ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๘/๒๕๔๕
วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ และมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลปกครองสงขลา
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสงขลา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองสงขลาโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจของศาลที่รับฟ้องและศาลที่รับฟ้องเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของตน จึงได้จัดทำความเห็น
ส่งไปให้ศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจ แต่ศาลผู้รับความเห็นมีความเห็นว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของตนเช่นกัน ศาลผู้ส่งความเห็นจึงได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๔ บริษัท ไตรยูเนียน จำกัด โดยนายธนชาติ ธรรมโชติ ผู้รับมอบอำนาจ ได้ยื่นฟ้องมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ต่อศาลปกครองสงขลา อ้างว่า เมื่อวันที่
๙ กันยายน ๒๕๔๐ บริษัทไตรยูเนียน จำกัด ได้ทำสัญญารับจ้างก่อสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และศูนย์เครื่องมือกลาง ๑ หลัง ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี ตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ค่าจ้างก่อสร้างเป็นเงิน ๑๓๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท กำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๔๒ แต่เนื่องจากในระหว่างปฏิบัติตามสัญญา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงรูปแบบรายการก่อสร้างอาคารดังกล่าวหลายครั้ง จึงได้มีการขยายระยะเวลาก่อสร้างออกไปและในครั้งหลังสุดมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้อนุมัติให้ต่อสัญญาออกไปโดยให้สัญญาสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๔ แต่การต่อสัญญาดังกล่าวได้มีขึ้นเมื่อล่วงเลยระยะเวลาสิ้นสุดของสัญญาไปแล้วถึง ๖ เดือน เป็นเหตุให้บริษัทไตรยูเนียน จำกัด ได้รับความเสียหายจากการก่อสร้างอย่างร้ายแรง ประกอบกับต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมงานนอกเหนือจากแบบก่อสร้างโดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้มอบหมายให้บริษัทโพร์เอส จำกัด ซึ่งเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างและเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแบบก่อสร้างและคำนวณราคาเพื่อเป็นแนวทางในการขยายเวลาก่อสร้าง และมีพฤติการณ์อันเป็นที่เข้าใจกันระหว่างบริษัทไตรยูเนียน จำกัด และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ว่า จะมีการต่อสัญญาให้กับบริษัทไตรยูเนียน จำกัด โดยขยายระยะเวลาก่อสร้างออกไปจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๔ หลังจากสัญญาสิ้นสุดเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๔ บริษัท ไตรยูเนียน จำกัด จึงเข้าปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาที่ได้ตกลงกันด้วยวาจาและตามพฤติการณ์ที่แสดงต่อกันโดยปริยาย แต่ปรากฏว่ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้มีหนังสือ ที่ ทม ๑๒๐๑/๒๙๕๐ ลงวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๔ บอกเลิกสัญญากับบริษัท ไตรยูเนียน จำกัด ตั้งแต่วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๔ เป็นต้นไป และขอใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามสัญญาโดยอ้างเหตุว่า บริษัท ไตรยูเนียน จำกัด ไม่อาจทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามสัญญาได้ จึงขอให้ศาลพิพากษาให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องมาจากสัญญาจ้างก่อสร้างดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน ๕๑,๕๒๒,๙๖๕.๕๖ บาท และขอให้ศาลมีคำสั่งให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ระงับการประมูลการก่อสร้างและระงับการก่อสร้างอาคารไว้ชั่วคราว และให้แต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญประเมินผลงานที่บริษัทไตรยูเนียน จำกัด ได้ทำไปแล้ว ตลอดจนขอให้เพิกถอนคำสั่งของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่กล่าวหาว่า บริษัทไตรยูเนียน จำกัด ปฏิบัติผิดสัญญาและบอกเลิกสัญญาดังกล่าวตามหนังสือมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่ ทม ๑๒๐๑/๒๙๕๐ ลงวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๔ ซึ่งต่อมา เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยนายนิพล ผดุงทอง พนักงานอัยการ ทนายผู้ถูกฟ้องคดี ได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสงขลาว่า คดีนี้เป็นการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งตามสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และศูนย์เครื่องมือกลางเป็นสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งถ้าผู้ฟ้องคดีก่อสร้างอาคารดังกล่าวไม่ถูกต้องครบถ้วนตามแบบแปลนในสัญญาก็เป็นการผิดสัญญา ผู้ถูกฟ้องคดีก็ปฏิเสธการชำระหนี้ได้ สัญญาจ้างก่อสร้างอาคารดังกล่าวก็ใช้เพื่อประโยชน์ทางวิชาการของผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งเป็นข้าราชการ พนักงาน และบุคคลในความรับผิดชอบของผู้ถูกฟ้องคดีเท่านั้นที่ใช้ประโยชน์ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาที่จัดทำบริการสาธารณะตามนัยมาตรา ๓ และมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดี จึงเห็นว่า สัญญานี้เป็นสัญญาทางแพ่ง หาใช่สัญญาที่จัดให้มีบริการสาธารณะตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้าง จึงไม่ใช่สัญญาทางปกครองที่ศาลปกครองจะมีอำนาจรับไว้พิจารณา แต่คดีควรอยู่ในอำนาจของศาลจังหวัดสงขลา และขอให้ศาลปกครองสงขลาวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐
ศาลปกครองสงขลาเห็นว่า สัญญาจ้างก่อสร้างดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครอง เนื่องจากคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งคือ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นส่วนราชการสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย ตามมาตรา ๓๒ (๑๗) แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๓๙ และมีฐานะเป็นกรม ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ประกอบกับสัญญาดังกล่าวมีข้อกำหนดในสัญญาซึ่งมีลักษณะพิเศษที่แสดงถึงเอกสิทธิ์ของรัฐ นอกจากนั้น วัตถุประสงค์แห่งสัญญาคือ อาคารศูนย์ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และศูนย์เครื่องมือกลางยังมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินการของมหาวิทยาลัยในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษา จึงเป็นสัญญาทางปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองสงขลา ศาลปกครองสงขลาจึงส่งความเห็นไปยังศาลจังหวัดสงขลาตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดสงขลาเห็นว่า สัญญาจ้างก่อสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และศูนย์เครื่องมือกลางระหว่างบริษัทไตรยูเนียน จำกัด กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ไม่เป็นสัญญาทางปกครอง แต่เป็นสัญญาที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ทำในสถานะทางกฎหมายที่เท่ากับบริษัท ไตรยูเนียน จำกัด ซึ่งจะต้องใช้กฎหมายเอกชนคือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บังคับแก่สัญญาดังกล่าว และการที่สัญญาดังกล่าวมีข้อสัญญาที่มีลักษณะพิเศษแสดงถึงเอกสิทธิ์ของรัฐและไม่ค่อยพบในสัญญาตามกฎหมายเอกชนนั้น ไม่เป็นข้อบ่งชี้ที่เพียงพอว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครอง แต่อย่างใด เพราะเป็นข้อสัญญาที่เกิดจากเจตนาเสนอสนองตรงกันของคู่สัญญาตามปกติ เพียงแต่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีอำนาจต่อรองเหนือกว่าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้นจึงเกิดมีข้อสัญญาที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้เปรียบขึ้น ซึ่งในปัจจุบันได้มีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๔๐ เพื่อควบคุมข้อสัญญาดังกล่าวแล้ว จึงเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา สัญญาจ้างก่อสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และศูนย์เครื่องมือกลาง ระหว่างบริษัทไตรยูเนียน จำกัด กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ และอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีในคดีนี้เป็นข้อพิพาท อันเนื่องมาจากการปฏิบัติในฐานะผู้รับจ้างกับผู้ว่าจ้างตามสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และศูนย์เครื่องมือกลาง ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งเป็นสัญญาระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี และโดยที่มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง จึงมีประเด็นต้องพิจารณาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ มาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติว่า "สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ" ซึ่งจากข้อเท็จจริง ในคดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีเป็นส่วนราชการสังกัดทบวงมหาวิทยาลัยตามมาตรา ๓๒ (๑๗) แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๓๙ และมีฐานะเป็นกรมตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ มีวัตถุประสงค์ในการให้การศึกษา ผู้ถูกฟ้องคดีจึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และสัญญาจ้างระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีในกรณีนี้เป็นสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และศูนย์เครื่องมือกลาง ทั้งนี้ การศึกษาเป็นบริการสาธารณะอย่างหนึ่งของรัฐ อาคารมหาวิทยาลัยของรัฐซึ่งเป็นถาวรวัตถุเป็นองค์ประกอบและเครื่องมือสำคัญในการดำเนินบริการสาธารณะดังกล่าวให้บรรลุผลจึงเป็นสิ่งสาธารณูปโภคที่ประชาชนสามารถเข้าใช้ประโยชน์ได้โดยตรง และเนื่องจากวัตถุแห่งสัญญานี้คือ การรับจ้างก่อสร้างอาคารในมหาวิทยาลัยของรัฐ จึงถือได้ว่าเป็นการที่หน่วยงานทางปกครองมอบให้เอกชนเข้าดำเนินการจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค
ดังนั้น สัญญานี้จึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทเกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญานี้ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งนี้ ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๑๐/๒๕๔๕
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีเกี่ยวกับสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และศูนย์เครื่องมือกลาง ระหว่างบริษัทไตรยูเนียน จำกัด ผู้ฟ้องคดี กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลปกครองสงขลา
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๘/๒๕๔๕
วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ และมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลปกครองสงขลา
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสงขลา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองสงขลาโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจของศาลที่รับฟ้องและศาลที่รับฟ้องเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของตน จึงได้จัดทำความเห็น
ส่งไปให้ศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจ แต่ศาลผู้รับความเห็นมีความเห็นว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของตนเช่นกัน ศาลผู้ส่งความเห็นจึงได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๔ บริษัท ไตรยูเนียน จำกัด โดยนายธนชาติ ธรรมโชติ ผู้รับมอบอำนาจ ได้ยื่นฟ้องมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ต่อศาลปกครองสงขลา อ้างว่า เมื่อวันที่
๙ กันยายน ๒๕๔๐ บริษัทไตรยูเนียน จำกัด ได้ทำสัญญารับจ้างก่อสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และศูนย์เครื่องมือกลาง ๑ หลัง ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี ตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ค่าจ้างก่อสร้างเป็นเงิน ๑๓๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท กำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๔๒ แต่เนื่องจากในระหว่างปฏิบัติตามสัญญา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงรูปแบบรายการก่อสร้างอาคารดังกล่าวหลายครั้ง จึงได้มีการขยายระยะเวลาก่อสร้างออกไปและในครั้งหลังสุดมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้อนุมัติให้ต่อสัญญาออกไปโดยให้สัญญาสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๔ แต่การต่อสัญญาดังกล่าวได้มีขึ้นเมื่อล่วงเลยระยะเวลาสิ้นสุดของสัญญาไปแล้วถึง ๖ เดือน เป็นเหตุให้บริษัทไตรยูเนียน จำกัด ได้รับความเสียหายจากการก่อสร้างอย่างร้ายแรง ประกอบกับต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมงานนอกเหนือจากแบบก่อสร้างโดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้มอบหมายให้บริษัทโพร์เอส จำกัด ซึ่งเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างและเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแบบก่อสร้างและคำนวณราคาเพื่อเป็นแนวทางในการขยายเวลาก่อสร้าง และมีพฤติการณ์อันเป็นที่เข้าใจกันระหว่างบริษัทไตรยูเนียน จำกัด และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ว่า จะมีการต่อสัญญาให้กับบริษัทไตรยูเนียน จำกัด โดยขยายระยะเวลาก่อสร้างออกไปจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๔ หลังจากสัญญาสิ้นสุดเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๔ บริษัท ไตรยูเนียน จำกัด จึงเข้าปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาที่ได้ตกลงกันด้วยวาจาและตามพฤติการณ์ที่แสดงต่อกันโดยปริยาย แต่ปรากฏว่ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้มีหนังสือ ที่ ทม ๑๒๐๑/๒๙๕๐ ลงวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๔ บอกเลิกสัญญากับบริษัท ไตรยูเนียน จำกัด ตั้งแต่วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๔ เป็นต้นไป และขอใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามสัญญาโดยอ้างเหตุว่า บริษัท ไตรยูเนียน จำกัด ไม่อาจทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามสัญญาได้ จึงขอให้ศาลพิพากษาให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องมาจากสัญญาจ้างก่อสร้างดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน ๕๑,๕๒๒,๙๖๕.๕๖ บาท และขอให้ศาลมีคำสั่งให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ระงับการประมูลการก่อสร้างและระงับการก่อสร้างอาคารไว้ชั่วคราว และให้แต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญประเมินผลงานที่บริษัทไตรยูเนียน จำกัด ได้ทำไปแล้ว ตลอดจนขอให้เพิกถอนคำสั่งของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่กล่าวหาว่า บริษัทไตรยูเนียน จำกัด ปฏิบัติผิดสัญญาและบอกเลิกสัญญาดังกล่าวตามหนังสือมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่ ทม ๑๒๐๑/๒๙๕๐ ลงวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๔ ซึ่งต่อมา เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยนายนิพล ผดุงทอง พนักงานอัยการ ทนายผู้ถูกฟ้องคดี ได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสงขลาว่า คดีนี้เป็นการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งตามสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และศูนย์เครื่องมือกลางเป็นสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งถ้าผู้ฟ้องคดีก่อสร้างอาคารดังกล่าวไม่ถูกต้องครบถ้วนตามแบบแปลนในสัญญาก็เป็นการผิดสัญญา ผู้ถูกฟ้องคดีก็ปฏิเสธการชำระหนี้ได้ สัญญาจ้างก่อสร้างอาคารดังกล่าวก็ใช้เพื่อประโยชน์ทางวิชาการของผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งเป็นข้าราชการ พนักงาน และบุคคลในความรับผิดชอบของผู้ถูกฟ้องคดีเท่านั้นที่ใช้ประโยชน์ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาที่จัดทำบริการสาธารณะตามนัยมาตรา ๓ และมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดี จึงเห็นว่า สัญญานี้เป็นสัญญาทางแพ่ง หาใช่สัญญาที่จัดให้มีบริการสาธารณะตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้าง จึงไม่ใช่สัญญาทางปกครองที่ศาลปกครองจะมีอำนาจรับไว้พิจารณา แต่คดีควรอยู่ในอำนาจของศาลจังหวัดสงขลา และขอให้ศาลปกครองสงขลาวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐
