรมดา ทั้งคำดังกล่าวก็มิได้เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าตามที่โจทก์ขอจดทะเบียนโดยตรง ย่อมมีลักษณะที่ทำให้ประชาชนหรือผู้ใช้สินค้าทราบและเข้าใจได้ว่าสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นแตกต่างไปจากสินค้าอื่น ถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะ โดยไม่จำเป็นต้องแสดงโดยลักษณะพิเศษแต่อย่างใด เครื่องหมายการค้าตามคำขอของโจทก์จึงมีลักษณะบ่งเฉพาะอันพึงรับจดทะเบียนได้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 7 วรรคสอง (1) (เดิม) กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยในประเด็นอื่นอีกเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.
โจทก์นำสืบให้เห็นถึงความไม่สุจริตของฝ่ายจำเลยในการติดต่อซื้อขายระหว่างประเทศครั้งนี้ไว้แล้ว โดยเฉพาะการกระทำตามอำเภอใจของจำเลยที่ 2 ตั้งแต่การเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการเจรจากับโจทก์มาตลอด การไม่ยอมชำระค่าบริการสินค้าตั้งแต่แรกด้วยการอ้างว่าขาดสภาพคล่องทางการเงิน การทำสัญญาค้ำประกันโดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อพร้อมประทับตราสำคัญทั้งของจำเลยที่ 1 และที่ 3 การทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อและประทับลายนิ้วมือแต่ไม่ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 รวมทั้งการทำหลักฐานการโอนเงินให้แก่โจทก์ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีการทำธุรกรรมดังกล่าวต่อธนาคารแต่อย่างใด การกระทำเหล่านี้นับเป็นข้อพิรุธหลายประการของจำเลยที่ 2 ที่ทำให้เห็นได้ว่า จำเลยที่ 2 กระทำการไม่สุจริตในลักษณะที่ตนเองเป็นบุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องนอกเหนือจากการเป็นเพียงผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 เท่านั้น ทั้งเป็นการกระทำที่ไม่คำนึงถึงแบบพิธีของจำเลยที่ 1 ในการประทับตราสำคัญ หนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวจึงไม่ถือว่าได้ทำขึ้นโดยเจตนาให้มีลักษณะเป็นทางการอย่างเช่นหนังสือที่ออกโดยนิติบุคคลทั่วไป แต่มีลักษณะที่อาจเข้าใจไปได้ว่าจำเลยที่ 2 ทำในนามส่วนตัวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่โจทก์และยอมปล่อยสินค้า จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ซึ่งเป็นคู่ค้าผู้สุจริตได้ ถือว่าจำเลยที่ 2 ได้เข้าร่วมเป็นการส่วนตัวกับจำเลยที่ 1 เพื่อรับผิดในหนี้ค่าสินค้าที่ค้างชำระต่อโจทก์ตามหนังสือรับสภาพหนี้
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 2,098,162.43 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,931,935.66 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,817,095.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 22 มกราคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 21 มีนาคม 2560) ต้องไม่เกิน 166,226.95 บาท กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 50,020.38 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 21 มีนาคม 2560) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจะชำระเป็นเงินบาท ให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ณ สถานที่และในเวลาที่ใช้เงิน แต่ทั้งนี้อัตราแลกเปลี่ยนต้องไม่เกิน 36.3271 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อคำนวณเป็นเงินบาทต้องไม่เกิน 1,931,935.66 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาเฉพาะประเด็นที่ว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นเพื่อการชำระหนี้ค่าสินค้าตามหนังสือรับสภาพหนี้หรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 และที่ 3 กระทำการแทนและมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ จำเลยที่ 1 สั่งซื้อแผ่นรองสิ่งปฏิกูลสัตว์เลี้ยงรวม 10,250 ชิ้น จากโจทก์ โดยมีเงื่อนไขในการชำระราคาคือร้อยละ 50 เมื่อทำการยืนยันใบสั่งซื้อ และอีกร้อยละ 50 เมื่อโจทก์ส่งสำเนาเอกสารให้แก่จำเลยที่ 1 ทั้งนี้ ให้โจทก์ส่งมอบสินค้าดังกล่าวให้แก่บริษัท ต. ผู้ซื้อ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าสินค้าให้โจทก์โดยอ้างเหตุผลเรื่องขาดสภาพคล่องทางการเงิน วันที่ 22 มกราคม 2559 จำเลยที่ 2 จึงเดินทางไปพบโจทก์เพื่อเจรจาขอให้โจทก์ปล่อยสินค้าออกจากท่าเรือและจำเลยที่ 2 จะชำระหนี้ค่าสินค้าให้เสร็จก่อนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2559 โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อและประทับลายนิ้วมือไว้ในเอกสาร ตามหนังสือรับสภาพหนี้พร้อมคำแปล โจทก์จึงปล่อยใบตราส่งให้แก่ผู้ซื้อ คดีในชั้นนี้ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายสินค้าดังกล่าวและต้องชำระเงินแก่โจทก์ 50,020.38 ดอลลาร์สหรัฐ โดยจำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์
คดีมีปัญหาที่ต้องพิจารณาตามฎีกาของฝ่ายจำเลยเพียงประเด็นเดียวว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นเพื่อการชำระหนี้ค่าสินค้า ตามหนังสือรับสภาพหนี้พร้อมคำแปลหรือไม่ โดยฝ่ายจำเลยฎีกาในทำนองว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวต่อโจทก์เนื่องจากจำเลยที่ 2 ไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ การทำหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวของจำเลยที่ 2 กระทำขึ้นในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 แม้หนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวไม่ได้ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ ซึ่งปัญหานี้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้วินิจฉัยไว้ว่า ฝ่ายจำเลยไม่ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ การที่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อโดยไม่ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1 ทั้งจำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้สัตยาบันแก่การกระทำดังกล่าว จำเลยที่ 2 จึงต้องผูกพันตามหนังสือรับสภาพหนี้เป็นการส่วนตัว เห็นว่า แม้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจะวินิจฉัยว่าฝ่ายจำเลยไม่ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้นำสืบให้เห็นถึงความไม่สุจริตของฝ่ายจำเลยในการติดต่อซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศครั้งนี้ไว้แล้ว โดยเฉพาะการกระทำตามอำเภอใจของจำเลยที่ 2 ตั้งแต่การเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการเจรจากับโจทก์มาโดยตลอด การไม่ยอมชำระค่าสินค้าตั้งแต่แรกด้วยการอ้างว่าขาดสภาพคล่องทางการเงิน การทำสัญญาค้ำประกันโดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อพร้อมประทับตราสำคัญทั้งของจำเลยที่ 1 และที่ 3 การทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อและประทับลายนิ้วมือแต่ไม่ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 รวมทั้งการทำหลักฐานการโอนเงินให้แก่โจทก์ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีการทำธุรกรรมดังกล่าวต่อธนาคารแต่อย่างใด การกระทำเหล่านี้นับเป็นข้อพิรุธหลายประการของจำเลยที่ 2 ที่ทำให้เห็นได้ว่า จำเลยที่ 2 กระทำการไม่สุจริตในลักษณะที่ตนเองเป็นบุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องนอกเหนือจากการเป็นเพียงผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 เท่านั้น ทั้งเป็นการกระทำที่ไม่คำนึงถึงแบบพิธีของจำเลยที่ 1 ในการประทับตราสำคัญ หนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวจึงไม่ถือว่าได้ทำขึ้นโดยเจตนาให้มีลักษณะเป็นทางการอย่างเช่นหนังสือที่ออกโดยนิติบุคคลทั่วไป แต่มีลักษณะที่อาจเข้าใจไปได้ว่าจำเลยที่ 2 ทำในนามส่วนตัวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่โจทก์และยอมปล่อยสินค้า จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ซึ่งเป็นคู่ค้าผู้สุจริตได้ ถือว่าจำเลยที่ 2 ได้เข้าร่วมเป็นการส่วนตัวกับจำเลยที่ 1 เพื่อรับผิดในหนี้ค่าสินค้าที่ค้างชำระต่อโจทก์ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นเพื่อการชำระหนี้ค่าสินค้า ตามหนังสือรับสภาพหนี้พร้อมคำแปลนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของฝ่ายจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ได้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความใหม่แทน ทำให้ดอกเบี้ยผิดนัดซึ่งเป็นหนี้เงินที่ถึงกำหนดชำระตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ต้องปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 5 ต่อปี นอกจากนี้ เห็นควรกำหนดด้วยว่า การคิดอัตราแลกเปลี่ยนให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ชำระเงิน หากไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าว ให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนในวันสุดท้ายก่อนวันนั้น ซึ่งการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนนี้มีลักษณะเป็นหนี้ร่วม จึงให้ มีผลถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ด้วย
พิพากษายืน แต่สำหรับดอกเบี้ยในต้นเงิน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 21 มีนาคม 2560) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 หลังจากนั้นให้ชำระอัตราร้อยละ 5 ต่อปี เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามขอ ในการคิดอัตราแลกเปลี่ยนให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ชำระเงิน หากไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าว ให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนในวันสุดท้ายก่อนวันนั้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
โจทก์นำสืบให้เห็นถึงความไม่สุจริตของฝ่ายจำเลยในการติดต่อซื้อขายระหว่างประเทศครั้งนี้ไว้แล้ว โดยเฉพาะการกระทำตามอำเภอใจของจำเลยที่ 2 ตั้งแต่การเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการเจรจากับโจทก์มาตลอด การไม่ยอมชำระค่าบริการสินค้าตั้งแต่แรกด้วยการอ้างว่าขาดสภาพคล่องทางการเงิน การทำสัญญาค้ำประกันโดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อพร้อมประทับตราสำคัญทั้งของจำเลยที่ 1 และที่ 3 การทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อและประทับลายนิ้วมือแต่ไม่ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 รวมทั้งการทำหลักฐานการโอนเงินให้แก่โจทก์ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีการทำธุรกรรมดังกล่าวต่อธนาคารแต่อย่างใด การกระทำเหล่านี้นับเป็นข้อพิรุธหลายประการของจำเลยที่ 2 ที่ทำให้เห็นได้ว่า จำเลยที่ 2 กระทำการไม่สุจริตในลักษณะที่ตนเองเป็นบุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องนอกเหนือจากการเป็นเพียงผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 เท่านั้น ทั้งเป็นการกระทำที่ไม่คำนึงถึงแบบพิธีของจำเลยที่ 1 ในการประทับตราสำคัญ หนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวจึงไม่ถือว่าได้ทำขึ้นโดยเจตนาให้มีลักษณะเป็นทางการอย่างเช่นหนังสือที่ออกโดยนิติบุคคลทั่วไป แต่มีลักษณะที่อาจเข้าใจไปได้ว่าจำเลยที่ 2 ทำในนามส่วนตัวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่โจทก์และยอมปล่อยสินค้า จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ซึ่งเป็นคู่ค้าผู้สุจริตได้ ถือว่าจำเลยที่ 2 ได้เข้าร่วมเป็นการส่วนตัวกับจำเลยที่ 1 เพื่อรับผิดในหนี้ค่าสินค้าที่ค้างชำระต่อโจทก์ตามหนังสือรับสภาพหนี้
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 2,098,162.43 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,931,935.66 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,817,095.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 22 มกราคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 21 มีนาคม 2560) ต้องไม่เกิน 166,226.95 บาท กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 50,020.38 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 21 มีนาคม 2560) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจะชำระเป็นเงินบาท ให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ณ สถานที่และในเวลาที่ใช้เงิน แต่ทั้งนี้อัตราแลกเปลี่ยนต้องไม่เกิน 36.3271 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อคำนวณเป็นเงินบาทต้องไม่เกิน 1,931,935.66 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาเฉพาะประเด็นที่ว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นเพื่อการชำระหนี้ค่าสินค้าตามหนังสือรับสภาพหนี้หรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 และที่ 3 กระทำการแทนและมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ จำเลยที่ 1 สั่งซื้อแผ่นรองสิ่งปฏิกูลสัตว์เลี้ยงรวม 10,250 ชิ้น จากโจทก์ โดยมีเงื่อนไขในการชำระราคาคือร้อยละ 50 เมื่อทำการยืนยันใบสั่งซื้อ และอีกร้อยละ 50 เมื่อโจทก์ส่งสำเนาเอกสารให้แก่จำเลยที่ 1 ทั้งนี้ ให้โจทก์ส่งมอบสินค้าดังกล่าวให้แก่บริษัท ต. ผู้ซื้อ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าสินค้าให้โจทก์โดยอ้างเหตุผลเรื่องขาดสภาพคล่องทางการเงิน วันที่ 22 มกราคม 2559 จำเลยที่ 2 จึงเดินทางไปพบโจทก์เพื่อเจรจาขอให้โจทก์ปล่อยสินค้าออกจากท่าเรือและจำเลยที่ 2 จะชำระหนี้ค่าสินค้าให้เสร็จก่อนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2559 โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อและประทับลายนิ้วมือไว้ในเอกสาร ตามหนังสือรับสภาพหนี้พร้อมคำแปล โจทก์จึงปล่อยใบตราส่งให้แก่ผู้ซื้อ คดีในชั้นนี้ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายสินค้าดังกล่าวและต้องชำระเงินแก่โจทก์ 50,020.38 ดอลลาร์สหรัฐ โดยจำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์
คดีมีปัญหาที่ต้องพิจารณาตามฎีกาของฝ่ายจำเลยเพียงประเด็นเดียวว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นเพื่อการชำระหนี้ค่าสินค้า ตามหนังสือรับสภาพหนี้พร้อมคำแปลหรือไม่ โดยฝ่ายจำเลยฎีกาในทำนองว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวต่อโจทก์เนื่องจากจำเลยที่ 2 ไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ การทำหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวของจำเลยที่ 2 กระทำขึ้นในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 แม้หนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวไม่ได้ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ ซึ่งปัญหานี้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้วินิจฉัยไว้ว่า ฝ่ายจำเลยไม่ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ การที่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อโดยไม่ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1 ทั้งจำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้สัตยาบันแก่การกระทำดังกล่าว จำเลยที่ 2 จึงต้องผูกพันตามหนังสือรับสภาพหนี้เป็นการส่วนตัว เห็นว่า แม้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจะวินิจฉัยว่าฝ่ายจำเลยไม่ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้นำสืบให้เห็นถึงความไม่สุจริตของฝ่ายจำเลยในการติดต่อซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศครั้งนี้ไว้แล้ว โดยเฉพาะการกระทำตามอำเภอใจของจำเลยที่ 2 ตั้งแต่การเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการเจรจากับโจทก์มาโดยตลอด การไม่ยอมชำระค่าสินค้าตั้งแต่แรกด้วยการอ้างว่าขาดสภาพคล่องทางการเงิน การทำสัญญาค้ำประกันโดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อพร้อมประทับตราสำคัญทั้งของจำเลยที่ 1 และที่ 3 การทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อและประทับลายนิ้วมือแต่ไม่ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 รวมทั้งการทำหลักฐานการโอนเงินให้แก่โจทก์ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีการทำธุรกรรมดังกล่าวต่อธนาคารแต่อย่างใด การกระทำเหล่านี้นับเป็นข้อพิรุธหลายประการของจำเลยที่ 2 ที่ทำให้เห็นได้ว่า จำเลยที่ 2 กระทำการไม่สุจริตในลักษณะที่ตนเองเป็นบุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องนอกเหนือจากการเป็นเพียงผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 เท่านั้น ทั้งเป็นการกระทำที่ไม่คำนึงถึงแบบพิธีของจำเลยที่ 1 ในการประทับตราสำคัญ หนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวจึงไม่ถือว่าได้ทำขึ้นโดยเจตนาให้มีลักษณะเป็นทางการอย่างเช่นหนังสือที่ออกโดยนิติบุคคลทั่วไป แต่มีลักษณะที่อาจเข้าใจไปได้ว่าจำเลยที่ 2 ทำในนามส่วนตัวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่โจทก์และยอมปล่อยสินค้า จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ซึ่งเป็นคู่ค้าผู้สุจริตได้ ถือว่าจำเลยที่ 2 ได้เข้าร่วมเป็นการส่วนตัวกับจำเลยที่ 1 เพื่อรับผิดในหนี้ค่าสินค้าที่ค้างชำระต่อโจทก์ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นเพื่อการชำระหนี้ค่าสินค้า ตามหนังสือรับสภาพหนี้พร้อมคำแปลนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของฝ่ายจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ได้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความใหม่แทน ทำให้ดอกเบี้ยผิดนัดซึ่งเป็นหนี้เงินที่ถึงกำหนดชำระตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ต้องปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 5 ต่อปี นอกจากนี้ เห็นควรกำหนดด้วยว่า การคิดอัตราแลกเปลี่ยนให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ชำระเงิน หากไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าว ให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนในวันสุดท้ายก่อนวันนั้น ซึ่งการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนนี้มีลักษณะเป็นหนี้ร่วม จึงให้ มีผลถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ด้วย
