การขอทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 เป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดวิธีการไว้เป็นพิเศษ จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งการอุทธรณ์และฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์สั่งไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ คู่ความจะฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์อีกไม่ได้
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกและบริวารออกจากบ้านพิพาท จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 อุทธรณ์ และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี ศาลอุทธรณ์สั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีว่าคดีไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้ทุเลาการบังคับ ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "พิเคราะห์แล้ว การขอทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231เป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดวิธีการไว้เป็นพิเศษ จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งการอุทธรณ์และฎีกาอย่างเรื่องอื่น ๆ คดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์สั่งไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ คู่ความจะฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์อีกไม่ได้ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง"
การขอทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 เป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดวิธีการไว้เป็นพิเศษ จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งการอุทธรณ์และฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์สั่งไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ คู่ความจะฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์อีกไม่ได้
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกและบริวารออกจากบ้านพิพาท จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 อุทธรณ์ และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี ศาลอุทธรณ์สั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีว่าคดีไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้ทุเลาการบังคับ ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "พิเคราะห์แล้ว การขอทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231เป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดวิธีการไว้เป็นพิเศษ จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งการอุทธรณ์และฎีกาอย่างเรื่องอื่น ๆ คดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์สั่งไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ คู่ความจะฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์อีกไม่ได้ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง"
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาข้อ ก. เป็น ฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก ฎีกาข้อ ข. เป็นฎีกาในปัญหาที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบตั้งแต่ศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 ประกอบมาตรา 195จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ ก. ที่ว่า จำเลยให้บุคคลอื่นใช้ตั๋วเครื่องบินในชื่อบุตรของจำเลย เป็นเพียงการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของบริษัทการบินไทย จำกัด ผู้เสียหายอันเป็นความผิดทางแพ่ง จำเลยไม่มีเจตนาทุจริตต่อผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนฎีกาข้อ ข. ที่ว่า การจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่มีหมายจับ เมื่อทนายจำเลยได้ถามค้านพยานเป็นข้อต่อสู้ในการพิจารณาของศาลชั้นต้นและได้ยกขึ้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย จึงเป็นฎีกาในปัญหาที่ได้ยกว่ากล่าวกันมาแล้วตั้งแต่ในศาลชั้นต้น ทั้งเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้อง ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยย่อมยกขึ้นได้เสมอ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 60)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบด้วยมาตรา 91 ให้จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 4 ปี คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและคำเบิกความในชั้นศาล ของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี 8 เดือน กับให้จำเลยใช้เงินค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินแก่ ผู้เสียหายจำนวน 85,410 บาท ส่วนความผิดข้อหาอื่นนอกจากนี้ ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 58)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 60)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามฎีกาจำเลยข้อ ก. ที่ว่า จำเลยไม่มีเจตนาทุจริตต่อผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง นั้น เป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่าง ฎีกาจำเลย ข้อนี้เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาข้อ ข. ที่จำเลยฎีกาว่า การจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่มี หมายจับ เมื่อทนายจำเลยได้ถามค้านพยานเป็นข้อต่อสู้ในการพิจารณา ของศาลชั้นต้น และได้ยกขึ้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ได้ยกว่ากล่าวกันมาแล้วตั้งแต่ในศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า แม้เป็นข้อที่จำเลยได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่าง แต่จำเลยไม่ได้แสดงไว้โดยชัดเจนในฎีกาว่า การที่ ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยนั้น จะทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปอย่างใด ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาข้อ ก. เป็น ฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก ฎีกาข้อ ข. เป็นฎีกาในปัญหาที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบตั้งแต่ศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 ประกอบมาตรา 195จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ ก. ที่ว่า จำเลยให้บุคคลอื่นใช้ตั๋วเครื่องบินในชื่อบุตรของจำเลย เป็นเพียงการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของบริษัทการบินไทย จำกัด ผู้เสียหายอันเป็นความผิดทางแพ่ง จำเลยไม่มีเจตนาทุจริตต่อผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนฎีกาข้อ ข. ที่ว่า การจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่มีหมายจับ เมื่อทนายจำเลยได้ถามค้านพยานเป็นข้อต่อสู้ในการพิจารณาของศาลชั้นต้นและได้ยกขึ้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย จึงเป็นฎีกาในปัญหาที่ได้ยกว่ากล่าวกันมาแล้วตั้งแต่ในศาลชั้นต้น ทั้งเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้อง ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยย่อมยกขึ้นได้เสมอ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 60)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบด้วยมาตรา 91 ให้จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 4 ปี คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและคำเบิกความในชั้นศาล ของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี 8 เดือน กับให้จำเลยใช้เงินค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินแก่ ผู้เสียหายจำนวน 85,410 บาท ส่วนความผิดข้อหาอื่นนอกจากนี้ ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 58)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 60)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามฎีกาจำเลยข้อ ก. ที่ว่า จำเลยไม่มีเจตนาทุจริตต่อผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง นั้น เป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่าง ฎีกาจำเลย ข้อนี้เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาข้อ ข. ที่จำเลยฎีกาว่า การจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่มี หมายจับ เมื่อทนายจำเลยได้ถามค้านพยานเป็นข้อต่อสู้ในการพิจารณา ของศาลชั้นต้น และได้ยกขึ้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ได้ยกว่ากล่าวกันมาแล้วตั้งแต่ในศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า แม้เป็นข้อที่จำเลยได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่าง แต่จำเลยไม่ได้แสดงไว้โดยชัดเจนในฎีกาว่า การที่ ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยนั้น จะทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปอย่างใด ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา เนื่องจากพยานหลักฐานซึ่งแสดงว่านายดวงจิตต์ ดวงขาว เบิกความเท็จ อันได้แก่ คำฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4059/2536 ของศาลจังหวัดมีนบุรี หนังสือสัญญาเปลี่ยนสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและเลื่อนกำหนดชำระเงินค่าที่ดิน ลงวันที่ 1 มีนาคม 2534 และคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 123/2535 ของศาลจังหวัดมีนบุรี เพิ่งปรากฏชัดเจนภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้แล้ว และอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานเอกสารดังกล่าวก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 15 วันได้ และเอกสารทั้งสามฉบับดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานสำคัญในการวินิจฉัยข้อพิพาทโปรดรับบัญชีพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 3 ของจำเลยที่ 1 และที่ 2และโปรดวินิจฉัยด้วย โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ทั้งหกได้รับสำเนาคำร้องและคำแถลงแล้วไม่คัดค้าน (อันดับ 123)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยทั้งสามแบ่งทรัพย์ คือที่ดินโฉนดเลขที่ 17952 และ 37239 ตำบลมีนบุรี (แสนแสบ) อำเภอมีนบุรี(แสนแสบ) กรุงเทพมหานคร ที่ดินโฉนดเลขที่ 60760,60761 และ60762 ตำบลคลองกุ่มอำเภอบางกะปินครหลวงกรุงเทพธนบุรี เฉพาะส่วนของนายห้อย คงนาน เจ้ามรดก ให้โจทก์ทั้งหก คนละ 1 ใน 49 ส่วนหากแบ่งไม่ได้ให้นำทรัพย์ดังกล่าว ออกขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่ง ให้โจทก์ในสัดส่วนดังกล่าวคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามแบ่งทรัพย์มรดกคือที่ดินโฉนดเลขที่ 17952 และ 37239 ตำบลมีนบุรี (แสนแสบ)อำเภอมีนบุรี (แสนแสบ) กรุงเทพมหานคร ที่ดินโฉนดเลขที่ 60760,60761 และ 60772 ตำบลคลองกุ่มอำเภอบางกะปินครหลวงกรุงเทพธนบุรีเฉพาะส่วนของนายห้อย คงนานเจ้ามรดกสองในสามส่วน ให้โจทก์ทั้งหกคนละ 1 ใน 49 ส่วน หากแบ่งไม่ได้ให้นำทรัพย์ดังกล่าวออกขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งให้โจทก์ทั้งหกในสัดส่วนดังกล่าวและให้แบ่งเงินค่าเรียกมัดจำตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่17952 และเงินค่าขายที่ดินโฉนดเลขที่ 26687 เฉพาะส่วนของนายห้อย คงนาน สองในสามส่วน ให้โจทก์ทั้งหกคนละ 1 ใน 49 ส่วน เฉพาะจำนวนที่โจทก์ยังมิได้รับแก่โจทก์ทั้งหก นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องและคำแถลงดังกล่าว (อันดับ 114,111,112)