ศาลปกครองสงขลาเห็นว่า สัญญาจ้างก่อสร้างดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครอง เนื่องจากคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งคือ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นส่วนราชการสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย ตามมาตรา ๓๒ (๑๗) แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๓๙ และมีฐานะเป็นกรม ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ประกอบกับสัญญาดังกล่าวมีข้อกำหนดในสัญญาซึ่งมีลักษณะพิเศษที่แสดงถึงเอกสิทธิ์ของรัฐ นอกจากนั้น วัตถุประสงค์แห่งสัญญาคือ อาคารศูนย์ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และศูนย์เครื่องมือกลางยังมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินการของมหาวิทยาลัยในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษา จึงเป็นสัญญาทางปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองสงขลา ศาลปกครองสงขลาจึงส่งความเห็นไปยังศาลจังหวัดสงขลาตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดสงขลาเห็นว่า สัญญาจ้างก่อสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และศูนย์เครื่องมือกลางระหว่างบริษัทไตรยูเนียน จำกัด กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ไม่เป็นสัญญาทางปกครอง แต่เป็นสัญญาที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ทำในสถานะทางกฎหมายที่เท่ากับบริษัท ไตรยูเนียน จำกัด ซึ่งจะต้องใช้กฎหมายเอกชนคือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บังคับแก่สัญญาดังกล่าว และการที่สัญญาดังกล่าวมีข้อสัญญาที่มีลักษณะพิเศษแสดงถึงเอกสิทธิ์ของรัฐและไม่ค่อยพบในสัญญาตามกฎหมายเอกชนนั้น ไม่เป็นข้อบ่งชี้ที่เพียงพอว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครอง แต่อย่างใด เพราะเป็นข้อสัญญาที่เกิดจากเจตนาเสนอสนองตรงกันของคู่สัญญาตามปกติ เพียงแต่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีอำนาจต่อรองเหนือกว่าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้นจึงเกิดมีข้อสัญญาที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้เปรียบขึ้น ซึ่งในปัจจุบันได้มีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๔๐ เพื่อควบคุมข้อสัญญาดังกล่าวแล้ว จึงเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา สัญญาจ้างก่อสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และศูนย์เครื่องมือกลาง ระหว่างบริษัทไตรยูเนียน จำกัด กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ และอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีในคดีนี้เป็นข้อพิพาท อันเนื่องมาจากการปฏิบัติในฐานะผู้รับจ้างกับผู้ว่าจ้างตามสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และศูนย์เครื่องมือกลาง ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งเป็นสัญญาระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี และโดยที่มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง จึงมีประเด็นต้องพิจารณาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ มาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติว่า "สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ" ซึ่งจากข้อเท็จจริง ในคดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีเป็นส่วนราชการสังกัดทบวงมหาวิทยาลัยตามมาตรา ๓๒ (๑๗) แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๓๙ และมีฐานะเป็นกรมตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ มีวัตถุประสงค์ในการให้การศึกษา ผู้ถูกฟ้องคดีจึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และสัญญาจ้างระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีในกรณีนี้เป็นสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และศูนย์เครื่องมือกลาง ทั้งนี้ การศึกษาเป็นบริการสาธารณะอย่างหนึ่งของรัฐ อาคารมหาวิทยาลัยของรัฐซึ่งเป็นถาวรวัตถุเป็นองค์ประกอบและเครื่องมือสำคัญในการดำเนินบริการสาธารณะดังกล่าวให้บรรลุผลจึงเป็นสิ่งสาธารณูปโภคที่ประชาชนสามารถเข้าใช้ประโยชน์ได้โดยตรง และเนื่องจากวัตถุแห่งสัญญานี้คือ การรับจ้างก่อสร้างอาคารในมหาวิทยาลัยของรัฐ จึงถือได้ว่าเป็นการที่หน่วยงานทางปกครองมอบให้เอกชนเข้าดำเนินการจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค
ดังนั้น สัญญานี้จึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทเกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญานี้ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งนี้ ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๑๐/๒๕๔๕
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีเกี่ยวกับสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และศูนย์เครื่องมือกลาง ระหว่างบริษัทไตรยูเนียน จำกัด ผู้ฟ้องคดี กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลปกครองสงขลา
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 3 และมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๗/๒๕๔๕
วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) และมาตรา ๑๐๓ วรรคสาม
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแพ่งธนบุรี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และวรรคสาม ซึ่งเป็นกรณีที่มีการนำคดีซึ่งมีข้อเท็จจริงเรื่องเดียวกันฟ้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจแตกต่างกันตั้งแต่สองศาลขึ้นไป และศาลเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในอำนาจของศาลใดศาลหนึ่งที่รับฟ้อง
ข้อเท็จจริงในคดี
นายจำนงค์ ธรรมมโนวานิช กับพวก ยื่นเรื่องร้องทุกข์และเพิ่มเติมคำร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อ้างว่า กรุงเทพมหานคร และ
สำนักงานเขตบางแค กำหนดจุดก่อสร้างสะพานคนเดินข้ามถนนเพชรเกษม บริเวณห้างเทสโก้ โลตัส ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ สาขาบางแค โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้สะพานอยู่หน้าร้านค้าของนายจำนงค์ และเจ้าพนักงานท้องถิ่น (สำนักงานเขตบางแค) เคยมีคำสั่งแจ้งให้บริษัทโชคประพันธ์ก่อสร้าง จำกัด ผู้ดำเนินการก่อสร้าง ระงับการก่อสร้างสะพานลอยดังกล่าวแล้วตามมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ แต่บริษัทโชคประพันธ์ก่อสร้าง จำกัด อุทธรณ์คำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งต่อมาศาลปกครองกลางได้รับโอนเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาตามมาตรา ๑๐๓ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยนายจำนงค์ ธรรมมโนวานิช กับพวก ผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลปกครองกลางมีคำสั่งดังนี้
๑. ให้กรุงเทพมหานครระงับการก่อสร้างสะพานคนเดินข้าม
๒. ให้หน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี
๓. ให้กำหนดจุดก่อสร้างสะพานคนเดินข้ามใหม่
๔. เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒
ในขณะเดียวกัน นายจำนงค์ ธรรมมโนวานิช เป็นโจทก์ฟ้องบริษัทเอกชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเต็ม จำกัด (เจ้าของห้างเทสโก้ โลตัสฯ) ที่ ๑ และบริษัทโชคประพันธ์ก่อสร้าง จำกัด (ผู้รับเหมาก่อสร้างสะพานคนเดินข้าม) ที่ ๒ เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรี อ้างว่าการก่อสร้างสะพานลอยคนเดินข้ามถนนเพชรเกษมทำให้อาคารร้านค้าของโจทก์เสียหายและรายได้จากการค้าลดลง ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายและรื้อถอนเสาตอม่อสะพานดังกล่าวออกไปและทำให้ทางเท้ากลับคืนสู่สภาพเดิม และต่อมาศาลแพ่งธนบุรีได้มีคำสั่งเรียกกรุงเทพมหานครเข้าเป็นจำเลยร่วมตามที่โจทก์ร้องขอ
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ เมื่อศาลปกครองกลางรับโอนคดีไว้พิจารณาพิพากษาตามมาตรา ๑๐๓ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แล้ว ศาลอื่นที่รับคดีนั้นไว้พิจารณาก่อนศาลปกครองกลางเปิดทำการมีอำนาจพิจารณาคดีนั้นต่อไปหรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติรับรองสิทธิในการฟ้องร้องคดีต่อศาลไว้ในมาตรา ๒๘ วรรคสอง ว่า "บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่ รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้" และในขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยก็ได้กำหนดลักษณะคดี ที่บุคคลจะใช้สิทธิทางศาลแตกต่างกันระหว่างคดีปกครองและคดีประเภทอื่น โดยในมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครองโดยเฉพาะ คดีปกครองทุกคดี จึงควรได้รับการพิจารณาและพิพากษาในศาลปกครอง ทั้งนี้เพื่อให้แนวบรรทัดฐานที่ต่อเนื่องและสอดคล้องกันตามหลักกฎหมายปกครอง เมื่อศาลปกครองเปิดทำการแล้ว ศาลอื่นย่อมไม่มีอำนาจรับคดีปกครองไว้พิจารณาพิพากษา เว้นแต่เป็นคดีปกครองที่ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมไว้ก่อนที่ศาลปกครองจะเปิดทำการ ศาลยุติธรรมนั้นย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้นต่อไปได้ เพื่อเป็นการคุ้มครองบุคคล ในการใช้สิทธิทางศาล ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๒/๒๕๔๔ ระหว่างศาลจังหวัดน่านและศาลปกครองกลาง
คดีนี้นายจำนงค์ ธรรมมโนวานิช กับพวก ซึ่งอ้างว่าได้รับความเสียหายจากการออกคำสั่งทางปกครองของหน่วยงานของรัฐได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และยื่นเรื่องอุทธรณ์คำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นต่อคณะกรรมการควบคุมอาคาร ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ อันเป็นการดำเนินคดีปกครองต่อหน่วยงานบริหารก่อนมีการจัดตั้งศาลปกครอง ต่อมาเมื่อศาลปกครองเปิดทำการ ศาลปกครองกลางจึงได้รับโอนคดีนี้ไว้พิจารณาพิพากษาตามมาตรา ๑๐๓ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ต้องการให้คดีปกครองทุกคดีได้รับการพิจารณาพิพากษาในศาลปกครอง เมื่อศาลปกครองกลางได้รับโอนคดีปกครองใดไว้พิจารณาแล้ว แม้ศาลอื่นได้รับคดีปกครองนั้นไว้พิจารณาก่อนศาลปกครอง เปิดทำการก็ตาม ศาลอื่นนั้นย่อมไม่อาจรับคดีนั้นไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปได้ ข้อเท็จจริงในคดีนี้ แตกต่างจากคดีในคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๒/๒๕๔๔ ระหว่างศาลจังหวัดน่านและศาลปกครองกลาง ซึ่งในคดีก่อนไม่มีการยื่นเรื่องใด ๆ ให้คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์พิจารณา จึงไม่มีกรณีที่ศาลปกครองกลางจะต้องรับโอนคดีตามมาตรา ๑๐๓ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
อย่างไรก็ตามคดีที่นายจำนงค์กับพวกเป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัทเอกชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเต็ม จำกัด ที่ ๑ และ บริษัทโชคประพันธ์ก่อสร้าง จำกัด ที่ ๒ เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรี โดยมีข้อหาหนึ่งอ้างว่า "...จำเลยที่ ๒ โดยการว่าจ้างของจำเลยที่ ๑ ได้ลงมือขุดเจาะเสาเข็ม เพื่อทำการหล่อเสาตอม่อของสะพานลอยคนเดินข้าม จำเลยที่ ๒ กระทำโดยไม่ใช้ความระมัดระวังเยี่ยงวิญญูชน ทั่วไปจะพึงใช้ความระมัดระวัง เป็นเหตุให้อาคารร้านค้าของโจทก์ได้รับความเสียหาย ผนังตึกและฝ้าเพดานแตกร้าวเป็นทางยาว หากจะซ่อมแซมให้กลับคืนสู่สภาพเดิมต้องใช้เงินจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท..." เป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๒ กระทำการก่อสร้างโดยประมาทอันเป็นการกระทำทางกายภาพ ซึ่งลักษณะคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ (๓) ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๑/๒๕๔๕ แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ฉะนั้น ศาลแพ่งธนบุรีจึงมีอำนาจในการออกหมายเรียกกรุงเทพมหานครเข้ามาเป็นจำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์เฉพาะกรณีที่เกิดจากการกระทำทางกายภาพเท่านั้น ส่วนข้อหาอื่นอันมีลักษณะเป็นคดีปกครอง ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ศาลแพ่งธนบุรีจึงไม่อาจเรียกกรุงเทพมหานครเข้าเป็นจำเลยร่วมได้
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายจำนงค์ ธรรมมโนวานิช โจทก์ บริษัทเอกชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเต็ม จำกัด บริษัทโชคประพันธ์ก่อสร้าง จำกัด จำเลย และ กรุงเทพมหานคร จำเลยร่วม ที่พิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดเงื่อนไขและกำหนดจุดก่อสร้างสะพานลอยคนเดินข้าม อันมีลักษณะเป็นคดีปกครองที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ซึ่งได้รับโอนมาตามมาตรา ๑๐๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลปกครองกลาง แต่คดีที่เกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดอันเกิดจากการกระทำทางกายภาพ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลแพ่งธนบุรี
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๗/๒๕๔๕
วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) และมาตรา ๑๐๓ วรรคสาม
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแพ่งธนบุรี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และวรรคสาม ซึ่งเป็นกรณีที่มีการนำคดีซึ่งมีข้อเท็จจริงเรื่องเดียวกันฟ้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจแตกต่างกันตั้งแต่สองศาลขึ้นไป และศาลเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในอำนาจของศาลใดศาลหนึ่งที่รับฟ้อง
ข้อเท็จจริงในคดี
นายจำนงค์ ธรรมมโนวานิช กับพวก ยื่นเรื่องร้องทุกข์และเพิ่มเติมคำร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อ้างว่า กรุงเทพมหานคร และ
สำนักงานเขตบางแค กำหนดจุดก่อสร้างสะพานคนเดินข้ามถนนเพชรเกษม บริเวณห้างเทสโก้ โลตัส ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ สาขาบางแค โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้สะพานอยู่หน้าร้านค้าของนายจำนงค์ และเจ้าพนักงานท้องถิ่น (สำนักงานเขตบางแค) เคยมีคำสั่งแจ้งให้บริษัทโชคประพันธ์ก่อสร้าง จำกัด ผู้ดำเนินการก่อสร้าง ระงับการก่อสร้างสะพานลอยดังกล่าวแล้วตามมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ แต่บริษัทโชคประพันธ์ก่อสร้าง จำกัด อุทธรณ์คำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งต่อมาศาลปกครองกลางได้รับโอนเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาตามมาตรา ๑๐๓ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยนายจำนงค์ ธรรมมโนวานิช กับพวก ผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลปกครองกลางมีคำสั่งดังนี้
๑. ให้กรุงเทพมหานครระงับการก่อสร้างสะพานคนเดินข้าม
๒. ให้หน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี
๓. ให้กำหนดจุดก่อสร้างสะพานคนเดินข้ามใหม่
๔. เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒
ในขณะเดียวกัน นายจำนงค์ ธรรมมโนวานิช เป็นโจทก์ฟ้องบริษัทเอกชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเต็ม จำกัด (เจ้าของห้างเทสโก้ โลตัสฯ) ที่ ๑ และบริษัทโชคประพันธ์ก่อสร้าง จำกัด (ผู้รับเหมาก่อสร้างสะพานคนเดินข้าม) ที่ ๒ เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรี อ้างว่าการก่อสร้างสะพานลอยคนเดินข้ามถนนเพชรเกษมทำให้อาคารร้านค้าของโจทก์เสียหายและรายได้จากการค้าลดลง ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายและรื้อถอนเสาตอม่อสะพานดังกล่าวออกไปและทำให้ทางเท้ากลับคืนสู่สภาพเดิม และต่อมาศาลแพ่งธนบุรีได้มีคำสั่งเรียกกรุงเทพมหานครเข้าเป็นจำเลยร่วมตามที่โจทก์ร้องขอ
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ เมื่อศาลปกครองกลางรับโอนคดีไว้พิจารณาพิพากษาตามมาตรา ๑๐๓ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แล้ว ศาลอื่นที่รับคดีนั้นไว้พิจารณาก่อนศาลปกครองกลางเปิดทำการมีอำนาจพิจารณาคดีนั้นต่อไปหรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติรับรองสิทธิในการฟ้องร้องคดีต่อศาลไว้ในมาตรา ๒๘ วรรคสอง ว่า "บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่ รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้" และในขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยก็ได้กำหนดลักษณะคดี ที่บุคคลจะใช้สิทธิทางศาลแตกต่างกันระหว่างคดีปกครองและคดีประเภทอื่น โดยในมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครองโดยเฉพาะ คดีปกครองทุกคดี จึงควรได้รับการพิจารณาและพิพากษาในศาลปกครอง ทั้งนี้เพื่อให้แนวบรรทัดฐานที่ต่อเนื่องและสอดคล้องกันตามหลักกฎหมายปกครอง เมื่อศาลปกครองเปิดทำการแล้ว ศาลอื่นย่อมไม่มีอำนาจรับคดีปกครองไว้พิจารณาพิพากษา เว้นแต่เป็นคดีปกครองที่ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมไว้ก่อนที่ศาลปกครองจะเปิดทำการ ศาลยุติธรรมนั้นย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้นต่อไปได้ เพื่อเป็นการคุ้มครองบุคคล ในการใช้สิทธิทางศาล ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๒/๒๕๔๔ ระหว่างศาลจังหวัดน่านและศาลปกครองกลาง
คดีนี้นายจำนงค์ ธรรมมโนวานิช กับพวก ซึ่งอ้างว่าได้รับความเสียหายจากการออกคำสั่งทางปกครองของหน่วยงานของรัฐได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และยื่นเรื่องอุทธรณ์คำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นต่อคณะกรรมการควบคุมอาคาร ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ อันเป็นการดำเนินคดีปกครองต่อหน่วยงานบริหารก่อนมีการจัดตั้งศาลปกครอง ต่อมาเมื่อศาลปกครองเปิดทำการ ศาลปกครองกลางจึงได้รับโอนคดีนี้ไว้พิจารณาพิพากษาตามมาตรา ๑๐๓ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ต้องการให้คดีปกครองทุกคดีได้รับการพิจารณาพิพากษาในศาลปกครอง เมื่อศาลปกครองกลางได้รับโอนคดีปกครองใดไว้พิจารณาแล้ว แม้ศาลอื่นได้รับคดีปกครองนั้นไว้พิจารณาก่อนศาลปกครอง เปิดทำการก็ตาม ศาลอื่นนั้นย่อมไม่อาจรับคดีนั้นไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปได้ ข้อเท็จจริงในคดีนี้ แตกต่างจากคดีในคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๒/๒๕๔๔ ระหว่างศาลจังหวัดน่านและศาลปกครองกลาง ซึ่งในคดีก่อนไม่มีการยื่นเรื่องใด ๆ ให้คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์พิจารณา จึงไม่มีกรณีที่ศาลปกครองกลางจะต้องรับโอนคดีตามมาตรา ๑๐๓ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
