ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ของศาล เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้าม มิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ไม่รับฎีกา ของจำเลย
จำเลยหนึ่งว่า ฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้รับฟังพยานหลักฐานโดยนำเอาคำให้การซัดทอดระหว่าง ผู้ต้องหาด้วยกันในชั้นสอบสวนมาลงโทษจำเลย คำวินิจฉัย ของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงขัดต่อหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และฎีกาที่ว่า การกระทำของจำเลยขาดองค์ประกอบในการ กระทำความผิดตามกฎหมายเพราะว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้อง และนำสืบให้เห็นโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้ กระทำความผิดอย่างไร และฎีกาที่โต้แย้งคำพิพากษาของ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในเรื่องการลงโทษจำเลยนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของ จำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 127)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26,76 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จำคุก 1 ปี 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 126)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 127)
คำสั่ง
ที่จำเลยฎีกาอ้างว่าเป็นข้อกฎหมายและอ้างว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับฟังพยานหลักฐานและวินิจฉัยไม่ชอบนั้น เป็นเรื่องที่บิดเบือน ข้อเท็จจริง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยเพื่อให้เป็นข้อกฎหมาย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ของศาล เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้าม มิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ไม่รับฎีกา ของจำเลย
จำเลยหนึ่งว่า ฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้รับฟังพยานหลักฐานโดยนำเอาคำให้การซัดทอดระหว่าง ผู้ต้องหาด้วยกันในชั้นสอบสวนมาลงโทษจำเลย คำวินิจฉัย ของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงขัดต่อหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และฎีกาที่ว่า การกระทำของจำเลยขาดองค์ประกอบในการ กระทำความผิดตามกฎหมายเพราะว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้อง และนำสืบให้เห็นโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้ กระทำความผิดอย่างไร และฎีกาที่โต้แย้งคำพิพากษาของ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในเรื่องการลงโทษจำเลยนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของ จำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 127)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26,76 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จำคุก 1 ปี 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 126)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 127)
คำสั่ง
ที่จำเลยฎีกาอ้างว่าเป็นข้อกฎหมายและอ้างว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับฟังพยานหลักฐานและวินิจฉัยไม่ชอบนั้น เป็นเรื่องที่บิดเบือน ข้อเท็จจริง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยเพื่อให้เป็นข้อกฎหมาย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว
ความว่า ผู้คัดค้านฎีกา มีเหตุผลเพียงพอที่จะชนะคดีโปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ ผู้ร้องแถลงคัดค้าน (อันดับ 159 แผ่นที่ 4)
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ ในที่ดินมีโฉนดโดยการครอบครองปรปักษ์ และให้เพิกถอนชื่อนางกรรณิการ์วิเศษชาญเวช ออกจากโฉนดและใส่ชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว นางกรรณิการ์วิเศษชาญเวช ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 25983 แขวงบางแค (หลักสอง) เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานครตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรุงเทพมหานคร ผู้ร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ให้เพิกถอนการจดทะเบียนรายการลงวันที่ 28 เมษายน 2531ระหว่างนางสาวจงกลนีทันตศิริกรกับนางกรรณิการ์วิเศษชาญเวช ผู้คัดค้าน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 155,155 แผ่นที่ 13)
ชั้นอุทธรณ์ ผู้คัดค้านได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับ แต่ห้ามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่าง อุทธรณ์ (อันดับ 145)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งได้มาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ผู้ได้มาต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ดังนั้นเมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุด จึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า ผู้คัดค้านฎีกา มีเหตุผลเพียงพอที่จะชนะคดีโปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ ผู้ร้องแถลงคัดค้าน (อันดับ 159 แผ่นที่ 4)
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ ในที่ดินมีโฉนดโดยการครอบครองปรปักษ์ และให้เพิกถอนชื่อนางกรรณิการ์วิเศษชาญเวช ออกจากโฉนดและใส่ชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว นางกรรณิการ์วิเศษชาญเวช ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 25983 แขวงบางแค (หลักสอง) เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานครตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรุงเทพมหานคร ผู้ร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ให้เพิกถอนการจดทะเบียนรายการลงวันที่ 28 เมษายน 2531ระหว่างนางสาวจงกลนีทันตศิริกรกับนางกรรณิการ์วิเศษชาญเวช ผู้คัดค้าน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 155,155 แผ่นที่ 13)
ชั้นอุทธรณ์ ผู้คัดค้านได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับ แต่ห้ามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่าง อุทธรณ์ (อันดับ 145)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งได้มาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ผู้ได้มาต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ดังนั้นเมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุด จึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ดังนั้นเมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุด จึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ ในที่ดินมีโฉนดโดยการครอบครองปรปักษ์ และให้เพิกถอนชื่อนางกรรณิการ์ วิเศษชาญเวช ออกจากโฉนดและใส่ ผู้ร้องเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว นางกรรณิการณ์ วิเศษชาญเวช ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 25983 แขวงบางแคหลักสองเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรุงเทพมหานคร ผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ให้เพิกถอนการจดทะเบียนรายการลงวันที่ 28 เมษายน2531 ระหว่างนางสาวจงกลนี ทันตศิริกร กับนางกรรรณิการ์ วิเศษชาญเวช ผู้คัดค้าน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2497)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งได้มาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ผู้ได้มาต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ดังนั้นเมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุดจึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกาให้ยกคำร้อง"
ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ดังนั้นเมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุด จึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ ในที่ดินมีโฉนดโดยการครอบครองปรปักษ์ และให้เพิกถอนชื่อนางกรรณิการ์ วิเศษชาญเวช ออกจากโฉนดและใส่ ผู้ร้องเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว นางกรรณิการณ์ วิเศษชาญเวช ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 25983 แขวงบางแคหลักสองเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรุงเทพมหานคร ผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ให้เพิกถอนการจดทะเบียนรายการลงวันที่ 28 เมษายน2531 ระหว่างนางสาวจงกลนี ทันตศิริกร กับนางกรรรณิการ์ วิเศษชาญเวช ผู้คัดค้าน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2497)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งได้มาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ผู้ได้มาต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ดังนั้นเมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุดจึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกาให้ยกคำร้อง"
ความว่า จำเลยฎีกา บัดนี้โจทก์กับจำเลยสามารถตกลงกันได้โดยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกัน จำเลยจึงไม่ ประสงค์ที่จะดำเนินคดีอีกต่อไป จึงขอถอนฎีกาและโปรดสั่งคืน ค่าฤชาธรรมเนียมแก่จำเลยเป็นกรณีพิเศษด้วย
หมายเหตุ โจทก์แถลงท้ายคำร้องไม่คัดค้าน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,942,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 5 กันยายน 2531) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระ ให้โจทก์เสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 219)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 225)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้จำเลยถอนฎีกา จำหน่ายคดีเสียจาก สารบบความ ศาลฎีกาคืนค่าขึ้นศาลให้สามในสี่