คำสั่ง
เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม จึงให้รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 3 ของจำเลยที่ 1 และที่ 2
ความว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา เนื่องจากพยานหลักฐานซึ่งแสดงว่านายดวงจิตต์ ดวงขาว เบิกความเท็จ อันได้แก่ คำฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4059/2536 ของศาลจังหวัดมีนบุรี หนังสือสัญญาเปลี่ยนสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและเลื่อนกำหนดชำระเงินค่าที่ดิน ลงวันที่ 1 มีนาคม 2534 และคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 123/2535 ของศาลจังหวัดมีนบุรี เพิ่งปรากฏชัดเจนภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้แล้ว และอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานเอกสารดังกล่าวก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 15 วันได้ และเอกสารทั้งสามฉบับดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานสำคัญในการวินิจฉัยข้อพิพาทโปรดรับบัญชีพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 3 ของจำเลยที่ 1 และที่ 2และโปรดวินิจฉัยด้วย โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ทั้งหกได้รับสำเนาคำร้องและคำแถลงแล้วไม่คัดค้าน (อันดับ 123)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยทั้งสามแบ่งทรัพย์ คือที่ดินโฉนดเลขที่ 17952 และ 37239 ตำบลมีนบุรี (แสนแสบ) อำเภอมีนบุรี(แสนแสบ) กรุงเทพมหานคร ที่ดินโฉนดเลขที่ 60760,60761 และ60762 ตำบลคลองกุ่มอำเภอบางกะปินครหลวงกรุงเทพธนบุรี เฉพาะส่วนของนายห้อย คงนาน เจ้ามรดก ให้โจทก์ทั้งหก คนละ 1 ใน 49 ส่วนหากแบ่งไม่ได้ให้นำทรัพย์ดังกล่าว ออกขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่ง ให้โจทก์ในสัดส่วนดังกล่าวคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามแบ่งทรัพย์มรดกคือที่ดินโฉนดเลขที่ 17952 และ 37239 ตำบลมีนบุรี (แสนแสบ)อำเภอมีนบุรี (แสนแสบ) กรุงเทพมหานคร ที่ดินโฉนดเลขที่ 60760,60761 และ 60772 ตำบลคลองกุ่มอำเภอบางกะปินครหลวงกรุงเทพธนบุรีเฉพาะส่วนของนายห้อย คงนานเจ้ามรดกสองในสามส่วน ให้โจทก์ทั้งหกคนละ 1 ใน 49 ส่วน หากแบ่งไม่ได้ให้นำทรัพย์ดังกล่าวออกขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งให้โจทก์ทั้งหกในสัดส่วนดังกล่าวและให้แบ่งเงินค่าเรียกมัดจำตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่17952 และเงินค่าขายที่ดินโฉนดเลขที่ 26687 เฉพาะส่วนของนายห้อย คงนาน สองในสามส่วน ให้โจทก์ทั้งหกคนละ 1 ใน 49 ส่วน เฉพาะจำนวนที่โจทก์ยังมิได้รับแก่โจทก์ทั้งหก นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องและคำแถลงดังกล่าว (อันดับ 114,111,112)
คำสั่ง
เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม จึงให้รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 3 ของจำเลยที่ 1 และที่ 2
ความว่า คดีนี้ ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาของจำเลยทั้งสองโดยวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองมีนายทวีศักดิ์ วิเศษทนายความลงชื่อเป็นผู้ฎีกา แต่ไม่ปรากฏในสำนวนว่าจำเลยทั้งสองได้แต่งตั้งนายทวีศักดิ์เป็นทนายจำเลยทั้งสองทั้งนายทวีศักดิ์ก็มิได้ทำหน้าที่เป็นทนายจำเลยทั้งสองมาก่อนที่จะมีการยื่นฎีกา นายทวีศักดิ์จึงไม่มีอำนาจใช้สิทธิในการฎีกาแทนจำเลยทั้งสองได้ ฎีกาของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้ แต่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้แต่งตั้งให้นายทวีศักดิ์ วิเศษ เป็นทนายความและยื่นใบแต่งทนายต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2534 การที่ใบแต่งทนายของนายทวีศักดิ์ไม่ได้เข้าสู่สำนวน มิได้เกิดจากความบกพร่องของนายทวีศักดิ์แต่ประการใด เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอศาลฎีกาได้โปรดพิจารณาคดีนี้ใหม่ด้วย
หมายเหตุ โจทก์แถลงไม่คัดค้าน (อันดับ 145)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 67,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2529เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องมิให้เกิน 220.27 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำฟ้องฎีกาของจำเลยทั้งสองมีนายทวีศักดิ์ วิเศษ ทนายความลงชื่อเป็นผู้ฎีกา แต่ไม่ปรากฏในสำนวนว่าจำเลยทั้งสองได้แต่งตั้งนายทวีศักดิ์ เป็นทนายจำเลยทั้งสอง ทั้งนายทวีศักดิ์ก็มิได้ทำหน้าที่เป็นทนายจำเลยทั้งสองมาก่อนที่จะมีการยื่นฎีกา นายทวีศักดิ์จึงไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใช้สิทธิในการฎีกาแทนจำเลยทั้งสองได้ คำฟ้อง ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ ไม่ได้ จึงพิพากษายกฎีกาของจำเลยทั้งสอง (อันดับ 136)
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 139)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เหตุที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายกฎีกาของจำเลย ทั้งสองแล้วส่งมาให้ศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความฟัง เพราะปรากฏ ในสำนวนว่าฎีกาของจำเลยทั้งสองมีนายทวีศักดิ์ วิเศษ ทนายความลงชื่อเป็นผู้ฎีกา แต่จำเลยทั้งสองมิได้แต่งตั้งนายทวีศักดิ์เป็นทนายจำเลยทั้งสอง ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้ ซึ่งความจริงจำเลยทั้งสองได้แต่งตั้งให้นายทวีศักดิ์เป็นทนายความ และยื่นใบแต่งทนายต่อศาลชั้นต้นก่อนยื่นฎีกาแล้ว ปรากฏตามใบเสร็จรับเงินของศาลชั้นต้นลงวันที่ 25 มิถุนายน 2534 แต่ศาลชั้นต้นมิได้ นำใบแต่งทนายดังกล่าวมารวมไว้ในสำนวน การอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา จึงเกิดข้อผิดพลาดดังกล่าวอันเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
จึงให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม2536 เสีย และให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนคืนศาลฎีกาโดยเร็ว
ความว่า คดีนี้ ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาของจำเลยทั้งสองโดยวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองมีนายทวีศักดิ์ วิเศษทนายความลงชื่อเป็นผู้ฎีกา แต่ไม่ปรากฏในสำนวนว่าจำเลยทั้งสองได้แต่งตั้งนายทวีศักดิ์เป็นทนายจำเลยทั้งสองทั้งนายทวีศักดิ์ก็มิได้ทำหน้าที่เป็นทนายจำเลยทั้งสองมาก่อนที่จะมีการยื่นฎีกา นายทวีศักดิ์จึงไม่มีอำนาจใช้สิทธิในการฎีกาแทนจำเลยทั้งสองได้ ฎีกาของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้ แต่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้แต่งตั้งให้นายทวีศักดิ์ วิเศษ เป็นทนายความและยื่นใบแต่งทนายต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2534 การที่ใบแต่งทนายของนายทวีศักดิ์ไม่ได้เข้าสู่สำนวน มิได้เกิดจากความบกพร่องของนายทวีศักดิ์แต่ประการใด เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอศาลฎีกาได้โปรดพิจารณาคดีนี้ใหม่ด้วย
หมายเหตุ โจทก์แถลงไม่คัดค้าน (อันดับ 145)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 67,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2529เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องมิให้เกิน 220.27 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำฟ้องฎีกาของจำเลยทั้งสองมีนายทวีศักดิ์ วิเศษ ทนายความลงชื่อเป็นผู้ฎีกา แต่ไม่ปรากฏในสำนวนว่าจำเลยทั้งสองได้แต่งตั้งนายทวีศักดิ์ เป็นทนายจำเลยทั้งสอง ทั้งนายทวีศักดิ์ก็มิได้ทำหน้าที่เป็นทนายจำเลยทั้งสองมาก่อนที่จะมีการยื่นฎีกา นายทวีศักดิ์จึงไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใช้สิทธิในการฎีกาแทนจำเลยทั้งสองได้ คำฟ้อง ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ ไม่ได้ จึงพิพากษายกฎีกาของจำเลยทั้งสอง (อันดับ 136)
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 139)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เหตุที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายกฎีกาของจำเลย ทั้งสองแล้วส่งมาให้ศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความฟัง เพราะปรากฏ ในสำนวนว่าฎีกาของจำเลยทั้งสองมีนายทวีศักดิ์ วิเศษ ทนายความลงชื่อเป็นผู้ฎีกา แต่จำเลยทั้งสองมิได้แต่งตั้งนายทวีศักดิ์เป็นทนายจำเลยทั้งสอง ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้ ซึ่งความจริงจำเลยทั้งสองได้แต่งตั้งให้นายทวีศักดิ์เป็นทนายความ และยื่นใบแต่งทนายต่อศาลชั้นต้นก่อนยื่นฎีกาแล้ว ปรากฏตามใบเสร็จรับเงินของศาลชั้นต้นลงวันที่ 25 มิถุนายน 2534 แต่ศาลชั้นต้นมิได้ นำใบแต่งทนายดังกล่าวมารวมไว้ในสำนวน การอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา จึงเกิดข้อผิดพลาดดังกล่าวอันเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