อย่างไรก็ตามคดีที่นายจำนงค์กับพวกเป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัทเอกชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเต็ม จำกัด ที่ ๑ และ บริษัทโชคประพันธ์ก่อสร้าง จำกัด ที่ ๒ เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรี โดยมีข้อหาหนึ่งอ้างว่า "...จำเลยที่ ๒ โดยการว่าจ้างของจำเลยที่ ๑ ได้ลงมือขุดเจาะเสาเข็ม เพื่อทำการหล่อเสาตอม่อของสะพานลอยคนเดินข้าม จำเลยที่ ๒ กระทำโดยไม่ใช้ความระมัดระวังเยี่ยงวิญญูชน ทั่วไปจะพึงใช้ความระมัดระวัง เป็นเหตุให้อาคารร้านค้าของโจทก์ได้รับความเสียหาย ผนังตึกและฝ้าเพดานแตกร้าวเป็นทางยาว หากจะซ่อมแซมให้กลับคืนสู่สภาพเดิมต้องใช้เงินจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท..." เป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๒ กระทำการก่อสร้างโดยประมาทอันเป็นการกระทำทางกายภาพ ซึ่งลักษณะคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ (๓) ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๑/๒๕๔๕ แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ฉะนั้น ศาลแพ่งธนบุรีจึงมีอำนาจในการออกหมายเรียกกรุงเทพมหานครเข้ามาเป็นจำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์เฉพาะกรณีที่เกิดจากการกระทำทางกายภาพเท่านั้น ส่วนข้อหาอื่นอันมีลักษณะเป็นคดีปกครอง ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ศาลแพ่งธนบุรีจึงไม่อาจเรียกกรุงเทพมหานครเข้าเป็นจำเลยร่วมได้
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายจำนงค์ ธรรมมโนวานิช โจทก์ บริษัทเอกชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเต็ม จำกัด บริษัทโชคประพันธ์ก่อสร้าง จำกัด จำเลย และ กรุงเทพมหานคร จำเลยร่วม ที่พิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดเงื่อนไขและกำหนดจุดก่อสร้างสะพานลอยคนเดินข้าม อันมีลักษณะเป็นคดีปกครองที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ซึ่งได้รับโอนมาตามมาตรา ๑๐๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลปกครองกลาง แต่คดีที่เกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดอันเกิดจากการกระทำทางกายภาพ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลแพ่งธนบุรี
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) และ (3) และมาตรา 103 วรรคสาม
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๖/๒๕๔๕
วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ วรรคหนึ่ง (๑)
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดนนทบุรี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นเดียวกัน
ข้อเท็จจริงในคดี
นายกเทศมนตรีเทศบาลนครนนทบุรี ยื่นคำร้อง ต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เป็นคดีแพ่ง หมายเลขดำ ที่ ๑๐๐๙/๒๕๔๔ ความว่า เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๑ นายคำตัน แถมเงิน นายสมศักดิ์ อู่ใหม่ และนายทองหล่อ อู่ใหม่ ได้ทำการก่อสร้างอาคารรุกล้ำลำคลองสาธารณะ (คลองส่วย) ซอยประชาชื่น ๗ ถนนประชาชื่น หมู่ที่ ๑ ตำบลบางเขน อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น และปิดกั้นที่ดินของนางอุมากร สนเจริญ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยและโรงเรียนอนุบาล ทำให้เจ้าของที่ดินและผู้ปกครองนักเรียนได้รับความเดือดร้อน พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้มีคำสั่งตามหนังสือเลขที่ นบ ๕๒๐๐๖/๒๘๙๐ นบ ๕๒๐๐๖/๒๘๙๑ นบ ๕๒๐๐๖/๒๘๙๒ ลงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๑ ให้นายคำตัน แถมเงิน นายสมศักดิ์ อู่ใหม่ และนายทองหล่อ อู่ใหม่ รื้อถอนอาคารดังกล่าวออกจากริมคลองส่วยภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง แต่บุคคลทั้งสามเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว และไม่มีวิธีบังคับอื่นใดที่ผู้ร้องจะใช้บังคับได้ จึงขอให้ศาลจังหวัดนนทบุรีมีคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคลทั้งสาม ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓(๑)
ศาลจังหวัดนนทบุรีเห็นว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ (๕) จึงไม่รับคำร้อง
ศาลปกครองกลางเห็นว่า มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๕) ประกอบกับมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๕) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีที่มีกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้บุคคลต้องกระทำหรือละเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด โดยศาล มีอำนาจกำหนดคำบังคับสั่งให้บุคคลต้องกระทำหรือละเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย เมื่อคดีนี้ผู้ร้องมิได้มีคำขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งสามต้องกระทำหรือละเว้นกระทำ อย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่มีคำขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมและกักขังผู้ถูกร้องทั้งสาม ซึ่งมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ร้องตามมาตรา ๔๓(๑) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ คดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๗๑
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ การยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคลซึ่งมิได้ปฏิบัติการตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา ๔๓ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ อยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๑ บัญญัติว่า "ผู้ใดจะก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคาร ต้องได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น หรือแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น และดำเนินการตามมาตรา ๓๙ ทวิ"
ในกรณีที่มีการก่อสร้างอาคารฝ่าฝืนกฎหมายและไม่สามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจตามมาตรา ๔๒ ที่จะออกคำสั่งทางปกครองให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ผู้ควบคุมงาน หรือผู้ดำเนินการรื้อถอนอาคารนั้นทั้งหมดหรือบางส่วนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดแต่ต้องไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน หากไม่มีการรื้อถอนตามคำสั่งดังกล่าว เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจตามมาตรา ๔๓ ดังต่อไปนี้
(๑) ยื่นคำขอฝ่ายเดียวโดยทำเป็นคำร้องต่อศาล นับแต่ระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามมาตรา ๔๒ ได้ล่วงพ้นไป ขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคลซึ่งมิได้ปฏิบัติการตามคำสั่งของ
เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา ๔๒ โดยให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๒) ดำเนินการหรือจัดให้มีการรื้อถอนอาคารดังกล่าวได้เอง โดยจะต้องปิดประกาศกำหนดการรื้อถอนไว้ในบริเวณนั้นแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ผู้รับผิดชอบงานออกแบบอาคาร ผู้รับผิดชอบงานออกแบบและคำนวณอาคาร ผู้ควบคุมงาน และผู้ดำเนินการ จะต้องร่วมกันเสียค่าใช้จ่ายในการนั้น เว้นแต่บุคคลดังกล่าวจะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้เป็นผู้กระทำหรือมีส่วนร่วมในการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย
นอกจากนั้น พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ยังได้กำหนดโทษทางอาญาสำหรับการฝ่าฝืนมาตรา ๒๑ และมาตรา ๔๒ ไว้ด้วยอีกส่วนหนึ่ง
เมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ วรรคหนึ่ง (๑) แล้วเห็นว่า การที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคลนั้นเป็นกรณี ต่อเนื่องมาจากการที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นออกคำสั่งทางปกครองแก่บุคคลแล้ว แต่บุคคลนั้นไม่ปฏิบัติตาม คำสั่งดังกล่าว กฎหมายจึงกำหนดให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคลซึ่งมิได้ปฏิบัติการตามคำสั่ง โดยนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลมการใช้อำนาจตามมาตรานี้จึงเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้บุคคลต้องกระทำหรือละเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด อันมีลักษณะเป็นคดีปกครอง ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ ที่บัญญัติว่า "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้
...
(๕) คดีที่มีกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้บุคคลต้องกระทำหรือละเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด
..."
และตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๗๒ บัญญัติว่า "ในการพิพากษาคดี ศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับอย่างหนึ่ง
อย่างใด ดังต่อไปนี้
...
(๕) สั่งให้บุคคลกระทำหรือละเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย
...
ในกรณีที่ศาลปกครองมีคำบังคับตามวรรคหนึ่ง (๕) หรือตามวรรคสี่ ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม
..."
จะเห็นได้ว่าเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ศาลปกครองสามารถนำบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับได้โดยอนุโลม ศาลปกครองจึงมีอำนาจออกคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคลในกรณีที่บุคคลนั้นไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลปกครอง ทั้งนี้โดยนำความในมาตรา ๒๙๗ ถึง ๓๐๒ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
เมื่อคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคลของศาลตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ วรรคหนึ่ง (๑) เป็นมาตรการบังคับเพื่อให้บุคคลปฏิบัติตามคำสั่งทางปกครองของเจ้าพนักงานท้องถิ่นเป็นสำคัญ ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคำขอดังกล่าวและมีอำนาจในการออกคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคลเพื่อให้กระทำการตามคำสั่งทางปกครองของเจ้าพนักงานท้องถิ่นจึงควรเป็นศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีร้องขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคลซึ่งมิได้ปฏิบัติการตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ วรรคหนึ่ง (๑) โดยนายกเทศมนตรีเทศบาลนครนนทบุรี ผู้ร้อง อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลปกครองกลาง
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๖/๒๕๔๕
วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ วรรคหนึ่ง (๑)
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดนนทบุรี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นเดียวกัน
ข้อเท็จจริงในคดี
นายกเทศมนตรีเทศบาลนครนนทบุรี ยื่นคำร้อง ต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เป็นคดีแพ่ง หมายเลขดำ ที่ ๑๐๐๙/๒๕๔๔ ความว่า เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๑ นายคำตัน แถมเงิน นายสมศักดิ์ อู่ใหม่ และนายทองหล่อ อู่ใหม่ ได้ทำการก่อสร้างอาคารรุกล้ำลำคลองสาธารณะ (คลองส่วย) ซอยประชาชื่น ๗ ถนนประชาชื่น หมู่ที่ ๑ ตำบลบางเขน อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น และปิดกั้นที่ดินของนางอุมากร สนเจริญ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยและโรงเรียนอนุบาล ทำให้เจ้าของที่ดินและผู้ปกครองนักเรียนได้รับความเดือดร้อน พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้มีคำสั่งตามหนังสือเลขที่ นบ ๕๒๐๐๖/๒๘๙๐ นบ ๕๒๐๐๖/๒๘๙๑ นบ ๕๒๐๐๖/๒๘๙๒ ลงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๑ ให้นายคำตัน แถมเงิน นายสมศักดิ์ อู่ใหม่ และนายทองหล่อ อู่ใหม่ รื้อถอนอาคารดังกล่าวออกจากริมคลองส่วยภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง แต่บุคคลทั้งสามเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว และไม่มีวิธีบังคับอื่นใดที่ผู้ร้องจะใช้บังคับได้ จึงขอให้ศาลจังหวัดนนทบุรีมีคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคลทั้งสาม ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓(๑)
ศาลจังหวัดนนทบุรีเห็นว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ (๕) จึงไม่รับคำร้อง
ศาลปกครองกลางเห็นว่า มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๕) ประกอบกับมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๕) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีที่มีกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้บุคคลต้องกระทำหรือละเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด โดยศาล มีอำนาจกำหนดคำบังคับสั่งให้บุคคลต้องกระทำหรือละเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย เมื่อคดีนี้ผู้ร้องมิได้มีคำขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งสามต้องกระทำหรือละเว้นกระทำ อย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่มีคำขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมและกักขังผู้ถูกร้องทั้งสาม ซึ่งมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ร้องตามมาตรา ๔๓(๑) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ คดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๗๑
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ การยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคลซึ่งมิได้ปฏิบัติการตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา ๔๓ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ อยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๑ บัญญัติว่า "ผู้ใดจะก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคาร ต้องได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น หรือแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น และดำเนินการตามมาตรา ๓๙ ทวิ"
ในกรณีที่มีการก่อสร้างอาคารฝ่าฝืนกฎหมายและไม่สามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจตามมาตรา ๔๒ ที่จะออกคำสั่งทางปกครองให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ผู้ควบคุมงาน หรือผู้ดำเนินการรื้อถอนอาคารนั้นทั้งหมดหรือบางส่วนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดแต่ต้องไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน หากไม่มีการรื้อถอนตามคำสั่งดังกล่าว เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจตามมาตรา ๔๓ ดังต่อไปนี้
(๑) ยื่นคำขอฝ่ายเดียวโดยทำเป็นคำร้องต่อศาล นับแต่ระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามมาตรา ๔๒ ได้ล่วงพ้นไป ขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคลซึ่งมิได้ปฏิบัติการตามคำสั่งของ
เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา ๔๒ โดยให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๒) ดำเนินการหรือจัดให้มีการรื้อถอนอาคารดังกล่าวได้เอง โดยจะต้องปิดประกาศกำหนดการรื้อถอนไว้ในบริเวณนั้นแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ผู้รับผิดชอบงานออกแบบอาคาร ผู้รับผิดชอบงานออกแบบและคำนวณอาคาร ผู้ควบคุมงาน และผู้ดำเนินการ จะต้องร่วมกันเสียค่าใช้จ่ายในการนั้น เว้นแต่บุคคลดังกล่าวจะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้เป็นผู้กระทำหรือมีส่วนร่วมในการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย
นอกจากนั้น พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ยังได้กำหนดโทษทางอาญาสำหรับการฝ่าฝืนมาตรา ๒๑ และมาตรา ๔๒ ไว้ด้วยอีกส่วนหนึ่ง
เมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ วรรคหนึ่ง (๑) แล้วเห็นว่า การที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคลนั้นเป็นกรณี ต่อเนื่องมาจากการที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นออกคำสั่งทางปกครองแก่บุคคลแล้ว แต่บุคคลนั้นไม่ปฏิบัติตาม คำสั่งดังกล่าว กฎหมายจึงกำหนดให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคลซึ่งมิได้ปฏิบัติการตามคำสั่ง โดยนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลมการใช้อำนาจตามมาตรานี้จึงเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้บุคคลต้องกระทำหรือละเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด อันมีลักษณะเป็นคดีปกครอง ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ ที่บัญญัติว่า "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้
...