ความว่า จำเลยฎีกา บัดนี้โจทก์กับจำเลยสามารถตกลงกันได้โดยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกัน จำเลยจึงไม่ ประสงค์ที่จะดำเนินคดีอีกต่อไป จึงขอถอนฎีกาและโปรดสั่งคืน ค่าฤชาธรรมเนียมแก่จำเลยเป็นกรณีพิเศษด้วย
หมายเหตุ โจทก์แถลงท้ายคำร้องไม่คัดค้าน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,942,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 5 กันยายน 2531) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระ ให้โจทก์เสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 219)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 225)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้จำเลยถอนฎีกา จำหน่ายคดีเสียจาก สารบบความ ศาลฎีกาคืนค่าขึ้นศาลให้สามในสี่
ความว่า โจทก์ทั้งห้าฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้โจทก์ทั้งห้าฟ้องเริ่มต้นคดีเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ จำเลยทั้งห้าต่อสู้กรรมสิทธิ์ทำให้คดีกลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ คดีนี้ทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาใน ข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ที่แก้ไขแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งห้าโต้แย้งดุลพินิจในการ รับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายและการที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาและวินิจฉัยคดีผิดไปจากหลักฐานในคดีเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายได้โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ จำเลยทั้งห้ายังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
คดีทั้งห้าสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์สำนวนที่ 1 และที่ 2 เป็นโจทก์ที่ 1 โจทก์สำนวนที่ 3ถึงที่ 6 เป็น โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ตามลำดับ
โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้าเพิกถอนที่ดินของโจทก์ทั้งห้าออกจากที่ดินราชพัสดุ กระทรวงการคลัง ภายใน7 วัน นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาจำเลยทั้งห้า ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งกับแก้ไขฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งห้าและบริวารรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขที่ชร 1190ของจำเลยที่ 1 และให้โจทก์ทั้งห้าชำระค่าเสียหายเดือนละ 187 บาท,189 บาท,93 บาท,334 บาท และ 82 บาทตามลำดับแก่จำเลยที่ 1นับแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2531 ไปจนกว่าโจทก์ทั้งห้าและบริวารจะออกจากที่ดินดังกล่าว ยกฟ้องโจทก์ ทั้งหกสำนวนและฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขดำที่ 1025/2533 คำขออื่นของจำเลยที่ 1นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งห้าฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 184)
โจทก์ทั้งห้าจึงยื่นคำร้องนี้ โดยมิได้นำเงินมาชำระตาม คำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 190)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาโจทก์ทั้งหกสำนวนในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งโจทก์ทั้งห้ายื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา โดยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยคำร้องในส่วนนี้ ส่วนฎีกาของโจทก์ทั้งหกสำนวนในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องนั้น เห็นว่าเหตุที่โจทก์ทั้งห้าอ้างมาในฎีกาเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อนำไปสู่ ข้อกฎหมายเท่านั้นจึงเป็นการฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ทั้งห้าฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้โจทก์ทั้งห้าฟ้องเริ่มต้นคดีเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ จำเลยทั้งห้าต่อสู้กรรมสิทธิ์ทำให้คดีกลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ คดีนี้ทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาใน ข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ที่แก้ไขแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งห้าโต้แย้งดุลพินิจในการ รับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายและการที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาและวินิจฉัยคดีผิดไปจากหลักฐานในคดีเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายได้โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ จำเลยทั้งห้ายังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
คดีทั้งห้าสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์สำนวนที่ 1 และที่ 2 เป็นโจทก์ที่ 1 โจทก์สำนวนที่ 3ถึงที่ 6 เป็น โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ตามลำดับ
โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้าเพิกถอนที่ดินของโจทก์ทั้งห้าออกจากที่ดินราชพัสดุ กระทรวงการคลัง ภายใน7 วัน นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาจำเลยทั้งห้า ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งกับแก้ไขฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งห้าและบริวารรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขที่ชร 1190ของจำเลยที่ 1 และให้โจทก์ทั้งห้าชำระค่าเสียหายเดือนละ 187 บาท,189 บาท,93 บาท,334 บาท และ 82 บาทตามลำดับแก่จำเลยที่ 1นับแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2531 ไปจนกว่าโจทก์ทั้งห้าและบริวารจะออกจากที่ดินดังกล่าว ยกฟ้องโจทก์ ทั้งหกสำนวนและฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขดำที่ 1025/2533 คำขออื่นของจำเลยที่ 1นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งห้าฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 184)
โจทก์ทั้งห้าจึงยื่นคำร้องนี้ โดยมิได้นำเงินมาชำระตาม คำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 190)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาโจทก์ทั้งหกสำนวนในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งโจทก์ทั้งห้ายื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา โดยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยคำร้องในส่วนนี้ ส่วนฎีกาของโจทก์ทั้งหกสำนวนในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องนั้น เห็นว่าเหตุที่โจทก์ทั้งห้าอ้างมาในฎีกาเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อนำไปสู่ ข้อกฎหมายเท่านั้นจึงเป็นการฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับและคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีใน ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอให้รับรองฎีกาว่า จำเลยไม่ได้ระบุมา ให้ชัดเจนว่าฎีกาข้อใดของจำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงและประสงค์จะให้รับรองให้เพื่อฎีกา จึงไม่มีเหตุที่สมควรจะรับรองฎีกาให้ได้
จำเลยเห็นว่า ฎีกาในประเด็นที่ว่า สัญญาตามที่โจทก์นำมาฟ้องนี้เป็นสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาซื้อขาย ประเด็นที่ว่าจำเลยได้ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองหรือไม่และโจทก์มีอำนาจ ฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งรับฎีกา และคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์พร้อมกับให้ใช้ค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 114/1 ออกไปจากที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 75 ตำบลกำโลน อำเภอลานสภา จังหวัดนครศรีธรรมราช(ที่ดินพิพาท) พร้อมกับให้จำเลยบริวารออกจากที่ดินดังกล่าวและชำระค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท ให้โจทก์ นับแต่วันฟ้อง(วันที่ 16 สิงหาคม 2533) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวและบริวารออกจากที่ดินพิพาทนั้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับและคำร้องขอให้รับรองฎีกา ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 61 แผ่นที่ 3 และแผ่นที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 66)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งรับหรือไม่รับฎีกาและ คำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยฉบับลงวันที่ 28 กันยายน 2536แต่ประการใด จึงไม่มีคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาหรือคำร้องขอทุเลาการบังคับอันจำเลยจะใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อ ศาลฎีกาได้ ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องพิจารณาสั่งรับหรือไม่รับฎีกา หรือคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลย ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ ให้ศาลชั้นต้นรีบดำเนินการมีคำสั่งเกี่ยวกับฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยดังกล่าวแล้วแจ้งให้คู่ความทราบต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับและคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีใน ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอให้รับรองฎีกาว่า จำเลยไม่ได้ระบุมา ให้ชัดเจนว่าฎีกาข้อใดของจำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงและประสงค์จะให้รับรองให้เพื่อฎีกา จึงไม่มีเหตุที่สมควรจะรับรองฎีกาให้ได้