พิพากษายืน แต่สำหรับดอกเบี้ยในต้นเงิน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 21 มีนาคม 2560) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 หลังจากนั้นให้ชำระอัตราร้อยละ 5 ต่อปี เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามขอ ในการคิดอัตราแลกเปลี่ยนให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ชำระเงิน หากไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าว ให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนในวันสุดท้ายก่อนวันนั้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
การที่จำเลยที่ 1 ผู้จัดสรรที่ดินโอนที่ดินสาธารณูปโภคพร้อมที่ดินในโครงการจัดสรรให้แก่บรรษัท บ. เป็นการโอนที่ดินจัดสรรทั้งโครงการ ซึ่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 30 วรรคหนึ่ง กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดสรรที่ดินหรือผู้รับโอนกรรมสิทธิ์คนต่อไปที่จะบำรุงรักษาสาธารณูปโภคนั้นให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นตลอดไป และจะกระทำการใด ๆ อันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกมิได้ การโอนที่ดินดังกล่าวมิได้ก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินสาธารณูปโภค จำเลยที่ 1 จึงไม่จำต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากคณะกรรมการควบคุมการจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 18 และผลของการโอนไม่ตกเป็นโมฆะประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 1 ซึ่งใช้บังคับในขณะที่บรรษัท บ. และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดินฯ มาตรา 4 ซึ่งใช้บังคับในขณะที่บรรษัท บ. ขายที่ดินเปล่าที่เหลือจากที่จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิซื้อคืนให้แก่โจทก์ ให้นิยามคำว่า “ผู้ซื้อที่ดินจัดสรร” ทำนองเดียวกันว่าผู้ทำสัญญากับผู้จัดสรรที่ดินเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินจัดสรร แต่ พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดินฯ มาตรา 4 ให้นิยามเพิ่มเติมว่า ให้หมายความรวมถึงผู้รับโอนสิทธิในที่ดินคนต่อไปด้วย ซึ่งหมายความว่า ผู้ใดที่ทำสัญญากับผู้จัดสรรที่ดินเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินจัดสรร รวมทั้งผู้รับโอนสิทธิจากผู้ทำสัญญากับผู้จัดสรรที่ดินไม่ว่าในทางใด ย่อมเป็นผู้ซื้อที่ดินจัดสรร แม้บรรษัท บ. ไม่ได้ซื้อที่ดินจัดสรรจากจำเลยที่ 1 แต่การที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับบรรษัท บ. และโอนที่ดินตีใช้หนี้แก่บรรษัท บ. ถือได้ว่าบรรษัท บ. เป็นผู้ทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดสรรที่ดินเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินจัดสรร และเมื่อจำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินจัดสรรจากบรรษัท บ. เนื่องจากการควบรวมกิจการตามมติคณะรัฐมนตรี จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้รับโอนสิทธิในที่ดินคนต่อไปอันเป็นผู้ซื้อที่ดินจัดสรรตามความหมายของบทบัญญัติดังกล่าว จำเลยที่ 2 จึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคสำหรับที่ดินจัดสรรแปลงย่อยที่ตนซื้อและเหลืออยู่ตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน ฯ มาตรา 49 วรรคสองสำหรับค่าตัดหญ้าในที่ดินของจำเลยที่ 2 นั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์มีสิทธิเข้าไปตัดหญ้าในที่ดินของจำเลยที่ 2 ได้อย่างไร และมีเหตุผลความจำเป็นใดที่จะต้องตัดหญ้าในที่ดินของจำเลยที่ 2 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าตัดหญ้าในที่ดินของจำเลยที่ 2 ส่วนค่าตัดหญ้าในที่ดินที่เป็นสาธารณูปโภคนั้นเป็นค่าใช้จ่ายที่โจทก์ต้องดูแลที่ดินแปลงสาธารณูปโภคตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดินฯ มาตรา 43 วรรคหนึ่ง โจทก์ในฐานะผู้จัดสรรที่ดินจึงมีหน้าที่ในการบำรุงรักษาสาธารณูปโภคดังกล่าวให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นนั้นต่อไป จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าตัดหญ้าในส่วนนี้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 6659, 61402, 61564 และ 61565 รวม 4 แปลง ให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่คืนหรือไม่สามารถคืนได้ ให้ถือคำพิพากษาดำเนินการขอออกใบแทนโฉนดที่ดิน 4 แปลงดังกล่าว ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าว 4 แปลงแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหาย 88,359,298.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ชำระเงินคืน 1,018,578 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 2 ให้โจทก์แจ้งเจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการเพิกถอนคำสั่งระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดิน 14 แปลง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 หากโจทก์เพิกเฉย ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 6659, 61402, 61564 และ 61565 รวม 4 แปลง ให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองเพิกเฉยหรือไม่สามารถคืนได้ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาขอออกใบแทนโฉนดที่ดินทั้งสี่แปลง ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6659, 61402, 61564 และ 61565 รวม 4 แปลง ให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 86,196,698.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 73,184,668.94 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 มีนาคม 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระเงิน 1,018,578 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 2 ให้โจทก์แจ้งเจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการเพิกถอนคำสั่งระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดินโฉนดเลขที่ 61142, 61187, 61188, 61203 ถึง 61205, 61237, 61240, 61249 และ 61206 ถึง 61210 รวม 14 แปลง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 หากโจทก์เพิกเฉย ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยที่ 2 โดยกำหนดค่าทนายความรวม 30,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยที่ 2 ต้องคืนโฉนดที่ดินเลขที่ 6659, 61402, 61564 และ 61565 ซึ่งเป็นที่ดินส่วนสาธารณูปโภคหรือบริการสาธารณประโยชน์ตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ และการที่จำเลยที่ 2 ไม่คืนโฉนดที่ดินนั้นเป็นการผิดสัญญาและเป็นละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ผู้จัดสรรที่ดินโอนที่ดินสาธารณูปโภคพร้อมที่ดินในโครงการจัดสรรให้แก่บรรษัท บ. เป็นการโอนที่ดินจัดสรรทั้งโครงการ ซึ่งตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 30 วรรคหนึ่ง กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดสรรที่ดินหรือผู้รับโอนกรรมสิทธิ์คนต่อไปที่จะบำรุงรักษาสาธารณูปโภคนั้นให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นโดยตลอดไป และจะกระทำการใด ๆ อันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกมิได้ การโอนที่ดินดังกล่าวมิได้ก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินสาธารณูปโภค จำเลยที่ 1 จึงไม่จำต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากคณะกรรมการควบคุมการจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 18 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่มีการทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้และผลของการโอนไม่ตกเป็นโมฆะ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ไม่ได้กำหนดราคาที่ดิน 4 แปลงตามฟ้องสำหรับหักหนี้และซื้อคืนไว้ และไม่ได้ระบุว่าเมื่อจดทะเบียนปลอดจำนองที่ดิน 4 แปลงดังกล่าวแล้ว บรรษัท บ. มีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินนั้นได้ เห็นว่า ที่จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเปล่าโครงการ ด. ซึ่งรวมที่ดิน 4 แปลงตามฟ้องที่กันไว้เป็นสาธารณูปโภคหรือบริการสาธารณประโยชน์ด้วย กับที่ดินเปล่าแปลงอื่น ๆ และหุ้นบางส่วนของจำเลยที่ 1 เพื่อชำระหนี้บางส่วนแก่บรรษัท บ. นั้น จำเลยที่ 1 มีสิทธิซื้อคืนได้ โดยมีเงื่อนไขและรายละเอียด สิทธิซื้อคืน... รายการทรัพย์ลำดับที่ 1 ที่รวมที่ดิน 4 แปลงตามฟ้องที่กันไว้เป็นสาธารณูปโภคหรือบริการสาธารณประโยชน์ด้วย ระบุว่า “กรณี...มีทรัพย์ส่วนใดที่จัดให้มีขึ้นเพื่อประโยชน์ร่วมกันอันเป็นสาธารณูปโภคของโครงการ... ผู้ให้สัญญาและบรรษัท บ. ตกลงจะร่วมกันรักษาและดำรงไว้ซึ่งความเป็นสาธารณูปโภค... และเมื่อผู้ให้สัญญาได้ซื้อคืนทรัพย์ตามรายการลำดับนี้และตามราคาและภายในระยะเวลาตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้นี้ ผู้ให้สัญญาตกลงยินยอมและร่วมมือกับบรรษัท บ. ในการดำเนินการให้ทรัพย์ที่เป็นสาธารณูปโภคนี้ตกเป็นสาธารณประโยชน์ไว้ใช้ร่วมกันของผู้ซื้อทรัพย์ในโครงการต่อไป” ดังนั้น แม้ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ไม่ได้กำหนดราคาที่ดิน 4 แปลงตามฟ้องสำหรับหักหนี้และซื้อคืนไว้ และบรรษัท บ. จดทะเบียนปลอดจำนองที่ดิน 4 แปลงดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิซื้อคืนที่ดินเปล่าจากบรรษัท บ. ได้เพียงบางส่วน ย่อมถือว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ซื้อคืนทรัพย์ตามรายการลำดับนี้และตามราคาภายในระยะเวลาตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ บรรษัท บ. จึงชอบที่จะยึดถือโฉนดที่ดิน 4 แปลงตามฟ้องไว้เพื่อดำเนินการให้ที่ดิน 4 แปลงที่เป็นสาธารณูปโภคนี้ตกเป็นสาธารณประโยชน์ไว้ใช้ร่วมกันของผู้ซื้อทรัพย์ในโครงการจากจำเลยที่ 1 และหรือโจทก์ที่ซื้อที่ดินส่วนที่เหลือจากบรรษัท บ. ต่อไป ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า โจทก์ซื้อโครงการจัดสรรที่ดินตามฟ้องมาจากจำเลยที่ 1 นั้น เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในคำฟ้องและตามคำเบิกความของนางสาวพิสมัยกรรมการบริษัทโจทก์ก็ได้ความเพียงว่า หลังจากจำเลยที่ 1 ซื้อคืนที่ดินเปล่าจากบรรษัท บ. ไปเพียงบางส่วนแล้วโจทก์จึงทำสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินกับบรรษัท บ. ปรากฏว่าโจทก์ซื้อที่ดินเปล่าส่วนที่เหลือจากที่จำเลยที่ 1 ซื้อไปเท่านั้น โจทก์ไม่ได้ซื้อโครงการจัดสรรที่ดินตามฟ้องหรือที่ดินเปล่ามาจากจำเลยที่ 1 ดังที่อ้างมาในฎีกา ส่วนที่โจทก์ฎีกาต่อมาว่า โจทก์ได้รับโอนใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินมาจากจำเลยที่ 1 แล้วนั้น แม้โจทก์ได้รับโอนใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินมาจากจำเลยที่ 1 อันทำให้โจทก์รับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ที่ผู้จัดสรรที่ดินมีต่อผู้ซื้อที่ดินจัดสรรตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 39 แต่การรับโอนใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินดังกล่าวเป็นกรณีที่โจทก์ไปดำเนินการภายหลังจากโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินจากบรรษัท บ. แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดนครนายก และโจทก์ต้องดำเนินการรับโอนที่ดินแปลงสาธารณูปโภคหรือบริการสาธารณะในโครงการจัดสรรที่ดินภายในกำหนดเวลา แต่เมื่อโจทก์ซึ่งมีหน้าที่ต้องชำระราคา 2 งวด สำหรับที่ดินที่จะขาย ลำดับที่ 1 ถึงลำดับที่ 162 และลำดับที่ 163 ถึงลำดับที่ 351 ตามลำดับ แก่บรรษัท บ. ภายในกำหนดเวลาที่เป็นวันที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งที่ดิน 4 แปลงตามฟ้องอยู่ในลำดับที่ 348 ถึงลำดับที่ 351 ที่โจทก์ต้องชำระราคาและรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในงวดที่ 2 และเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์ไม่ได้ชำระราคาที่ดินงวดที่ 2 แก่บรรษัท บ. โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้บรรษัท บ. จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 4 แปลงตามฟ้อง หรือคืนโฉนดที่ดินนั้นแก่โจทก์แต่อย่างใด และการกระทำของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับโอนสิทธิจากบรรษัท บ. ไม่เป็นการผิดสัญญาและไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าบริหารงานและค่าเสียโอกาสตามฟ้องแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องคืนโฉนดเลขที่ 6659, 61402, 61564 และ 61565 ซึ่งเป็นที่ดินส่วนสาธารณูปโภคหรือบริการสาธารณประโยชน์ตามฟ้องแก่โจทก์ และไม่ต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ นั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อไปว่า บรรษัท บ. ที่รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจัดสรรตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ถือว่าเป็นผู้ซื้อที่ดินจัดสรรหรือไม่ และการที่จำเลยที่ 2 รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจัดสรรจากบรรษัท บ. ผู้โอนเนื่องจากการควบรวมกิจการ ถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับโอนสิทธิในที่ดินคนต่อไปซึ่งต้องชำระค่าบริการสาธารณะหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 286 ข้อ 1 ซึ่งใช้บังคับในขณะที่บรรษัท บ. และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ก็ดี และตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ซึ่งใช้บังคับในขณะที่บรรษัท บ. ขายที่ดินเปล่าที่เหลือจากที่จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิซื้อคืนให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขาย ก็ดี ได้ให้นิยามคำว่า “ผู้ซื้อที่ดินจัดสรร” ทำนองเดียวกันว่า ผู้ทำสัญญากับผู้จัดสรรที่ดินเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินจัดสรร แต่พระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ให้นิยามเพิ่มเติมว่า ให้หมายความรวมถึงผู้รับโอนสิทธิในที่ดินคนต่อไปด้วย ซึ่งหมายความว่า ผู้ใดที่ทำสัญญากับผู้จัดสรรที่ดินเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินจัดสรร รวมทั้งผู้รับโอนสิทธิจากผู้ทำสัญญากับผู้จัดสรรที่ดินไม่ว่าในทางใด ย่อมเป็นผู้ซื้อที่ดินจัดสรร ดังนั้น แม้บรรษัท บ. ไม่ได้ซื้อที่ดินจัดสรรจากจำเลยที่ 1 ผู้จัดสรรที่ดิน แต่การที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับบรรษัท บ. และจำเลยที่ 1 โอนที่ดินตีใช้หนี้แก่บรรษัท บ. ถือได้ว่าบรรษัท บ. เป็นผู้ทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ผู้จัดสรรที่ดินเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินจัดสรรเช่นเดียวกัน และเมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับโอนที่ดินจัดสรรจากบรรษัท บ. เนื่องจากการควบรวมกิจการตามมติคณะรัฐมนตรี จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้รับโอนสิทธิในที่ดินคนต่อไปอันเป็นผู้ซื้อที่ดินจัดสรรตามความหมายของบทบัญญัติดังกล่าว จำเลยที่ 2 จึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคสำหรับที่ดินจัดสรรแปลงย่อยที่ตนซื้อและเหลืออยู่ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 49 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรออกค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคสำหรับที่ดินจัดสรรที่ตนซื้อ...” ซึ่งโจทก์นำสืบได้ความว่า ที่ดินที่บรรษัท บ. รับโอนตีใช้หนี้และได้รับใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรซึ่งต่อมาได้มีการโอนให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์นั้นมีเพียง 14 แปลง และคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลางมีมติให้โจทก์จัดเก็บค่าใช้บริการและค่าบำรุงรักษาที่ดินเปล่าในอัตราเดือนละ 5.50 บาทต่อตารางวา โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้บรรษัท บ. และจำเลยที่ 2 ชำระค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคอัตราดังกล่าวได้ รวม 14 แปลง เป็นเนื้อที่ 1,403 ตารางวา โดยโจทก์เรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคเป็นรายปี ซึ่งจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งและเป็นคุณแก่ผู้ซื้อที่ดินจัดสรร คิดเป็นค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชำระแก่โจทก์ปีละ 92,598 บาท นับแต่วันที่โจทก์รับโอนใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2548 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ตามที่โจทก์ขอ รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ 2 ต้องชำระแก่โจทก์ 1,171,621.75 บาท ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าวแทนบรรษัท บ. ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2543 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2548 นั้น โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินในโครงการจัดสรรส่วนที่เหลือจากที่จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิซื้อคืนไปบางส่วนเท่านั้น มิได้อยู่ในฐานะรับโอนกิจการของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด โจทก์จึงไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ที่จำเลยที่ 1 มีต่อบรรษัท บ. มาเป็นของโจทก์ได้ สำหรับค่าใช้จ่ายในการตัดหญ้าในที่ดินของจำเลยที่ 2 นั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์มีสิทธิเข้าไปตัดหญ้าในที่ดินของจำเลยที่ 2 ได้อย่างไร และโจทก์มีเหตุผลความจำเป็นอย่างใดที่จะต้องตัดหญ้าในที่ดินของจำเลยที่ 2 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าตัดหญ้าในที่ดินของจำเลยที่ 2 ส่วนค่าตัดหญ้าในที่ดินส่วนที่เป็นสาธารณูปโภคเป็นค่าใช้จ่ายที่โจทก์ต้องดูแลที่ดินแปลงสาธารณูปโภคตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 43 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า “สาธารณูปโภคที่ผู้จัดสรรที่ดินได้จัดให้มีขึ้นเพื่อการจัดสรรที่ดินตามแผนผังและโครงการที่ได้รับอนุญาต เช่น ถนน สวน สนามเด็กเล่น ให้ตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรร และให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดสรรที่ดินที่จะบำรุงรักษาสาธารณูปโภคดังกล่าวให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นนั้นต่อไป...” โจทก์ในฐานะผู้จัดสรรที่ดินจึงมีหน้าที่ในการบำรุงรักษาสาธารณูปโภคดังกล่าวให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นนั้นต่อไป จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดชำระค่าตัดหญ้าในส่วนนี้แก่โจทก์เช่นกัน หนี้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคเป็นหนี้เงิน ซึ่งจำเลยที่ 2 ค้างชำระเป็นรายปี แต่ตามคำฟ้องไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการผิดนัดของจำเลยที่ 2 และการคิดดอกเบี้ยของโจทก์ ทั้งโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์จะคิดดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวนใด นับแต่เมื่อใดถึงวันที่เท่าใด คงปรากฏว่าเป็นดอกเบี้ย 903,127.50 บาท ซึ่งไม่อาจทราบได้ว่ามีที่มาอย่างไรและโจทก์คิดดอกเบี้ยอย่างไร จึงเห็นสมควรกำหนดดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันฟ้อง โดยให้นำเงินที่จำเลยที่ 2 ชำระแล้ว 1,018,578 บาท มาหักออกจากหนี้ที่จำเลยที่ 2 ค้างชำระ คงเหลือเงินที่จำเลยที่ 2 ต้องชำระแก่โจทก์ 153,043.75 บาท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์คืนเงินค่าบริการสาธารณะ และให้ดำเนินการเพิกถอนคำสั่งระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดินของจำเลยที่ 2 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ จึงให้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ตามมาตรา 7 ที่ปรับเปลี่ยนโดยพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้เป็นไปตามพระราชกำหนดดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 153,043.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยใหม่โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอของโจทก์ ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องและฟ้องแย้งทั้งสามศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
การที่จำเลยที่ 1 ผู้จัดสรรที่ดินโอนที่ดินสาธารณูปโภคพร้อมที่ดินในโครงการจัดสรรให้แก่บรรษัท บ. เป็นการโอนที่ดินจัดสรรทั้งโครงการ ซึ่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 30 วรรคหนึ่ง กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดสรรที่ดินหรือผู้รับโอนกรรมสิทธิ์คนต่อไปที่จะบำรุงรักษาสาธารณูปโภคนั้นให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นตลอดไป และจะกระทำการใด ๆ อันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกมิได้ การโอนที่ดินดังกล่าวมิได้ก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินสาธารณูปโภค จำเลยที่ 1 จึงไม่จำต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากคณะกรรมการควบคุมการจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 18 และผลของการโอนไม่ตกเป็นโมฆะประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 1 ซึ่งใช้บังคับในขณะที่บรรษัท บ. และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดินฯ มาตรา 4 ซึ่งใช้บังคับในขณะที่บรรษัท บ. ขายที่ดินเปล่าที่เหลือจากที่จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิซื้อคืนให้แก่โจทก์ ให้นิยามคำว่า “ผู้ซื้อที่ดินจัดสรร” ทำนองเดียวกันว่าผู้ทำสัญญากับผู้จัดสรรที่ดินเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินจัดสรร แต่ พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดินฯ มาตรา 4 ให้นิยามเพิ่มเติมว่า ให้หมายความรวมถึงผู้รับโอนสิทธิในที่ดินคนต่อไปด้วย ซึ่งหมายความว่า ผู้ใดที่ทำสัญญากับผู้จัดสรรที่ดินเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินจัดสรร รวมทั้งผู้รับโอนสิทธิจากผู้ทำสัญญากับผู้จัดสรรที่ดินไม่ว่าในทางใด ย่อมเป็นผู้ซื้อที่ดินจัดสรร แม้บรรษัท บ. ไม่ได้ซื้อที่ดินจัดสรรจากจำเลยที่ 1 แต่การที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับบรรษัท บ. และโอนที่ดินตีใช้หนี้แก่บรรษัท บ. ถือได้ว่าบรรษัท บ. เป็นผู้ทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดสรรที่ดินเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินจัดสรร และเมื่อจำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินจัดสรรจากบรรษัท บ. เนื่องจากการควบรวมกิจการตามมติคณะรัฐมนตรี จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้รับโอนสิทธิในที่ดินคนต่อไปอันเป็นผู้ซื้อที่ดินจัดสรรตามความหมายของบทบัญญัติดังกล่าว จำเลยที่ 2 จึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคสำหรับที่ดินจัดสรรแปลงย่อยที่ตนซื้อและเหลืออยู่ตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน ฯ มาตรา 49 วรรคสองสำหรับค่าตัดหญ้าในที่ดินของจำเลยที่ 2 นั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์มีสิทธิเข้าไปตัดหญ้าในที่ดินของจำเลยที่ 2 ได้อย่างไร และมีเหตุผลความจำเป็นใดที่จะต้องตัดหญ้าในที่ดินของจำเลยที่ 2 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าตัดหญ้าในที่ดินของจำเลยที่ 2 ส่วนค่าตัดหญ้าในที่ดินที่เป็นสาธารณูปโภคนั้นเป็นค่าใช้จ่ายที่โจทก์ต้องดูแลที่ดินแปลงสาธารณูปโภคตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดินฯ มาตรา 43 วรรคหนึ่ง โจทก์ในฐานะผู้จัดสรรที่ดินจึงมีหน้าที่ในการบำรุงรักษาสาธารณูปโภคดังกล่าวให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นนั้นต่อไป จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าตัดหญ้าในส่วนนี้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 6659, 61402, 61564 และ 61565 รวม 4 แปลง ให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่คืนหรือไม่สามารถคืนได้ ให้ถือคำพิพากษาดำเนินการขอออกใบแทนโฉนดที่ดิน 4 แปลงดังกล่าว ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าว 4 แปลงแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหาย 88,359,298.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ชำระเงินคืน 1,018,578 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 2 ให้โจทก์แจ้งเจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการเพิกถอนคำสั่งระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดิน 14 แปลง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 หากโจทก์เพิกเฉย ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 6659, 61402, 61564 และ 61565 รวม 4 แปลง ให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองเพิกเฉยหรือไม่สามารถคืนได้ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาขอออกใบแทนโฉนดที่ดินทั้งสี่แปลง ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6659, 61402, 61564 และ 61565 รวม 4 แปลง ให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 86,196,698.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 73,184,668.94 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 มีนาคม 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระเงิน 1,018,578 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 2 ให้โจทก์แจ้งเจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการเพิกถอนคำสั่งระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดินโฉนดเลขที่ 61142, 61187, 61188, 61203 ถึง 61205, 61237, 61240, 61249 และ 61206 ถึง 61210 รวม 14 แปลง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 หากโจทก์เพิกเฉย ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยที่ 2 โดยกำหนดค่าทนายความรวม 30,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยที่ 2 ต้องคืนโฉนดที่ดินเลขที่ 6659, 61402, 61564 และ 61565 ซึ่งเป็นที่ดินส่วนสาธารณูปโภคหรือบริการสาธารณประโยชน์ตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ และการที่จำเลยที่ 2 ไม่คืนโฉนดที่ดินนั้นเป็นการผิดสัญญาและเป็นละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ผู้จัดสรรที่ดินโอนที่ดินสาธารณูปโภคพร้อมที่ดินในโครงการจัดสรรให้แก่บรรษัท บ. เป็นการโอนที่ดินจัดสรรทั้งโครงการ ซึ่งตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 30 วรรคหนึ่ง กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดสรรที่ดินหรือผู้รับโอนกรรมสิทธิ์คนต่อไปที่จะบำรุงรักษาสาธารณูปโภคนั้นให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นโดยตลอดไป และจะกระทำการใด ๆ อันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกมิได้ การโอนที่ดินดังกล่าวมิได้ก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินสาธารณูปโภค จำเลยที่ 1 จึงไม่จำต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากคณะกรรมการควบคุมการจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 18 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่มีการทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้และผลของการโอนไม่ตกเป็นโมฆะ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ไม่ได้กำหนดราคาที่ดิน 4 แปลงตามฟ้องสำหรับหักหนี้และซื้อคืนไว้ และไม่ได้ระบุว่าเมื่อจดทะเบียนปลอดจำนองที่ดิน 4 แปลงดังกล่าวแล้ว บรรษัท บ. มีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินนั้นได้ เห็นว่า ที่จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเปล่าโครงการ ด. ซึ่งรวมที่ดิน 4 แปลงตามฟ้องที่กันไว้เป็นสาธารณูปโภคหรือบริการสาธารณประโยชน์ด้วย กับที่ดินเปล่าแปลงอื่น ๆ และหุ้นบางส่วนของจำเลยที่ 1 เพื่อชำระหนี้บางส่วนแก่บรรษัท บ. นั้น จำเลยที่ 1 มีสิทธิซื้อคืนได้ โดยมีเงื่อนไขและรายละเอียด สิทธิซื้อคืน... รายการทรัพย์ลำดับที่ 1 ที่รวมที่ดิน 4 แปลงตามฟ้องที่กันไว้เป็นสาธารณูปโภคหรือบริการสาธารณประโยชน์ด้วย ระบุว่า “กรณี...มีทรัพย์ส่วนใดที่จัดให้มีขึ้นเพื่อประโยชน์ร่วมกันอันเป็นสาธารณูปโภคของโครงการ... ผู้ให้สัญญาและบรรษัท บ. ตกลงจะร่วมกันรักษาและดำรงไว้ซึ่งความเป็นสาธารณูปโภค... และเมื่อผู้ให้สัญญาได้ซื้อคืนทรัพย์ตามรายการลำดับนี้และตามราคาและภายในระยะเวลาตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้นี้ ผู้ให้สัญญาตกลงยินยอมและร่วมมือกับบรรษัท บ. ในการดำเนินการให้ทรัพย์ที่เป็นสาธารณูปโภคนี้ตกเป็นสาธารณประโยชน์ไว้ใช้ร่วมกันของผู้ซื้อทรัพย์ในโครงการต่อไป” ดังนั้น แม้ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ไม่ได้กำหนดราคาที่ดิน 4 แปลงตามฟ้องสำหรับหักหนี้และซื้อคืนไว้ และบรรษัท บ. จดทะเบียนปลอดจำนองที่ดิน 4 แปลงดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิซื้อคืนที่ดินเปล่าจากบรรษัท บ. ได้เพียงบางส่วน ย่อมถือว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ซื้อคืนทรัพย์ตามรายการลำดับนี้และตามราคาภายในระยะเวลาตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ บรรษัท บ. จึงชอบที่จะยึดถือโฉนดที่ดิน 4 แปลงตามฟ้องไว้เพื่อดำเนินการให้ที่ดิน 4 แปลงที่เป็นสาธารณูปโภคนี้ตกเป็นสาธารณประโยชน์ไว้ใช้ร่วมกันของผู้ซื้อทรัพย์ในโครงการจากจำเลยที่ 1 และหรือโจทก์ที่ซื้อที่ดินส่วนที่เหลือจากบรรษัท บ. ต่อไป ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า โจทก์ซื้อโครงการจัดสรรที่ดินตามฟ้องมาจากจำเลยที่ 1 นั้น เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในคำฟ้องและตามคำเบิกความของนางสาวพิสมัยกรรมการบริษัทโจทก์ก็ได้ความเพียงว่า หลังจากจำเลยที่ 1 ซื้อคืนที่ดินเปล่าจากบรรษัท บ. ไปเพียงบางส่วนแล้วโจทก์จึงทำสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินกับบรรษัท บ. ปรากฏว่าโจทก์ซื้อที่ดินเปล่าส่วนที่เหลือจากที่จำเลยที่ 1 ซื้อไปเท่านั้น โจทก์ไม่ได้ซื้อโครงการจัดสรรที่ดินตามฟ้องหรือที่ดินเปล่ามาจากจำเลยที่ 1 ดังที่อ้างมาในฎีกา ส่วนที่โจทก์ฎีกาต่อมาว่า โจทก์ได้รับโอนใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินมาจากจำเลยที่ 1 แล้วนั้น แม้โจทก์ได้รับโอนใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินมาจากจำเลยที่ 1 อันทำให้โจทก์รับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ที่ผู้จัดสรรที่ดินมีต่อผู้ซื้อที่ดินจัดสรรตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 39 แต่การรับโอนใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินดังกล่าวเป็นกรณีที่โจทก์ไปดำเนินการภายหลังจากโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินจากบรรษัท บ. แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดนครนายก และโจทก์ต้องดำเนินการรับโอนที่ดินแปลงสาธารณูปโภคหรือบริการสาธารณะในโครงการจัดสรรที่ดินภายในกำหนดเวลา แต่เมื่อโจทก์ซึ่งมีหน้าที่ต้องชำระราคา 2 งวด สำหรับที่ดินที่จะขาย ลำดับที่ 1 ถึงลำดับที่ 162 และลำดับที่ 163 ถึงลำดับที่ 351 ตามลำดับ แก่บรรษัท บ. ภายในกำหนดเวลาที่เป็นวันที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งที่ดิน 4 แปลงตามฟ้องอยู่ในลำดับที่ 348 ถึงลำดับที่ 351 ที่โจทก์ต้องชำระราคาและรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในงวดที่ 2 และเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์ไม่ได้ชำระราคาที่ดินงวดที่ 2 แก่บรรษัท บ. โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้บรรษัท บ. จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 4 แปลงตามฟ้อง หรือคืนโฉนดที่ดินนั้นแก่โจทก์แต่อย่างใด และการกระทำของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับโอนสิทธิจากบรรษัท บ. ไม่เป็นการผิดสัญญาและไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าบริหารงานและค่าเสียโอกาสตามฟ้องแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องคืนโฉนดเลขที่ 6659, 61402, 61564 และ 