(๕) คดีที่มีกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้บุคคลต้องกระทำหรือละเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด
..."
และตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๗๒ บัญญัติว่า "ในการพิพากษาคดี ศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับอย่างหนึ่ง
อย่างใด ดังต่อไปนี้
...
(๕) สั่งให้บุคคลกระทำหรือละเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย
...
ในกรณีที่ศาลปกครองมีคำบังคับตามวรรคหนึ่ง (๕) หรือตามวรรคสี่ ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม
..."
จะเห็นได้ว่าเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ศาลปกครองสามารถนำบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับได้โดยอนุโลม ศาลปกครองจึงมีอำนาจออกคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคลในกรณีที่บุคคลนั้นไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลปกครอง ทั้งนี้โดยนำความในมาตรา ๒๙๗ ถึง ๓๐๒ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
เมื่อคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคลของศาลตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ วรรคหนึ่ง (๑) เป็นมาตรการบังคับเพื่อให้บุคคลปฏิบัติตามคำสั่งทางปกครองของเจ้าพนักงานท้องถิ่นเป็นสำคัญ ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคำขอดังกล่าวและมีอำนาจในการออกคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคลเพื่อให้กระทำการตามคำสั่งทางปกครองของเจ้าพนักงานท้องถิ่นจึงควรเป็นศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีร้องขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคลซึ่งมิได้ปฏิบัติการตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ วรรคหนึ่ง (๑) โดยนายกเทศมนตรีเทศบาลนครนนทบุรี ผู้ร้อง อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลปกครองกลาง
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 53 วรรคหนึ่ง (1)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๔/๒๕๔๕
วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) ประกอบกับมาตรา ๓
ศาลจังหวัดนครปฐม
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนครปฐมได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และวรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาล
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๔ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. กิจสยาม โดยนายสุทธิชัย เพียรภักดีสกุล เป็นโจทก์ฟ้อง นายประสิทธิ์ ศรีสุขจร นายเกรียงไกร ชูศิลป์กุล และเทศบาลตำบลกำแพงแสน โดยนายซ้อน อ่อนศิริ นายกเทศมนตรี เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดนครปฐม ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๒๖๑/๒๕๔๔ ขอให้ชำระหนี้ค่าก่อสร้างซึ่งโจทก์ได้รับเหมาก่อสร้างวางท่อน้ำประปาของสุขาภิบาลกำแพงแสน เนื่องจากมีการขยายถนนกำแพงแสน - สุพรรณบุรี ทำให้ท่อน้ำประปาสุขาภิบาลทั้งสองฝั่งเดิมได้รับความเสียหายและใช้การไม่ได้เป็นเหตุให้ประชาชนในเขตอำเภอกำแพงแสนได้รับความเดือดร้อน คณะกรรมการสุขาภิบาลกำแพงแสนขณะนั้นมีมติในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๔๒ วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๔๒ เห็นชอบให้มีการจัดจ้างโจทก์โดยวิธีพิเศษ เป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๑๒๕,๐๐๐ บาท สุขาภิบาลกำแพงแสนได้แจ้งให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างตามแบบที่สุขาภิบาลกำแพงแสนกำหนดได้ทันที เมื่องานแล้วเสร็จตามแบบและสุขาภิบาลกำแพงแสนมีงบประมาณเพียงพอก็จะจ่ายเงินให้โจทก์ โจทก์จึงดำเนินการก่อสร้างตามแบบที่สุขาภิบาลกำแพงแสนกำหนด โดยมีการวางท่อน้ำประปาและติดตั้งท่อจ่ายน้ำดับเพลิงและข้อต่อแยกเป็นระยะทางทั้งสิ้น ๑,๑๕๐ เมตร เริ่มจากถนนมาลัยแมนฝั่งขวา บริเวณหน้าธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) สาขากำแพงแสน จนถึงทางแยกถนนสุขาภิบาล ๑๖ หลังจากโจทก์ก่อสร้างแล้วเสร็จได้แจ้งจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นประธานกรรมการสุขาภิบาลกำแพงแสนตรวจรับงาน โดยจำเลยที่ ๑ ได้ไปตรวจความเรียบร้อยพร้อมกับเจ้าหน้าที่ ปรากฏว่างานที่โจทก์รับเหมาเสร็จสมบูรณ์ตามแบบแปลนและได้มีการเชื่อมท่อเข้าระบบของท่อน้ำประปาที่โจทก์ได้ก่อสร้างไว้ก่อนแล้ว แต่จำเลยที่ ๑ มิได้จัดตั้งหรือกันงบประมาณเพื่อจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ คงประวิงเวลาการชำระค่าก่อสร้างให้แก่โจทก์เรื่อยมา โดยอ้างว่างบประมาณยังไม่เพียงพอที่จะชำระให้แก่โจทก์ได้ จนกระทั่ง ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๔๒ ทางราชการได้ออกกฎหมายยกฐานะสุขาภิบาลกำแพงแสนขึ้นเป็นเทศบาลตำบลกำแพงแสน พร้อมได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเกี่ยวกับการยกฐานะเทศบาลตำบลกำแพงแสนเพื่อให้มีผลตามกฎหมาย หลังจากได้มีการยกฐานะเทศบาลตำบลกำแพงแสนแล้ว บรรดาทรัพย์สินและสิทธิต่าง ๆ ของสุขาภิบาลกำแพงแสนจึงตกเป็นของเทศบาลตำบลกำแพงแสนทันทีโดยผลของกฎหมาย โจทก์จึงขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน ๑,๔๓๔,๓๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑,๑๒๕,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ยื่นคำร้องว่า เทศบาลตำบลกำแพงแสนซึ่งเป็นคู่สัญญาเกี่ยวกับการว่าจ้างวางท่อประปา เป็นหน่วยงานสังกัดกรมการปกครอง จึงเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลที่กระทำการแทนรัฐและปรากฏว่าสัญญาที่โจทก์กล่าวอ้างมีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ จึงต้องด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) เมื่อคดีดังกล่าวเป็นคดีที่เกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง โจทก์จึงต้องยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลปกครองกลาง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่จะต้องพิจารณา สัญญาจ้างก่อสร้างวางท่อน้ำประปาระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. กิจสยาม กับนายประสิทธิ์ ศรีสุขจร นายเกรียงไกร ชูศิลป์กุล และเทศบาลตำบลกำแพงแสน เป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ และอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีในคดีนี้เป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการปฏิบัติในฐานะผู้รับจ้างกับผู้ว่าจ้างตามสัญญาจ้างก่อสร้างวางท่อน้ำประปา ซึ่งเป็นสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสาม และโดยที่มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง จึงมีประเด็นต้องพิจารณาว่า สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ มาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ได้บัญญัติว่า "สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งต้องเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายให้กระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ" ซึ่งจากข้อเท็จจริงในคดีนี้ โจทก์ บรรยายฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิด โดยจำเลยที่ ๑ เป็นประธานกรรมการสุขาภิบาลกำแพงแสน จำเลยที่ ๒ เป็นนายกเทศมนตรีตำบลกำแพงแสน และจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นเทศบาลตำบลกำแพงแสน ตามมูลหนี้สัญญาว่าจ้างก่อสร้าง ดังนั้น จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นผู้กระทำการแทนจำเลยที่ ๓ ซึ่งจำเลยที่ ๓ เป็นหน่วยบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะสุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ. ๒๕๔๒ กรณีจึงถือได้ว่าเป็นสัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายให้กระทำการแทนรัฐ เมื่อข้อพิพาทคดีนี้มีมูลอันเนื่องมาจากสัญญาจ้างก่อสร้างวางท่อน้ำประปา ซึ่งการประปาถือว่าเป็นสาธารณูปโภคที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนโดยตรงโดยรัฐเป็นผู้จัดให้มีขึ้น
ดังนั้น สัญญานี้จึงเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายให้กระทำการแทนรัฐ ทั้งเป็นสัญญาที่จัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคอันอยู่ใน ความหมายของสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง ฯ คดีพิพาทนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีเกี่ยวกับสัญญาก่อสร้างวางท่อน้ำประปา ระหว่าง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. กิจสยาม โจทก์ กับนายประสิทธิ์ ศรีสุขจร นายเกรียงไกร ชูศิลป์กุล และเทศบาลตำบลกำแพงแสน จำเลยทั้งสาม อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลปกครองกลาง
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๔/๒๕๔๕
วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) ประกอบกับมาตรา ๓
ศาลจังหวัดนครปฐม
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนครปฐมได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และวรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาล
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๔ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. กิจสยาม โดยนายสุทธิชัย เพียรภักดีสกุล เป็นโจทก์ฟ้อง นายประสิทธิ์ ศรีสุขจร นายเกรียงไกร ชูศิลป์กุล และเทศบาลตำบลกำแพงแสน โดยนายซ้อน อ่อนศิริ นายกเทศมนตรี เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดนครปฐม ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๒๖๑/๒๕๔๔ ขอให้ชำระหนี้ค่าก่อสร้างซึ่งโจทก์ได้รับเหมาก่อสร้างวางท่อน้ำประปาของสุขาภิบาลกำแพงแสน เนื่องจากมีการขยายถนนกำแพงแสน - สุพรรณบุรี ทำให้ท่อน้ำประปาสุขาภิบาลทั้งสองฝั่งเดิมได้รับความเสียหายและใช้การไม่ได้เป็นเหตุให้ประชาชนในเขตอำเภอกำแพงแสนได้รับความเดือดร้อน คณะกรรมการสุขาภิบาลกำแพงแสนขณะนั้นมีมติในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๔๒ วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๔๒ เห็นชอบให้มีการจัดจ้างโจทก์โดยวิธีพิเศษ เป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๑๒๕,๐๐๐ บาท สุขาภิบาลกำแพงแสนได้แจ้งให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างตามแบบที่สุขาภิบาลกำแพงแสนกำหนดได้ทันที เมื่องานแล้วเสร็จตามแบบและสุขาภิบาลกำแพงแสนมีงบประมาณเพียงพอก็จะจ่ายเงินให้โจทก์ โจทก์จึงดำเนินการก่อสร้างตามแบบที่สุขาภิบาลกำแพงแสนกำหนด โดยมีการวางท่อน้ำประปาและติดตั้งท่อจ่ายน้ำดับเพลิงและข้อต่อแยกเป็นระยะทางทั้งสิ้น ๑,๑๕๐ เมตร เริ่มจากถนนมาลัยแมนฝั่งขวา บริเวณหน้าธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) สาขากำแพงแสน จนถึงทางแยกถนนสุขาภิบาล ๑๖ หลังจากโจทก์ก่อสร้างแล้วเสร็จได้แจ้งจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นประธานกรรมการสุขาภิบาลกำแพงแสนตรวจรับงาน โดยจำเลยที่ ๑ ได้ไปตรวจความเรียบร้อยพร้อมกับเจ้าหน้าที่ ปรากฏว่างานที่โจทก์รับเหมาเสร็จสมบูรณ์ตามแบบแปลนและได้มีการเชื่อมท่อเข้าระบบของท่อน้ำประปาที่โจทก์ได้ก่อสร้างไว้ก่อนแล้ว แต่จำเลยที่ ๑ มิได้จัดตั้งหรือกันงบประมาณเพื่อจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ คงประวิงเวลาการชำระค่าก่อสร้างให้แก่โจทก์เรื่อยมา โดยอ้างว่างบประมาณยังไม่เพียงพอที่จะชำระให้แก่โจทก์ได้ จนกระทั่ง ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๔๒ ทางราชการได้ออกกฎหมายยกฐานะสุขาภิบาลกำแพงแสนขึ้นเป็นเทศบาลตำบลกำแพงแสน พร้อมได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเกี่ยวกับการยกฐานะเทศบาลตำบลกำแพงแสนเพื่อให้มีผลตามกฎหมาย หลังจากได้มีการยกฐานะเทศบาลตำบลกำแพงแสนแล้ว บรรดาทรัพย์สินและสิทธิต่าง ๆ ของสุขาภิบาลกำแพงแสนจึงตกเป็นของเทศบาลตำบลกำแพงแสนทันทีโดยผลของกฎหมาย โจทก์จึงขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน ๑,๔๓๔,๓๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑,๑๒๕,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ยื่นคำร้องว่า เทศบาลตำบลกำแพงแสนซึ่งเป็นคู่สัญญาเกี่ยวกับการว่าจ้างวางท่อประปา เป็นหน่วยงานสังกัดกรมการปกครอง จึงเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลที่กระทำการแทนรัฐและปรากฏว่าสัญญาที่โจทก์กล่าวอ้างมีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ จึงต้องด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) เมื่อคดีดังกล่าวเป็นคดีที่เกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง โจทก์จึงต้องยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลปกครองกลาง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่จะต้องพิจารณา สัญญาจ้างก่อสร้างวางท่อน้ำประปาระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. กิจสยาม กับนายประสิทธิ์ ศรีสุขจร นายเกรียงไกร ชูศิลป์กุล และเทศบาลตำบลกำแพงแสน เป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ และอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีในคดีนี้เป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการปฏิบัติในฐานะผู้รับจ้างกับผู้ว่าจ้างตามสัญญาจ้างก่อสร้างวางท่อน้ำประปา ซึ่งเป็นสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสาม และโดยที่มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง จึงมีประเด็นต้องพิจารณาว่า สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ มาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ได้บัญญัติว่า "สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งต้องเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายให้กระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ" ซึ่งจากข้อเท็จจริงในคดีนี้ โจทก์ บรรยายฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิด โดยจำเลยที่ ๑ เป็นประธานกรรมการสุขาภิบาลกำแพงแสน จำเลยที่ ๒ เป็นนายกเทศมนตรีตำบลกำแพงแสน และจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นเทศบาลตำบลกำแพงแสน ตามมูลหนี้สัญญาว่าจ้างก่อสร้าง ดังนั้น จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นผู้กระทำการแทนจำเลยที่ ๓ ซึ่งจำเลยที่ ๓ เป็นหน่วยบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะสุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ. ๒๕๔๒ กรณีจึงถือได้ว่าเป็นสัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายให้กระทำการแทนรัฐ เมื่อข้อพิพาทคดีนี้มีมูลอันเนื่องมาจากสัญญาจ้างก่อสร้างวางท่อน้ำประปา ซึ่งการประปาถือว่าเป็นสาธารณูปโภคที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนโดยตรงโดยรัฐเป็นผู้จัดให้มีขึ้น
ดังนั้น สัญญานี้จึงเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายให้กระทำการแทนรัฐ ทั้งเป็นสัญญาที่จัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคอันอยู่ใน ความหมายของสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง ฯ คดีพิพาทนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีเกี่ยวกับสัญญาก่อสร้างวางท่อน้ำประปา ระหว่าง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. กิจสยาม โจทก์ กับนายประสิทธิ์ ศรีสุขจร นายเกรียงไกร ชูศิลป์กุล และเทศบาลตำบลกำแพงแสน จำเลยทั้งสาม อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลปกครองกลาง
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบกับมาตรา ๓
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๓/๒๕๔๕
วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑)
ศาลจังหวัดลพบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดลพบุรีส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็น มีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาล
ข้อเท็จจริงในคดี