จำเลยเห็นว่า ฎีกาในประเด็นที่ว่า สัญญาตามที่โจทก์นำมาฟ้องนี้เป็นสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาซื้อขาย ประเด็นที่ว่าจำเลยได้ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองหรือไม่และโจทก์มีอำนาจ ฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งรับฎีกา และคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์พร้อมกับให้ใช้ค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 114/1 ออกไปจากที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 75 ตำบลกำโลน อำเภอลานสภา จังหวัดนครศรีธรรมราช(ที่ดินพิพาท) พร้อมกับให้จำเลยบริวารออกจากที่ดินดังกล่าวและชำระค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท ให้โจทก์ นับแต่วันฟ้อง(วันที่ 16 สิงหาคม 2533) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวและบริวารออกจากที่ดินพิพาทนั้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับและคำร้องขอให้รับรองฎีกา ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 61 แผ่นที่ 3 และแผ่นที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 66)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งรับหรือไม่รับฎีกาและ คำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยฉบับลงวันที่ 28 กันยายน 2536แต่ประการใด จึงไม่มีคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาหรือคำร้องขอทุเลาการบังคับอันจำเลยจะใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อ ศาลฎีกาได้ ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องพิจารณาสั่งรับหรือไม่รับฎีกา หรือคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลย ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ ให้ศาลชั้นต้นรีบดำเนินการมีคำสั่งเกี่ยวกับฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยดังกล่าวแล้วแจ้งให้คู่ความทราบต่อไป
ความว่า เนื่องจากในขณะที่ศาลชั้นต้นส่งสำเนาฎีกาและสำเนาคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยให้แก่โจทก์นั้นโจทก์ได้ไปพักอาศัยอยู่ต่างประเทศและที่บ้านของโจทก์ก็ไม่มีคนอยู่โจทก์จึงไม่ทราบหมายนัดของศาลชั้นต้น ทำให้โจทก์ไม่ได้ทำคำแก้ฎีกาและคำคัดค้านการขอทุเลาการบังคับคดีโจทก์เพิ่งมาทราบผลคดีเมื่อได้รับหมายนัดฟังคำสั่งศาลฎีกาเรื่องขอทุเลาการบังคับเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2536 ด้วยเหตุจำเป็นดังกล่าวจึงขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ ยื่นคำแก้ฎีกา และหากไม่อาจรับคำแก้ฎีกาของโจทก์ได้ก็ขอให้ รับไว้เป็นคำแถลงการณ์เพื่อประกอบการพิจารณาคดีต่อไปด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 101)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำและชดใช้ค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยเนื่องจากผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดิน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 1,250,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2532 อันเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา (อันดับ 96)
โจทก์ได้รับสำเนาฎีกาแล้วโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่10 กันยายน 2535(อันดับ 99 แผ่นที่ 2)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ พร้อมด้วยคำแก้ฎีกา (อันดับ 101,102)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าการส่งสำเนาฎีกาและสำเนาคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยให้แก่โจทก์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์จะมาขอยื่นคำแก้ฎีกาเมื่อพ้นกำหนดยื่นคำแก้ฎีกาหาได้ไม่ ให้ยกคำร้อง แต่ให้รับไว้เป็นคำแถลงการณ์ตามขอ
ความว่า เนื่องจากในขณะที่ศาลชั้นต้นส่งสำเนาฎีกาและสำเนาคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยให้แก่โจทก์นั้นโจทก์ได้ไปพักอาศัยอยู่ต่างประเทศและที่บ้านของโจทก์ก็ไม่มีคนอยู่โจทก์จึงไม่ทราบหมายนัดของศาลชั้นต้น ทำให้โจทก์ไม่ได้ทำคำแก้ฎีกาและคำคัดค้านการขอทุเลาการบังคับคดีโจทก์เพิ่งมาทราบผลคดีเมื่อได้รับหมายนัดฟังคำสั่งศาลฎีกาเรื่องขอทุเลาการบังคับเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2536 ด้วยเหตุจำเป็นดังกล่าวจึงขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ ยื่นคำแก้ฎีกา และหากไม่อาจรับคำแก้ฎีกาของโจทก์ได้ก็ขอให้ รับไว้เป็นคำแถลงการณ์เพื่อประกอบการพิจารณาคดีต่อไปด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 101)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำและชดใช้ค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยเนื่องจากผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดิน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 1,250,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2532 อันเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา (อันดับ 96)
โจทก์ได้รับสำเนาฎีกาแล้วโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่10 กันยายน 2535(อันดับ 99 แผ่นที่ 2)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ พร้อมด้วยคำแก้ฎีกา (อันดับ 101,102)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าการส่งสำเนาฎีกาและสำเนาคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยให้แก่โจทก์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์จะมาขอยื่นคำแก้ฎีกาเมื่อพ้นกำหนดยื่นคำแก้ฎีกาหาได้ไม่ ให้ยกคำร้อง แต่ให้รับไว้เป็นคำแถลงการณ์ตามขอ
ความว่า โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ทั้งเจ็ดไว้ในระหว่างพิจารณาโดยมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยกระทำการปิดกั้นทางพิพาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 125)
โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรั้วกำแพงที่จำเลยสร้างกั้นทางพิพาทไว้ กับให้จำเลยเปิดทางเดินให้ใช้ทางได้อย่างสภาพเดิม และห้ามมิให้จำเลยก่อสร้าง สิ่งปลูกสร้างบนโฉนดที่ดินเลขที่ 1622 เลขที่ดิน 14ตำบลหลักสอง อำเภอหนองแขม กรุงเทพมหานคร อีกต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยรื้อถอนรั้วกำแพงที่จำเลยก่อขึ้นบนที่ดินโฉนดเลขที่ 1622 เลขที่ดิน 14ตำบลหลักสอง อำเภอหนองแขม(ภาษีเจริญ) กรุงเทพมหานครออกจากทางพิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว(อันดับ 121แผ่นที่ 1และแผ่นที่ 21)
ในระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์พร้อมคำร้องขอกรณีฉุกเฉิน ให้จำเลยรื้อถอนรั้วกำแพงและเปิดทางในที่ดินของจำเลย กับห้ามกระทำการใด ๆ บนที่ดินจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยรื้อกำแพงที่ปิดกั้นทางเดิน เข้าถนนหมู่บ้าน 3.56 เมตร ออกชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น และให้โจทก์วางเงินประกันค่าเสียหายจำนวน10,000 บาท (อันดับ 5,4,12,13,18 และ 27 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
คำร้องขอคุ้มครองสิทธิของโจทก์ทั้งเจ็ดนี้ ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 254 วรรคสุดท้าย จึงให้ส่งคืนศาลชั้นต้นเพื่อมีคำสั่งต่อไป
ความว่า โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ทั้งเจ็ดไว้ในระหว่างพิจารณาโดยมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยกระทำการปิดกั้นทางพิพาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 125)
โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรั้วกำแพงที่จำเลยสร้างกั้นทางพิพาทไว้ กับให้จำเลยเปิดทางเดินให้ใช้ทางได้อย่างสภาพเดิม และห้ามมิให้จำเลยก่อสร้าง สิ่งปลูกสร้างบนโฉนดที่ดินเลขที่ 1622 เลขที่ดิน 14ตำบลหลักสอง อำเภอหนองแขม กรุงเทพมหานคร อีกต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยรื้อถอนรั้วกำแพงที่จำเลยก่อขึ้นบนที่ดินโฉนดเลขที่ 1622 เลขที่ดิน 14ตำบลหลักสอง อำเภอหนองแขม(ภาษีเจริญ) กรุงเทพมหานครออกจากทางพิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว(อันดับ 121แผ่นที่ 1และแผ่นที่ 21)
ในระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์พร้อมคำร้องขอกรณีฉุกเฉิน ให้จำเลยรื้อถอนรั้วกำแพงและเปิดทางในที่ดินของจำเลย กับห้ามกระทำการใด ๆ บนที่ดินจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยรื้อกำแพงที่ปิดกั้นทางเดิน เข้าถนนหมู่บ้าน 3.56 เมตร ออกชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น และให้โจทก์วางเงินประกันค่าเสียหายจำนวน10,000 บาท (อันดับ 5,4,12,13,18 และ 27 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
คำร้องขอคุ้มครองสิทธิของโจทก์ทั้งเจ็ดนี้ ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 254 วรรคสุดท้าย จึงให้ส่งคืนศาลชั้นต้นเพื่อมีคำสั่งต่อไป
โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่กั้นทางพิพาทและยื่นคำร้องฉุกเฉินขอคุ้มครองประโยชน์ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกชั่วคราว ผลคดีศาลชั้นต้นให้โจทก์ชนะแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องเช่นนี้เมื่อโจทก์ฎีกาโดยยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งห้ามจำเลยปิดกั้นทางพิพาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุดด้วย คำร้องจึงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 254 วรรคสุดท้ายศาลฎีกาย่อมสั่งให้ส่งคืนศาลชั้นต้นเพื่อมีคำสั่งต่อไป
โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง รั้วกำแพงที่จำเลยสร้างกั้นทางพิพาทไว้ กับให้จำเลยเปิดทางเดินให้ใช้ทางได้อย่างสภาพเดิม และห้ามมิให้จำเลยก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างบนโฉนดที่ดินเลขที่ 1622 อีกต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยรื้อถอนรั้วกำแพงที่จำเลยก่อขึ้นบนที่ดินโฉนดเลขที่ 1622 เลขที่ดิน 14 ตำบลหลักสองอำเภอหนองแขม (ภาษีเจริญ) กรุงเทพมหานครออกจากทางพิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องว่า โจทก์มีทางชนะคดีขอได้อนุญาตให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ทั้งเจ็ดไว้ในระหว่างพิจารณาโดยมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยกระทำการปิดกั้นทางพิพาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ปรากฏว่า ในระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์พร้อมคำร้องขอกรณีฉุกเฉิน ให้จำเลยรื้อถอนรั้วกำแพงและเปิดทางในที่ดินของจำเลย กับห้ามกระทำการใด ๆ บนที่ดินจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยรื้อกำแพงที่ปิดกั้นทางเดินเข้าถนนหมู่บ้าน 3.56 เมตรออกชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น และให้โจทก์วางเงินประกันค่าเสียหายจำนวน 10,000 บาท ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "คำร้องขอคุ้มครองสิทธิของโจทก์ทั้งเจ็ดนี้ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 254 วรรคสุดท้าย จึงให้ส่งคืนศาลชั้นต้นเพื่อมีคำสั่งต่อไป"
โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่กั้นทางพิพาทและยื่นคำร้องฉุกเฉินขอคุ้มครองประโยชน์ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกชั่วคราว ผลคดีศาลชั้นต้นให้โจทก์ชนะแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องเช่นนี้เมื่อโจทก์ฎีกาโดยยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งห้ามจำเลยปิดกั้นทางพิพาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุดด้วย คำร้องจึงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 254 วรรคสุดท้ายศาลฎีกาย่อมสั่งให้ส่งคืนศาลชั้นต้นเพื่อมีคำสั่งต่อไป
โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง รั้วกำแพงที่จำเลยสร้างกั้นทางพิพาทไว้ กับให้จำเลยเปิดทางเดินให้ใช้ทางได้อย่างสภาพเดิม และห้ามมิให้จำเลยก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างบนโฉนดที่ดินเลขที่ 1622 อีกต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยรื้อถอนรั้วกำแพงที่จำเลยก่อขึ้นบนที่ดินโฉนดเลขที่ 1622 เลขที่ดิน 14 ตำบลหลักสองอำเภอหนองแขม (ภาษีเจริญ) กรุงเทพมหานครออกจากทางพิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องว่า โจทก์มีทางชนะคดีขอได้อนุญาตให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ทั้งเจ็ดไว้ในระหว่างพิจารณาโดยมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยกระทำการปิดกั้นทางพิพาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ปรากฏว่า ในระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์พร้อมคำร้องขอกรณีฉุกเฉิน ให้จำเลยรื้อถอนรั้วกำแพงและเปิดทางในที่ดินของจำเลย กับห้ามกระทำการใด ๆ บนที่ดินจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยรื้อกำแพงที่ปิดกั้นทางเดินเข้าถนนหมู่บ้าน 3.56 เมตรออกชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น และให้โจทก์วางเงินประกันค่าเสียหายจำนวน 10,000 บาท ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "คำร้องขอคุ้มครองสิทธิของโจทก์ทั้งเจ็ดนี้ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 254 วรรคสุดท้าย จึงให้ส่งคืนศาลชั้นต้นเพื่อมีคำสั่งต่อไป"
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ถึงที่สุดแล้ว ไม่อนุญาตฎีกา
จำเลยเห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้วินิจฉัยถึงประเด็นว่าสมควรคุมประพฤติจำเลยหรือไม่ เป็นการวินิจฉัยไม่ครบคำขอในข้ออุทธรณ์ของจำเลย เป็นการคลาดเคลื่อนต่อกฎหมาย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายโปรดมี คำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ,72,72 ทวิประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,32 จำเลยอายุ 19 ปี เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสาม ข้อหามีอาวุธปืน จำคุก 8 เดือนข้อหาพาอาวุธปืน จำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 12 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 38)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 39)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงความผิดมีกำหนด ไม่เกินห้าปี ที่จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยไม่ครบ อุทธรณ์ของจำเลยเพราะมิได้วินิจฉัยว่าสมควรใช้วิธีการคุมประพฤติจำเลยหรือไม่นั้น เป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับดุลพินิจ ของศาลว่าสมควรรอการลงโทษให้จำเลย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ถึงที่สุดแล้ว ไม่อนุญาตฎีกา
จำเลยเห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้วินิจฉัยถึงประเด็นว่าสมควรคุมประพฤติจำเลยหรือไม่ เป็นการวินิจฉัยไม่ครบคำขอในข้ออุทธรณ์ของจำเลย เป็นการคลาดเคลื่อนต่อกฎหมาย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายโปรดมี คำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ,72,72 ทวิประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,32 จำเลยอายุ 19 ปี เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสาม ข้อหามีอาวุธปืน จำคุก 8 เดือนข้อหาพาอาวุธปืน จำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 12 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 38)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 39)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงความผิดมีกำหนด ไม่เกินห้าปี ที่จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยไม่ครบ อุทธรณ์ของจำเลยเพราะมิได้วินิจฉัยว่าสมควรใช้วิธีการคุมประพฤติจำเลยหรือไม่นั้น เป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับดุลพินิจ ของศาลว่าสมควรรอการลงโทษให้จำเลย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา บัดนี้โจทก์และจำเลยตกลงกันได้แล้ว โจทก์จึงขอถอนฟ้องคดีนี้ โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
คดีนี้ (คดีหมายเลขแดงที่ 22550/2533) ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกับอีกคดีหนึ่ง (คดีหมายเลขแดงที่ 22549/2533) ซึ่งต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยและคดีถึงที่สุดไปแล้ว
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาท พร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาททั้งห้าฉบับแก่โจทก์ฉบับแรกจำนวน 50,000 บาท ฉบับที่สองจำนวน50,000 บาท ฉบับที่สามจำนวน 100,000 บาท ฉบับที่สี่จำนวน100,000 บาท และฉบับที่ห้าจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2531 เป็นต้นไปสำหรับเช็คฉบับแรก วันที่ 10 มิถุนายน 2531 เป็นต้นไปสำหรับเช็คฉบับที่สอง วันที่ 3 มิถุนายน 2531 เป็นต้นไปสำหรับเช็คฉบับที่สามและฉบับที่สี่ และวันที่ 29 มิถุนายน 2531 เป็นต้นไปสำหรับเช็คฉบับที่ห้า แต่ดอกเบี้ย ตามเช็คฉบับแรกและฉบับที่สองคำนวณถึงวันฟ้องในสำนวนแรก (10 พฤษภาคม 2531) ต้องไม่เกิน 6,875 บาท และดอกเบี้ย ตามเช็คฉบับที่สามถึงฉบับที่ห้าคำนวณถึงวันฟ้องในสำนวนหลัง (2 มิถุนายน 2532) ต้องไม่เกิน 20,625 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาเฉพาะคดีหมายเลขแดงที่ 22550/2533 ส่วนคดีหมายเลขแดงที่ 22549/2533 ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับ จำเลยยื่นคำร้อง อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา แต่ไม่ได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษา หรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ คำร้อง (อันดับ 111,112,114,117)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 119 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว ย่อมไม่อาจอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา บัดนี้โจทก์และจำเลยตกลงกันได้แล้ว โจทก์จึงขอถอนฟ้องคดีนี้ โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
คดีนี้ (คดีหมายเลขแดงที่ 22550/2533) ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกับอีกคดีหนึ่ง (คดีหมายเลขแดงที่ 22549/2533) ซึ่งต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยและคดีถึงที่สุดไปแล้ว