61565 ซึ่งเป็นที่ดินส่วนสาธารณูปโภคหรือบริการสาธารณประโยชน์ตามฟ้องแก่โจทก์ และไม่ต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ นั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อไปว่า บรรษัท บ. ที่รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจัดสรรตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ถือว่าเป็นผู้ซื้อที่ดินจัดสรรหรือไม่ และการที่จำเลยที่ 2 รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจัดสรรจากบรรษัท บ. ผู้โอนเนื่องจากการควบรวมกิจการ ถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับโอนสิทธิในที่ดินคนต่อไปซึ่งต้องชำระค่าบริการสาธารณะหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 286 ข้อ 1 ซึ่งใช้บังคับในขณะที่บรรษัท บ. และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ก็ดี และตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ซึ่งใช้บังคับในขณะที่บรรษัท บ. ขายที่ดินเปล่าที่เหลือจากที่จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิซื้อคืนให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขาย ก็ดี ได้ให้นิยามคำว่า “ผู้ซื้อที่ดินจัดสรร” ทำนองเดียวกันว่า ผู้ทำสัญญากับผู้จัดสรรที่ดินเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินจัดสรร แต่พระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ให้นิยามเพิ่มเติมว่า ให้หมายความรวมถึงผู้รับโอนสิทธิในที่ดินคนต่อไปด้วย ซึ่งหมายความว่า ผู้ใดที่ทำสัญญากับผู้จัดสรรที่ดินเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินจัดสรร รวมทั้งผู้รับโอนสิทธิจากผู้ทำสัญญากับผู้จัดสรรที่ดินไม่ว่าในทางใด ย่อมเป็นผู้ซื้อที่ดินจัดสรร ดังนั้น แม้บรรษัท บ. ไม่ได้ซื้อที่ดินจัดสรรจากจำเลยที่ 1 ผู้จัดสรรที่ดิน แต่การที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับบรรษัท บ. และจำเลยที่ 1 โอนที่ดินตีใช้หนี้แก่บรรษัท บ. ถือได้ว่าบรรษัท บ. เป็นผู้ทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ผู้จัดสรรที่ดินเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินจัดสรรเช่นเดียวกัน และเมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับโอนที่ดินจัดสรรจากบรรษัท บ. เนื่องจากการควบรวมกิจการตามมติคณะรัฐมนตรี จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้รับโอนสิทธิในที่ดินคนต่อไปอันเป็นผู้ซื้อที่ดินจัดสรรตามความหมายของบทบัญญัติดังกล่าว จำเลยที่ 2 จึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคสำหรับที่ดินจัดสรรแปลงย่อยที่ตนซื้อและเหลืออยู่ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 49 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรออกค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคสำหรับที่ดินจัดสรรที่ตนซื้อ...” ซึ่งโจทก์นำสืบได้ความว่า ที่ดินที่บรรษัท บ. รับโอนตีใช้หนี้และได้รับใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรซึ่งต่อมาได้มีการโอนให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์นั้นมีเพียง 14 แปลง และคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลางมีมติให้โจทก์จัดเก็บค่าใช้บริการและค่าบำรุงรักษาที่ดินเปล่าในอัตราเดือนละ 5.50 บาทต่อตารางวา โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้บรรษัท บ. และจำเลยที่ 2 ชำระค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคอัตราดังกล่าวได้ รวม 14 แปลง เป็นเนื้อที่ 1,403 ตารางวา โดยโจทก์เรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคเป็นรายปี ซึ่งจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งและเป็นคุณแก่ผู้ซื้อที่ดินจัดสรร คิดเป็นค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชำระแก่โจทก์ปีละ 92,598 บาท นับแต่วันที่โจทก์รับโอนใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2548 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ตามที่โจทก์ขอ รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ 2 ต้องชำระแก่โจทก์ 1,171,621.75 บาท ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าวแทนบรรษัท บ. ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2543 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2548 นั้น โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินในโครงการจัดสรรส่วนที่เหลือจากที่จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิซื้อคืนไปบางส่วนเท่านั้น มิได้อยู่ในฐานะรับโอนกิจการของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด โจทก์จึงไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ที่จำเลยที่ 1 มีต่อบรรษัท บ. มาเป็นของโจทก์ได้ สำหรับค่าใช้จ่ายในการตัดหญ้าในที่ดินของจำเลยที่ 2 นั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์มีสิทธิเข้าไปตัดหญ้าในที่ดินของจำเลยที่ 2 ได้อย่างไร และโจทก์มีเหตุผลความจำเป็นอย่างใดที่จะต้องตัดหญ้าในที่ดินของจำเลยที่ 2 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าตัดหญ้าในที่ดินของจำเลยที่ 2 ส่วนค่าตัดหญ้าในที่ดินส่วนที่เป็นสาธารณูปโภคเป็นค่าใช้จ่ายที่โจทก์ต้องดูแลที่ดินแปลงสาธารณูปโภคตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 43 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า “สาธารณูปโภคที่ผู้จัดสรรที่ดินได้จัดให้มีขึ้นเพื่อการจัดสรรที่ดินตามแผนผังและโครงการที่ได้รับอนุญาต เช่น ถนน สวน สนามเด็กเล่น ให้ตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรร และให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดสรรที่ดินที่จะบำรุงรักษาสาธารณูปโภคดังกล่าวให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นนั้นต่อไป...” โจทก์ในฐานะผู้จัดสรรที่ดินจึงมีหน้าที่ในการบำรุงรักษาสาธารณูปโภคดังกล่าวให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นนั้นต่อไป จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดชำระค่าตัดหญ้าในส่วนนี้แก่โจทก์เช่นกัน หนี้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคเป็นหนี้เงิน ซึ่งจำเลยที่ 2 ค้างชำระเป็นรายปี แต่ตามคำฟ้องไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการผิดนัดของจำเลยที่ 2 และการคิดดอกเบี้ยของโจทก์ ทั้งโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์จะคิดดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวนใด นับแต่เมื่อใดถึงวันที่เท่าใด คงปรากฏว่าเป็นดอกเบี้ย 903,127.50 บาท ซึ่งไม่อาจทราบได้ว่ามีที่มาอย่างไรและโจทก์คิดดอกเบี้ยอย่างไร จึงเห็นสมควรกำหนดดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันฟ้อง โดยให้นำเงินที่จำเลยที่ 2 ชำระแล้ว 1,018,578 บาท มาหักออกจากหนี้ที่จำเลยที่ 2 ค้างชำระ คงเหลือเงินที่จำเลยที่ 2 ต้องชำระแก่โจทก์ 153,043.75 บาท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์คืนเงินค่าบริการสาธารณะ และให้ดำเนินการเพิกถอนคำสั่งระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดินของจำเลยที่ 2 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ จึงให้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ตามมาตรา 7 ที่ปรับเปลี่ยนโดยพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้เป็นไปตามพระราชกำหนดดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 153,043.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยใหม่โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอของโจทก์ ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องและฟ้องแย้งทั้งสามศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ลูกหนี้ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลายก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยคดีนี้ แต่คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดไม่มีผลกระทบถึงสิทธิของเจ้าหนี้มีประกันในการบังคับแก่ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 110 วรรคสาม เมื่อโจทก์เป็นเจ้าหนี้มีประกันเหนือทรัพย์สินซึ่งจำนองของลูกหนี้ จึงย่อมมีสิทธิเลือกที่จะยื่นคำขอชำระหนี้ในคดีล้มละลายหรือไม่ก็ได้ หากโจทก์ไม่ขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเพราะเห็นว่าหลักประกันที่มีอยู่นั้นคุ้มกับจำนวนหนี้ โจทก์ก็ยังคงครองสิทธิจำนองเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันอยู่ในลำดับเดิมต่อไป เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย โจทก์ย่อมมีสิทธินำหนี้ที่ลูกหนี้มีต่อโจทก์มาฟ้องบังคับจำนองในคดีแพ่งได้เอง โดยหาจำต้องขอบังคับบุริมสิทธิตามมาตรา 95 หรือต้องขอมติที่ประชุมเจ้าหนี้ก่อนไม่ เมื่อทรัพย์จำนองเป็นทรัพย์ที่ลูกหนี้มีมาก่อนล้มละลายและไม่ปรากฏว่ากรรมการเจ้าหนี้มีมติเห็นชอบให้สละสิทธิในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวตามมาตรา 145 (3) ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลายอยู่ในอำนาจจัดการของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 220731 และเลขที่ 220730 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ด้วยการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ 8,619,199.46 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 8.97 ต่อปี ของต้นเงิน 8,617,931.20 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่า โจทก์เป็นผู้รับจำนองทรัพย์ของนายนริศ ซึ่งต่อมาตกเป็นบุคคลล้มละลาย อำนาจจัดการทรัพย์สินของนายนริศจึงตกแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ โจทก์มีฐานะเป็นเจ้าหนี้มีประกัน ซึ่งตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 95 ย่อมมีสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันที่ลูกหนี้ได้ให้ไว้ก่อนถูกพิทักษ์ทรัพย์โดยไม่ต้องขอรับชำระหนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่าในคดีล้มละลายโจทก์ขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์บังคับจำนองนำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แม้โจทก์จะกล่าวอ้างในคำฟ้องว่าโจทก์ทวงถามบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยแล้วก็ตาม ก็ไม่ถือว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 220731 และเลขที่ 220730 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งมีนายนริศ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. วันที่ 28 กันยายน 2559 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของนายนริศเด็ดขาดในคดีหมายเลขแดงที่ ล.2909/2559 และวันที่ 13 กันยายน 2560 ศาลล้มละลายกลางมีคำพิพากษาให้นายนริศเป็นบุคคลล้มละลาย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงได้ความตามเอกสารท้ายคำฟ้องว่า นายนริศ ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.2909/2559 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2559 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2560 ก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ก็ตาม แต่คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของนายนริศเด็ดขาดไม่มีผลกระทบถึงสิทธิของเจ้าหนี้มีประกันในการบังคับแก่ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 110 วรรคสาม เมื่อโจทก์ในคดีนี้เป็นเจ้าหนี้มีประกันเหนือทรัพย์สินซึ่งจำนองของนายนริศจึงย่อมมีสิทธิเลือกที่จะยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายที่นายนริศถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดหรือไม่ก็ได้ แล้วแต่โจทก์จะเห็นสมควรว่าวิธีการใดจะเหมาะสมและเป็นประโยชน์แก่โจทก์มากกว่ากัน หากโจทก์ไม่ขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเพราะเห็นว่าหลักประกันที่มีอยู่นั้นคุ้มกับจำนวนหนี้ โจทก์ก็ยังคงครองสิทธิจำนองเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันอยู่ในลำดับเดิมต่อไป เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ขอรับชำระหนี้ในคดีที่นายนริศถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด โจทก์ย่อมมีสิทธินำหนี้ที่นายนริศมีต่อโจทก์มาฟ้องบังคับจำนองในคดีแพ่งได้เอง โดยหาจำต้องขอบังคับบุริมสิทธิตามมาตรา 95 หรือต้องขอมติที่ประชุมเจ้าหนี้ก่อนไม่ เมื่อที่ดินโฉนดเลขที่ 220731 และเลขที่ 220730 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ทรัพย์จำนองเป็นทรัพย์ที่นายนริศมีมาก่อนล้มละลายและไม่ปรากฏว่ากรรมการเจ้าหนี้มีมติเห็นชอบให้สละสิทธิในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวตามมาตรา 145 (3) ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินของนายนริศในคดีล้มละลายอยู่ในอำนาจจัดการของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายนริศ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาแล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาต่อไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่
ลูกหนี้ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลายก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยคดีนี้ แต่คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดไม่มีผลกระทบถึงสิทธิของเจ้าหนี้มีประกันในการบังคับแก่ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 110 วรรคสาม เมื่อโจทก์เป็นเจ้าหนี้มีประกันเหนือทรัพย์สินซึ่งจำนองของลูกหนี้ จึงย่อมมีสิทธิเลือกที่จะยื่นคำขอชำระหนี้ในคดีล้มละลายหรือไม่ก็ได้ หากโจทก์ไม่ขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเพราะเห็นว่าหลักประกันที่มีอยู่นั้นคุ้มกับจำนวนหนี้ โจทก์ก็ยังคงครองสิทธิจำนองเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันอยู่ในลำดับเดิมต่อไป เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย โจทก์ย่อมมีสิทธินำหนี้ที่ลูกหนี้มีต่อโจทก์มาฟ้องบังคับจำนองในคดีแพ่งได้เอง โดยหาจำต้องขอบังคับบุริมสิทธิตามมาตรา 95 หรือต้องขอมติที่ประชุมเจ้าหนี้ก่อนไม่ เมื่อทรัพย์จำนองเป็นทรัพย์ที่ลูกหนี้มีมาก่อนล้มละลายและไม่ปรากฏว่ากรรมการเจ้าหนี้มีมติเห็นชอบให้สละสิทธิในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวตามมาตรา 145 (3) ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลายอยู่ในอำนาจจัดการของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 220731 และเลขที่ 220730 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ด้วยการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ 8,619,199.46 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 8.97 ต่อปี ของต้นเงิน 8,617,931.20 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่า โจทก์เป็นผู้รับจำนองทรัพย์ของนายนริศ ซึ่งต่อมาตกเป็นบุคคลล้มละลาย อำนาจจัดการทรัพย์สินของนายนริศจึงตกแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ โจทก์มีฐานะเป็นเจ้าหนี้มีประกัน ซึ่งตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 95 ย่อมมีสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันที่ลูกหนี้ได้ให้ไว้ก่อนถูกพิทักษ์ทรัพย์โดยไม่ต้องขอรับชำระหนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่าในคดีล้มละลายโจทก์ขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์บังคับจำนองนำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แม้โจทก์จะกล่าวอ้างในคำฟ้องว่าโจทก์ทวงถามบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยแล้วก็ตาม ก็ไม่ถือว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 220731 และเลขที่ 220730 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งมีนายนริศ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. วันที่ 28 กันยายน 2559 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของนายนริศเด็ดขาดในคดีหมายเลขแดงที่ ล.2909/2559 และวันที่ 13 กันยายน 2560 ศาลล้มละลายกลางมีคำพิพากษาให้นายนริศเป็นบุคคลล้มละลาย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงได้ความตามเอกสารท้ายคำฟ้องว่า นายนริศ ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.2909/2559 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2559 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2560 ก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ก็ตาม แต่คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของนายนริศเด็ดขาดไม่มีผลกระทบถึงสิทธิของเจ้าหนี้มีประกันในการบังคับแก่ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 110 วรรคสาม เมื่อโจทก์ในคดีนี้เป็นเจ้าหนี้มีประกันเหนือทรัพย์สินซึ่งจำนองของนายนริศจึงย่อมมีสิทธิเลือกที่จะยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายที่นายนริศถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดหรือไม่ก็ได้ แล้วแต่โจทก์จะเห็นสมควรว่าวิธีการใดจะเหมาะสมและเป็นประโยชน์แก่โจทก์มากกว่ากัน หากโจทก์ไม่ขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเพราะเห็นว่าหลักประกันที่มีอยู่นั้นคุ้มกับจำนวนหนี้ โจทก์ก็ยังคงครองสิทธิจำนองเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันอยู่ในลำดับเดิมต่อไป เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ขอรับชำระหนี้ในคดีที่นายนริศถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด โจทก์ย่อมมีสิทธินำหนี้ที่นายนริศมีต่อโจทก์มาฟ้องบังคับจำนองในคดีแพ่งได้เอง โดยหาจำต้องขอบังคับบุริมสิทธิตามมาตรา 95 หรือต้องขอมติที่ประชุมเจ้าหนี้ก่อนไม่ เมื่อที่ดินโฉนดเลขที่ 220731 และเลขที่ 220730 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ทรัพย์จำนองเป็นทรัพย์ที่นายนริศมีมาก่อนล้มละลายและไม่ปรากฏว่ากรรมการเจ้าหนี้มีมติเห็นชอบให้สละสิทธิในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวตามมาตรา 145 (3) ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินของนายนริศในคดีล้มละลายอยู่ในอำนาจจัดการของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายนริศ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาแล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาต่อไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่