นางสมปองจิต ภูนคร โจทก์ ยื่นฟ้องนายสุพจน์ สอนสะอาด กรมที่ดิน และนายอำเภอเมืองลพบุรี เป็นจำเลย ต่อศาลจังหวัดลพบุรี ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เลขที่ ๑๕ หมู่ที่ ๘ ตำบลเขาพระงาม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี เนื้อที่ส่วนที่ครอบครองประมาณ ๗ ไร่ ๘๐ ตารางวา เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๓๔ โจทก์ตกลงขายที่ดิน ตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๕ ให้แก่นายธงชัย มะลิลา ราคาไร่ละ ๓๘๐,๐๐๐ บาท ได้ทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายและวางเงินมัดจำ ๓๐๐,๐๐๐ บาท โดยส่วนที่เหลือจะชำระภายในวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ ปรากฏว่าเมื่อในวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๔ นายเสรี หาญพานิช เจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๔๒, ๑๘๖, ๙๕/๕๒ และ ๕๘๓ ได้ยื่นคำขอต่อจำเลยที่ ๓ ขอรวมที่ดินที่ครอบครองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเข้าเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับเดียวกัน จำเลยที่ ๓ ได้มีคำสั่งให้จำเลย ที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน สำนักงานที่ดินจังหวัดลพบุรีดำเนินการ และจำเลยที่ ๑ ได้ดำเนินการรังวัดที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๕ ของโจทก์ รวมเข้าไปด้วย ทำให้ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับใหม่ เลขที่ ๔๒ ซึ่งจำเลยที่ ๑ และ ที่ ๓ ได้ออกให้แก่นายเสรี หาญพานิช มีเนื้อที่เพิ่มขึ้นจากเดิม โจทก์เห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมาย จึงขอให้ศาลจังหวัดลพบุรีมีคำพิพากษาเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๔๒ เล่มที่ ๕ หน้า ๑๔๘ หมู่ ๘ ตำบลเขาพระงาม อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ศาลจังหวัดลพบุรีพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์อันเนื่องจากการกระทำของเจ้าพนักงานของรัฐ ซึ่งเป็นนิติกรรมทางปกครอง ข้อพิพาทดังกล่าวจึงเป็นการพิพาทกันในทางปกครองอันอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง จึงให้ส่งความเห็นไปยังศาลปกครอง
ศาลปกครองกลางเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ได้บัญญัติรับรองสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลไว้ในมาตรา ๔๘ ว่าสิทธิของบุคคลในทรัพย์สินย่อมได้รับความคุ้มครอง ขอบเขตแห่งสิทธิและการจำกัดสิทธิเช่นว่านี้ย่อมเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ และในมาตรา ๒๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ยังได้บัญญัติว่า บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาล คดีนี้โจทก์เห็นว่าสิทธิในทรัพย์สินของโจทก์ถูกละเมิด โจทก์ย่อมสามารถยกบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ เพื่อใช้สิทธิทางศาล ศาลตามนัยแห่งบทบัญญัตินี้ย่อมหมายถึงศาลที่เปิดทำการอยู่ในเวลาที่โจทก์ประสงค์ใช้สิทธิ ดังนั้นในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ แม้ว่าพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลบังคับใช้แล้ว แต่ยังไม่มีศาลปกครองใดเปิดทำการ โจทก์จึงต้องฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นศาลยุติธรรมที่มีเขตอำนาจ เนื่องจากจำเลยมีภูมิลำเนาและมูลคดีเกิดขึ้นในเขต อีกทั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๗๑ ได้บัญญัติให้ศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวงเว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญนี้หรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น ศาลจังหวัดลพบุรีจึงมีอำนาจรับคดีนี้ไว้พิจารณาพิพากษา
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา เมื่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลใช้บังคับ แต่ยังไม่มีการประกาศเปิดทำการศาลปกครอง บุคคลสามารถฟ้องคดีปกครองต่อศาลอื่นได้หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๗๑ บัญญัติว่า "ศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวงเว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญนี้หรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น" ส่วนมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาลกับเอกชน...ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำหรือละเว้นการกระทำที่หน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย...ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ" ทั้งสองมาตรานี้เป็นบทบัญญัติที่กำหนดอำนาจของศาลยุติธรรมและศาลปกครองที่แตกต่างกัน กล่าวคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดให้ศาลยุติธรรมเป็นศาลที่มีอำนาจทั่วไปในการพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายกำหนดไม่ให้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ส่วนศาลปกครองเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเฉพาะประเภทตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนดเท่านั้น ศาลยุติธรรมที่มีอำนาจทั่วไปจึงมีอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดีที่ยังไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลหนึ่งศาลใดโดยเฉพาะ
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ยกเลิกหรือเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๔๒ เล่มที่ ๕ หน้า ๑๔๘ หมู่ ๘ ตำบลเขาพระงาม อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี โดยอ้างว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมาย โดยโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดลพบุรีในวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๔๔ ซึ่งเป็นวันที่หลังจากพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลใช้บังคับแล้ว แต่ศาลปกครองเปิดทำการเมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๔ ขณะนั้นจึงยังไม่มีศาลปกครองที่มีเขตอำนาจเหนือคดีนี้ คงมีแต่เพียงศาลยุติธรรมเท่านั้น ดังนั้นศาลยุติธรรมย่อมมีอำนาจในการรับคดีดังกล่าวไว้พิจารณาพิพากษาได้
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีฟ้องขอให้ยกเลิกหรือเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ยื่นฟ้องภายหลังพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลใช้บังคับ แต่ศาลปกครองยังไม่เปิดทำการ ระหว่าง นางสมปองจิต ภูนคร โจทก์ กับ นายสุพจน์ สอนสะอาด กรมที่ดิน และนายอำเภอเมืองลพบุรี จำเลย อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลจังหวัดลพบุรี
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๓/๒๕๔๕
วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑)
ศาลจังหวัดลพบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดลพบุรีส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็น มีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาล
ข้อเท็จจริงในคดี
นางสมปองจิต ภูนคร โจทก์ ยื่นฟ้องนายสุพจน์ สอนสะอาด กรมที่ดิน และนายอำเภอเมืองลพบุรี เป็นจำเลย ต่อศาลจังหวัดลพบุรี ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เลขที่ ๑๕ หมู่ที่ ๘ ตำบลเขาพระงาม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี เนื้อที่ส่วนที่ครอบครองประมาณ ๗ ไร่ ๘๐ ตารางวา เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๓๔ โจทก์ตกลงขายที่ดิน ตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๕ ให้แก่นายธงชัย มะลิลา ราคาไร่ละ ๓๘๐,๐๐๐ บาท ได้ทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายและวางเงินมัดจำ ๓๐๐,๐๐๐ บาท โดยส่วนที่เหลือจะชำระภายในวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ ปรากฏว่าเมื่อในวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๔ นายเสรี หาญพานิช เจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๔๒, ๑๘๖, ๙๕/๕๒ และ ๕๘๓ ได้ยื่นคำขอต่อจำเลยที่ ๓ ขอรวมที่ดินที่ครอบครองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเข้าเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับเดียวกัน จำเลยที่ ๓ ได้มีคำสั่งให้จำเลย ที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน สำนักงานที่ดินจังหวัดลพบุรีดำเนินการ และจำเลยที่ ๑ ได้ดำเนินการรังวัดที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๕ ของโจทก์ รวมเข้าไปด้วย ทำให้ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับใหม่ เลขที่ ๔๒ ซึ่งจำเลยที่ ๑ และ ที่ ๓ ได้ออกให้แก่นายเสรี หาญพานิช มีเนื้อที่เพิ่มขึ้นจากเดิม โจทก์เห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมาย จึงขอให้ศาลจังหวัดลพบุรีมีคำพิพากษาเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๔๒ เล่มที่ ๕ หน้า ๑๔๘ หมู่ ๘ ตำบลเขาพระงาม อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ศาลจังหวัดลพบุรีพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์อันเนื่องจากการกระทำของเจ้าพนักงานของรัฐ ซึ่งเป็นนิติกรรมทางปกครอง ข้อพิพาทดังกล่าวจึงเป็นการพิพาทกันในทางปกครองอันอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง จึงให้ส่งความเห็นไปยังศาลปกครอง
ศาลปกครองกลางเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ได้บัญญัติรับรองสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลไว้ในมาตรา ๔๘ ว่าสิทธิของบุคคลในทรัพย์สินย่อมได้รับความคุ้มครอง ขอบเขตแห่งสิทธิและการจำกัดสิทธิเช่นว่านี้ย่อมเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ และในมาตรา ๒๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ยังได้บัญญัติว่า บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาล คดีนี้โจทก์เห็นว่าสิทธิในทรัพย์สินของโจทก์ถูกละเมิด โจทก์ย่อมสามารถยกบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ เพื่อใช้สิทธิทางศาล ศาลตามนัยแห่งบทบัญญัตินี้ย่อมหมายถึงศาลที่เปิดทำการอยู่ในเวลาที่โจทก์ประสงค์ใช้สิทธิ ดังนั้นในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ แม้ว่าพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลบังคับใช้แล้ว แต่ยังไม่มีศาลปกครองใดเปิดทำการ โจทก์จึงต้องฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นศาลยุติธรรมที่มีเขตอำนาจ เนื่องจากจำเลยมีภูมิลำเนาและมูลคดีเกิดขึ้นในเขต อีกทั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๗๑ ได้บัญญัติให้ศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวงเว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญนี้หรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น ศาลจังหวัดลพบุรีจึงมีอำนาจรับคดีนี้ไว้พิจารณาพิพากษา
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา เมื่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลใช้บังคับ แต่ยังไม่มีการประกาศเปิดทำการศาลปกครอง บุคคลสามารถฟ้องคดีปกครองต่อศาลอื่นได้หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๗๑ บัญญัติว่า "ศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวงเว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญนี้หรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น" ส่วนมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาลกับเอกชน...ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำหรือละเว้นการกระทำที่หน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย...ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ" ทั้งสองมาตรานี้เป็นบทบัญญัติที่กำหนดอำนาจของศาลยุติธรรมและศาลปกครองที่แตกต่างกัน กล่าวคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดให้ศาลยุติธรรมเป็นศาลที่มีอำนาจทั่วไปในการพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายกำหนดไม่ให้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ส่วนศาลปกครองเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเฉพาะประเภทตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนดเท่านั้น ศาลยุติธรรมที่มีอำนาจทั่วไปจึงมีอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดีที่ยังไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลหนึ่งศาลใดโดยเฉพาะ
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ยกเลิกหรือเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๔๒ เล่มที่ ๕ หน้า ๑๔๘ หมู่ ๘ ตำบลเขาพระงาม อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี โดยอ้างว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมาย โดยโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดลพบุรีในวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๔๔ ซึ่งเป็นวันที่หลังจากพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลใช้บังคับแล้ว แต่ศาลปกครองเปิดทำการเมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๔ ขณะนั้นจึงยังไม่มีศาลปกครองที่มีเขตอำนาจเหนือคดีนี้ คงมีแต่เพียงศาลยุติธรรมเท่านั้น ดังนั้นศาลยุติธรรมย่อมมีอำนาจในการรับคดีดังกล่าวไว้พิจารณาพิพากษาได้
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีฟ้องขอให้ยกเลิกหรือเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ยื่นฟ้องภายหลังพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลใช้บังคับ แต่ศาลปกครองยังไม่เปิดทำการ ระหว่าง นางสมปองจิต ภูนคร โจทก์ กับ นายสุพจน์ สอนสะอาด กรมที่ดิน และนายอำเภอเมืองลพบุรี จำเลย อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลจังหวัดลพบุรี
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๒/๒๕๔๕
วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดนครนายก
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง ประกอบกับมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้องเพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน
ข้อเท็จจริงในคดี