จึงให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม2536 เสีย และให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนคืนศาลฎีกาโดยเร็ว
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลยเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยเห็นว่า จำเลยได้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ไม่มีหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน เช็คพิพาทไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653โจทก์จึงฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่ ข้อกฎหมายนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของ จำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 65)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ 145,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง(1 กรกฎาคม 2535) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 60)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าเช็คไม่ใช่หลักฐาน การ กู้ยืมเมื่อโจทก์ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือ จึงไม่มี อำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าโจทก์ได้ฟ้องเรียกเงินตามเช็ค ซึ่งมิต้อง อาศัยหลักฐานการกู้ยืมในการฟ้องร้องฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็น สาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลยเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยเห็นว่า จำเลยได้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ไม่มีหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน เช็คพิพาทไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653โจทก์จึงฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่ ข้อกฎหมายนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของ จำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 65)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ 145,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง(1 กรกฎาคม 2535) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 60)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าเช็คไม่ใช่หลักฐาน การ กู้ยืมเมื่อโจทก์ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือ จึงไม่มี อำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าโจทก์ได้ฟ้องเรียกเงินตามเช็ค ซึ่งมิต้อง อาศัยหลักฐานการกู้ยืมในการฟ้องร้องฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็น สาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยในประเด็นข้อ 1 ว่า ขณะทำพินัยกรรมนายหอมมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ฎีกาในประเด็นข้อ 2 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่าจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกครอบครองที่ดินเพื่อจัดการแบ่งมรดกจำเลยฎีกาว่าครอบครองที่ดินโดยไม่รู้เห็นการทำพินัยกรรมโจทก์ทราบวันเวลาตายของนายหอมแต่ไม่ใช้สิทธิภายในอายุความ จึงขาดอายุความ ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาในประเด็นข้อ 3 เรื่องอายุความฟ้องร้องของโจทก์ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์รู้เห็นการตายของนายหอม แต่โจทก์ก็ไม่ดำเนินการฟ้องร้องแบ่งที่นาพิพาทในฐานะทายาท แต่โจทก์กลับมาฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่10 กรกฎาคม 2533 อันเป็นเวลากว่า 7 ปี หลังจากนายหอมตายปัญหาอายุความข้อนี้จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายโดยชัดแจ้ง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ทนายโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 90แผ่นที่ 2)
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดกตามสิทธิ หาก ไม่ดำเนินการก็ให้นำออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งให้แก่ โจทก์ทั้งสองตามสิทธิ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยแบ่งที่ดินมรดกของนายหอม ไชยโกฏิตามน.ส.3ก.เลขที่2027ตำบลโพธิ์ศรีอำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ 21 ไร่ 2 งาน ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 1 ใน 6 ส่วน หากไม่สามารถแบ่งได้ก็ให้ขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ทั้งสอง ตามส่วนที่โจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับ
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 86)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 89)
คำสั่ง
คดีนี้ ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริง ว่า จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายหอม ไชยโกฏิ ได้ครอบครองที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกไว้เพื่อจัดการแบ่งมรดก จึงเป็นการครอบครองแทนทายาทอื่น เมื่อจำเลยยังไม่ได้แบ่งมรดก จึงยังถือว่าอยู่ในระหว่างจัดการแบ่งแก่ทายาท จำเลยฎีกาโต้เถียงว่า ได้เข้าทำนาต่อจากนางซ้อนพี่สาว หลังจากพี่สาวตายแล้ว และครอบครองนานกว่า1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความเป็นทำนองว่าได้ครอบครองทรัพย์เป็นสัดส่วนด้วยเจตนายึดถือเพื่อตน จนได้สิทธิครอบครองไม่ได้ครอบครองแทนทายาท จึงเป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยในประเด็นข้อ 1 ว่า ขณะทำพินัยกรรมนายหอมมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ฎีกาในประเด็นข้อ 2 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่าจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกครอบครองที่ดินเพื่อจัดการแบ่งมรดกจำเลยฎีกาว่าครอบครองที่ดินโดยไม่รู้เห็นการทำพินัยกรรมโจทก์ทราบวันเวลาตายของนายหอมแต่ไม่ใช้สิทธิภายในอายุความ จึงขาดอายุความ ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาในประเด็นข้อ 3 เรื่องอายุความฟ้องร้องของโจทก์ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์รู้เห็นการตายของนายหอม แต่โจทก์ก็ไม่ดำเนินการฟ้องร้องแบ่งที่นาพิพาทในฐานะทายาท แต่โจทก์กลับมาฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่10 กรกฎาคม 2533 อันเป็นเวลากว่า 7 ปี หลังจากนายหอมตายปัญหาอายุความข้อนี้จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายโดยชัดแจ้ง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ทนายโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 90แผ่นที่ 2)
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดกตามสิทธิ หาก ไม่ดำเนินการก็ให้นำออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งให้แก่ โจทก์ทั้งสองตามสิทธิ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยแบ่งที่ดินมรดกของนายหอม ไชยโกฏิตามน.ส.3ก.เลขที่2027ตำบลโพธิ์ศรีอำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ 21 ไร่ 2 งาน ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 1 ใน 6 ส่วน หากไม่สามารถแบ่งได้ก็ให้ขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ทั้งสอง ตามส่วนที่โจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับ
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 86)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 89)
คำสั่ง
คดีนี้ ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริง ว่า จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายหอม ไชยโกฏิ ได้ครอบครองที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกไว้เพื่อจัดการแบ่งมรดก จึงเป็นการครอบครองแทนทายาทอื่น เมื่อจำเลยยังไม่ได้แบ่งมรดก จึงยังถือว่าอยู่ในระหว่างจัดการแบ่งแก่ทายาท จำเลยฎีกาโต้เถียงว่า ได้เข้าทำนาต่อจากนางซ้อนพี่สาว หลังจากพี่สาวตายแล้ว และครอบครองนานกว่า1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความเป็นทำนองว่าได้ครอบครองทรัพย์เป็นสัดส่วนด้วยเจตนายึดถือเพื่อตน จนได้สิทธิครอบครองไม่ได้ครอบครองแทนทายาท จึงเป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีนี้ตามฟ้องและ ฟ้องแย้งมีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นนี้ไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงฎีกาของจำเลยโต้แย้งเรื่องดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 4872 ตำบลแม่เย็น อำเภอพานจังหวัดเชียงราย ของโจทก์ ให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 4873 ตำบลแม่เย็น อำเภอพาน จังหวัดเชียงรายให้แก่โจทก์คำขออื่นนอกจากนี้และฟ้องแย้งจำเลยให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 110)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 112)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาว่าตามคำเบิกความของจำเลยและพยานจำเลยน่าจะมีน้ำหนักเพียงพอให้เชื่อได้ว่า จำเลยได้ซื้อและครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทโดยสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลากว่า 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์แล้วนั้นเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีนี้ตามฟ้องและ ฟ้องแย้งมีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นนี้ไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงฎีกาของจำเลยโต้แย้งเรื่องดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 4872 ตำบลแม่เย็น อำเภอพานจังหวัดเชียงราย ของโจทก์ ให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 4873 ตำบลแม่เย็น อำเภอพาน จังหวัดเชียงรายให้แก่โจทก์คำขออื่นนอกจากนี้และฟ้องแย้งจำเลยให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 110)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 112)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาว่าตามคำเบิกความของจำเลยและพยานจำเลยน่าจะมีน้ำหนักเพียงพอให้เชื่อได้ว่า จำเลยได้ซื้อและครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทโดยสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลากว่า 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์แล้วนั้นเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา มีโอกาสชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 168)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าให้แก่จำเลยทั้งสองมีกำหนด 20 ปี นับแต่วันที่ 9 มีนาคม 2516โดยให้โจทก์เป็นผู้เสียค่าอากรแสตมป์และค่าธรรมเนียมในการทำสัญญาเช่าและจดทะเบียน คำขออื่นให้ยกและยกฟ้องโจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ เฉพาะอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองนั้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองทิ้งอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองจึงอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำสั่งทิ้งอุทธรณ์นั้นเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเสียเองจึงไม่ชอบจึงพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและให้จำหน่ายคดีสำหรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์กับพิพากษายืนให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าให้แก่จำเลยทั้งสองมีกำหนด 20 ปี นับแต่วันที่ 9 มีนาคม 2516