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาท พร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาททั้งห้าฉบับแก่โจทก์ฉบับแรกจำนวน 50,000 บาท ฉบับที่สองจำนวน50,000 บาท ฉบับที่สามจำนวน 100,000 บาท ฉบับที่สี่จำนวน100,000 บาท และฉบับที่ห้าจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2531 เป็นต้นไปสำหรับเช็คฉบับแรก วันที่ 10 มิถุนายน 2531 เป็นต้นไปสำหรับเช็คฉบับที่สอง วันที่ 3 มิถุนายน 2531 เป็นต้นไปสำหรับเช็คฉบับที่สามและฉบับที่สี่ และวันที่ 29 มิถุนายน 2531 เป็นต้นไปสำหรับเช็คฉบับที่ห้า แต่ดอกเบี้ย ตามเช็คฉบับแรกและฉบับที่สองคำนวณถึงวันฟ้องในสำนวนแรก (10 พฤษภาคม 2531) ต้องไม่เกิน 6,875 บาท และดอกเบี้ย ตามเช็คฉบับที่สามถึงฉบับที่ห้าคำนวณถึงวันฟ้องในสำนวนหลัง (2 มิถุนายน 2532) ต้องไม่เกิน 20,625 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาเฉพาะคดีหมายเลขแดงที่ 22550/2533 ส่วนคดีหมายเลขแดงที่ 22549/2533 ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับ จำเลยยื่นคำร้อง อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา แต่ไม่ได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษา หรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ คำร้อง (อันดับ 111,112,114,117)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 119 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว ย่อมไม่อาจอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา แต่เนื่องจากจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 9ได้ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. 2535 ผู้ร้องซึ่งเป็นสามีของ จำเลยที่ 4แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน โดยพักอาศัยอยู่ บ้านเดียวกัน และจำเลยที่ 9 เป็นบุตรของผู้ร้องที่เกิดจากจำเลยที่ 4 รายละเอียดปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายทะเบียนบ้านและใบมรณะบัตรที่แนบมาท้ายคำร้อง ผู้ร้องในฐานะสามีและบิดา ของจำเลยที่ 4และจำเลยที่ 9 ซึ่งเป็นผู้ปกครองทรัพย์มรดก ตามที่โจทก์ฟ้องขับไล่ในคดีนี้มีความประสงค์ที่จะขอเข้า เป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 4และจำเลยที่ 9 ผู้มรณะเพื่อดำเนินคดีต่อไป โปรดอนุญาต
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
คดีทั้งห้าสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกนายประจวบ ศรีเจริญเป็นจำเลยที่1นางพเยาว์ศรีเจริญเป็นจำเลยที่ 2นายเฮงไวยธิราเป็นจำเลยที่3นางเล็กไวยธิราเป็นจำเลยที่ 4 นายวิชัยเกษมราช เป็นจำเลยที่ 5 นางพรรษาเกษมราชหรือศรีเจริญเป็นจำเลยที่6นายกมลไวยธิราเป็นจำเลยที่ 7 นางเกษมไวยทิราหรือศรีเจิรญ เป็นจำเลยที่ 8นางสำรวย ไวยทิราเป็นจำเลยที่9และนางโสพิศไวยทิราเป็นจำเลยที่ 10
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสิบและบริวารรื้อโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 7638 ของโจทก์และห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์อีกต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งห้าสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา (อันดับ 169)
คดีอยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา
ผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 182)
ศาลชั้นต้นนัดพร้อมแล้ว มีคำสั่งให้รวบรวมสำนวนส่ง
ศาลฎีกา เพื่อมีคำสั่ง (อันดับ 183)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้นายเฮงไวชธิรา จำเลยที่ 3เป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 4 และที่ 9 ผู้มรณะได้ตามคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา แต่เนื่องจากจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 9ได้ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. 2535 ผู้ร้องซึ่งเป็นสามีของ จำเลยที่ 4แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน โดยพักอาศัยอยู่ บ้านเดียวกัน และจำเลยที่ 9 เป็นบุตรของผู้ร้องที่เกิดจากจำเลยที่ 4 รายละเอียดปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายทะเบียนบ้านและใบมรณะบัตรที่แนบมาท้ายคำร้อง ผู้ร้องในฐานะสามีและบิดา ของจำเลยที่ 4และจำเลยที่ 9 ซึ่งเป็นผู้ปกครองทรัพย์มรดก ตามที่โจทก์ฟ้องขับไล่ในคดีนี้มีความประสงค์ที่จะขอเข้า เป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 4และจำเลยที่ 9 ผู้มรณะเพื่อดำเนินคดีต่อไป โปรดอนุญาต
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
คดีทั้งห้าสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกนายประจวบ ศรีเจริญเป็นจำเลยที่1นางพเยาว์ศรีเจริญเป็นจำเลยที่ 2นายเฮงไวยธิราเป็นจำเลยที่3นางเล็กไวยธิราเป็นจำเลยที่ 4 นายวิชัยเกษมราช เป็นจำเลยที่ 5 นางพรรษาเกษมราชหรือศรีเจริญเป็นจำเลยที่6นายกมลไวยธิราเป็นจำเลยที่ 7 นางเกษมไวยทิราหรือศรีเจิรญ เป็นจำเลยที่ 8นางสำรวย ไวยทิราเป็นจำเลยที่9และนางโสพิศไวยทิราเป็นจำเลยที่ 10
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสิบและบริวารรื้อโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 7638 ของโจทก์และห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์อีกต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งห้าสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา (อันดับ 169)
คดีอยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา
ผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 182)
ศาลชั้นต้นนัดพร้อมแล้ว มีคำสั่งให้รวบรวมสำนวนส่ง
ศาลฎีกา เพื่อมีคำสั่ง (อันดับ 183)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้นายเฮงไวชธิรา จำเลยที่ 3เป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 4 และที่ 9 ผู้มรณะได้ตามคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 จึงไม่รับ
จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นฎีกาข้อกฎหมายกล่าวคือโจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกระทำความผิดบุกรุกแต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ลงโทษจำเลยที่1ผิดฐานบุกรุก เป็นปัญหาข้อกฎหมายโดยอาศัยข้อเท็จจริงในสำนวนเดียวกันในเมื่อยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 แล้วก็ต้องยกฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย เป็นข้อกฎหมายไม่ใช่ข้อเท็จจริง เหตุการณ์อย่างเดียวกันถ้ายกฟ้องต้องยกทั้งหมดและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นมากจำเลยที่ 1 จึงฎีกาไม่ได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมรับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 208 แผ่นที่ 4 และแผ่นที่ 6)
ระหว่างพิจารณา นายไพศาลการุณรังษี ผู้เสียหายขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ประกอบมาตรา 365(2)(3)และจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(7)วรรคแรก ที่แก้ไขแล้ว สำหรับจำเลยที่ 1เรียงกระทงลงโทษ จำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฐานบุกรุกคนละ2 เดือน ปรับคนละ 2,000 บาทจำคุก จำเลยที่ 1 ฐานลักทรัพย์1 ปี และปรับ 2,000 บาท รวมลงโทษ จำเลยที่ 1 จำคุก 1 ปี 2 เดือนและปรับ 4,000 บาท จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษ มีกำหนด คนละ 2 ปี โดยวางเงื่อนไขคุมประพฤติ ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 4 สำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้องเฉพาะฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2) และมาตรา 335(7) วรรคแรกฯลฯ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา (อันดับ 203,202)
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 204)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 206)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่ว่าเป็นฎีกาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกา ในปัญหาดังกล่าวไว้แต่อย่างใด จำเลยที่ 1 เพิ่งยกปัญหาดังกล่าว ขึ้นมาในชั้นคำร้องนี้จึงเป็นกรณีที่มิได้โต้แย้งหรือ คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นว่าคลาดเคลื่อนไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใด ดังนั้นจึงไม่รับวินิจฉัยคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว และที่จำเลยที่ 1 ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ไข คำพิพากษาศาลชั้นต้นมาก จึงฎีกาได้นั้น เห็นว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362ประกอบมาตรา 365(2)(3) ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษา แก้เป็นว่าลงโทษตามมาตรา 362 ประกอบมาตรา 365(3) ส่วนกำหนดโทษคงเดิม เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 จึงไม่รับ
จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นฎีกาข้อกฎหมายกล่าวคือโจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกระทำความผิดบุกรุกแต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ลงโทษจำเลยที่1ผิดฐานบุกรุก เป็นปัญหาข้อกฎหมายโดยอาศัยข้อเท็จจริงในสำนวนเดียวกันในเมื่อยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 แล้วก็ต้องยกฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย เป็นข้อกฎหมายไม่ใช่ข้อเท็จจริง เหตุการณ์อย่างเดียวกันถ้ายกฟ้องต้องยกทั้งหมดและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นมากจำเลยที่ 1 จึงฎีกาไม่ได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมรับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 208 แผ่นที่ 4 และแผ่นที่ 6)
ระหว่างพิจารณา นายไพศาลการุณรังษี ผู้เสียหายขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ประกอบมาตรา 365(2)(3)และจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(7)วรรคแรก ที่แก้ไขแล้ว สำหรับจำเลยที่ 1เรียงกระทงลงโทษ จำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฐานบุกรุกคนละ2 เดือน ปรับคนละ 2,000 บาทจำคุก จำเลยที่ 1 ฐานลักทรัพย์1 ปี และปรับ 2,000 บาท รวมลงโทษ จำเลยที่ 1 จำคุก 1 ปี 2 เดือนและปรับ 4,000 บาท จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษ มีกำหนด คนละ 2 ปี โดยวางเงื่อนไขคุมประพฤติ ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 4 สำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้องเฉพาะฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2) และมาตรา 335(7) วรรคแรกฯลฯ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา (อันดับ 203,202)