การมีค่าความนิยมคงเหลือ ณ วันเลิกประกอบกิจการถือเป็นการขายที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตาม ป.รัษฎากร มาตรา 77/2 (1) และมาตรา 77/1 (8) (ฉ) โจทก์ยื่นคำขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มโดยมีเจตนาเพียงแจ้งเลิกกิจการเนื่องจากบริษัทของโจทก์มีการโอนกิจการบางส่วนเท่านั้น มิได้ยื่นเพื่อขอใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีอากรในกรณีการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน การขายกิจการของโจทก์จึงไม่เป็นไปตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จำกัด หรือบริษัทจำกัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2542 สัญญาขายและโอนกิจการระหว่างโจทก์กับบริษัท อ. เป็นการซื้อขายกิจการและโอนกิจการบางส่วนหาใช่การควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 77/1 (8) (ฉ) แห่ง ป.รัษฎากร กรณีของโจทก์จึงเป็นกรณีที่มีสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินที่ผู้ประกอบการมีไว้ในการประกอบกิจการ ณ วันเลิกกิจการ เมื่อโจทก์มีการขายสินค้าอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โจทก์จึงยังคงมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามการประเมินของจําเลยการที่โจทก์เปลี่ยนนโยบายบัญชีจากเดิมตัดจําหน่ายค่าความนิยมด้วยวิธีเส้นตรง (Straight-Line Method) มาเป็นวิธีประเมินการด้อยค่าทรัพย์สินค่าความนิยมแทนตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2551 เป็นต้นมา โดยไม่ได้รับอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงจากอธิบดีกรมสรรพากรหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย จึงเป็นการมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.ฎ.ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 และมาตรา 65 ทวิ (2) แห่ง ป.รัษฎากร การที่โจทก์ยังคงดำเนินกิจการนายหน้าในการจำหน่ายและสามารถขายธุรกิจการเป็นนายหน้าในการจำหน่ายในปี 2553 ได้นั้น จึงเท่ากับว่าโจทก์ยังคงมีค่าความนิยมเหลืออยู่เรื่อยมาจนถึงวันเลิกกิจการ ฐานภาษีสำหรับกรณีของโจทก์ซึ่งมีสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินที่โจทก์มีไว้ในการประกอบกิจการ ณ วันเลิกกิจการ จึงต้องใช้ราคาตลาด ณ วันเลิกกิจการตามมาตรา 79/3 (5) และมาตรา 79/3 วรรคสอง แห่ง ป.รัษฎากร เมื่อพิจารณาลักษณะการประกอบกิจการและงบการเงินของโจทก์จะเห็นได้ว่ากิจการของโจทก์ประกอบด้วยสินทรัพย์หลายประเภทรวมถึงค่าความนิยมและสินทรัพย์อื่น การที่โจทก์ขายธุรกิจจัดจําหน่ายในราคา 82,280,000 บาท และขายกิจการนายหน้าในการจําหน่ายในราคา 114,333,525 บาท นั้น จึงเป็นราคาที่รวมมูลค่าของค่าความนิยมและสินทรัพย์อื่นอยู่ด้วย จึงไม่อาจนํามาหักได้ทั้งจำนวน ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินประเมินภาษีโดยอาศัยข้อเท็จจริงจากความผิดที่ตรวจพบกรณีแจ้งเลิกกิจการ โดยใช้วิธีคํานวณราคาตลาดค่าความนิยมตามงบการเงินที่จัดทำตามกฎหมายภาษีเป็นฐานภาษีในการคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่ม หาใช่ราคาตลาดตามงบการเงินที่จัดทำตามมาตรฐานการบัญชีที่โจทก์อ้าง และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้นํารายรับบางส่วนมาหักให้แล้ว จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมแก่กรณีแล้วป.รัษฎากร มาตรา 85/18 กำหนดไว้แต่เพียงว่าในกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการตามมาตรา 85/15 ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนยังคงต้องรับผิดในฐานะผู้ประกอบการจดทะเบียนต่อไปจนกว่าอธิบดีจะสั่งขีดชื่อผู้ประกอบการจดทะเบียนนั้นออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 85/19 โดยมิได้กําหนดให้ความรับผิดของผู้ประกอบการจดทะเบียนในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นก่อนที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มจะถูกอธิบดีกรมสรรพากรมีคำสั่งขีดชื่อออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหมดสิ้นไปด้วย ดังนั้น การขีดชื่อผู้ประกอบการจดทะเบียนออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจึงไม่มีผลเกี่ยวกับความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้เกิดขึ้นก่อนแล้วของผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว คดีนี้ตามข้อ 9 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 189 (พ.ศ.2534) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มบางกรณี กำหนดให้ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในกรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อเลิกประกอบกิจการ หรือแจ้งเลิกประกอบกิจการ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะที่โจทก์ได้รับแจ้งการประเมินยังมิได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี และเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นก่อนที่โจทก์ถูกอธิบดีกรมสรรพากรมีคำสั่งขีดชื่อออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 85/19 แห่ง ป.รัษฎากร โจทก์จึงหาหลุดพ้นจากความรับผิดในการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มไม่พฤติการณ์ของโจทก์ที่บันทึกค่าความนิยมของกิจการมีมูลค่า ณ วันที่โจทก์ซื้อกิจการเป็นจำนวนถึง 600,000,000 บาทเศษ แต่ภายหลังจากโจทก์ซื้อกิจการดังกล่าวมาได้ 2 ปีเศษ กลับเปลี่ยนวิธีการทางบัญชีในการบันทึกค่าความนิยมโดยไม่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรและคํานวณค่าความนิยมของกิจการโจทก์ให้มีมูลค่าเป็นศูนย์ ซึ่งข้อเท็จจริงในการบันทึกบัญชีและมูลค่าของค่าความนิยมล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริงที่อยู่ในความรู้เห็นของโจทก์เท่านั้น แต่โจทก์กลับบันทึกบัญชีแสดงมูลค่าของค่าความนิยมให้ต่ำกว่าความเป็นจริงโดยไม่สมเหตุสมผล ถือว่ามีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษี กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม เลขที่ ภพ73.1-01009410-25550808-005-00305 ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2555 และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ สภ.1(อ.ธ.1)/31/2561 ลงวันที่ 25 มกราคม 2561 และขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย 20,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมอย่างอื่นนอกจากนี้ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาเฉพาะปัญหาว่า โจทก์ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับทรัพย์สินและสินค้าคงเหลือ ณ วันแจ้งเลิกประกอบกิจการหรือไม่ ค่าความนิยม (Goodwill) ของโจทก์ ณ วันที่เลิกประกอบกิจการมีมูลค่าหรือไม่ เพียงใด โจทก์หลุดพ้นจากความรับผิดในการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มเนื่องจากอธิบดีกรมสรรพากรได้ขีดชื่อโจทก์ออกจากผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มตามฟ้องแล้วหรือไม่ และมีเหตุสมควรงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เดิมโจทก์ชื่อบริษัท ฟ. ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท อ. เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2549 โจทก์จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2549 ประกอบกิจการค้าปลีก ค้าส่ง นำเข้า ส่งออกและแลกเปลี่ยนเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เครื่องประดิษฐ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด รวมทั้งอุปกรณ์ส่วนประกอบต่าง ๆ เกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ วงจรพิมพ์ ไดโอด ทรานซิสเตอร์ และอุปกรณ์กึ่งตัวนำที่เหมือนหรือคล้ายกันทุกชนิด เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2549 โจทก์ทำสัญญาซื้อกิจการเซมิคอนดัคเตอร์จากบริษัท ล. ราคา 613,330,283 บาท ขณะนั้นกิจการมีมูลค่าตามบัญชีสุทธิของสินทรัพย์ 354,878,142 บาท หนี้สิน 358,597,173 บาท คิดเป็นมูลค่าสุทธิ -3,719,031 บาท โจทก์บันทึกส่วนต่างระหว่างราคาซื้อกับมูลค่าสุทธิ 617,049,314 บาท เป็นค่าความนิยม (Goodwill) ตามหลักการของมาตรฐานการบัญชีที่ใช้อยู่ในขณะนั้น จำนวน 617,049,314 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 โจทก์ขายธุรกิจจัดจำหน่ายให้แก่บริษัท พ. ในราคา 82,280,000 บาท หลังจากนั้นบริษัท พ. แต่งตั้งโจทก์เป็นตัวแทนจำหน่าย ต่อมาเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2553 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของโจทก์มีมติให้เลิกกิจการโดยโอนลูกจ้างและทรัพย์สินให้แก่บริษัท ม. ตามหนังสือยินยอมขายและโอนกิจการที่กระทำระหว่างกัน เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2553 โจทก์จึงขายกิจการให้บริษัท ม. ในราคา 114,333,525 บาท และได้จดทะเบียนเลิกบริษัทซึ่งนายทะเบียนได้รับจดทะเบียนไว้แล้วในวันที่ 17 พฤษภาคม 2553 มีนาย ท. เป็นผู้ชำระบัญชี เจ้าพนักงานของจำเลยมีหนังสือแจ้งการประเมินเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับเดือนภาษีพฤษภาคม 2553 ตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.73.1) เลขที่ ภพ 73.1-01009410-25550808-005-00305 ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2555 (เงินเพิ่มคำนวณถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2555) รวมเป็นเงิน 65,870,724 บาท โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มของเจ้าพนักงานประเมิน ตามคำอุทธรณ์ลงวันที่ 10 กันยายน 2555 คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ลดภาษีตามการประเมินลง รวมเป็นภาษีที่ต้องชำระเพิ่มเติมทั้งสิ้นจำนวน 51,863,842.09 บาท
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า โจทก์ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับทรัพย์สินและสินค้าคงเหลือ ณ วันแจ้งเลิกประกอบกิจการ หรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77/1 บัญญัติว่า “ในหมวดนี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น... (8) “ขาย” หมายความว่า จำหน่าย จ่าย โอนสินค้า ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือค่าตอบแทนหรือไม่ และให้หมายความรวมถึง... (ฉ) มีสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินที่ผู้ประกอบการมีไว้ในการประกอบกิจการ ณ วันเลิกประกอบกิจการ แต่ไม่รวมถึงสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินดังกล่าวของผู้ประกอบการซึ่งได้ควบเข้ากันหรือได้โอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการใหม่อันได้ควบเข้ากันหรือผู้รับโอนกิจการต้องอยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3... (9) “สินค้า” หมายความว่า ทรัพย์สินที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่างที่อาจมีราคาและถือเอาได้ ไม่ว่าจะมีไว้เพื่อขาย เพื่อใช้ หรือเพื่อการใด ๆ และให้หมายความรวมถึงสิ่งของทุกชนิดที่นำเข้า...” มาตรา 77/2 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การกระทำกิจการดังต่อไปนี้ในราชอาณาจักร ให้อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามบทบัญญัติในหมวดนี้ (1) การขายสินค้าหรือการให้บริการโดยผู้ประกอบการ...” และมาตรา 78/3 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “ให้ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการในกรณีดังต่อไปนี้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง (1) การขายสินค้าที่ไม่มีรูปร่าง เช่น สิทธิในสิทธิบัตร กู๊ดวิลล์ การขายกระแสไฟฟ้า การขายสินค้าที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน หรือการขายสินค้าบางชนิดที่ตามลักษณะของสินค้าไม่อาจกำหนดได้แน่นอนว่ามีการส่งมอบเมื่อใด...” จากบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อโจทก์ยอมรับว่าค่าความนิยมที่โจทก์ซื้อมาจากบริษัท ล. มีมูลค่าสูง ณ วันที่โจทก์ได้รับมา และการมีค่าความนิยมคงเหลือ ณ วันเลิกประกอบกิจการถือเป็นการขายที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77/2 (1) และมาตรา 77/1 (8) (ฉ) สำหรับที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า กรณีของโจทก์เป็นการเลิกกิจการและโอนกิจการทั้งหมดให้แก่ผู้รับโอนกิจการที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร รายการทรัพย์สินค่าความนิยมคงเหลือ ณ วันเลิกกิจการจึงไม่ถือเป็นการขายที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเพราะเป็นสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินดังกล่าวของผู้ประกอบการซึ่งได้ควบเข้ากันหรือได้โอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันตามมาตรา 77/1 (8) (ฉ) แห่งประมวลรัษฎากร นั้น เมื่อพิจารณาตามมาตรา 77/1 (8) (ฉ) ประกอบประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จำกัด หรือบริษัทจำกัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2542 แล้ว จะเห็นได้ว่า หลักเกณฑ์สำคัญในการได้รับยกเว้นรัษฎากรตามกฎหมายดังกล่าวนั้น จะต้องเป็นสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินดังกล่าวของผู้ประกอบการซึ่งได้ควบเข้ากันหรือได้โอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันเท่านั้น ซึ่งการที่โจทก์ทำสัญญาขายธุรกิจให้แก่บริษัท ม. (ผู้ซื้อ) มูลค่าทั้งสิ้นจำนวน 114,333,525 บาท โดยผู้ซื้อได้ซื้อกิจการของโจทก์ภายใต้ข้อตกลงที่ทำไว้ต่อกันให้โอนส่งมอบทรัพย์สินและหนี้สินในวันที่ 11 พฤษภาคม 2553 โดยโจทก์ออกใบกำกับภาษีรับชำระราคาเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2553 และต่อมาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 โจทก์ยื่นคำขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร ภ.