จำเลยทั้งสองฎีกา 2 ฉบับ คือฎีกาเรื่องการทิ้งอุทธรณ์และฎีกาคำพิพากษาพร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 157,155,153)
คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าให้แก่จำเลยทั้งสองสำหรับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสอง ศาลอุทธรณ์ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลอุทธรณ์ จึงเป็นกรณีที่มิได้บังคับจำเลยทั้งสองให้ปฏิบัติอย่างไร ไม่มีเหตุจะทุเลาการบังคับ ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา มีโอกาสชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 168)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าให้แก่จำเลยทั้งสองมีกำหนด 20 ปี นับแต่วันที่ 9 มีนาคม 2516โดยให้โจทก์เป็นผู้เสียค่าอากรแสตมป์และค่าธรรมเนียมในการทำสัญญาเช่าและจดทะเบียน คำขออื่นให้ยกและยกฟ้องโจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ เฉพาะอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองนั้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองทิ้งอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองจึงอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำสั่งทิ้งอุทธรณ์นั้นเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเสียเองจึงไม่ชอบจึงพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและให้จำหน่ายคดีสำหรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์กับพิพากษายืนให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าให้แก่จำเลยทั้งสองมีกำหนด 20 ปี นับแต่วันที่ 9 มีนาคม 2516
จำเลยทั้งสองฎีกา 2 ฉบับ คือฎีกาเรื่องการทิ้งอุทธรณ์และฎีกาคำพิพากษาพร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 157,155,153)
คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าให้แก่จำเลยทั้งสองสำหรับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสอง ศาลอุทธรณ์ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลอุทธรณ์ จึงเป็นกรณีที่มิได้บังคับจำเลยทั้งสองให้ปฏิบัติอย่างไร ไม่มีเหตุจะทุเลาการบังคับ ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับ
โจทก์เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ และเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสองโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามคำขอของโจทก์ฉบับลงวันที่ 7 เมษายน 2532
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 97)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 99)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสองให้รับฎีกาของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับ
โจทก์เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ และเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสองโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามคำขอของโจทก์ฉบับลงวันที่ 7 เมษายน 2532
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 97)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 99)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสองให้รับฎีกาของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดี อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีไม่มีเหตุอันควรฎีกา ไม่อนุญาตให้ดำเนินการอย่างคนอนาถา ให้ยกคำร้องของจำเลย หากจำเลยประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาเสียภายใน 15 วัน
จำเลยเห็นว่า ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องของ จำเลยทั้งสองโดยไม่มีการไต่สวนคำร้องก่อน คดีของจำเลยทั้งสองไม่ต้องห้ามฎีกาแต่อย่างใด และฎีกาของจำเลยก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายประกอบกับจำเลยทั้งสองมีฐานะยากจนไม่สามารถหาเงินค่าธรรมเนียม มาวางศาลได้ ชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ ดำเนินคดีอย่างคนอนาถามาแล้ว โปรดอนุญาตให้จำเลยทั้งสองฎีกาอย่างคนอนาถา หรือมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยทั้งสองก่อน โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 283,335.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2533 จนถึงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2533 อัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2533 จนถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2533 อัตราร้อยละ 17 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2533 จนถึงวันที่ 23 ธันวาคม 2533 อัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2533 จนถึงวันที่ 4 กรกฎาคม 2534 และอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องไม่เกิน 52,948.89 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในต้นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราและระยะเวลาคิดดอกเบี้ยเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองไว้ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาด ชำระหนี้โจทก์จนครบ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 91,86)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 89)
ชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยทั้งสองดำเนินคดีอย่างคนอนาถา (อันดับ 42,61)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ เมื่อไม่ปรากฏต่อศาลเป็นอย่างอื่นจึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสองยังเป็นคนยากจนอยู่ คดีมีเหตุผลอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยทั้งสองฎีกาอย่างคนอนาถาได้ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาฎีกาของจำเลยทั้งสองต่อไปจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ได้โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมจึงให้คืนค่าธรรมเนียม 200 บาท ให้จำเลยทั้งสอง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดี อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีไม่มีเหตุอันควรฎีกา ไม่อนุญาตให้ดำเนินการอย่างคนอนาถา ให้ยกคำร้องของจำเลย หากจำเลยประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาเสียภายใน 15 วัน
จำเลยเห็นว่า ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องของ จำเลยทั้งสองโดยไม่มีการไต่สวนคำร้องก่อน คดีของจำเลยทั้งสองไม่ต้องห้ามฎีกาแต่อย่างใด และฎีกาของจำเลยก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายประกอบกับจำเลยทั้งสองมีฐานะยากจนไม่สามารถหาเงินค่าธรรมเนียม มาวางศาลได้ ชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ ดำเนินคดีอย่างคนอนาถามาแล้ว โปรดอนุญาตให้จำเลยทั้งสองฎีกาอย่างคนอนาถา หรือมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยทั้งสองก่อน โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 283,335.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2533 จนถึงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2533 อัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2533 จนถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2533 อัตราร้อยละ 17 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2533 จนถึงวันที่ 23 ธันวาคม 2533 อัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2533 จนถึงวันที่ 4 กรกฎาคม 2534 และอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องไม่เกิน 52,948.89 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในต้นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราและระยะเวลาคิดดอกเบี้ยเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองไว้ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาด ชำระหนี้โจทก์จนครบ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 91,86)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 89)
ชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยทั้งสองดำเนินคดีอย่างคนอนาถา (อันดับ 42,61)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ เมื่อไม่ปรากฏต่อศาลเป็นอย่างอื่นจึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสองยังเป็นคนยากจนอยู่ คดีมีเหตุผลอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยทั้งสองฎีกาอย่างคนอนาถาได้ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาฎีกาของจำเลยทั้งสองต่อไปจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ได้โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมจึงให้คืนค่าธรรมเนียม 200 บาท ให้จำเลยทั้งสอง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่าอุทธรณ์ข้อ 2.1 ถึง 2.3 เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 จึงไม่รับ ให้รับเฉพาะข้อ 2.4 และข้อ 3