นายสังวาลย์ อิศรางกูร เป็นโจทก์ฟ้อง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ ๑ กระทรวงกลาโหม ที่ ๒ นางสว่าง จันทร์กระจ่าง ที่ ๓ และนางสุภาพ ศรีอร่าม ที่ ๔ เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดนครนายก อ้างว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมีหลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่หรือ ภ.บ.ท. ๕ ตั้งอยู่หมู่ที่ ๔ ตำบลศรีกะอาง อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เนื้อที่จำนวน ๒๕ ไร่ ๒ งาน ๓๔ ตารางวา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ต้องการที่ดินในเขตตำบลศรีกะอาง อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เพื่อก่อสร้างโรงเรียนเตรียมทหาร แต่ถูกต่อต้านจากราษฎรผู้ถือครองที่ดินบริเวณดังกล่าว ต่อมา จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ จึงได้แต่งตั้งจำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๔ เป็นตัวแทนในการเจรจากับราษฎรที่ถือครองที่ดิน โดยจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ตกลงจะจ่ายเงินค่าชดเชยที่ดินและค่ารื้อถอนขนย้ายทรัพย์สินให้ราษฎรในอัตราไร่ละ ๔๕,๐๐๐ บาท ซึ่งโจทก์จะได้เงินรวมเป็นจำนวน ๑,๑๒๕,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ได้ออกตั๋วแลกเงินเป็นจำนวนหลายฉบับสั่งจ่ายแก่จำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๔ เพื่อส่งมอบให้โจทก์และราษฎรอื่น แต่จำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๔ ไม่นำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระให้แก่โจทก์ กลับนำเอาเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้ประโยชน์สำหรับตนเองและผู้อื่นโดยทุจริต จึงถือว่าเกิดจากความบกพร่องผิดพลาดในการตกลงของจำเลยที่ ๑ และจำเลย ที่ ๒ โดยตรง และทำให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์จากการกระทำทุจริตของจำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๔ ด้วย ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน ๑,๑๒๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลจังหวัดนครนายกพิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีเป็นเรื่องฟ้องให้จำเลยทั้ง ๔ ร่วมรับผิดชดใช้ค่าชดเชยที่ดิน อันเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ต่อมา โจทก์ได้ฟ้องสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และกระทรวงกลาโหม ในคดีดังกล่าวต่อศาลปกครองกลาง แต่ศาลปกครองกลางเห็นว่า ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองเท่านั้น และตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว สัญญาที่จะเป็นสัญญาทางปกครองได้นั้น ต้องเป็นสัญญาที่มีลักษณะสำคัญ คือ คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งต้องเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายให้กระทำการแทนรัฐ และสัญญานั้นมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ หรือเป็นสัญญาที่ให้คู่สัญญาเข้าดำเนินการหรือเข้าร่วมดำเนินการบริการสาธารณะโดยตรงหรือเป็นสัญญาที่มีข้อกำหนดในสัญญาซึ่งมีลักษณะพิเศษที่แสดงถึงเอกสิทธิ์ของรัฐ เพื่อให้การดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล สัญญาหรือข้อตกลงระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง ๒ หาได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองดังกล่าวข้างต้นไม่ คดีจึงไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมที่จะพิจารณาพิพากษาตามมาตรา ๒๗๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ศาลปกครองกลางจึงไม่รับคดีนี้ไว้พิจารณา
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การฟ้องเรียกเงินค่าชดเชยที่ดินและค่ารื้อถอนของราษฎร ในบริเวณพื้นที่ก่อสร้างโรงเรียนเตรียมทหารอยู่ในอำนาจของศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า ที่ดินในคดีนี้เป็นที่ราชพัสดุตามพระราชกฤษฎีกา จังหวัดนครนายก พุทธศักราช ๒๔๘๔ ซึ่งกองทัพบกเป็นผู้ดูแลและใช้ที่ดินดังกล่าวในกิจการของทางราชการทหารโดยกองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม ต้องการสร้างโรงเรียนเตรียมทหารบนที่ดินดังกล่าว เมื่อปรากฏว่ามีราษฎรจำนวนมากอาศัยและทำประโยชน์ในที่ดินนั้น กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม จึงได้มีคำสั่งกองบัญชาการทหารสูงสุด (เฉพาะ) ที่ ๘๖๗/๓๗ ลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๓๗ ตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของราษฎรบริเวณพื้นที่ก่อสร้างโรงเรียนเตรียมทหาร โดยมีผู้แทนสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (นายอารักษ์ สุนทรส)
เป็นหนึ่งในคณะทำงาน ซึ่งคณะทำงานฯ ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ ๑ วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ ให้จ่ายค่าชดเชยแก่ราษฎรในพื้นที่ดังกล่าว ต่อมาคณะทำงานฯ โดยพลโท สัมพันธ์ บุญญานันต์ ประธานคณะทำงาน และนายอารักษ์ สุนทรส ผู้แทนสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คณะทำงานได้ทำบันทึกข้อตกลงกับนางสว่าง จันทร์กระจ่างและนางสุภาพ ศรีอร่าม ให้บุคคลทั้งสองเป็นผู้เข้าดำเนินการเจรจาให้ราษฎรผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ขนย้ายทรัพย์สินและส่งมอบที่ดินดังกล่าวแก่คณะทำงานฯ ในสภาพเรียบร้อย โดยกำหนดค่าชดเชยให้ในอัตราไร่ละ ๔๕,๐๐๐ บาท
คำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของราษฎรบริเวณพื้นที่ก่อสร้างโรงเรียนเตรียมทหาร ของผู้บัญชาการทหารสูงสุด กำหนดให้คณะทำงานฯ มีอำนาจหน้าที่ดังนี้
๑. สำรวจและจัดทำรายละเอียด การบุกรุกของราษฎรในพื้นที่ โดยประสานรายละเอียด กับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้โดยตรง
๒. จัดทำรายละเอียดความต้องการงบประมาณในด้านการชดเชยค่าที่ดิน สิ่งปลูกสร้างและพืชไร่ ให้กับราษฎรในพื้นที่
๓. ดำเนินกรรมวิธีการจ่ายเงินในข้อ ๒ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการร่วมโครงการก่อสร้างและย้ายโรงเรียนเตรียมทหาร
การดำเนินการทั้งหลายของคณะทำงานฯ โดยเฉพาะการทำบันทึกข้อตกลงเพื่อรวบรวมที่ดินสำหรับใช้ในการก่อสร้างโรงเรียนเตรียมทหาร ณ บริเวณตำบลศรีกะอาง อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก กับนางสว่าง จันทร์กระจ่าง และนางสุภาพ ศรีอร่าม จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของทางราชการทหาร คือ กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม ตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมาจากคำสั่งของผู้บัญชาการทหารสูงสุด ถือว่าคณะทำงานฯ ทำการไปในฐานะผู้แทนของกองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม ซึ่งถือเป็นหน่วยงานของรัฐ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการระหว่างหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชนมิได้ถูกจำกัดว่าจะต้องใช้วิธีการทางปกครองเสมอไป หน่วยงานของรัฐอาจเลือกใช้วิธีการตามกฎหมายเอกชนในการดำเนินการก็ได้
ข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่า ราษฎรบางส่วนได้ยื่นเรื่องของเอกสารแสดงสิทธิครอบครองแล้ว และบางส่วนไม่ต้องการขาย กระทรวงกลาโหมจึงดำเนินการโดยการตั้งคณะทำงานฯ ไปเจรจากับราษฎรที่บุกรุก แสดงว่ากระทรวงกลาโหมดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินดังกล่าวจากราษฎรโดยใช้กฎหมายแพ่ง มิได้ใช้อำนาจรัฐในการบังคับเอาจากราษฎรโดยการเวนคืนแต่อย่างไร รวมทั้งบันทึกข้อตกลงระหว่างคณะทำงานฯ กับนางสว่าง จันทร์กระจ่าง และนางสุภาพ ศรีอร่าม ในการดำเนินการเจรจากับราษฎรผู้ครอบครองที่ดินก็มิได้มีข้อหนึ่งข้อใดมอบให้บุคคลทั้งสองไปใช้อำนาจเหนือราษฎร มิได้ให้เอกสิทธิ์แก่คณะทำงานฯ เป็นพิเศษให้มีสถานะที่เหนือกว่าเอกชน นิติสัมพันธ์ระหว่างกระทรวงกลาโหม คณะทำงานฯ และราษฎร จึงเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีฟ้องเรียกเงินค่าชดเชยที่ดินและค่ารื้อถอน ระหว่างนายสังวาลย์ อิศรางกูร ผู้ฟ้องคดี กับ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กระทรวงกลาโหม นางสว่าง จันทร์กระจ่าง และ นางสุภาพ ศรีอร่าม ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ ศาลที่มีอำนาจได้แก่ ศาลจังหวัดนครนายก
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๒/๒๕๔๕
วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดนครนายก
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง ประกอบกับมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้องเพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน
ข้อเท็จจริงในคดี
นายสังวาลย์ อิศรางกูร เป็นโจทก์ฟ้อง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ ๑ กระทรวงกลาโหม ที่ ๒ นางสว่าง จันทร์กระจ่าง ที่ ๓ และนางสุภาพ ศรีอร่าม ที่ ๔ เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดนครนายก อ้างว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมีหลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่หรือ ภ.บ.ท. ๕ ตั้งอยู่หมู่ที่ ๔ ตำบลศรีกะอาง อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เนื้อที่จำนวน ๒๕ ไร่ ๒ งาน ๓๔ ตารางวา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ต้องการที่ดินในเขตตำบลศรีกะอาง อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เพื่อก่อสร้างโรงเรียนเตรียมทหาร แต่ถูกต่อต้านจากราษฎรผู้ถือครองที่ดินบริเวณดังกล่าว ต่อมา จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ จึงได้แต่งตั้งจำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๔ เป็นตัวแทนในการเจรจากับราษฎรที่ถือครองที่ดิน โดยจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ตกลงจะจ่ายเงินค่าชดเชยที่ดินและค่ารื้อถอนขนย้ายทรัพย์สินให้ราษฎรในอัตราไร่ละ ๔๕,๐๐๐ บาท ซึ่งโจทก์จะได้เงินรวมเป็นจำนวน ๑,๑๒๕,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ได้ออกตั๋วแลกเงินเป็นจำนวนหลายฉบับสั่งจ่ายแก่จำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๔ เพื่อส่งมอบให้โจทก์และราษฎรอื่น แต่จำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๔ ไม่นำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระให้แก่โจทก์ กลับนำเอาเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้ประโยชน์สำหรับตนเองและผู้อื่นโดยทุจริต จึงถือว่าเกิดจากความบกพร่องผิดพลาดในการตกลงของจำเลยที่ ๑ และจำเลย ที่ ๒ โดยตรง และทำให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์จากการกระทำทุจริตของจำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๔ ด้วย ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน ๑,๑๒๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลจังหวัดนครนายกพิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีเป็นเรื่องฟ้องให้จำเลยทั้ง ๔ ร่วมรับผิดชดใช้ค่าชดเชยที่ดิน อันเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ต่อมา โจทก์ได้ฟ้องสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และกระทรวงกลาโหม ในคดีดังกล่าวต่อศาลปกครองกลาง แต่ศาลปกครองกลางเห็นว่า ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองเท่านั้น และตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว สัญญาที่จะเป็นสัญญาทางปกครองได้นั้น ต้องเป็นสัญญาที่มีลักษณะสำคัญ คือ คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งต้องเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายให้กระทำการแทนรัฐ และสัญญานั้นมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ หรือเป็นสัญญาที่ให้คู่สัญญาเข้าดำเนินการหรือเข้าร่วมดำเนินการบริการสาธารณะโดยตรงหรือเป็นสัญญาที่มีข้อกำหนดในสัญญาซึ่งมีลักษณะพิเศษที่แสดงถึงเอกสิทธิ์ของรัฐ เพื่อให้การดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล สัญญาหรือข้อตกลงระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง ๒ หาได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองดังกล่าวข้างต้นไม่ คดีจึงไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมที่จะพิจารณาพิพากษาตามมาตรา ๒๗๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ศาลปกครองกลางจึงไม่รับคดีนี้ไว้พิจารณา
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การฟ้องเรียกเงินค่าชดเชยที่ดินและค่ารื้อถอนของราษฎร ในบริเวณพื้นที่ก่อสร้างโรงเรียนเตรียมทหารอยู่ในอำนาจของศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า ที่ดินในคดีนี้เป็นที่ราชพัสดุตามพระราชกฤษฎีกา จังหวัดนครนายก พุทธศักราช ๒๔๘๔ ซึ่งกองทัพบกเป็นผู้ดูแลและใช้ที่ดินดังกล่าวในกิจการของทางราชการทหารโดยกองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม ต้องการสร้างโรงเรียนเตรียมทหารบนที่ดินดังกล่าว เมื่อปรากฏว่ามีราษฎรจำนวนมากอาศัยและทำประโยชน์ในที่ดินนั้น กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม จึงได้มีคำสั่งกองบัญชาการทหารสูงสุด (เฉพาะ) ที่ ๘๖๗/๓๗ ลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๓๗ ตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของราษฎรบริเวณพื้นที่ก่อสร้างโรงเรียนเตรียมทหาร โดยมีผู้แทนสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (นายอารักษ์ สุนทรส)
เป็นหนึ่งในคณะทำงาน ซึ่งคณะทำงานฯ ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ ๑ วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ ให้จ่ายค่าชดเชยแก่ราษฎรในพื้นที่ดังกล่าว ต่อมาคณะทำงานฯ โดยพลโท สัมพันธ์ บุญญานันต์ ประธานคณะทำงาน และนายอารักษ์ สุนทรส ผู้แทนสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คณะทำงานได้ทำบันทึกข้อตกลงกับนางสว่าง จันทร์กระจ่างและนางสุภาพ ศรีอร่าม ให้บุคคลทั้งสองเป็นผู้เข้าดำเนินการเจรจาให้ราษฎรผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ขนย้ายทรัพย์สินและส่งมอบที่ดินดังกล่าวแก่คณะทำงานฯ ในสภาพเรียบร้อย โดยกำหนดค่าชดเชยให้ในอัตราไร่ละ ๔๕,๐๐๐ บาท
คำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของราษฎรบริเวณพื้นที่ก่อสร้างโรงเรียนเตรียมทหาร ของผู้บัญชาการทหารสูงสุด กำหนดให้คณะทำงานฯ มีอำนาจหน้าที่ดังนี้
๑. สำรวจและจัดทำรายละเอียด การบุกรุกของราษฎรในพื้นที่ โดยประสานรายละเอียด กับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้โดยตรง
๒. จัดทำรายละเอียดความต้องการงบประมาณในด้านการชดเชยค่าที่ดิน สิ่งปลูกสร้างและพืชไร่ ให้กับราษฎรในพื้นที่
๓. ดำเนินกรรมวิธีการจ่ายเงินในข้อ ๒ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการร่วมโครงการก่อสร้างและย้ายโรงเรียนเตรียมทหาร
การดำเนินการทั้งหลายของคณะทำงานฯ โดยเฉพาะการทำบันทึกข้อตกลงเพื่อรวบรวมที่ดินสำหรับใช้ในการก่อสร้างโรงเรียนเตรียมทหาร ณ บริเวณตำบลศรีกะอาง อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก กับนางสว่าง จันทร์กระจ่าง และนางสุภาพ ศรีอร่าม จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของทางราชการทหาร คือ กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม ตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมาจากคำสั่งของผู้บัญชาการทหารสูงสุด ถือว่าคณะทำงานฯ ทำการไปในฐานะผู้แทนของกองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม ซึ่งถือเป็นหน่วยงานของรัฐ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการระหว่างหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชนมิได้ถูกจำกัดว่าจะต้องใช้วิธีการทางปกครองเสมอไป หน่วยงานของรัฐอาจเลือกใช้วิธีการตามกฎหมายเอกชนในการดำเนินการก็ได้
ข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่า ราษฎรบางส่วนได้ยื่นเรื่องของเอกสารแสดงสิทธิครอบครองแล้ว และบางส่วนไม่ต้องการขาย กระทรวงกลาโหมจึงดำเนินการโดยการตั้งคณะทำงานฯ ไปเจรจากับราษฎรที่บุกรุก แสดงว่ากระทรวงกลาโหมดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินดังกล่าวจากราษฎรโดยใช้กฎหมายแพ่ง มิได้ใช้อำนาจรัฐในการบังคับเอาจากราษฎรโดยการเวนคืนแต่อย่างไร รวมทั้งบันทึกข้อตกลงระหว่างคณะทำงานฯ กับนางสว่าง จันทร์กระจ่าง และนางสุภาพ ศรีอร่าม ในการดำเนินการเจรจากับราษฎรผู้ครอบครองที่ดินก็มิได้มีข้อหนึ่งข้อใดมอบให้บุคคลทั้งสองไปใช้อำนาจเหนือราษฎร มิได้ให้เอกสิทธิ์แก่คณะทำงานฯ เป็นพิเศษให้มีสถานะที่เหนือกว่าเอกชน นิติสัมพันธ์ระหว่างกระทรวงกลาโหม คณะทำงานฯ และราษฎร จึงเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีฟ้องเรียกเงินค่าชดเชยที่ดินและค่ารื้อถอน ระหว่างนายสังวาลย์ อิศรางกูร ผู้ฟ้องคดี กับ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กระทรวงกลาโหม นางสว่าง จันทร์กระจ่าง และ นางสุภาพ ศรีอร่าม ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ ศาลที่มีอำนาจได้แก่ ศาลจังหวัดนครนายก
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑/๒๕๔๕
วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแรงงานกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการฯ
ศาลปกครองกลางได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๐(๓) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจของศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและรับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