พ.09 ต่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 9 แจ้งเลิกประกอบกิจการ ระบุว่าโอนกิจการบางส่วนและได้จดทะเบียนเลิกกิจการต่อนายทะเบียนเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2553 การยื่นคำขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีเจตนาเพียงแจ้งเลิกกิจการเนื่องจากบริษัทของโจทก์มีการโอนกิจการบางส่วนให้บริษัท ม. เท่านั้น โจทก์มิได้ยื่นเพื่อขอใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีอากรในกรณีการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน ดังนั้น การขายกิจการของโจทก์จึงไม่เป็นไปตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จำกัด หรือบริษัทจำกัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2542 เพราะฉะนั้น สัญญาขายและโอนกิจการระหว่างโจทก์กับบริษัท ม. เป็นการซื้อขายกิจการและโอนกิจการบางส่วนหาใช่การควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 77/1 (8) (ฉ) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีของโจทก์จึงเป็นกรณีที่มีสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินที่ผู้ประกอบการมีไว้ในการประกอบกิจการ ณ วันเลิกกิจการ เมื่อโจทก์มีการขายสินค้าอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โจทก์จึงยังคงมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามการประเมินของจำเลย สำหรับหนังสือตอบข้อหารือที่โจทก์อ้างนั้น เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงตามหนังสือตอบข้อหารือแล้วปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากข้อเท็จจริงในคดีนี้ โดยข้อเท็จจริงตามแนวทางในการตอบข้อหารือดังกล่าวเป็นการโอนกิจการทั้งหมด มิใช่การซื้อขายกิจการและโอนกิจการบางส่วนดังเช่นกรณีของโจทก์ ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการที่สองว่า ค่าความนิยม (Goodwill) ของโจทก์ ณ วันที่เลิกประกอบกิจการมีมูลค่าหรือไม่ เพียงใด ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า การที่โจทก์ซื้อกิจการจากบริษัท ล. มาในราคาที่สูง และโจทก์บันทึกมูลค่าของค่าความนิยมทั้งจำนวนเป็นเงิน 617,049,314 บาท ซึ่งค่าความนิยมดังกล่าวถือเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนที่สามารถนำมาหักในรูปของค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินได้เนื่องจากทรัพย์สินที่โจทก์ได้มานั้นย่อมสึกหรอหรือเสื่อมราคาไปตามสภาพของตัวเอง ดังนั้น โจทก์จึงสามารถนำรายจ่ายที่ถูกบันทึกเป็นค่าความนิยมดังกล่าวมาหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินได้โดยเฉลี่ยหักตามอายุการใช้งานของทรัพย์สินตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 โดยมาตรา 4 กำหนดให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามระยะเวลาที่ได้ทรัพย์สินนั้นมาในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี แต่ต้องไม่เกินร้อยละของมูลค่าต้นทุนตามประเภทของทรัพย์สิน และมาตรา 3 ของพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวกำหนดว่าเมื่อได้เลือกใช้วิธีการทางบัญชีที่รับรองทั่วไป และอัตราที่จะหักอย่างใดแล้ว ให้ใช้วิธีการทางบัญชีและอัตรานั้นตลอดไป เว้นแต่จะได้รับอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงจากอธิบดีกรมสรรพากรหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้น การที่โจทก์เปลี่ยนนโยบายบัญชีจากเดิมตัดจำหน่ายค่าความนิยมด้วยวิธีเส้นตรง (Straight–Line Method) มาเป็นวิธีประเมินการด้อยค่าทรัพย์สินค่าความนิยมแทนตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2551 เป็นต้นมา โดยไม่ได้รับอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงจากอธิบดีกรมสรรพากรหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย จึงเป็นการมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 และมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร จนเป็นเหตุให้โจทก์ใช้สิทธิหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาค่าความนิยมสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ส่วนที่โจทก์อ้างเหตุในการเปลี่ยนวิธีการตัดจำหน่ายค่าความนิยมว่า เมื่อโจทก์ขายธุรกิจผู้จัดจำหน่ายแล้วในส่วนของค่าความนิยมเป็นทรัพย์สินที่ไม่สามารถจำหน่ายจ่ายโอนได้ด้วยตัวเอง และโจทก์ไม่มีกิจการที่เกี่ยวข้องกับค่าความนิยมเหลืออยู่โดยโจทก์ไม่มีความสามารถในการสร้างรายได้ของกิจการอีกต่อไป การตัดจำหน่ายค่าความนิยมจึงต้องมีค่าเป็นศูนย์นั้น เห็นว่า ข้ออ้างของโจทก์ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เนื่องจากในปี 2552 หลังจากโจทก์ขายธุรกิจเฉพาะส่วนการจัดจำหน่ายแล้ว โจทก์ยังดำเนินกิจการนายหน้าในการจำหน่าย แสดงว่ากิจการของโจทก์ยังมีค่าความนิยมคงเหลืออยู่ และค่าความนิยมยังคงมีความสามารถในการก่อให้เกิดรายได้แก่กิจการของโจทก์ เพราะถ้าค่าความนิยมมีค่าเป็นศูนย์ หมายความว่าธุรกิจของโจทก์ไม่มีความน่าเชื่อถือเพียงพอที่จะดำเนินต่อไปได้ และโจทก์ก็จะไม่สามารถดำเนินและขายกิจการนายหน้าในการจำหน่ายสินค้าแก่ผู้ใดในเวลาต่อมาได้ ดังนั้น การที่โจทก์ยังคงดำเนินกิจการนายหน้าในการจำหน่ายและสามารถขายธุรกิจการเป็นนายหน้าในการจำหน่ายในปี 2553 ได้นั้น จึงเท่ากับว่าโจทก์ยังคงมีค่าความนิยมเหลืออยู่เรื่อยมาจนถึงวันเลิกกิจการ ส่วนที่โจทก์ฎีกาต่อไปว่า โจทก์มีค่าความนิยมคงเหลือในทางภาษี ณ วันเลิกกิจการ จำนวน 213,855,040 บาท เท่านั้น เห็นว่า ตามมาตรา 79/3 แห่งประมวลรัษฎากร วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การคำนวณมูลค่าของฐานภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการตามมาตรา 79 ให้ถือมูลค่าของฐานภาษีเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้... (5) การขายสินค้าในกรณีผู้ประกอบการมีสินค้าคงเหลือและหรือมีทรัพย์สินที่ผู้ประกอบการมีไว้ในการประกอบกิจการ ณ วันเลิกประกอบกิจการ มูลค่าของฐานภาษีให้ถือตามราคาตลาดในวันเลิกประกอบกิจการ” วรรคสอง บัญญัติว่า “ราคาตลาดตามมาตรานี้ให้ถือราคาเฉลี่ยของราคาตลาดที่ซื้อขายกันตามความเป็นจริงทั่วไปในวันที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น ทั้งนี้ ตามที่ได้มีการตรวจสอบราคาตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนด และในกรณีที่ไม่อาจทราบราคาตลาดได้แน่นอนให้อธิบดีโดยอนุมัติรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศใช้เกณฑ์คำนวณเพื่อให้ได้มาซึ่งราคาตลาดได้” ดังนี้ ฐานภาษีสำหรับกรณีของโจทก์ซึ่งมีสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินที่โจทก์มีไว้ในการประกอบกิจการ ณ วันเลิกกิจการ จึงต้องใช้ราคาตลาด ณ วันเลิกกิจการตามมาตรา 79/3 (5) แห่งประมวลรัษฎากร โดยถือราคาเฉลี่ยของราคาตลาดที่ซื้อขายกันตามความเป็นจริงทั่วไปในวันที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น ทั้งนี้ ตามที่ได้มีการตรวจสอบราคาตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนดและในกรณีที่ไม่อาจทราบราคาตลาดได้แน่นอนให้อธิบดีโดยอนุมัติรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศใช้เกณฑ์คำนวณเพื่อให้ได้มาซึ่งราคาตลาดได้ ตามมาตรา 79/3 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้ความจากทางนำสืบของโจทก์และจำเลยว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยใช้วิธีการหาราคาตลาดของค่าความนิยมของกิจการโจทก์โดยการเปรียบเทียบบันทึกค่าความนิยมทางบัญชีของโจทก์และบันทึกค่าความนิยมทางภาษีเพื่อประกอบการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยโจทก์ใช้บันทึกค่าความนิยมทางบัญชีที่โจทก์จัดทำโดยมีการตัดจำหน่ายด้วยวิธีเส้นตรงสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2549 ถึงปี 2550 และตัดจำหน่ายจากการขาดทุนจากการด้อยค่าสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2551 และปี 2552 คงเหลือค่าความนิยม ณ วันเลิกประกอบกิจการเท่ากับศูนย์บาท ส่วนจำเลยใช้บันทึกค่าความนิยมทางภาษีที่มีการตัดจำหน่ายด้วยวิธีเส้นตรง (Straight–Line Method) ตามอายุการใช้ทรัพย์สินระยะเวลา 10 ปี ในอัตราร้อยละ 10 คงเหลือค่าความนิยม ณ วันเลิกประกอบกิจการ 393,728,178.47 บาท เจ้าพนักงานประเมินจึงถือว่า โจทก์ยังคงมีรายการทรัพย์สินค่าความนิยมคงเหลืออยู่ ณ วันเลิกประกอบกิจการ 393,728,178.47 บาท ต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นชอบด้วยกับวิธีการคำนวณของเจ้าพนักงานประเมิน แต่เห็นสมควรปรับปรุงค่าความนิยมคงเหลือที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยให้หักมูลค่าของทรัพย์สินอื่นที่ถูกจำหน่ายออกไปในการขายกิจการของโจทก์ในปี 2552 และปี 2553 ออกจากรายรับจากการขายกิจการในปีดังกล่าวก่อน แล้วจึงค่อยนำรายรับที่เหลือมาหักออกจากมูลค่าของค่าความนิยมคงเหลือในทางภาษี โดยให้เหตุผลว่า ในการขายกิจการย่อมต้องมีการโอนสินทรัพย์อื่นไปด้วย จึงนำรายรับจากการขายกิจการมาหักออกจากค่าความนิยมทั้งจำนวนไม่ได้ เพื่อความเป็นธรรมจึงให้ตัดจำหน่ายค่าความนิยม ณ วันที่ขายธุรกิจจัดจำหน่าย 49,734,274 บาท และตัดจำหน่ายค่าความนิยม ณ วันที่ขายกิจการนายหน้าในการจำหน่าย 33,988,871 บาท เป็นผลให้โจทก์รับผิดเสียภาษีมูลค่าเพิ่มลดลง เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบวิธีการคำนวณฐานภาษีมูลค่าเพิ่มของจำเลยโดยหามูลค่าของค่าความนิยมในกิจการของโจทก์ที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยปรับปรุงให้ลดลงกับวิธีการนำยอดขายธุรกิจจัดจำหน่ายและยอดขายกิจการนายหน้าในการจำหน่ายไปตัดจำหน่ายค่าความนิยมทั้งจำนวนของโจทก์ ซึ่งโจทก์อ้างแต่เพียงว่ากรณีต้องตัดจำหน่ายค่าความนิยมด้วยจำนวนเงินทั้งจำนวนที่โจทก์ได้จากการขายธุรกิจจัดจำหน่าย 82,280,000 บาท และที่โจทก์ได้จากการขายกิจการนายหน้าในการจำหน่าย 114,333,525 บาท แต่หักมูลค่าทรัพย์สินที่มีการโอนไปจริงในการขายกิจการผู้จัดจำหน่ายซึ่งมีเพียงสินค้าคงเหลือ 523,000 บาท เท่านั้น โดยโจทก์ไม่นำสืบถึงวิธีการคิดคำนวณราคาจำหน่ายทั้งสองครั้งว่าเป็นมูลค่าค่าความนิยมทั้งจำนวนอย่างไรและไม่แสดงเหตุผลหรืออ้างหลักเกณฑ์ใดมาสนับสนุนให้เห็นว่า วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการที่เหมาะสมกว่าวิธีการของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ปรับปรุงให้เป็นคุณแก่โจทก์แล้วอย่างไร อีกทั้งเมื่อพิจารณาลักษณะการประกอบกิจการและงบการเงินของโจทก์จะเห็นได้ว่ากิจการของโจทก์ประกอบด้วยสินทรัพย์หลายประเภทรวมถึงค่าความนิยมและสินทรัพย์อื่น การที่โจทก์ขายธุรกิจจัดจำหน่ายในราคา 82,280,000 บาท และขายกิจการนายหน้าในการจำหน่ายในราคา 114,333,525 บาท นั้น จึงเป็นราคาที่รวมมูลค่าของค่าความนิยมและสินทรัพย์อื่นอยู่ด้วย จึงไม่อาจนำมาหักได้ทั้งจำนวน ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินประเมินภาษีโดยอาศัยข้อเท็จจริงจากความผิดที่ตรวจพบกรณีแจ้งเลิกกิจการ โดยใช้วิธีคำนวณราคาตลาดค่าความนิยมตามงบการเงินที่จัดทำตามกฎหมายภาษีเป็นฐานภาษีในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม หาใช่ราคาตลาดตามงบการเงินที่จัดทำตามมาตรฐานการบัญชีที่โจทก์อ้าง และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้นำรายรับบางส่วนมาหักให้แล้ว จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมแก่กรณีแล้ว โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการที่สามว่า โจทก์หลุดพ้นจากความรับผิดในการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มเนื่องจากอธิบดีกรมสรรพากรขีดชื่อโจทก์ออกจากผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มตามฟ้องแล้วหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 85/18 กำหนดไว้แต่เพียงว่าในกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการตามมาตรา 85/15 ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนยังคงต้องรับผิดในฐานะผู้ประกอบการจดทะเบียนต่อไปจนกว่าอธิบดีจะสั่งขีดชื่อผู้ประกอบการจดทะเบียนนั้นออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 85/19 โดยมิได้กำหนดให้ความรับผิดของผู้ประกอบการจดทะเบียนในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นก่อนที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มจะถูกอธิบดีกรมสรรพากรมีคำสั่งขีดชื่อออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหมดสิ้นไปด้วย ดังนั้น การขีดชื่อผู้ประกอบการจดทะเบียนออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจึงไม่มีผลเกี่ยวกับความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้เกิดขึ้นก่อนแล้วของผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว คดีนี้ จำเลยนำสืบว่าโจทก์ดำเนินการจดทะเบียนเลิกกิจการต่อนายทะเบียนเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2553 และเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 โจทก์ยื่นคำขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร ภ.พ.09 แจ้งเลิกประกอบกิจการต่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 9 และต่อมาวันที่ 13 มกราคม 2555 สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 9 มีคำสั่งขีดชื่อโจทก์ออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และตามข้อ 9 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 189 (พ.ศ. 2534) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มบางกรณีกำหนดให้ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในกรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อเลิกประกอบกิจการ หรือแจ้งเลิกประกอบกิจการ ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามเอกสารหลักฐานหนังสือรับรองทะเบียนนิติบุคคล ว่าขณะที่โจทก์ได้รับแจ้งการประเมินยังมิได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี และเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นก่อนที่โจทก์ถูกอธิบดีกรมสรรพากรมีคำสั่งขีดชื่อออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 85/19 แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงหาหลุดพ้นจากความรับผิดในการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า พฤติการณ์ของโจทก์ที่บันทึกค่าความนิยมของกิจการมีมูลค่า ณ วันที่โจทก์ซื้อกิจการเป็นจำนวนถึง 600,000,000 บาทเศษ แต่ภายหลังจากโจทก์ซื้อกิจการดังกล่าวมาได้ 2 ปีเศษ กลับเปลี่ยนวิธีการทางบัญชีในการบันทึกค่าความนิยมโดยไม่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรและคำนวณค่าความนิยมของกิจการโจทก์ให้มีมูลค่าเป็นศูนย์ ซึ่งข้อเท็จจริงในการบันทึกบัญชีและมูลค่าของค่าความนิยมล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริงที่อยู่ในความรู้เห็นของโจทก์เท่านั้น แต่โจทก์กลับบันทึกบัญชีแสดงมูลค่าของค่าความนิยมให้ต่ำกว่าความเป็นจริงโดยไม่สมเหตุสมผล ถือว่ามีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษี กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
การมีค่าความนิยมคงเหลือ ณ วันเลิกประกอบกิจการถือเป็นการขายที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตาม ป.รัษฎากร มาตรา 77/2 (1) และมาตรา 77/1 (8) (ฉ) โจทก์ยื่นคำขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มโดยมีเจตนาเพียงแจ้งเลิกกิจการเนื่องจากบริษัทของโจทก์มีการโอนกิจการบางส่วนเท่านั้น มิได้ยื่นเพื่อขอใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีอากรในกรณีการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน การขายกิจการของโจทก์จึงไม่เป็นไปตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จำกัด หรือบริษัทจำกัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2542 สัญญาขายและโอนกิจการระหว่างโจทก์กับบริษัท อ. เป็นการซื้อขายกิจการและโอนกิจการบางส่วนหาใช่การควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 77/1 (8) (ฉ) แห่ง ป.รัษฎากร กรณีของโจทก์จึงเป็นกรณีที่มีสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินที่ผู้ประกอบการมีไว้ในการประกอบกิจการ ณ วันเลิกกิจการ เมื่อโจทก์มีการขายสินค้าอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โจทก์จึงยังคงมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามการประเมินของจําเลยการที่โจทก์เปลี่ยนนโยบายบัญชีจากเดิมตัดจําหน่ายค่าความนิยมด้วยวิธีเส้นตรง (Straight-Line Method) มาเป็นวิธีประเมินการด้อยค่าทรัพย์สินค่าความนิยมแทนตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2551 เป็นต้นมา โดยไม่ได้รับอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงจากอธิบดีกรมสรรพากรหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย จึงเป็นการมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.ฎ.ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 และมาตรา 65 ทวิ (2) แห่ง ป.รัษฎากร การที่โจทก์ยังคงดำเนินกิจการนายหน้าในการจำหน่ายและสามารถขายธุรกิจการเป็นนายหน้าในการจำหน่ายในปี 2553 ได้นั้น จึงเท่ากับว่าโจทก์ยังคงมีค่าความนิยมเหลืออยู่เรื่อยมาจนถึงวันเลิกกิจการ ฐานภาษีสำหรับกรณีของโจทก์ซึ่งมีสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินที่โจทก์มีไว้ในการประกอบกิจการ ณ วันเลิกกิจการ จึงต้องใช้ราคาตลาด ณ วันเลิกกิจการตามมาตรา 79/3 (5) และมาตรา 79/3 วรรคสอง แห่ง ป.รัษฎากร เมื่อพิจารณาลักษณะการประกอบกิจการและงบการเงินของโจทก์จะเห็นได้ว่ากิจการของโจทก์ประกอบด้วยสินทรัพย์หลายประเภทรวมถึงค่าความนิยมและสินทรัพย์อื่น การที่โจทก์ขายธุรกิจจัดจําหน่ายในราคา 82,280,000 บาท และขายกิจการนายหน้าในการจําหน่ายในราคา 114,333,525 บาท นั้น จึงเป็นราคาที่รวมมูลค่าของค่าความนิยมและสินทรัพย์อื่นอยู่ด้วย จึงไม่อาจนํามาหักได้ทั้งจำนวน ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินประเมินภาษีโดยอาศัยข้อเท็จจริงจากความผิดที่ตรวจพบกรณีแจ้งเลิกกิจการ โดยใช้วิธีคํานวณราคาตลาดค่าความนิยมตามงบการเงินที่จัดทำตามกฎหมายภาษีเป็นฐานภาษีในการคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่ม หาใช่ราคาตลาดตามงบการเงินที่จัดทำตามมาตรฐานการบัญชีที่โจทก์อ้าง และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้นํารายรับบางส่วนมาหักให้แล้ว จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมแก่กรณีแล้วป.