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ในข้อ 2.1 จำเลยได้ต่อสู้ว่าโจทก์ทั้งสองได้ละทิ้งงานเกินกว่า 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร เป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายแรงงานตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง คุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(4)ในข้อ 2.2 เกี่ยวกับเงินค่าตอบแทนในการขายนั้น เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินลาภมิควรได้ที่โจทก์ที่ 1 ต้องคืนจำเลยทั้งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยในข้อ 2.3 ที่ศาลได้ให้จำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสองนั้น หากศาลฎีกาได้วินิจฉัยตามที่จำเลยได้กล่าวไว้ในข้อ 2 แล้วจำเลยก็ไม่ต้องจ่ายเงินค่าทดแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ทั้งสามข้อของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยข้อ 2.1 ถึง 2.3 ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 57)
คดีสองสำนวนนี้ จำเลยเป็นบุคคลเดียวกัน ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยเรียกโจทก์ในสำนวนแรกว่าโจทก์ที่ 1และเรียกโจทก์ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 2
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 30,000 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 10,000 บาทค่าจ้างค้างจ่ายให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 5,000 บาทสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ10,000 บาท ค่าตอบแทนการขายให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 8,250บาท คำขออื่น นอกจากนี้และฟ้องแย้งของจำเลยให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์บางข้อดังกล่าว (อันดับ 50)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 54)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยอุทธรณ์ข้อ 2.1 และ 2.3 ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง เพราะโจทก์ทั้งสองกระทำผิดโดยละทิ้งงานไปเกินกว่า 3 วันทำงานติดต่อกัน และอุทธรณ์ข้อ 2.2ว่าโจทก์ที่ 1 ขายสมาชิกได้รวม 20 ราย มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนร้อยละ 3 ตามข้อกำหนดในเอกสารหมาย ล.1 เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่ฟังว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยโจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิดและฟังว่าโจทก์ที่ 1 ขายสมาชิกได้รวม 21 ราย จึงมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนร้อยละ 4 ตามข้อกำหนดในเอกสารหมาย ล.1อุทธรณ์ของจำเลยข้อ 2.1 ถึง 2.3 จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 ที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยข้อ 2.1 ถึง 2.3 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่าอุทธรณ์ข้อ 2.1 ถึง 2.3 เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 จึงไม่รับ ให้รับเฉพาะข้อ 2.4 และข้อ 3
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ในข้อ 2.1 จำเลยได้ต่อสู้ว่าโจทก์ทั้งสองได้ละทิ้งงานเกินกว่า 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร เป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายแรงงานตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง คุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(4)ในข้อ 2.2 เกี่ยวกับเงินค่าตอบแทนในการขายนั้น เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินลาภมิควรได้ที่โจทก์ที่ 1 ต้องคืนจำเลยทั้งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยในข้อ 2.3 ที่ศาลได้ให้จำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสองนั้น หากศาลฎีกาได้วินิจฉัยตามที่จำเลยได้กล่าวไว้ในข้อ 2 แล้วจำเลยก็ไม่ต้องจ่ายเงินค่าทดแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ทั้งสามข้อของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยข้อ 2.1 ถึง 2.3 ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 57)
คดีสองสำนวนนี้ จำเลยเป็นบุคคลเดียวกัน ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยเรียกโจทก์ในสำนวนแรกว่าโจทก์ที่ 1และเรียกโจทก์ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 2
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 30,000 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 10,000 บาทค่าจ้างค้างจ่ายให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 5,000 บาทสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ10,000 บาท ค่าตอบแทนการขายให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 8,250บาท คำขออื่น นอกจากนี้และฟ้องแย้งของจำเลยให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์บางข้อดังกล่าว (อันดับ 50)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 54)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยอุทธรณ์ข้อ 2.1 และ 2.3 ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง เพราะโจทก์ทั้งสองกระทำผิดโดยละทิ้งงานไปเกินกว่า 3 วันทำงานติดต่อกัน และอุทธรณ์ข้อ 2.2ว่าโจทก์ที่ 1 ขายสมาชิกได้รวม 20 ราย มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนร้อยละ 3 ตามข้อกำหนดในเอกสารหมาย ล.1 เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่ฟังว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยโจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิดและฟังว่าโจทก์ที่ 1 ขายสมาชิกได้รวม 21 ราย จึงมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนร้อยละ 4 ตามข้อกำหนดในเอกสารหมาย ล.1อุทธรณ์ของจำเลยข้อ 2.1 ถึง 2.3 จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 ที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยข้อ 2.1 ถึง 2.3 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา มีทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่จะทำให้ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชนะคดีได้ โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 121)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน409,424.32 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในหนี้ดังกล่าวเป็นเงิน 238,241.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงินที่จำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิดตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา (อันดับ 111)
จำเลยทั้งสองต่างฎีกา และยื่นคำร้องดังกล่าว(อันดับ 113,116,112,115)
ชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ทุเลาการบังคับจำเลยที่ 2 วางหลักประกันและทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ 1 มิได้วางหลักประกันภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด (อันดับ 89,92,94)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ถ้าจำเลยที่ 1 หาประกันสำหรับจำนวนเงินที่ตนจะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พร้อมด้วยดอกเบี้ยคิดถึงวันฟังคำสั่งนี้และต่อไปอีก 2 ปี หรือถ้าจำเลยที่ 2 หาประกันสำหรับจำนวนเงินส่วนที่ตนจะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยคิดถึงวันฟังคำสั่งนี้และต่อไปอีก 2 ปี มาวางศาลจนเป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้จำเลยทั้งสองหรือจำเลยที่ 2 แล้วแต่กรณีทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกา มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา มีทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่จะทำให้ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชนะคดีได้ โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 121)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน409,424.32 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในหนี้ดังกล่าวเป็นเงิน 238,241.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงินที่จำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิดตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา (อันดับ 111)
จำเลยทั้งสองต่างฎีกา และยื่นคำร้องดังกล่าว(อันดับ 113,116,112,115)
ชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ทุเลาการบังคับจำเลยที่ 2 วางหลักประกันและทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ 1 มิได้วางหลักประกันภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด (อันดับ 89,92,94)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ถ้าจำเลยที่ 1 หาประกันสำหรับจำนวนเงินที่ตนจะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พร้อมด้วยดอกเบี้ยคิดถึงวันฟังคำสั่งนี้และต่อไปอีก 2 ปี หรือถ้าจำเลยที่ 2 หาประกันสำหรับจำนวนเงินส่วนที่ตนจะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยคิดถึงวันฟังคำสั่งนี้และต่อไปอีก 2 ปี มาวางศาลจนเป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้จำเลยทั้งสองหรือจำเลยที่ 2 แล้วแต่กรณีทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกา มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษา2 คน พิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์รับรองฎีกา ผู้พิพากษาคนเดียวมีคำสั่งว่า คดีไม่มีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงให้ยกคำร้อง ต่อมาศาลชั้นต้นสั่งฎีกาว่า ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของจำเลยทุกข้อเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า การพิจารณาคำร้องขอให้รับรองฎีกานั้นจะต้องมีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์สองคนเป็นองค์คณะพิจารณาแต่ตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ปรากฏว่าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เพียงคนเดียวเป็นผู้พิจารณาสั่งคำร้องของ จำเลย ทั้งที่ตามคำร้องดังกล่าวได้ขอให้ผู้พิพากษาทั้งสองคนรับรองฎีกาดังนั้นคำสั่งเรื่องรับรองฎีกาจึงไม่ถูกต้องตามกระบวนวิธีพิจารณาความ และศาลชั้นต้นควรรอการสั่งฎีกาไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลคำสั่งการรับรองฎีกาของจำเลย โปรดมีคำสั่งกลับคำสั่งของผู้พิพากษาที่ไม่รับรองฎีกาแล้วให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์อีกคนหนึ่งพิจารณารับรองฎีกาของจำเลยด้วยและให้กลับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยให้ศาลชั้นต้นรอฟังคำสั่งเกี่ยวกับการขอรับรองฎีกาของจำเลยต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 201)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 1777 ตำบลชะอำอำเภอชะอำจังหวัดเพชรบุรีให้โจทก์เนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวาตามกรอบเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้องให้แก่โจทก์หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์รับรองฎีกา ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์คนเดียวมีคำสั่งไม่รับรองฎีกาและศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 184,181,187)