คนหางานจำนวน ๑๓ คนได้ร้องเรียนต่ออธิบดีกรมการจัดหางานว่า บริษัทจัดหางาน ซาโก้ เอ็กซ์เพรส จำกัด ไม่สามารถจัดหางานให้ตามที่สัญญาอันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ อธิบดีกรมการจัดหางานในฐานะนายทะเบียนจัดหางานกลางจึงได้มีคำสั่งให้บริษัทคืนค่าบริการและค่าใช้จ่ายแก่คนหางานดังกล่าว แต่บริษัทไม่คืนเนื่องจากเห็นว่าคำสั่ง ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และอุทธรณ์ต่อปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ซึ่งปลัดกระทรวงฯ วินิจฉัยยกอุทธรณ์ นายทะเบียนจัดหางานกลางจึงมีคำสั่งให้หักหลักประกันเป็นจำนวนเงิน ๕๖๗,๐๐๐ บาท และมีคำสั่งให้วางหลักประกันเพิ่ม ระหว่างนั้นบริษัทได้ยื่นคำขอต่อใบอนุญาตจัดหางาน แต่อธิบดีกรมการจัดหางานไม่พิจารณาต่ออายุใบอนุญาตให้ และต่อมาได้มีคำสั่งพักใช้ใบอนุญาตของบริษัท เป็นเวลา ๑๒๐ วัน ซึ่งบริษัทเห็นว่าเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการสั่งพักใช้ใบอนุญาตในขณะที่ใบอนุญาตสิ้นอายุไปแล้ว บริษัทได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ซึ่งได้มีคำสั่งยกอุทธรณ์ของบริษัท นอกจากนี้บริษัทยังเห็นว่า กฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๖ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการกำหนดให้มีผลย้อนหลังก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท บริษัทจึงฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเพื่อโต้แย้งคำสั่งของอธิบดีกรมการจัดหางานในฐานะนายทะเบียนจัดหางานกลางและปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมและขอให้ศาลปกครองกลางมีคำสั่งหรือคำพิพากษาดังต่อไปนี้
๑. เพิกถอนคำสั่งที่ รส ๐๓๑๑/๒๐๘๑ ลงวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๔๓ เรื่อง หักหลักประกันบริษัทจัดหางาน ซาโก้ เอ็กซ์เพรส จำกัด ของอธิบดีกรมการจัดหางานในฐานะนายทะเบียนจัดหางานกลาง
๒. เพิกถอนคำวินิจฉัยที่ ๑๕/๒๕๔๓ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ เรื่อง วินิจฉัย
ยกคำอุทธรณ์ของบริษัทจัดหางาน ซาโก้ เอ็กซ์เพรส จำกัด ของปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
๓. สั่งให้อธิบดีกรมการจัดหางานในฐานะนายทะเบียนจัดหางานกลางคืนเงินประกันจำนวน ๕๖๗,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่บริษัท
๔. เพิกถอนคำสั่งที่ รส ๐๓๑๑/๒๘๐๖๗ ลงวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๓ เรื่อง ให้วางหลักประกันเพิ่ม ของอธิบดีกรมการจัดหางานในฐานะนายทะเบียนจัดหางานกลาง
๕. เพิกถอนคำสั่งที่ ๒๗/๒๕๔๓ ลงวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๔ เรื่อง พักใช้ใบอนุญาตจัดหางานให้คนงานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ ของอธิบดีกรมการจัดหางานในฐานะนายทะเบียนจัดหางานกลาง
๖. ให้อธิบดีกรมการจัดหางานในฐานะนายทะเบียนจัดหางานกลางพิจารณาต่ออายุใบอนุญาตจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศให้แก่บริษัท
๗. ให้ปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมและอธิบดีกรมการจัดหางานร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท แก่บริษัท
๘. เพิกถอนกฎกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ฉบับที่ ๑๖ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘
ปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมยื่นคำให้การโต้แย้งว่า พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นกฎหมายที่กำหนดมาตรการควบคุมการหางานที่รัฐตราขึ้นเพื่อให้ความคุ้มครองคนหางาน จึงเป็นกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน คดีนี้เกี่ยวด้วยสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานตามมาตรา ๘(๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ คดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน
ศาลปกครองกลางและศาลแรงงานกลางมีความเห็นตรงกันว่า คำขอในข้อ ๕ ถึง ๘ มีลักษณะเป็นคดีปกครองอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง คงมีความเห็นแตกต่างกันตามคำขอในข้อ ๑ ถึง ๔ โดยศาลปกครองกลางเห็นว่า คดีนี้มีลักษณะเป็นคดีปกครอง จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองกลาง แต่ศาลแรงงานกลางเห็นว่า คำขอในส่วนนี้เกี่ยวข้องกับการหักหลักประกันตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๔๖ ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดมาตรการควบคุมการหางานและคุ้มครองคนหางาน จึงเป็นกรณีที่เกี่ยวด้วยสิทธิหรือ หน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๒) อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานกลาง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ การโต้แย้งคำสั่งของนายทะเบียนจัดหางานกลางและปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ อยู่ในเขตอำนาจของศาลแรงงานหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้ว เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคสอง บัญญัติว่า "เรื่องดังต่อไปนี้ไม่อยู่ในอำนาจศาลปกครอง
...
(๓) คดีที่อยู่ในอำนาจของศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ศาลล้มละลาย หรือศาลชำนัญพิเศษอื่น"
ซึ่งหมายความว่าคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลชำนัญพิเศษ ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ที่จะพิจารณาพิพากษา ดังนั้น กรณีนี้จึงต้องพิจารณาอำนาจของศาลแรงงานว่ามีเพียงใด ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ บัญญัติว่า "ศาลแรงงานมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้
...
(๓) กรณีที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานหรือกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์
(๔) คดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานหรือของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์หรือรัฐมนตรีตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์
..."
คดีนี้เป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับการบังคับใช้พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ จึงต้องพิจารณาว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานหรือกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ อันจะทำให้คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘(๓) และ (๔) หรือไม่
กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน เป็นกฎหมายที่กำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง โดยกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการจ้าง การใช้แรงงาน และการจัดสถานที่และอุปกรณ์ในการทำงาน เพื่อให้ผู้ทำงานมีสุขภาพอนามัยที่ดี มีความปลอดภัยในอนามัย ร่างกายและชีวิต โดยได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมตามสมควร เพื่อประสิทธิภาพในการผลิตและการให้บริการ ดังปรากฏในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ส่วนกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ เป็นกฎหมายที่กำหนดแนวทางปฏิบัติต่อกันระหว่างบุคคลสองฝ่าย คือ นายจ้างและลูกจ้าง เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจอันดีต่อกัน สามารถทำข้อตกลงในเรื่องเกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ และผลประโยชน์ในการทำงานร่วมกันได้ รวมทั้งกำหนดวิธีการระงับข้อขัดแย้งหรือระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างกันให้ได้ข้อยุติที่รวดเร็วด้วยความพอใจของทั้งสองฝ่ายมากที่สุด เพื่อให้เกิดความสงบสุขในอุตสาหกรรมและความเจริญทางด้านเศรษฐกิจแก่นายจ้าง ลูกจ้าง และประเทศชาติในที่สุด พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงได้กำหนดวิธีพิจารณา เมื่อมีข้อพิพาทระหว่างนายจ้างและลูกจ้างให้มีลักษณะเป็นไตรภาคี องค์คณะผู้พิพากษาประกอบด้วยผู้พิพากษา ผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้าง และผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้างฝ่ายละเท่า ๆ กันเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดี โดยเน้นการเจรจาต่อรองเพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างกัน
พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นกฎหมายที่รัฐ มุ่งประสงค์ในการควบคุมดูแลผู้จัดหางานมิให้เอาเปรียบหรือหลอกลวงผู้หางาน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้จัดหางานและผู้หางานไม่ใช่ความสัมพันธ์ในลักษณะของนายจ้างและลูกจ้าง กฎหมายฉบับนี้จึงแตกต่างจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ และไม่อาจถือได้ว่าพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานหรือกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ อันจะทำให้คดีอยู่ในอำนาจของศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘(๓) และ (๔)
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมและอธิบดีกรมการจัดหางาน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ออกคำสั่งโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย และขอให้เพิกถอนกฎระทรวง อันมีลักษณะเป็นคดีปกครองตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีที่โต้แย้งคำสั่งของนายทะเบียนจัดหางานกลางและปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ระหว่างบริษัทจัดหางานซาโก้ เอ็กซ์เพรส จำกัด ผู้ฟ้องคดี ปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมและอธิบดีกรมการจัดหางาน (นายทะเบียนจัดหางานกลาง) ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลปกครองกลาง
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑/๒๕๔๕
วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแรงงานกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการฯ
ศาลปกครองกลางได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๐(๓) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจของศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและรับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
คนหางานจำนวน ๑๓ คนได้ร้องเรียนต่ออธิบดีกรมการจัดหางานว่า บริษัทจัดหางาน ซาโก้ เอ็กซ์เพรส จำกัด ไม่สามารถจัดหางานให้ตามที่สัญญาอันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ อธิบดีกรมการจัดหางานในฐานะนายทะเบียนจัดหางานกลางจึงได้มีคำสั่งให้บริษัทคืนค่าบริการและค่าใช้จ่ายแก่คนหางานดังกล่าว แต่บริษัทไม่คืนเนื่องจากเห็นว่าคำสั่ง ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และอุทธรณ์ต่อปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ซึ่งปลัดกระทรวงฯ วินิจฉัยยกอุทธรณ์ นายทะเบียนจัดหางานกลางจึงมีคำสั่งให้หักหลักประกันเป็นจำนวนเงิน ๕๖๗,๐๐๐ บาท และมีคำสั่งให้วางหลักประกันเพิ่ม ระหว่างนั้นบริษัทได้ยื่นคำขอต่อใบอนุญาตจัดหางาน แต่อธิบดีกรมการจัดหางานไม่พิจารณาต่ออายุใบอนุญาตให้ และต่อมาได้มีคำสั่งพักใช้ใบอนุญาตของบริษัท เป็นเวลา ๑๒๐ วัน ซึ่งบริษัทเห็นว่าเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการสั่งพักใช้ใบอนุญาตในขณะที่ใบอนุญาตสิ้นอายุไปแล้ว บริษัทได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ซึ่งได้มีคำสั่งยกอุทธรณ์ของบริษัท นอกจากนี้บริษัทยังเห็นว่า กฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๖ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการกำหนดให้มีผลย้อนหลังก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท บริษัทจึงฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเพื่อโต้แย้งคำสั่งของอธิบดีกรมการจัดหางานในฐานะนายทะเบียนจัดหางานกลางและปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมและขอให้ศาลปกครองกลางมีคำสั่งหรือคำพิพากษาดังต่อไปนี้
๑. เพิกถอนคำสั่งที่ รส ๐๓๑๑/๒๐๘๑ ลงวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๔๓ เรื่อง หักหลักประกันบริษัทจัดหางาน ซาโก้ เอ็กซ์เพรส จำกัด ของอธิบดีกรมการจัดหางานในฐานะนายทะเบียนจัดหางานกลาง
๒. เพิกถอนคำวินิจฉัยที่ ๑๕/๒๕๔๓ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ เรื่อง วินิจฉัย
ยกคำอุทธรณ์ของบริษัทจัดหางาน ซาโก้ เอ็กซ์เพรส จำกัด ของปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
๓. สั่งให้อธิบดีกรมการจัดหางานในฐานะนายทะเบียนจัดหางานกลางคืนเงินประกันจำนวน ๕๖๗,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่บริษัท
๔. เพิกถอนคำสั่งที่ รส ๐๓๑๑/๒๘๐๖๗ ลงวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๓ เรื่อง ให้วางหลักประกันเพิ่ม ของอธิบดีกรมการจัดหางานในฐานะนายทะเบียนจัดหางานกลาง
๕. เพิกถอนคำสั่งที่ ๒๗/๒๕๔๓ ลงวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๔ เรื่อง พักใช้ใบอนุญาตจัดหางานให้คนงานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ ของอธิบดีกรมการจัดหางานในฐานะนายทะเบียนจัดหางานกลาง
๖. ให้อธิบดีกรมการจัดหางานในฐานะนายทะเบียนจัดหางานกลางพิจารณาต่ออายุใบอนุญาตจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศให้แก่บริษัท
๗. ให้ปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมและอธิบดีกรมการจัดหางานร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท แก่บริษัท
๘. เพิกถอนกฎกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ฉบับที่ ๑๖ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘
ปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมยื่นคำให้การโต้แย้งว่า พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นกฎหมายที่กำหนดมาตรการควบคุมการหางานที่รัฐตราขึ้นเพื่อให้ความคุ้มครองคนหางาน จึงเป็นกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน คดีนี้เกี่ยวด้วยสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานตามมาตรา ๘(๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ คดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน
ศาลปกครองกลางและศาลแรงงานกลางมีความเห็นตรงกันว่า คำขอในข้อ ๕ ถึง ๘ มีลักษณะเป็นคดีปกครองอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง คงมีความเห็นแตกต่างกันตามคำขอในข้อ ๑ ถึง ๔ โดยศาลปกครองกลางเห็นว่า คดีนี้มีลักษณะเป็นคดีปกครอง จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองกลาง แต่ศาลแรงงานกลางเห็นว่า คำขอในส่วนนี้เกี่ยวข้องกับการหักหลักประกันตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๔๖ ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดมาตรการควบคุมการหางานและคุ้มครองคนหางาน จึงเป็นกรณีที่เกี่ยวด้วยสิทธิหรือ หน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๒) อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานกลาง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ การโต้แย้งคำสั่งของนายทะเบียนจัดหางานกลางและปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ อยู่ในเขตอำนาจของศาลแรงงานหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้ว เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคสอง บัญญัติว่า "เรื่องดังต่อไปนี้ไม่อยู่ในอำนาจศาลปกครอง
...
(๓) คดีที่อยู่ในอำนาจของศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ศาลล้มละลาย หรือศาลชำนัญพิเศษอื่น"
ซึ่งหมายความว่าคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลชำนัญพิเศษ ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ที่จะพิจารณาพิพากษา ดังนั้น กรณีนี้จึงต้องพิจารณาอำนาจของศาลแรงงานว่ามีเพียงใด ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ บัญญัติว่า "ศาลแรงงานมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้
...
(๓) กรณีที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานหรือกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์
(๔) คดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานหรือของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์หรือรัฐมนตรีตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์
..."