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 204)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 206)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่ว่าเป็นฎีกาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกา ในปัญหาดังกล่าวไว้แต่อย่างใด จำเลยที่ 1 เพิ่งยกปัญหาดังกล่าว ขึ้นมาในชั้นคำร้องนี้จึงเป็นกรณีที่มิได้โต้แย้งหรือ คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นว่าคลาดเคลื่อนไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใด ดังนั้นจึงไม่รับวินิจฉัยคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว และที่จำเลยที่ 1 ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ไข คำพิพากษาศาลชั้นต้นมาก จึงฎีกาได้นั้น เห็นว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362ประกอบมาตรา 365(2)(3) ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษา แก้เป็นว่าลงโทษตามมาตรา 362 ประกอบมาตรา 365(3) ส่วนกำหนดโทษคงเดิม เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ที่ 1 ได้ยื่นฎีกาไว้ คดีอยู่ระหว่าง ส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้องฎีกาแก่จำเลยที่ 1 แต่ส่งไม่ได้ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้รื้อถอนบ้านและย้ายภูมิลำเนา ไปอยู่ที่อื่นแล้ว และไม่มีใครทราบว่าไปอยู่ที่ใด โจทก์ที่ 1 จึงไม่ประสงค์ที่จะฎีกาสำหรับจำเลยที่ 1 จึงขอถอนฎีกา เฉพาะจำเลยที่ 1และโปรดดำเนินคดีกับจำเลยที่ 2,3,4 ต่อไป โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าเสียหายจำนวน 107,308 บาท แก่โจทก์ที่ 1 และจำนวน 133,515 บาท แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมด้วยดอกเบี้ย อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่ วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งสองขอถอนฟ้องจำเลยที่ 5 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ที่ 1 ขอถอนอุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ที่ 1 ฎีกา (อันดับ 96)
คดีอยู่ระหว่างส่งสำเนาฎีกา
โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 109)
คำสั่ง
อนุญาตให้โจทก์ที่ 1 ถอนฎีกาสำหรับจำเลยที่ 1 ได้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกเสียจากสารบบความศาลฎีกา
ความว่า โจทก์ที่ 1 ได้ยื่นฎีกาไว้ คดีอยู่ระหว่าง ส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้องฎีกาแก่จำเลยที่ 1 แต่ส่งไม่ได้ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้รื้อถอนบ้านและย้ายภูมิลำเนา ไปอยู่ที่อื่นแล้ว และไม่มีใครทราบว่าไปอยู่ที่ใด โจทก์ที่ 1 จึงไม่ประสงค์ที่จะฎีกาสำหรับจำเลยที่ 1 จึงขอถอนฎีกา เฉพาะจำเลยที่ 1และโปรดดำเนินคดีกับจำเลยที่ 2,3,4 ต่อไป โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าเสียหายจำนวน 107,308 บาท แก่โจทก์ที่ 1 และจำนวน 133,515 บาท แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมด้วยดอกเบี้ย อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่ วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งสองขอถอนฟ้องจำเลยที่ 5 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ที่ 1 ขอถอนอุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ที่ 1 ฎีกา (อันดับ 96)
คดีอยู่ระหว่างส่งสำเนาฎีกา
โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 109)
คำสั่ง
อนุญาตให้โจทก์ที่ 1 ถอนฎีกาสำหรับจำเลยที่ 1 ได้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกเสียจากสารบบความศาลฎีกา
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทั้งหมดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง หาใช่เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายดังที่จำเลยอ้างไม่ ซึ่งคดีนี้มีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ที่แก้ไขใหม่ จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จึงถือได้ว่าเป็นกรณีที่ผู้พิพากษามีความเห็นแย้งแล้ว และโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเมื่ออยู่ในระหว่างการใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฉบับเดิม จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ประกอบกับฎีกาจำเลยที่ว่า ที่ดินซึ่งระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย เอกสารหมาย จ.6 กับที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 19811 ตามฟ้องโจทก์ เป็นที่ดินคนละแปลงกันเพราะมีอาณาเขตติดต่อของที่ดินข้างเคียงไม่ตรงกัน ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานในสำนวนเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 90,91)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยโอนที่ดินตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยไปแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 19811 เลขที่ 612 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุงจังหวัดชลบุรี ตามโฉนดเอกสารหมาย จ.5 หรือ จ.12 ให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.6 และชำระค่าเสียหายจำนวน 30,000 บาท แก่โจทก์ และให้โจทก์ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือ ให้แก่จำเลย หากจำเลยไม่ไปแบ่งแยกที่ดิน ให้ถือเอาคำพิพากษา เป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 75)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 81)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ข้อที่จำเลยฎีกาว่าที่ดินซึ่งระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายกับที่ดินแปลงโฉนดที่ 19811 ตามฟ้องโจทก์เป็นที่ดินคนละแปลงกัน ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานในสำนวนนั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ ในขณะที่จำเลยยื่นฎีกา มิใช่จะต้องใช้ กฎหมายขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง ทั้งการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็มิใช่ กรณีที่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ได้มีความเห็นแย้งแต่อย่างใด ศาลชั้นต้นสั่งไม่ฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทั้งหมดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง หาใช่เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายดังที่จำเลยอ้างไม่ ซึ่งคดีนี้มีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ที่แก้ไขใหม่ จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จึงถือได้ว่าเป็นกรณีที่ผู้พิพากษามีความเห็นแย้งแล้ว และโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเมื่ออยู่ในระหว่างการใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฉบับเดิม จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ประกอบกับฎีกาจำเลยที่ว่า ที่ดินซึ่งระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย เอกสารหมาย จ.6 กับที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 19811 ตามฟ้องโจทก์ เป็นที่ดินคนละแปลงกันเพราะมีอาณาเขตติดต่อของที่ดินข้างเคียงไม่ตรงกัน ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานในสำนวนเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 90,91)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยโอนที่ดินตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยไปแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 19811 เลขที่ 612 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุงจังหวัดชลบุรี ตามโฉนดเอกสารหมาย จ.5 หรือ จ.12 ให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.6 และชำระค่าเสียหายจำนวน 30,000 บาท แก่โจทก์ และให้โจทก์ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือ ให้แก่จำเลย หากจำเลยไม่ไปแบ่งแยกที่ดิน ให้ถือเอาคำพิพากษา เป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 75)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 81)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ข้อที่จำเลยฎีกาว่าที่ดินซึ่งระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายกับที่ดินแปลงโฉนดที่ 19811 ตามฟ้องโจทก์เป็นที่ดินคนละแปลงกัน ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานในสำนวนนั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ ในขณะที่จำเลยยื่นฎีกา มิใช่จะต้องใช้ กฎหมายขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง ทั้งการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็มิใช่ กรณีที่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ได้มีความเห็นแย้งแต่อย่างใด ศาลชั้นต้นสั่งไม่ฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า ฎีกาโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้ เพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำ จึงเป็นฎีกาที่โต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แล้ว โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 99,102)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย โดยรับชำระราคาที่ดินที่ค้างจำนวน170,000 บาท ไปจากโจทก์ หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และชดใช้ค่าเสียหาย 10,000 บาทแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 20,000 บาท แก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 96)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์เนื่องจากเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบแต่ศาลชั้นต้น การที่โจทก์ฎีกาว่าทายาททุกคนของนางละมุดรู้เห็นและยินยอมให้ขายบ้านและที่ดินพิพาทโดยจำเลยเป็นตัวแทนในการทำสัญญานั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและมิได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาโจทก์ ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า ฎีกาโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้ เพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำ จึงเป็นฎีกาที่โต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แล้ว โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 99,102)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย โดยรับชำระราคาที่ดินที่ค้างจำนวน170,000 บาท ไปจากโจทก์ หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และชดใช้ค่าเสียหาย 10,000 บาทแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 20,000 บาท แก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 96)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์เนื่องจากเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบแต่ศาลชั้นต้น การที่โจทก์ฎีกาว่าทายาททุกคนของนางละมุดรู้เห็นและยินยอมให้ขายบ้านและที่ดินพิพาทโดยจำเลยเป็นตัวแทนในการทำสัญญานั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและมิได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาโจทก์ ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ทั้งหกฎีกา มีทางชนะคดี หากจำเลยทำการ ก่อสร้างกำแพงรั้วปิดกั้นทางซึ่งโจทก์ทั้งหกใช้เข้าและ ออกจากที่ดินโจทก์ทั้งหกสู่ถนนรัชดาภิเษกสายท่าพระ-ตากสิน แล้วโจทก์ทั้งหกจะได้รับความเสียหายอย่างมาก เพราะโจทก์ทั้งหก ไม่มีเส้นทางอื่นใดที่จะใช้ยานพาหนะผ่านไปสู่ถนนดังกล่าวได้ โปรดมีคำสั่งห้ามจำเลยกระทำซ้ำหรือกระทำต่อไปซึ่งการใด ๆ ที่จะปิดกั้นกีดขวางเส้นทางเข้าออกจากที่ดินโจทก์ทั้งหก สู่ถนนรัชดาภิเษก สายท่าพระ-ตากสิน ตามที่โจทก์ทั้งหกได้รับอนุญาตจากกรุงเทพมหานครซึ่งมีความกว้างประมาณ 4 เมตร ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนศาลมีคำพิพากษา
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 135)
โจทก์ทั้งหกฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนทำลายกำแพงและสิ่งกีดขวางทางเข้าออกที่ดินของโจทก์ทั้งหกพร้อมเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทำการรื้อถอนกำแพงรั้วอิฐบล๊อกหรือสิ่งอื่นที่จำเลยทำเป็นแนวรั้วตรงบริเวณที่ปิดกั้น ทางเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งหกออกไปสู่ถนนรัชดาภิเษก สายท่าพระ-ตากสินที่โจทก์ได้รับอนุญาตจากกรุงเทพมหานครซึ่งมีความกว้างประมาณ 4 เมตรนั้นออกไปเสีย และห้ามจำเลย และบริวารมิให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการ รอนสิทธิของโจทก์ ตรงบริเวณดังกล่าวอีกต่อไปด้วย ส่วนคำขอ ท้ายฟ้องข้อ 3 ที่ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นั้น ให้ยกเสีย และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ นอกจากที่แก้ คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งหกฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 131,130)
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งให้ส่งถ้อยคำสำนวนและ คำร้อง มายังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป (อันดับ 138,140,141)
ในระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น โจทก์ยื่นคำร้องฉุกเฉินขอคุ้มครองประโยชน์ก่อนศาลพิพากษา ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้อง แล้วมีคำสั่งให้จำเลยรื้อเหล็กเส้นหรือสิ่งอื่นที่ทำเป็นแนวรั้ว กั้นทางเข้า- ออก กว้างประมาณ 4 เมตร ออกชั่วคราวจนกว่า ศาลจะมีคำสั่งอย่างอื่น (อันดับ 8,9,14) ต่อมาโจทก์ขอให้ศาล ออกหมายบังคับคดีและหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 เบญจ ประกอบด้วยมาตรา 296 ศาลชั้นต้นอนุญาต ภายหลังโจทก์ยื่นคำแถลงว่าจำเลยได้ดำเนินการรื้อถอนสิ่งกีดขวางที่ปิดกั้นทางเข้า- ออกเรียบร้อยแล้วจึงไม่จำเป็นต้องตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการบังคับคดีอีกต่อไป (อันดับ 18,16,22)
คำสั่ง
คำร้องขอคุ้มครองสิทธิของโจทก์นี้ ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 วรรคสุดท้ายจึงให้ส่งคืนศาลชั้นต้นเพื่อมีคำสั่งต่อไป
ความว่า โจทก์ทั้งหกฎีกา มีทางชนะคดี หากจำเลยทำการ ก่อสร้างกำแพงรั้วปิดกั้นทางซึ่งโจทก์ทั้งหกใช้เข้าและ ออกจากที่ดินโจทก์ทั้งหกสู่ถนนรัชดาภิเษกสายท่าพระ-ตากสิน แล้วโจทก์ทั้งหกจะได้รับความเสียหายอย่างมาก เพราะโจทก์ทั้งหก ไม่มีเส้นทางอื่นใดที่จะใช้ยานพาหนะผ่านไปสู่ถนนดังกล่าวได้ โปรดมีคำสั่งห้ามจำเลยกระทำซ้ำหรือกระทำต่อไปซึ่งการใด ๆ ที่จะปิดกั้นกีดขวางเส้นทางเข้าออกจากที่ดินโจทก์ทั้งหก สู่ถนนรัชดาภิเษก สายท่าพระ-ตากสิน ตามที่โจทก์ทั้งหกได้รับอนุญาตจากกรุงเทพมหานครซึ่งมีความกว้างประมาณ 4 เมตร ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนศาลมีคำพิพากษา
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 135)
โจทก์ทั้งหกฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนทำลายกำแพงและสิ่งกีดขวางทางเข้าออกที่ดินของโจทก์ทั้งหกพร้อมเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทำการรื้อถอนกำแพงรั้วอิฐบล๊อกหรือสิ่งอื่นที่จำเลยทำเป็นแนวรั้วตรงบริเวณที่ปิดกั้น ทางเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งหกออกไปสู่ถนนรัชดาภิเษก สายท่าพระ-ตากสินที่โจทก์ได้รับอนุญาตจากกรุงเทพมหานครซึ่งมีความกว้างประมาณ 4 เมตรนั้นออกไปเสีย และห้ามจำเลย และบริวารมิให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการ รอนสิทธิของโจทก์ ตรงบริเวณดังกล่าวอีกต่อไปด้วย ส่วนคำขอ ท้ายฟ้องข้อ 3 ที่ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นั้น ให้ยกเสีย และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ นอกจากที่แก้ คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งหกฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 131,130)
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งให้ส่งถ้อยคำสำนวนและ คำร้อง มายังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป (อันดับ 138,140,141)
ในระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น โจทก์ยื่นคำร้องฉุกเฉินขอคุ้มครองประโยชน์ก่อนศาลพิพากษา ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้อง แล้วมีคำสั่งให้จำเลยรื้อเหล็กเส้นหรือสิ่งอื่นที่ทำเป็นแนวรั้ว กั้นทางเข้า- ออก กว้างประมาณ 4 เมตร ออกชั่วคราวจนกว่า ศาลจะมีคำสั่งอย่างอื่น (อันดับ 8,9,14) ต่อมาโจทก์ขอให้ศาล ออกหมายบังคับคดีและหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 เบญจ ประกอบด้วยมาตรา 296 ศาลชั้นต้นอนุญาต ภายหลังโจทก์ยื่นคำแถลงว่าจำเลยได้ดำเนินการรื้อถอนสิ่งกีดขวางที่ปิดกั้นทางเข้า- ออกเรียบร้อยแล้วจึงไม่จำเป็นต้องตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการบังคับคดีอีกต่อไป (อันดับ 18,16,22)
คำสั่ง
คำร้องขอคุ้มครองสิทธิของโจทก์นี้ ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 วรรคสุดท้ายจึงให้ส่งคืนศาลชั้นต้นเพื่อมีคำสั่งต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาข้อ 2.1เป็นข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดี จึงรับฎีกา ส่วนฎีกาข้อ 2.2ถึงข้อ 2.4 เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้าม จึงไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาในข้อ 2.2 และข้อ 2.3 เป็นฎีกาในเรื่องสิทธิในครอบครัว จึงไม่ต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ส่วนฎีกาในข้อ 2.4 นั้น เป็นเรื่องค่าตอบแทน เมื่อรวมเงินต้นค่าทดแทนดอกเบี้ยตามคำพิพากษา และค่าทนายความ ในชั้นอุทธรณ์แล้ว ทุนทรัพย์มีจำนวนเงินเกินกว่า 200,000 บาท จึงไม่ต้องห้ามฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาข้อ 2.2 ถึงข้อ 2.4 ของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยื่นคำแก้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 117)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์หากจำเลยที่ 1 ไม่ยินยอมก็ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้โจทก์จำเลย หย่าขาดจากกัน ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ โดยให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 2,000 บาท นับตั้งแต่ศาลมีคำสั่งพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ และให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชดใช้ค่าทดแทนเป็นเงิน 300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงเบญจรัตน์กิจรุ่งโรจนาพร กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าทดแทนให้โจทก์เป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้อง (27 กันยายน 2533)เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับฎีกาเฉพาะข้อ 2.1 ส่วนฎีกาข้อ 2.2 ถึงข้อ 2.4 ไม่รับ (อันดับ 109)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 112)