จำเลยจึงยื่นคำร้องสอบฉบับนี้ (อันดับ 190,192)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว การพิจารณาคำร้องขอให้รับรองฎีกานั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ได้บัญญัติถึงข้อยกเว้นของคดีที่ต้องห้าม ฎีกาในข้อเท็จจริง จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ต้องเป็นกรณีที่ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลอุทธรณ์ได้มีความเห็นแย้ง หรือผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นก็ดี ศาลอุทธรณ์ก็ดีได้รับรองไว้หรือรับรองในเวลาตรวจฎีกาว่ามีเหตุสมควรจะฎีกาได้ ฯลฯซึ่งในการสั่งคำร้องดังกล่าว เป็นอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 21(2) หาจำต้องประกอบด้วยองค์คณะของการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีไม่ เมื่อตามคำร้องขอให้รับรองในข้อเท็จจริงเป็นการขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ทั้งสองคนรับรองนั้นไม่เป็นการแน่ชัดว่าจะขอให้คนใดรับรอง ดังนั้นการที่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์คนใดคนหนึ่งได้พิจารณาคำร้องของ จำเลยแล้วก็ต้องถือว่าได้พิจารณา คำขอตามคำร้องนั้นเป็นการครบถ้วนแล้ว การที่นายอำนวย หมวดเมืองผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์คนเดียวมีคำสั่งดังกล่าวจึงชอบแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องส่งไปให้ผู้พิพากษาคนอื่นพิจารณาสั่งอีก และเมื่อฎีกาของจำเลยต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงและไม่มีการรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้และแม้จะมีคำร้องของจำเลยลงวันที่ 17 ธันวาคม 2536 ขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์อีกคนหนึ่งรับรองฎีกาของจำเลยก็ตาม แต่ก็เป็นการขอให้รับรอง เมื่อล่วงเลยกำหนดระยะเวลาที่จะฎีกาได้ ดังนี้การที่ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยจึงชอบแล้วเช่นกันให้ยกคำร้อง คืนค่าคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่เสียเกิน 160 บาทให้จำเลย และคืนค่าขึ้นศาลในส่วนของคำฟ้องฎีกาให้จำเลยทั้งหมดด้วย
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษา2 คน พิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์รับรองฎีกา ผู้พิพากษาคนเดียวมีคำสั่งว่า คดีไม่มีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงให้ยกคำร้อง ต่อมาศาลชั้นต้นสั่งฎีกาว่า ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของจำเลยทุกข้อเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า การพิจารณาคำร้องขอให้รับรองฎีกานั้นจะต้องมีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์สองคนเป็นองค์คณะพิจารณาแต่ตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ปรากฏว่าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เพียงคนเดียวเป็นผู้พิจารณาสั่งคำร้องของ จำเลย ทั้งที่ตามคำร้องดังกล่าวได้ขอให้ผู้พิพากษาทั้งสองคนรับรองฎีกาดังนั้นคำสั่งเรื่องรับรองฎีกาจึงไม่ถูกต้องตามกระบวนวิธีพิจารณาความ และศาลชั้นต้นควรรอการสั่งฎีกาไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลคำสั่งการรับรองฎีกาของจำเลย โปรดมีคำสั่งกลับคำสั่งของผู้พิพากษาที่ไม่รับรองฎีกาแล้วให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์อีกคนหนึ่งพิจารณารับรองฎีกาของจำเลยด้วยและให้กลับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยให้ศาลชั้นต้นรอฟังคำสั่งเกี่ยวกับการขอรับรองฎีกาของจำเลยต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 201)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 1777 ตำบลชะอำอำเภอชะอำจังหวัดเพชรบุรีให้โจทก์เนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวาตามกรอบเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้องให้แก่โจทก์หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์รับรองฎีกา ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์คนเดียวมีคำสั่งไม่รับรองฎีกาและศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 184,181,187)
จำเลยจึงยื่นคำร้องสอบฉบับนี้ (อันดับ 190,192)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว การพิจารณาคำร้องขอให้รับรองฎีกานั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ได้บัญญัติถึงข้อยกเว้นของคดีที่ต้องห้าม ฎีกาในข้อเท็จจริง จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ต้องเป็นกรณีที่ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลอุทธรณ์ได้มีความเห็นแย้ง หรือผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นก็ดี ศาลอุทธรณ์ก็ดีได้รับรองไว้หรือรับรองในเวลาตรวจฎีกาว่ามีเหตุสมควรจะฎีกาได้ ฯลฯซึ่งในการสั่งคำร้องดังกล่าว เป็นอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 21(2) หาจำต้องประกอบด้วยองค์คณะของการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีไม่ เมื่อตามคำร้องขอให้รับรองในข้อเท็จจริงเป็นการขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ทั้งสองคนรับรองนั้นไม่เป็นการแน่ชัดว่าจะขอให้คนใดรับรอง ดังนั้นการที่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์คนใดคนหนึ่งได้พิจารณาคำร้องของ จำเลยแล้วก็ต้องถือว่าได้พิจารณา คำขอตามคำร้องนั้นเป็นการครบถ้วนแล้ว การที่นายอำนวย หมวดเมืองผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์คนเดียวมีคำสั่งดังกล่าวจึงชอบแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องส่งไปให้ผู้พิพากษาคนอื่นพิจารณาสั่งอีก และเมื่อฎีกาของจำเลยต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงและไม่มีการรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้และแม้จะมีคำร้องของจำเลยลงวันที่ 17 ธันวาคม 2536 ขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์อีกคนหนึ่งรับรองฎีกาของจำเลยก็ตาม แต่ก็เป็นการขอให้รับรอง เมื่อล่วงเลยกำหนดระยะเวลาที่จะฎีกาได้ ดังนี้การที่ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยจึงชอบแล้วเช่นกันให้ยกคำร้อง คืนค่าคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่เสียเกิน 160 บาทให้จำเลย และคืนค่าขึ้นศาลในส่วนของคำฟ้องฎีกาให้จำเลยทั้งหมดด้วย
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ทุนทรัพย์ชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ก. ที่ว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่คู่ความอีกฝ่ายจะสมบูรณ์ต่อเมื่อคู่ความได้รับหมายด้วย และคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์นอกเหนือพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน และฎีกาข้อ 2 ข. ที่ว่าหนังสือขอผ่อนส่งหนี้ที่นายวีระศักดิ์ทำกับโจทก์นั้นไม่ผูกพันจำเลยทั้งสอง กับฎีกาข้อ 2 ค. ที่ว่าการเริ่มนับอายุความในการยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่เริ่มนับตั้งแต่เมื่อใดล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
กรณีเป็นชั้นขอให้พิจารณาใหม่
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้อง จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นจึงพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวและมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 89,541 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่อ้างว่าจำเลยทั้งสอง มิได้จงใจขาดนัด ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 114)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 117)
คำสั่ง
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ยอมรับฎีกาโดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ทุนทรัพย์ชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ก. ที่ว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่คู่ความอีกฝ่ายจะสมบูรณ์ต่อเมื่อคู่ความได้รับหมายด้วย และคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์นอกเหนือพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน และฎีกาข้อ 2 ข. ที่ว่าหนังสือขอผ่อนส่งหนี้ที่นายวีระศักดิ์ทำกับโจทก์นั้นไม่ผูกพันจำเลยทั้งสอง กับฎีกาข้อ 2 ค. ที่ว่าการเริ่มนับอายุความในการยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่เริ่มนับตั้งแต่เมื่อใดล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
กรณีเป็นชั้นขอให้พิจารณาใหม่
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้อง จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นจึงพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวและมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 89,541 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่อ้างว่าจำเลยทั้งสอง มิได้จงใจขาดนัด ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 114)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 117)
คำสั่ง
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ยอมรับฎีกาโดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้คัดค้านอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่าพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ให้อุทธรณ์ได้เฉพาะข้อกฎหมายเท่านั้นอุทธรณ์ของผู้คัดค้านเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงจึงไม่รับอุทธรณ์
ผู้คัดค้านเห็นว่า อุทธรณ์ของผู้คัดค้านมีปัญหาที่ศาลฎีกาควรจะได้รับไว้เป็นอุทธรณ์โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของผู้คัดค้านไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ทนายผู้ร้องได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 56)
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างนางสาวดาหวันสายล้า กรรมการลูกจ้างต่อไป
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้บริษัทไทยแอโรว์ จำกัดผู้ร้อง เลิกจ้างนางสาวดาหวันสายล้า กรรมการลูกจ้าง ผู้คัดค้าน
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 52)
ผู้คัดค้านจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 54)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าผู้คัดค้านทำงานล่วงเวลาแล้วถูกจับกุมในโกดังบริเวณที่ทำงานของผู้ร้องเล่นการพนันและให้การรับสารภาพชั้นพิจารณาของศาลผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า พยานผู้ร้องฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านเข้าทำงานล่วงเวลาและจับกุมผู้คัดค้านได้บริเวณโกดังของผู้ร้องเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ที่ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์ของผู้คัดค้านชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้คัดค้านอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่าพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ให้อุทธรณ์ได้เฉพาะข้อกฎหมายเท่านั้นอุทธรณ์ของผู้คัดค้านเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงจึงไม่รับอุทธรณ์
ผู้คัดค้านเห็นว่า อุทธรณ์ของผู้คัดค้านมีปัญหาที่ศาลฎีกาควรจะได้รับไว้เป็นอุทธรณ์โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของผู้คัดค้านไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ทนายผู้ร้องได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 56)
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างนางสาวดาหวันสายล้า กรรมการลูกจ้างต่อไป
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้บริษัทไทยแอโรว์ จำกัดผู้ร้อง เลิกจ้างนางสาวดาหวันสายล้า กรรมการลูกจ้าง ผู้คัดค้าน
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 52)
ผู้คัดค้านจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 54)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าผู้คัดค้านทำงานล่วงเวลาแล้วถูกจับกุมในโกดังบริเวณที่ทำงานของผู้ร้องเล่นการพนันและให้การรับสารภาพชั้นพิจารณาของศาลผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า พยานผู้ร้องฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านเข้าทำงานล่วงเวลาและจับกุมผู้คัดค้านได้บริเวณโกดังของผู้ร้องเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ที่ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์ของผู้คัดค้านชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่าฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ๆไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ จำเลยที่ 1 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 56 แผ่นที่ 3) ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,180,309,310,83,84
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 52)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 53)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ที่แก้ไขแล้ว ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์เห็นได้ว่าเป็นการห้ามฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่าฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ๆไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ จำเลยที่ 1 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 56 แผ่นที่ 3) ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,180,309,310,83,84
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 52)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 53)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ที่แก้ไขแล้ว ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์เห็นได้ว่าเป็นการห้ามฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 เห็นว่า คดีไม่มีการชี้สองสถาน โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบข้อเท็จจริงตามคำฟ้องทั้งหมด จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การและมิได้ขาดนัดพิจารณา ศาลต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์และจำเลยที่ 1 ทั้งหมดจะกำหนดปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในประเด็นใดประเด็นหนึ่งมิได้เพราะมิได้กำหนดประเด็นไว้ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าของและปรากฏชื่อในทะเบียนรถยนต์ ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดีนี้ด้วย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนโอนใส่ชื่อโจทก์ในใบคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์ ยี่ห้อ บี.เอ็ม.ดับบลิวรุ่น 520 หมายเลขทะเบียน 1 ง-0494 กรุงเทพมหานคร และ ส่งมอบเอกสารดังกล่าวให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 2 ไม่ไป ให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2 ในการจดทะเบียนต่อไปยกฟ้องจำเลยที่ 1
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 74)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 77)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ไม่ได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งว่าคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 249 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 เห็นว่า คดีไม่มีการชี้สองสถาน โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบข้อเท็จจริงตามคำฟ้องทั้งหมด จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การและมิได้ขาดนัดพิจารณา ศาลต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์และจำเลยที่ 1 ทั้งหมดจะกำหนดปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในประเด็นใดประเด็นหนึ่งมิได้เพราะมิได้กำหนดประเด็นไว้ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าของและปรากฏชื่อในทะเบียนรถยนต์ ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดีนี้ด้วย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนโอนใส่ชื่อโจทก์ในใบคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์ ยี่ห้อ บี.เอ็ม.ดับบลิวรุ่น 520 หมายเลขทะเบียน 1 ง-0494 กรุงเทพมหานคร และ ส่งมอบเอกสารดังกล่าวให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 2 ไม่ไป ให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2 ในการจดทะเบียนต่อไปยกฟ้องจำเลยที่ 1
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 74)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 77)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ไม่ได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งว่าคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 249 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ากรณีเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง โดยจำเลยทั้งสองอนุญาตให้โจทก์ครอบครองทำกิน ในที่ดินพิพาท โจทก์มิได้มีเจตนาจะเข้าครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ แต่เป็นการครอบครองแทนจำเลยทั้งสองเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และ คดีนี้ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โปรดมีคำสั่งรับฎีกา ของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 507ตำบลลำพาน อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้เพิกถอนชื่อจำเลยทั้งสองออกจากสารบบที่ดินแปลงดังกล่าวห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าวอีกต่อไปคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยทั้งสอง ออกจาก น.ส.3 เลขที่ 507นั้นเสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 104)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 117)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง ให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย เป็นการครอบครองแทนจำเลยทั้งสอง โจทก์จึงไม่ได้สิทธิครอบครอง ในที่ดินพิพาทนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ส่วนที่จำเลยทั้งสอง ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิเคราะห์พยานหลักฐานคลาดเคลื่อน ไม่ควรจะฟังว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แต่ควรจะ ฟังว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทนั้น ก็เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน คดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ากรณีเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง โดยจำเลยทั้งสองอนุญาตให้โจทก์ครอบครองทำกิน ในที่ดินพิพาท โจทก์มิได้มีเจตนาจะเข้าครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ แต่เป็นการครอบครองแทนจำเลยทั้งสองเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และ คดีนี้ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โปรดมีคำสั่งรับฎีกา ของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 507ตำบลลำพาน อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้เพิกถอนชื่อจำเลยทั้งสองออกจากสารบบที่ดินแปลงดังกล่าวห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าวอีกต่อไปคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยทั้งสอง ออกจาก น.ส.3 เลขที่ 507นั้นเสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 104)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 117)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง ให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย เป็นการครอบครองแทนจำเลยทั้งสอง โจทก์จึงไม่ได้สิทธิครอบครอง ในที่ดินพิพาทนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ส่วนที่จำเลยทั้งสอง ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิเคราะห์พยานหลักฐานคลาดเคลื่อน ไม่ควรจะฟังว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แต่ควรจะ ฟังว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทนั้น ก็เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน คดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้คัดค้านอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าอุทธรณ์ของผู้คัดค้านเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามผู้เสียหายจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์