รัษฎากร มาตรา 85/18 กำหนดไว้แต่เพียงว่าในกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการตามมาตรา 85/15 ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนยังคงต้องรับผิดในฐานะผู้ประกอบการจดทะเบียนต่อไปจนกว่าอธิบดีจะสั่งขีดชื่อผู้ประกอบการจดทะเบียนนั้นออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 85/19 โดยมิได้กําหนดให้ความรับผิดของผู้ประกอบการจดทะเบียนในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นก่อนที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มจะถูกอธิบดีกรมสรรพากรมีคำสั่งขีดชื่อออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหมดสิ้นไปด้วย ดังนั้น การขีดชื่อผู้ประกอบการจดทะเบียนออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจึงไม่มีผลเกี่ยวกับความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้เกิดขึ้นก่อนแล้วของผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว คดีนี้ตามข้อ 9 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 189 (พ.ศ.2534) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มบางกรณี กำหนดให้ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในกรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อเลิกประกอบกิจการ หรือแจ้งเลิกประกอบกิจการ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะที่โจทก์ได้รับแจ้งการประเมินยังมิได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี และเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นก่อนที่โจทก์ถูกอธิบดีกรมสรรพากรมีคำสั่งขีดชื่อออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 85/19 แห่ง ป.รัษฎากร โจทก์จึงหาหลุดพ้นจากความรับผิดในการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มไม่พฤติการณ์ของโจทก์ที่บันทึกค่าความนิยมของกิจการมีมูลค่า ณ วันที่โจทก์ซื้อกิจการเป็นจำนวนถึง 600,000,000 บาทเศษ แต่ภายหลังจากโจทก์ซื้อกิจการดังกล่าวมาได้ 2 ปีเศษ กลับเปลี่ยนวิธีการทางบัญชีในการบันทึกค่าความนิยมโดยไม่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรและคํานวณค่าความนิยมของกิจการโจทก์ให้มีมูลค่าเป็นศูนย์ ซึ่งข้อเท็จจริงในการบันทึกบัญชีและมูลค่าของค่าความนิยมล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริงที่อยู่ในความรู้เห็นของโจทก์เท่านั้น แต่โจทก์กลับบันทึกบัญชีแสดงมูลค่าของค่าความนิยมให้ต่ำกว่าความเป็นจริงโดยไม่สมเหตุสมผล ถือว่ามีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษี กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม เลขที่ ภพ73.1-01009410-25550808-005-00305 ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2555 และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ สภ.1(อ.ธ.1)/31/2561 ลงวันที่ 25 มกราคม 2561 และขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย 20,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมอย่างอื่นนอกจากนี้ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาเฉพาะปัญหาว่า โจทก์ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับทรัพย์สินและสินค้าคงเหลือ ณ วันแจ้งเลิกประกอบกิจการหรือไม่ ค่าความนิยม (Goodwill) ของโจทก์ ณ วันที่เลิกประกอบกิจการมีมูลค่าหรือไม่ เพียงใด โจทก์หลุดพ้นจากความรับผิดในการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มเนื่องจากอธิบดีกรมสรรพากรได้ขีดชื่อโจทก์ออกจากผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มตามฟ้องแล้วหรือไม่ และมีเหตุสมควรงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เดิมโจทก์ชื่อบริษัท ฟ. ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท อ. เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2549 โจทก์จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2549 ประกอบกิจการค้าปลีก ค้าส่ง นำเข้า ส่งออกและแลกเปลี่ยนเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เครื่องประดิษฐ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด รวมทั้งอุปกรณ์ส่วนประกอบต่าง ๆ เกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ วงจรพิมพ์ ไดโอด ทรานซิสเตอร์ และอุปกรณ์กึ่งตัวนำที่เหมือนหรือคล้ายกันทุกชนิด เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2549 โจทก์ทำสัญญาซื้อกิจการเซมิคอนดัคเตอร์จากบริษัท ล. ราคา 613,330,283 บาท ขณะนั้นกิจการมีมูลค่าตามบัญชีสุทธิของสินทรัพย์ 354,878,142 บาท หนี้สิน 358,597,173 บาท คิดเป็นมูลค่าสุทธิ -3,719,031 บาท โจทก์บันทึกส่วนต่างระหว่างราคาซื้อกับมูลค่าสุทธิ 617,049,314 บาท เป็นค่าความนิยม (Goodwill) ตามหลักการของมาตรฐานการบัญชีที่ใช้อยู่ในขณะนั้น จำนวน 617,049,314 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 โจทก์ขายธุรกิจจัดจำหน่ายให้แก่บริษัท พ. ในราคา 82,280,000 บาท หลังจากนั้นบริษัท พ. แต่งตั้งโจทก์เป็นตัวแทนจำหน่าย ต่อมาเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2553 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของโจทก์มีมติให้เลิกกิจการโดยโอนลูกจ้างและทรัพย์สินให้แก่บริษัท ม. ตามหนังสือยินยอมขายและโอนกิจการที่กระทำระหว่างกัน เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2553 โจทก์จึงขายกิจการให้บริษัท ม. ในราคา 114,333,525 บาท และได้จดทะเบียนเลิกบริษัทซึ่งนายทะเบียนได้รับจดทะเบียนไว้แล้วในวันที่ 17 พฤษภาคม 2553 มีนาย ท. เป็นผู้ชำระบัญชี เจ้าพนักงานของจำเลยมีหนังสือแจ้งการประเมินเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับเดือนภาษีพฤษภาคม 2553 ตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.73.1) เลขที่ ภพ 73.1-01009410-25550808-005-00305 ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2555 (เงินเพิ่มคำนวณถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2555) รวมเป็นเงิน 65,870,724 บาท โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มของเจ้าพนักงานประเมิน ตามคำอุทธรณ์ลงวันที่ 10 กันยายน 2555 คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ลดภาษีตามการประเมินลง รวมเป็นภาษีที่ต้องชำระเพิ่มเติมทั้งสิ้นจำนวน 51,863,842.09 บาท
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า โจทก์ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับทรัพย์สินและสินค้าคงเหลือ ณ วันแจ้งเลิกประกอบกิจการ หรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77/1 บัญญัติว่า “ในหมวดนี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น... (8) “ขาย” หมายความว่า จำหน่าย จ่าย โอนสินค้า ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือค่าตอบแทนหรือไม่ และให้หมายความรวมถึง... (ฉ) มีสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินที่ผู้ประกอบการมีไว้ในการประกอบกิจการ ณ วันเลิกประกอบกิจการ แต่ไม่รวมถึงสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินดังกล่าวของผู้ประกอบการซึ่งได้ควบเข้ากันหรือได้โอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการใหม่อันได้ควบเข้ากันหรือผู้รับโอนกิจการต้องอยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3... (9) “สินค้า” หมายความว่า ทรัพย์สินที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่างที่อาจมีราคาและถือเอาได้ ไม่ว่าจะมีไว้เพื่อขาย เพื่อใช้ หรือเพื่อการใด ๆ และให้หมายความรวมถึงสิ่งของทุกชนิดที่นำเข้า...” มาตรา 77/2 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การกระทำกิจการดังต่อไปนี้ในราชอาณาจักร ให้อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามบทบัญญัติในหมวดนี้ (1) การขายสินค้าหรือการให้บริการโดยผู้ประกอบการ...” และมาตรา 78/3 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “ให้ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการในกรณีดังต่อไปนี้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง (1) การขายสินค้าที่ไม่มีรูปร่าง เช่น สิทธิในสิทธิบัตร กู๊ดวิลล์ การขายกระแสไฟฟ้า การขายสินค้าที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน หรือการขายสินค้าบางชนิดที่ตามลักษณะของสินค้าไม่อาจกำหนดได้แน่นอนว่ามีการส่งมอบเมื่อใด...” จากบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อโจทก์ยอมรับว่าค่าความนิยมที่โจทก์ซื้อมาจากบริษัท ล. มีมูลค่าสูง ณ วันที่โจทก์ได้รับมา และการมีค่าความนิยมคงเหลือ ณ วันเลิกประกอบกิจการถือเป็นการขายที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77/2 (1) และมาตรา 77/1 (8) (ฉ) สำหรับที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า กรณีของโจทก์เป็นการเลิกกิจการและโอนกิจการทั้งหมดให้แก่ผู้รับโอนกิจการที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร รายการทรัพย์สินค่าความนิยมคงเหลือ ณ วันเลิกกิจการจึงไม่ถือเป็นการขายที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเพราะเป็นสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินดังกล่าวของผู้ประกอบการซึ่งได้ควบเข้ากันหรือได้โอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันตามมาตรา 77/1 (8) (ฉ) แห่งประมวลรัษฎากร นั้น เมื่อพิจารณาตามมาตรา 77/1 (8) (ฉ) ประกอบประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จำกัด หรือบริษัทจำกัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2542 แล้ว จะเห็นได้ว่า หลักเกณฑ์สำคัญในการได้รับยกเว้นรัษฎากรตามกฎหมายดังกล่าวนั้น จะต้องเป็นสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินดังกล่าวของผู้ประกอบการซึ่งได้ควบเข้ากันหรือได้โอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันเท่านั้น ซึ่งการที่โจทก์ทำสัญญาขายธุรกิจให้แก่บริษัท ม. (ผู้ซื้อ) มูลค่าทั้งสิ้นจำนวน 114,333,525 บาท โดยผู้ซื้อได้ซื้อกิจการของโจทก์ภายใต้ข้อตกลงที่ทำไว้ต่อกันให้โอนส่งมอบทรัพย์สินและหนี้สินในวันที่ 11 พฤษภาคม 2553 โดยโจทก์ออกใบกำกับภาษีรับชำระราคาเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2553 และต่อมาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 โจทก์ยื่นคำขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร ภ.พ.09 ต่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 9 แจ้งเลิกประกอบกิจการ ระบุว่าโอนกิจการบางส่วนและได้จดทะเบียนเลิกกิจการต่อนายทะเบียนเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2553 การยื่นคำขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีเจตนาเพียงแจ้งเลิกกิจการเนื่องจากบริษัทของโจทก์มีการโอนกิจการบางส่วนให้บริษัท ม. เท่านั้น โจทก์มิได้ยื่นเพื่อขอใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีอากรในกรณีการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน ดังนั้น การขายกิจการของโจทก์จึงไม่เป็นไปตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จำกัด หรือบริษัทจำกัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2542 เพราะฉะนั้น สัญญาขายและโอนกิจการระหว่างโจทก์กับบริษัท ม. เป็นการซื้อขายกิจการและโอนกิจการบางส่วนหาใช่การควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 77/1 (8) (ฉ) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีของโจทก์จึงเป็นกรณีที่มีสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินที่ผู้ประกอบการมีไว้ในการประกอบกิจการ ณ วันเลิกกิจการ เมื่อโจทก์มีการขายสินค้าอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โจทก์จึงยังคงมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามการประเมินของจำเลย สำหรับหนังสือตอบข้อหารือที่โจทก์อ้างนั้น เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงตามหนังสือตอบข้อหารือแล้วปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากข้อเท็จจริงในคดีนี้ โดยข้อเท็จจริงตามแนวทางในการตอบข้อหารือดังกล่าวเป็นการโอนกิจการทั้งหมด มิใช่การซื้อขายกิจการและโอนกิจการบางส่วนดังเช่นกรณีของโจทก์ ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการที่สองว่า ค่าความนิยม (Goodwill) ของโจทก์ ณ วันที่เลิกประกอบกิจการมีมูลค่าหรือไม่ เพียงใด ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า การที่โจทก์ซื้อกิจการจากบริษัท ล. มาในราคาที่สูง และโจทก์บันทึกมูลค่าของค่าความนิยมทั้งจำนวนเป็นเงิน 617,049,314 บาท ซึ่งค่าความนิยมดังกล่าวถือเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนที่สามารถนำมาหักในรูปของค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินได้เนื่องจากทรัพย์สินที่โจทก์ได้มานั้นย่อมสึกหรอหรือเสื่อมราคาไปตามสภาพของตัวเอง ดังนั้น โจทก์จึงสามารถนำรายจ่ายที่ถูกบันทึกเป็นค่าความนิยมดังกล่าวมาหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินได้โดยเฉลี่ยหักตามอายุการใช้งานของทรัพย์สินตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 โดยมาตรา 4 กำหนดให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามระยะเวลาที่ได้ทรัพย์สินนั้นมาในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี แต่ต้องไม่เกินร้อยละของมูลค่าต้นทุนตามประเภทของทรัพย์สิน และมาตรา 3 ของพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวกำหนดว่าเมื่อได้เลือกใช้วิธีการทางบัญชีที่รับรองทั่วไป และอัตราที่จะหักอย่างใดแล้ว ให้ใช้วิธีการทางบัญชีและอัตรานั้นตลอดไป เว้นแต่จะได้รับอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงจากอธิบดีกรมสรรพากรหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้น การที่โจทก์เปลี่ยนนโยบายบัญชีจากเดิมตัดจำหน่ายค่าความนิยมด้วยวิธีเส้นตรง (Straight–Line Method) มาเป็นวิธีประเมินการด้อยค่าทรัพย์สินค่าความนิยมแทนตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2551 เป็นต้นมา โดยไม่ได้รับอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงจากอธิบดีกรมสรรพากรหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย จึงเป็นการมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 และมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร จนเป็นเหตุให้โจทก์ใช้สิทธิหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาค่าความนิยมสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ส่วนที่โจทก์อ้างเหตุในการเปลี่ยนวิธีการตัดจำหน่ายค่าความนิยมว่า เมื่อโจทก์ขายธุรกิจผู้จัดจำหน่ายแล้วในส่วนของค่าความนิยมเป็นทรัพย์สินที่ไม่สามารถจำหน่ายจ่ายโอนได้ด้วยตัวเอง และโจทก์ไม่มีกิจการที่เกี่ยวข้องกับค่าความนิยมเหลืออยู่โดยโจทก์ไม่มีความสามารถในการสร้างรายได้ของกิจการอีกต่อไป การตัดจำหน่ายค่าความนิยมจึงต้องมีค่าเป็นศูนย์นั้น เห็นว่า ข้ออ้างของโจทก์ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เนื่องจากในปี 2552 หลังจากโจทก์ขายธุรกิจเฉพาะส่วนการจัดจำหน่ายแล้ว โจทก์ยังดำเนินกิจการนายหน้าในการจำหน่าย แสดงว่ากิจการของโจทก์ยังมีค่าความนิยมคงเหลืออยู่ และค่าความนิยมยังคงมีความสามารถในการก่อให้เกิดรายได้แก่กิจการของโจทก์ เพราะถ้าค่าความนิยมมีค่าเป็นศูนย์ หมายความว่าธุรกิจของโจทก์ไม่มีความน่าเชื่อถือเพียงพอที่จะดำเนินต่อไปได้ และโจทก์ก็จะไม่สามารถดำเนินและขายกิจการนายหน้าในการจำหน่ายสินค้าแก่ผู้ใดในเวลาต่อมาได้ ดังนั้น การที่โจทก์ยังคงดำเนินกิจการนายหน้าในการจำหน่ายและสามารถขายธุรกิจการเป็นนายหน้าในการจำหน่ายในปี 2553 ได้นั้น จึงเท่ากับว่าโจทก์ยังคงมีค่าความนิยมเหลืออยู่เรื่อยมาจนถึงวันเลิกกิจการ ส่วนที่โจทก์ฎีกาต่อไปว่า โจทก์มีค่าความนิยมคงเหลือในทางภาษี ณ วันเลิกกิจการ จำนวน 213,855,040 บาท เท่านั้น เห็นว่า ตามมาตรา 79/3 แห่งประมวลรัษฎากร วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การคำนวณมูลค่าของฐานภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการตามมาตรา 79 ให้ถือมูลค่าของฐานภาษีเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้... (5) การขายสินค้าในกรณีผู้ประกอบการมีสินค้าคงเหลือและหรือมีทรัพย์สินที่ผู้ประกอบการมีไว้ในการประกอบกิจการ ณ วันเลิกประกอบกิจการ มูลค่าของฐานภาษีให้ถือตามราคาตลาดในวันเลิกประกอบกิจการ” วรรคสอง บัญญัติว่า “ราคาตลาดตามมาตรานี้ให้ถือราคาเฉลี่ยของราคาตลาดที่ซื้อขายกันตามความเป็นจริงทั่วไปในวันที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น ทั้งนี้ ตามที่ได้มีการตรวจสอบราคาตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนด และในกรณีที่ไม่อาจทราบราคาตลาดได้แน่นอนให้อธิบดีโดยอนุมัติรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศใช้เกณฑ์คำนวณเพื่อให้ได้มาซึ่งราคาตลาดได้” ดังนี้ ฐานภาษีสำหรับกรณีของโจทก์ซึ่งมีสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินที่โจทก์มีไว้ในการประกอบกิจการ ณ วันเลิกกิจการ จึงต้องใช้ราคาตลาด ณ วันเลิกกิจการตามมาตรา 79/3 (5) แห่งประมวลรัษฎากร โดยถือราคาเฉลี่ยของราคาตลาดที่ซื้อขายกันตามความเป็นจริงทั่วไปในวันที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น ทั้งนี้ ตามที่ได้มีการตรวจสอบราคาตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนดและในกรณีที่ไม่อาจทราบราคาตลาดได้แน่นอนให้อธิบดีโดยอนุมัติรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศใช้เกณฑ์คำนวณเพื่อให้ได้มาซึ่งราคาตลาดได้ ตามมาตรา 79/3 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้ความจากทางนำสืบของโจทก์และจำเลยว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยใช้วิธีการหาราคาตลาดของค่าความนิยมของกิจการโจทก์โดยการเปรียบเทียบบันทึกค่าความนิยมทางบัญชีของโจทก์และบันทึกค่าความนิยมทางภาษีเพื่อประกอบการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยโจทก์ใช้บันทึกค่าความนิยมทางบัญชีที่โจทก์จัดทำโดยมีการตัดจำหน่ายด้วยวิธีเส้นตรงสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2549 ถึงปี 2550 และตัดจำหน่ายจากการขาดทุนจากการด้อยค่าสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2551 และปี 2552 คงเหลือค่าความนิยม ณ วันเลิกประกอบกิจการเท่ากับศูนย์บาท ส่วนจำเลยใช้บันทึกค่าความนิยมทางภาษีที่มีการตัดจำหน่ายด้วยวิธีเส้นตรง (Straight–Line Method) ตามอายุการใช้ทรัพย์สินระยะเวลา 10 ปี ในอัตราร้อยละ 10 คงเหลือค่าความนิยม ณ วันเลิกประกอบกิจการ 393,728,178.47 บาท เจ้าพนักงานประเมินจึงถือว่า โจทก์ยังคงมีรายการทรัพย์สินค่าความนิยมคงเหลืออยู่ ณ วันเลิกประกอบกิจการ 393,728,178.47 บาท ต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นชอบด้วยกับวิธีการคำนวณของเจ้าพนักงานประเมิน แต่เห็นสมควรปรับปรุงค่าความนิยมคงเหลือที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยให้หักมูลค่าของทรัพย์สินอื่นที่ถูกจำหน่ายออกไปในการขายกิจการของโจทก์ในปี 2552 และปี 2553 ออกจากรายรับจากการขายกิจการในปีดังกล่าวก่อน แล้วจึงค่อยนำรายรับที่เหลือมาหักออกจากมูลค่าของค่าความนิยมคงเหลือในทางภาษี โดยให้เหตุผลว่า ในการขายกิจการย่อมต้องมีการโอนสินทรัพย์อื่นไปด้วย จึงนำรายรับจากการขายกิจการมาหักออกจากค่าความนิยมทั้งจำนวนไม่ได้ เพื่อความเป็นธรรมจึงให้ตัดจำหน่ายค่าความนิยม ณ วันที่ขายธุรกิจจัดจำหน่าย 49,734,274 บาท และตัดจำหน่ายค่าความนิยม ณ วันที่ขายกิจการนายหน้าในการจำหน่าย 33,988,871 บาท เป็นผลให้โจทก์รับผิดเสียภาษีมูลค่าเพิ่มลดลง เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบวิธีการคำนวณฐานภาษีมูลค่าเพิ่มของจำเลยโดยหามูลค่าของค่าความนิยมในกิจการของโจทก์ที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยปรับปรุงให้ลดลงกับวิธีการนำยอดขายธุรกิจจัดจำหน่ายและยอดขายกิจการนายหน้าในการจำหน่ายไปตัดจำหน่ายค่าความนิยมทั้งจำนวนของโจทก์ ซึ่งโจทก์อ้างแต่เพียงว่ากรณีต้องตัดจำหน่ายค่าความนิยมด้วยจำนวนเงินทั้งจำนวนที่โจทก์ได้จากการขายธุรกิจจัดจำหน่าย 82,280,000 บาท และที่โจทก์ได้จากการขายกิจการนายหน้าในการจำหน่าย 114,333,525 บาท แต่หักมูลค่าทรัพย์สินที่มีการโอนไปจริงในการขายกิจการผู้จัดจำหน่ายซึ่งมีเพียงสินค้าคงเหลือ 523,000 บาท เท่านั้น โดยโจทก์ไม่นำสืบถึงวิธีการคิดคำนวณราคาจำหน่ายทั้งสองครั้งว่าเป็นมูลค่าค่าความนิยมทั้งจำนวนอย่างไรและไม่แสดงเหตุผลหรืออ้างหลักเกณฑ์ใดมาสนับสนุนให้เห็นว่า วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการที่เหมาะสมกว่าวิธีการของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ปรับปรุงให้เป็นคุณแก่โจทก์แล้วอย่างไร อีกทั้งเมื่อพิจารณาลักษณะการประกอบกิจการและงบการเงินของโจทก์จะเห็นได้ว่ากิจการของโจทก์ประกอบด้วยสินทรัพย์หลายประเภทรวมถึงค่าความนิยมและสินทรัพย์อื่น การที่โจทก์ขายธุรกิจจัดจำหน่ายในราคา 82,280,000 บาท และขายกิจการนายหน้าในการจำหน่ายในราคา 114,333,525 บาท นั้น จึงเป็นราคาที่รวมมูลค่าของค่าความนิยมและสินทรัพย์อื่นอยู่ด้วย จึงไม่อาจนำมาหักได้ทั้งจำนวน ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินประเมินภาษีโดยอาศัยข้อเท็จจริงจากความผิดที่ตรวจพบกรณีแจ้งเลิกกิจการ โดยใช้วิธีคำนวณราคาตลาดค่าความนิยมตามงบการเงินที่จัดทำตามกฎหมายภาษีเป็นฐานภาษีในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม หาใช่ราคาตลาดตามงบการเงินที่จัดทำตามมาตรฐานการบัญชีที่โจทก์อ้าง และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้นำรายรับบางส่วนมาหักให้แล้ว จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมแก่กรณีแล้ว โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการที่สามว่า โจทก์หลุดพ้นจากความรับผิดในการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มเนื่องจากอธิบดีกรมสรรพากรขีดชื่อโจทก์ออกจากผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มตามฟ้องแล้วหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 85/18 กำหนดไว้แต่เพียงว่าในกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการตามมาตรา 85/15 ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนยังคงต้องรับผิดในฐานะผู้ประกอบการจดทะเบียนต่อไปจนกว่าอธิบดีจะสั่งขีดชื่อผู้ประกอบการจดทะเบียนนั้นออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 85/19 โดยมิได้กำหนดให้ความรับผิดของผู้ประกอบการจดทะเบียนในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นก่อนที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มจะถูกอธิบดีกรมสรรพากรมีคำสั่งขีดชื่อออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหมดสิ้นไปด้วย ดังนั้น การขีดชื่อผู้ประกอบการจดทะเบียนออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจึงไม่มีผลเกี่ยวกับความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้เกิดขึ้นก่อนแล้วของผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว คดีนี้ จำเลยนำสืบว่าโจทก์ดำเนินการจดทะเบียนเลิกกิจการต่อนายทะเบียนเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2553 และเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 โจทก์ยื่นคำขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร ภ.พ.09 แจ้งเลิกประกอบกิจการต่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 9 และต่อมาวันที่ 13 มกราคม 2555 สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 9 มีคำสั่งขีดชื่อโจทก์ออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และตามข้อ 9 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 189 (พ.ศ. 2534) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มบางกรณีกำหนดให้ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในกรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อเลิกประกอบกิจการ หรือแจ้งเลิกประกอบกิจการ ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามเอกสารหลักฐานหนังสือรับรองทะเบียนนิติบุคคล ว่าขณะที่โจทก์ได้รับแจ้งการประเมินยังมิได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี และเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นก่อนที่โจทก์ถูกอธิบดีกรมสรรพากรมีคำสั่งขีดชื่อออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 85/19 แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงหาหลุดพ้นจากความรับผิดในการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า พฤติการณ์ของโจทก์ที่บันทึกค่าความนิยมของกิจการมีมูลค่า ณ วันที่โจทก์ซื้อกิจการเป็นจำนวนถึง 600,000,000 บาทเศษ แต่ภายหลังจากโจทก์ซื้อกิจการดังกล่าวมาได้ 2 ปีเศษ กลับเปลี่ยนวิธีการทางบัญชีในการบันทึกค่าความนิยมโดยไม่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรและคำนวณค่าความนิยมของกิจการโจทก์ให้มีมูลค่าเป็นศูนย์ ซึ่งข้อเท็จจริงในการบันทึกบัญชีและมูลค่าของค่าความนิยมล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริงที่อยู่ในความรู้เห็นของโจทก์เท่านั้น แต่โจทก์กลับบันทึกบัญชีแสดงมูลค่าของค่าความนิยมให้ต่ำกว่าความเป็นจริงโดยไม่สมเหตุสมผล ถือว่ามีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษี กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
บทบัญญัติในมาตรา 38 แห่ง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ. 2559 บัญญัติให้การอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีค้ามนุษย์ต้องอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์ การที่โจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นขอคืนของกลางในคดีค้ามนุษย์ แต่คดีได้รับการพิจารณาพิพากษาจากศาลอุทธรณ์ ซึ่งมิใช่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์ กระบวนพิจารณาในชั้นอุทธรณ์จึงไม่ถูกต้อง และไม่ก่อสิทธิแก่ผู้ร้องที่จะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำร้องขอคืนของกลาง ศาลฎีกาจึงต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของผู้ร้องเพื่อให้ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์พิจารณาพิพากษาคดีนี้ใหม่
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209, 210, 310, 312 ตรี พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาตรา 6 (1) (2), 9, 10, 52 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (1) (2), 25 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 64 พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78, 149 จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามและสั่งริบรถยนต์โดยสารประจำทาง ของกลาง ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ คม.38/2562 ของศาลชั้นต้น
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้สั่งคืนรถยนต์โดยสารประจำทางของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้คืนรถยนต์โดยสารประจำทาง ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ. 2559 มาตรา 38 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 40 การอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีค้ามนุษย์ ให้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์ โดยยื่นต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นให้คู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์ฟัง เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์หรือเมื่อมีการยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรีบส่งอุทธรณ์หรือคำร้องเช่นว่านั้นพร้อมสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์เพื่อพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งโดยเร็ว” การอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีค้ามนุษย์จึงต้องอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์ เพื่อให้ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์พิจารณาพิพากษา ศาลอุทธรณ์อื่นซึ่งมิใช่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์หามีอำนาจพิจารณาพิพากษาไม่ คดีนี้โจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นชั้นขอคืนของกลางในคดีค้ามนุษย์ แต่คดีได้รับการพิจารณาพิพากษาจากศาลอุทธรณ์ ซึ่งมิใช่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์ กระบวนพิจารณาพิพากษาในชั้นอุทธรณ์จึงไม่ถูกต้อง และไม่ก่อสิทธิแก่ผู้ร้องที่จะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำร้องขอคืนของกลางต่อมาอีก เมื่อคดีปรากฏเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ. 2559 อันว่าด้วยอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงชอบที่จะยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของผู้ร้อง เพื่อให้ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ. 2559 มาตรา 47 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของผู้ร้อง ให้ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์พิจารณาพิพากษาคดีนี้ใหม่ทั้งหมด
บทบัญญัติในมาตรา 38 แห่ง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ. 2559 บัญญัติให้การอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีค้ามนุษย์ต้องอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์ การที่โจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นขอคืนของกลางในคดีค้ามนุษย์ แต่คดีได้รับการพิจารณาพิพากษาจากศาลอุทธรณ์ ซึ่งมิใช่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์ กระบวนพิจารณาในชั้นอุทธรณ์จึงไม่ถูกต้อง และไม่ก่อสิทธิแก่ผู้ร้องที่จะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำร้องขอคืนของกลาง ศาลฎีกาจึงต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของผู้ร้องเพื่อให้ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์พิจารณาพิพากษาคดีนี้ใหม่
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209, 210, 310, 312 ตรี พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาตรา 6 (1) (2), 9, 10, 52 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (1) (2), 25 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 64 พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78, 149 จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามและสั่งริบรถยนต์โดยสารประจำทาง ของกลาง ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ คม.38/2562 ของศาลชั้นต้น
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้สั่งคืนรถยนต์โดยสารประจำทางของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้คืนรถยนต์โดยสารประจำทาง ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ. 2559 มาตรา 38 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 40 การอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีค้ามนุษย์ ให้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์ โดยยื่นต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นให้คู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์ฟัง เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์หรือเมื่อมีการยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรีบส่งอุทธรณ์หรือคำร้องเช่นว่านั้นพร้อมสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์เพื่อพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งโดยเร็ว” การอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีค้ามนุษย์จึงต้องอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์ เพื่อให้ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์พิจารณาพิพากษา ศาลอุทธรณ์อื่นซึ่งมิใช่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์หามีอำนาจพิจารณาพิพากษาไม่ คดีนี้โจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นชั้นขอคืนของกลางในคดีค้ามนุษย์ แต่คดีได้รับการพิจารณาพิพากษาจากศาลอุทธรณ์ ซึ่งมิใช่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์ กระบวนพิจารณาพิพากษาในชั้นอุทธรณ์จึงไม่ถูกต้อง และไม่ก่อสิทธิแก่ผู้ร้องที่จะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำร้องขอคืนของกลางต่อมาอีก เมื่อคดีปรากฏเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ. 2559 อันว่าด้วยอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงชอบที่จะยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของผู้ร้อง เพื่อให้ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ. 2559 มาตรา 47 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของผู้ร้อง ให้ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์พิจารณาพิพากษาคดีนี้ใหม่ทั้งหมด
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|