คำสั่ง
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอหย่าจำเลยที่ 1 ขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรและขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าทดแทนให้โจทก์ เป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัวไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาในข้อเท็จจริงของจำเลยทั้งสองนั้น เป็นการไม่ชอบจึงให้รับฎีกาข้อ 2.2ถึงข้อ 2.4 ของจำเลยทั้งสอง ไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาข้อ 2.1เป็นข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดี จึงรับฎีกา ส่วนฎีกาข้อ 2.2ถึงข้อ 2.4 เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้าม จึงไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาในข้อ 2.2 และข้อ 2.3 เป็นฎีกาในเรื่องสิทธิในครอบครัว จึงไม่ต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ส่วนฎีกาในข้อ 2.4 นั้น เป็นเรื่องค่าตอบแทน เมื่อรวมเงินต้นค่าทดแทนดอกเบี้ยตามคำพิพากษา และค่าทนายความ ในชั้นอุทธรณ์แล้ว ทุนทรัพย์มีจำนวนเงินเกินกว่า 200,000 บาท จึงไม่ต้องห้ามฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาข้อ 2.2 ถึงข้อ 2.4 ของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยื่นคำแก้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 117)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์หากจำเลยที่ 1 ไม่ยินยอมก็ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้โจทก์จำเลย หย่าขาดจากกัน ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ โดยให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 2,000 บาท นับตั้งแต่ศาลมีคำสั่งพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ และให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชดใช้ค่าทดแทนเป็นเงิน 300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงเบญจรัตน์กิจรุ่งโรจนาพร กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าทดแทนให้โจทก์เป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้อง (27 กันยายน 2533)เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับฎีกาเฉพาะข้อ 2.1 ส่วนฎีกาข้อ 2.2 ถึงข้อ 2.4 ไม่รับ (อันดับ 109)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 112)
คำสั่ง
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอหย่าจำเลยที่ 1 ขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรและขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าทดแทนให้โจทก์ เป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัวไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาในข้อเท็จจริงของจำเลยทั้งสองนั้น เป็นการไม่ชอบจึงให้รับฎีกาข้อ 2.2ถึงข้อ 2.4 ของจำเลยทั้งสอง ไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา มีทางที่จะชนะคดี โปรดอนุญาต ให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 111)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์หากจำเลยที่ 1 ไม่ยินยอมก็ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้โจทก์จำเลย หย่าขาดจากกัน ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ โดยให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 2,000 บาท นับตั้งแต่ศาลมีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ และให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันชดใช้ค่าทดแทนเป็นเงิน 300,000 บาท พร้อมด้วย ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงเบญจรัตน์กิจรุ่งโรจนาพร กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าทดแทนให้โจทก์เป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้อง (27 กันยายน 2533) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว(อันดับ 109,108)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ โดยได้นำหลักทรัพย์มาวางเป็นหลักประกัน และได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้กับศาลชั้นต้น (อันดับ 87,98 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
การหย่าโดยคำพิพากษามีผลแต่เวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1531 วรรคสองคดียังไม่ถึงที่สุด โจทก์ยังไม่อาจบังคับคดีเกี่ยวกับการหย่าตลอดจนการใช้อำนาจปกครองบุตรและการจ่ายค่าทดแทน ซึ่งเป็น ผลต่อเนื่องจากการหย่าตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสอง ไม่จำต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา มีทางที่จะชนะคดี โปรดอนุญาต ให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 111)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์หากจำเลยที่ 1 ไม่ยินยอมก็ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้โจทก์จำเลย หย่าขาดจากกัน ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ โดยให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 2,000 บาท นับตั้งแต่ศาลมีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ และให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันชดใช้ค่าทดแทนเป็นเงิน 300,000 บาท พร้อมด้วย ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงเบญจรัตน์กิจรุ่งโรจนาพร กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าทดแทนให้โจทก์เป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้อง (27 กันยายน 2533) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว(อันดับ 109,108)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ โดยได้นำหลักทรัพย์มาวางเป็นหลักประกัน และได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้กับศาลชั้นต้น (อันดับ 87,98 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
การหย่าโดยคำพิพากษามีผลแต่เวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1531 วรรคสองคดียังไม่ถึงที่สุด โจทก์ยังไม่อาจบังคับคดีเกี่ยวกับการหย่าตลอดจนการใช้อำนาจปกครองบุตรและการจ่ายค่าทดแทน ซึ่งเป็น ผลต่อเนื่องจากการหย่าตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสอง ไม่จำต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้เป็นคดีที่ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ ที่พิพาทในขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาทจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยล้วนเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยในข้อ 2.1 ในเรื่องที่ว่าหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่ไม่ได้ระบุอายุของผู้รับมอบอำนาจไว้ จะดำเนินคดีแทนโจทก์ได้ตามกฎหมายหรือไม่ และฎีกา ในข้อ 2.2 ที่ว่า จำเลยครอบครองที่พิพาทเกินกว่า 10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 3344 ตำบลวิชิต(ระเงง) อำเภอเมืองจังหวัดภูเก็ต กับรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทดังกล่าว ห้ามเกี่ยวข้องต่อไป
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 110,118)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 119)
คำสั่ง
ฎีกาจำเลยที่ว่า หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่ไม่ได้ระบุอายุของผู้รับมอบอำนาจไว้ จะดำเนินคดีแทนโจทก์ ได้หรือไม่นั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยให้ ก็เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ส่วนฎีกาที่ว่า จำเลยครอบครองที่พิพาทเกินกว่า 10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัย เนื่องจากเป็นเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก เช่นเดียวกัน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลย ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้เป็นคดีที่ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ ที่พิพาทในขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาทจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยล้วนเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยในข้อ 2.1 ในเรื่องที่ว่าหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่ไม่ได้ระบุอายุของผู้รับมอบอำนาจไว้ จะดำเนินคดีแทนโจทก์ได้ตามกฎหมายหรือไม่ และฎีกา ในข้อ 2.2 ที่ว่า จำเลยครอบครองที่พิพาทเกินกว่า 10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 3344 ตำบลวิชิต(ระเงง) อำเภอเมืองจังหวัดภูเก็ต กับรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทดังกล่าว ห้ามเกี่ยวข้องต่อไป
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 110,118)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 119)
คำสั่ง
ฎีกาจำเลยที่ว่า หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่ไม่ได้ระบุอายุของผู้รับมอบอำนาจไว้ จะดำเนินคดีแทนโจทก์ ได้หรือไม่นั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยให้ ก็เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ส่วนฎีกาที่ว่า จำเลยครอบครองที่พิพาทเกินกว่า 10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัย เนื่องจากเป็นเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก เช่นเดียวกัน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลย ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|