ผู้คัดค้านเห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า ผู้คัดค้านปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของผู้คัดค้านไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ ผู้ร้องแถลงคัดค้าน (อันดับ 48)
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างนายสุวิทย์ยอดสมณา กรรมการลูกจ้าง (ผู้คัดค้าน) ได้
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 44)
ผู้คัดค้านจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 45)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2536 ผู้คัดค้านเป็นผู้ตรวจรับแก๊สจากบริษัทเชลส์แห่งประเทศไทย จำกัด จำนวน 6,000 ลิตรโดยไม่มีการส่งแก๊สให้แก่ผู้ร้องจริงตามที่ผู้คัดค้านรับรองการรับแก๊ส เป็นการกระทำความผิดทุจริตต่อหน้าที่อันฝ่าฝืนข้อบังคับการทำงานของผู้ร้อง หมวด 9 ว่าด้วยวินัย โทษทางวินัยบทที่ 2 ข้อ 2 และ 2.1 และกรณีมีเหตุอันสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านได้ตามขอ ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานรับฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านได้ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการกระทำความผิดอาญาต่อผู้ร้องและเป็นเหตุสมควรเลิกจ้างผู้คัดค้าน จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้คัดค้านชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้คัดค้านอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าอุทธรณ์ของผู้คัดค้านเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามผู้เสียหายจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์
ผู้คัดค้านเห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า ผู้คัดค้านปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของผู้คัดค้านไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ ผู้ร้องแถลงคัดค้าน (อันดับ 48)
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างนายสุวิทย์ยอดสมณา กรรมการลูกจ้าง (ผู้คัดค้าน) ได้
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 44)
ผู้คัดค้านจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 45)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2536 ผู้คัดค้านเป็นผู้ตรวจรับแก๊สจากบริษัทเชลส์แห่งประเทศไทย จำกัด จำนวน 6,000 ลิตรโดยไม่มีการส่งแก๊สให้แก่ผู้ร้องจริงตามที่ผู้คัดค้านรับรองการรับแก๊ส เป็นการกระทำความผิดทุจริตต่อหน้าที่อันฝ่าฝืนข้อบังคับการทำงานของผู้ร้อง หมวด 9 ว่าด้วยวินัย โทษทางวินัยบทที่ 2 ข้อ 2 และ 2.1 และกรณีมีเหตุอันสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านได้ตามขอ ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานรับฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านได้ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการกระทำความผิดอาญาต่อผู้ร้องและเป็นเหตุสมควรเลิกจ้างผู้คัดค้าน จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้คัดค้านชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองฎีกา ผู้พิพากษาสั่งคำร้องว่า พิเคราะห์แล้ว ไม่มีเหตุอันควรฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และต่อมาศาลชั้นต้นสั่งฎีกาว่า ผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นไม่รับรองให้ฎีกา จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยมีเหตุอันควรฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เพราะทางนำสืบของจำเลยมีประจักษ์พยานเบิกความยืนยืนว่าโจทก์กับพวกรวม 3 คน ไม่เคยมาทำนาพิพาทและจำเลยเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่มาโดยตลอด ข้อนำสืบของจำเลยมีน้ำหนักน่าเชื่อถือว่าพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์ และฎีกาจำเลยเกี่ยวกับพยานหลักฐานที่จำเลยเสนอเข้าไปใหม่ในชั้นอุทธรณ์ก็เป็นพยานหลักฐานที่มีอยู่ก่อนฟ้องคดีนี้ และเป็นพยานที่แสดงถึงข้อเท็จจริงตามข้อต่อสู้ในคำให้การของจำเลย จึงเป็นฎีกาข้อกฎหมายที่สมควรได้รับการพิจารณาในศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ทั้งสามแถลงคัดค้าน (อันดับ 105)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยดำเนินการจดทะเบียนโอนโฉนดที่ดินเลขที่ 6449 เนื้อที่ 4 ไร่ 65 ตารางวา ให้แก่โจทก์ทั้งสามหากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ของจำเลย และให้จำเลยดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนด เลขที่ 10030 เนื้อที่ 13 ไร่ 2 งาน 50 ตารางวา ออกเป็น 4 ส่วน ส่วนละเท่า ๆ กัน ให้โจทก์ทั้งสามได้คนละส่วนและจำเลยได้ 1 ส่วน หากไม่สามารถแบ่งได้ ให้เอาที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำ เงินสุทธิมาแบ่งกันตามส่วนต่อไป
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกา ผู้พิพากษามีคำสั่งไม่รับรองฎีกา และศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 92 แผ่นที่ 1,93)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98)
คำสั่ง
การรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 เป็นอำนาจเฉพาะตัวของผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น เมื่อศาลชั้นต้นไม่รับรองให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงแล้ว จำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกาว่าฎีกาของจำเลยมีเหตุอันควรฎีกาในข้อเท็จจริงอีกไม่ได้ เมื่อผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นไม่รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อเท็จจริงจึงชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า พยานเอกสารท้ายอุทธรณ์ของจำเลย เป็นพยานหลักฐานเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีและศาลมีอำนาจรับฟังนั้น ฎีกาของจำเลยในข้อนี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ทั้งไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้วยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองฎีกา ผู้พิพากษาสั่งคำร้องว่า พิเคราะห์แล้ว ไม่มีเหตุอันควรฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และต่อมาศาลชั้นต้นสั่งฎีกาว่า ผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นไม่รับรองให้ฎีกา จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยมีเหตุอันควรฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เพราะทางนำสืบของจำเลยมีประจักษ์พยานเบิกความยืนยืนว่าโจทก์กับพวกรวม 3 คน ไม่เคยมาทำนาพิพาทและจำเลยเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่มาโดยตลอด ข้อนำสืบของจำเลยมีน้ำหนักน่าเชื่อถือว่าพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์ และฎีกาจำเลยเกี่ยวกับพยานหลักฐานที่จำเลยเสนอเข้าไปใหม่ในชั้นอุทธรณ์ก็เป็นพยานหลักฐานที่มีอยู่ก่อนฟ้องคดีนี้ และเป็นพยานที่แสดงถึงข้อเท็จจริงตามข้อต่อสู้ในคำให้การของจำเลย จึงเป็นฎีกาข้อกฎหมายที่สมควรได้รับการพิจารณาในศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ทั้งสามแถลงคัดค้าน (อันดับ 105)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยดำเนินการจดทะเบียนโอนโฉนดที่ดินเลขที่ 6449 เนื้อที่ 4 ไร่ 65 ตารางวา ให้แก่โจทก์ทั้งสามหากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ของจำเลย และให้จำเลยดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนด เลขที่ 10030 เนื้อที่ 13 ไร่ 2 งาน 50 ตารางวา ออกเป็น 4 ส่วน ส่วนละเท่า ๆ กัน ให้โจทก์ทั้งสามได้คนละส่วนและจำเลยได้ 1 ส่วน หากไม่สามารถแบ่งได้ ให้เอาที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำ เงินสุทธิมาแบ่งกันตามส่วนต่อไป
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกา ผู้พิพากษามีคำสั่งไม่รับรองฎีกา และศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 92 แผ่นที่ 1,93)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98)
คำสั่ง
การรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 เป็นอำนาจเฉพาะตัวของผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น เมื่อศาลชั้นต้นไม่รับรองให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงแล้ว จำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกาว่าฎีกาของจำเลยมีเหตุอันควรฎีกาในข้อเท็จจริงอีกไม่ได้ เมื่อผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นไม่รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อเท็จจริงจึงชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า พยานเอกสารท้ายอุทธรณ์ของจำเลย เป็นพยานหลักฐานเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีและศาลมีอำนาจรับฟังนั้น ฎีกาของจำเลยในข้อนี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ทั้งไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้วยกคำร้อง
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|