คดีนี้เป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับการบังคับใช้พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ จึงต้องพิจารณาว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานหรือกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ อันจะทำให้คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘(๓) และ (๔) หรือไม่
กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน เป็นกฎหมายที่กำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง โดยกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการจ้าง การใช้แรงงาน และการจัดสถานที่และอุปกรณ์ในการทำงาน เพื่อให้ผู้ทำงานมีสุขภาพอนามัยที่ดี มีความปลอดภัยในอนามัย ร่างกายและชีวิต โดยได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมตามสมควร เพื่อประสิทธิภาพในการผลิตและการให้บริการ ดังปรากฏในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ส่วนกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ เป็นกฎหมายที่กำหนดแนวทางปฏิบัติต่อกันระหว่างบุคคลสองฝ่าย คือ นายจ้างและลูกจ้าง เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจอันดีต่อกัน สามารถทำข้อตกลงในเรื่องเกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ และผลประโยชน์ในการทำงานร่วมกันได้ รวมทั้งกำหนดวิธีการระงับข้อขัดแย้งหรือระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างกันให้ได้ข้อยุติที่รวดเร็วด้วยความพอใจของทั้งสองฝ่ายมากที่สุด เพื่อให้เกิดความสงบสุขในอุตสาหกรรมและความเจริญทางด้านเศรษฐกิจแก่นายจ้าง ลูกจ้าง และประเทศชาติในที่สุด พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงได้กำหนดวิธีพิจารณา เมื่อมีข้อพิพาทระหว่างนายจ้างและลูกจ้างให้มีลักษณะเป็นไตรภาคี องค์คณะผู้พิพากษาประกอบด้วยผู้พิพากษา ผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้าง และผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้างฝ่ายละเท่า ๆ กันเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดี โดยเน้นการเจรจาต่อรองเพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างกัน
พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นกฎหมายที่รัฐ มุ่งประสงค์ในการควบคุมดูแลผู้จัดหางานมิให้เอาเปรียบหรือหลอกลวงผู้หางาน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้จัดหางานและผู้หางานไม่ใช่ความสัมพันธ์ในลักษณะของนายจ้างและลูกจ้าง กฎหมายฉบับนี้จึงแตกต่างจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ และไม่อาจถือได้ว่าพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานหรือกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ อันจะทำให้คดีอยู่ในอำนาจของศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘(๓) และ (๔)
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมและอธิบดีกรมการจัดหางาน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ออกคำสั่งโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย และขอให้เพิกถอนกฎระทรวง อันมีลักษณะเป็นคดีปกครองตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีที่โต้แย้งคำสั่งของนายทะเบียนจัดหางานกลางและปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ระหว่างบริษัทจัดหางานซาโก้ เอ็กซ์เพรส จำกัด ผู้ฟ้องคดี ปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมและอธิบดีกรมการจัดหางาน (นายทะเบียนจัดหางานกลาง) ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลปกครองกลาง
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐/๒๕๔๕
วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลจังหวัดชุมพร
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดชุมพรส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจของศาลที่รับฟ้อง และศาลที่ส่งความเห็นมีความเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของตน แต่ศาลที่รับความเห็นมีความเห็นว่า คดีนั้นอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของตนเช่นกัน ให้ศาลที่ส่งความเห็นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๔๔ บริษัทเค.เอส.โฮมเมคเกอร์ กรุ๊ป จำกัด โดยนายคงศักดิ์ วงษ์วิเศษ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องจังหวัดชุมพร โดยผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร หัวหน้าส่วนราชการผู้มีอำนาจลงนาม เป็นจำเลย ต่อศาลจังหวัดชุมพร อ้างว่าบริษัทเค.เอส.ฯ ได้ทำสัญญารับจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงพยาบาลอำเภอหลังสวน อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร กับจังหวัดชุมพรเพื่อปรับปรุงโรงพยาบาลชุมชนขนาด ๖๐ เตียง เป็น ๙๐ เตียง ก่อสร้างอาคารผู้ป่วยขนาด ๓๐ เตียง ทั้งวัสดุและแรงงานคิดเป็นเงินทั้งสิ้น ๙,๒๐๐,๐๐๐ บาท ตกลงชำระค่าจ้างแบ่งเป็น ๕ งวด และต้องทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๙ แต่ในระหว่างการก่อสร้างได้เกิดเหตุสุดวิสัย บริษัท เค.เอส. ฯ จึงขอขยายเวลาการก่อสร้างและทำงานแล้วเสร็จในวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๔๐ ปรากฏว่า จังหวัดชุมพรจ่ายค่าจ้างเพียง ๗,๒๘๖,๔๐๐ บาท เนื่องจากได้หักเงินค่าปรับไว้ ๒๐๘ วัน เป็นจำนวนเงิน ๑,๙๑๓,๖๐๐ บาท หลังจากนั้นจังหวัดชุมพรตกลงว่าจะคืนเงินค่าปรับจำนวน ๑๐๘ วัน เป็นจำนวนเงิน ๑,๖๕๖,๐๐๐ บาท ให้แก่บริษัทเค.เอส. ฯ โดยคงคิดค่าปรับเพียง ๒๘ วัน เป็นจำนวนเงิน ๒๕๗,๖๐๐ บาทอย่างไรก็ตาม บริษัทเค.เอส. ฯ เห็นว่าจังหวัดชุมพรไม่สามารถคิดค่าปรับดังกล่าวได้ เพราะบริษัท เค.เอส.ฯ ไม่ได้ผิดสัญญาแต่มีเหตุสุดวิสัย ประกอบกับจังหวัดชุมพรได้คืนเงินค่าปรับในส่วนที่ตกลงจะคืนให้กับบริษัทเค.เอส. ฯ แต่เพียง บางส่วน โดยจะต้องคืนเงินให้อีกเป็นจำนวน ๑,๑๘๖,๘๐๐ บาท จึงขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาให้จังหวัดชุมพรชำระเงินค่าปรับทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับตั้งแต่วันที่บริษัทเค.เอส. ฯ ทำงานเสร็จจนถึงวันฟ้อง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๘๕๑,๘๔๐.๕๐ บาท และดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ตลอดจนให้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนด้วย ซึ่งต่อมา จังหวัดชุมพร โดยนายผูกพันธ์ พฤกษะศรี พนักงานอัยการจังหวัดชุมพร ทนายจำเลย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดชุมพรก่อนวันสืบพยานว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีพิพาทระหว่างรัฐกับเอกชนในการกระทำตามอำนาจหน้าที่หรือเป็นการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันมีผลกระทบต่อสิทธิของเอกชนตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง และขอให้โอนคดีไปยังศาลปกครองกลางหรือให้จำหน่ายคดีเพื่อให้โจทก์ฟ้องเป็นคดีใหม่ต่อศาลปกครองกลาง และต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องของจำเลยโดยมีเหตุผลว่า โจทก์ฟ้องจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๓ เอกเทศสัญญา ลักษณะ ๗ จ้างทำของ และจำเลยมีภูมิลำเนาในเขตอำนาจของศาลจังหวัดชุมพร คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดชุมพร แม้คดีนี้จะสามารถฟ้องต่อศาลปกครองกลางได้ แต่โจทก์ไม่ประสงค์จะฟ้องจำเลยต่อศาลปกครองกลาง
ศาลจังหวัดชุมพรเห็นว่า คดีดังกล่าวเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่ใช่เป็นกรณีผิดสัญญาทางปกครองและมิใช่คดีพิพาทระหว่างรัฐกับเอกชนในการกระทำตามอำนาจหน้าที่หรือเป็นการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงมีความเห็นว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม มิได้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง จึงมีคำสั่งให้รอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และส่งความเห็นดังกล่าวไปยังศาลปกครองกลาง
ศาลปกครองกลางเห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการปฏิบัติในฐานะผู้รับจ้างกับผู้ว่าจ้างตามสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงโรงพยาบาลอำเภอหลังสวน จึงมีประเด็นต้องพิจารณาว่า สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ ซึ่งศาลปกครองกลางเห็นว่า กรณีนี้เป็นสัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเป็นสัญญาจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค จึงเป็นสัญญาทาง ปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ ดังนั้น คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และเนื่องจากโจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีนี้ตามคำฟ้อง ลงวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๔๔ อันเป็นเวลาภายหลังจากที่ได้มีประกาศเปิดทำการศาลปกครองกลางแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๔ เป็นต้นมา คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองกลาง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงโรงพยาบาลหลังสวนระหว่างบริษัท เค.เอส.โฮมเมคเกอร์ กรุ๊ป จำกัด กับจังหวัดชุมพร เป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ และอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีในคดีนี้เป็นข้อพิพาท อันเนื่องมาจากการปฏิบัติในฐานะผู้รับจ้างกับผู้ว่าจ้างตามสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงโรงพยาบาลอำเภอหลังสวน ซึ่งเป็นสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลย และโดยที่มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาล ปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง จึงมีประเด็นต้องพิจารณาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครอง หรือไม่ มาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้สัญญาทางปกครองมีลักษณะเป็นสัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งต้องเป็นหน่วยงานทาง ปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายให้กระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งจากข้อเท็จจริงในคดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีเป็นราชการบริหารส่วนภูมิภาค ตามมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยในกรณีนี้เป็นสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงโรงพยาบาลชุมชนขนาด ๖๐ เตียง เป็น ๙๐ เตียง โดยมีอาคารผู้ป่วยและส่วนประกอบอื่นๆ ทั้งนี้ การสาธารณสุขเป็นบริการสาธารณะอย่างหนึ่งของรัฐ อาคาร โรงพยาบาลของรัฐซึ่งเป็นถาวรวัตถุ เป็นองค์ประกอบและเครื่องมือสำคัญในการดำเนินการบริการสาธารณะดังกล่าวให้บรรลุผล นอกจากนี้ประชาชนทั่วไปยังสามารถเข้าใช้ประโยชน์ได้โดยตรง อาคารโรงพยาบาลของรัฐจึงเป็นสิ่งสาธารณูปโภคและเนื่องจากวัตถุแห่งสัญญานี้คือการรับจ้างก่อสร้างปรับปรุงโรงพยาบาล กรณีจึงถือได้ว่าเป็นการที่หน่วยงานทางปกครองมอบให้เอกชนเข้าดำเนินการจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค
ดังนั้น สัญญานี้จึงเป็นสัญญาจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคและเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทเกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญานี้ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีเกี่ยวกับสัญญาก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงพยาบาลหลังสวนระหว่างบริษัท เค.เอส.โฮมเมคเกอร์ กรุ๊ป จำกัด โจทก์ กับจังหวัดชุมพร จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลปกครองกลาง
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐/๒๕๔๕
วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลจังหวัดชุมพร
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดชุมพรส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจของศาลที่รับฟ้อง และศาลที่ส่งความเห็นมีความเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของตน แต่ศาลที่รับความเห็นมีความเห็นว่า คดีนั้นอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของตนเช่นกัน ให้ศาลที่ส่งความเห็นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๔๔ บริษัทเค.เอส.โฮมเมคเกอร์ กรุ๊ป จำกัด โดยนายคงศักดิ์ วงษ์วิเศษ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องจังหวัดชุมพร โดยผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร หัวหน้าส่วนราชการผู้มีอำนาจลงนาม เป็นจำเลย ต่อศาลจังหวัดชุมพร อ้างว่าบริษัทเค.เอส.ฯ ได้ทำสัญญารับจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงพยาบาลอำเภอหลังสวน อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร กับจังหวัดชุมพรเพื่อปรับปรุงโรงพยาบาลชุมชนขนาด ๖๐ เตียง เป็น ๙๐ เตียง ก่อสร้างอาคารผู้ป่วยขนาด ๓๐ เตียง ทั้งวัสดุและแรงงานคิดเป็นเงินทั้งสิ้น ๙,๒๐๐,๐๐๐ บาท ตกลงชำระค่าจ้างแบ่งเป็น ๕ งวด และต้องทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๙ แต่ในระหว่างการก่อสร้างได้เกิดเหตุสุดวิสัย บริษัท เค.เอส. ฯ จึงขอขยายเวลาการก่อสร้างและทำงานแล้วเสร็จในวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๔๐ ปรากฏว่า จังหวัดชุมพรจ่ายค่าจ้างเพียง ๗,๒๘๖,๔๐๐ บาท เนื่องจากได้หักเงินค่าปรับไว้ ๒๐๘ วัน เป็นจำนวนเงิน ๑,๙๑๓,๖๐๐ บาท หลังจากนั้นจังหวัดชุมพรตกลงว่าจะคืนเงินค่าปรับจำนวน ๑๐๘ วัน เป็นจำนวนเงิน ๑,๖๕๖,๐๐๐ บาท ให้แก่บริษัทเค.เอส. ฯ โดยคงคิดค่าปรับเพียง ๒๘ วัน เป็นจำนวนเงิน ๒๕๗,๖๐๐ บาทอย่างไรก็ตาม บริษัทเค.เอส. ฯ เห็นว่าจังหวัดชุมพรไม่สามารถคิดค่าปรับดังกล่าวได้ เพราะบริษัท เค.เอส.ฯ ไม่ได้ผิดสัญญาแต่มีเหตุสุดวิสัย ประกอบกับจังหวัดชุมพรได้คืนเงินค่าปรับในส่วนที่ตกลงจะคืนให้กับบริษัทเค.เอส. ฯ แต่เพียง บางส่วน โดยจะต้องคืนเงินให้อีกเป็นจำนวน ๑,๑๘๖,๘๐๐ บาท จึงขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาให้จังหวัดชุมพรชำระเงินค่าปรับทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับตั้งแต่วันที่บริษัทเค.เอส. ฯ ทำงานเสร็จจนถึงวันฟ้อง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๘๕๑,๘๔๐.๕๐ บาท และดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ตลอดจนให้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนด้วย ซึ่งต่อมา จังหวัดชุมพร โดยนายผูกพันธ์ พฤกษะศรี พนักงานอัยการจังหวัดชุมพร ทนายจำเลย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดชุมพรก่อนวันสืบพยานว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีพิพาทระหว่างรัฐกับเอกชนในการกระทำตามอำนาจหน้าที่หรือเป็นการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันมีผลกระทบต่อสิทธิของเอกชนตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง และขอให้โอนคดีไปยังศาลปกครองกลางหรือให้จำหน่ายคดีเพื่อให้โจทก์ฟ้องเป็นคดีใหม่ต่อศาลปกครองกลาง และต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องของจำเลยโดยมีเหตุผลว่า โจทก์ฟ้องจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๓ เอกเทศสัญญา ลักษณะ ๗ จ้างทำของ และจำเลยมีภูมิลำเนาในเขตอำนาจของศาลจังหวัดชุมพร คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดชุมพร แม้คดีนี้จะสามารถฟ้องต่อศาลปกครองกลางได้ แต่โจทก์ไม่ประสงค์จะฟ้องจำเลยต่อศาลปกครองกลาง
ศาลจังหวัดชุมพรเห็นว่า คดีดังกล่าวเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่ใช่เป็นกรณีผิดสัญญาทางปกครองและมิใช่คดีพิพาทระหว่างรัฐกับเอกชนในการกระทำตามอำนาจหน้าที่หรือเป็นการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงมีความเห็นว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม มิได้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง จึงมีคำสั่งให้รอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และส่งความเห็นดังกล่าวไปยังศาลปกครองกลาง
ศาลปกครองกลางเห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการปฏิบัติในฐานะผู้รับจ้างกับผู้ว่าจ้างตามสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงโรงพยาบาลอำเภอหลังสวน จึงมีประเด็นต้องพิจารณาว่า สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ ซึ่งศาลปกครองกลางเห็นว่า กรณีนี้เป็นสัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเป็นสัญญาจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค จึงเป็นสัญญาทาง ปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ ดังนั้น คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และเนื่องจากโจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีนี้ตามคำฟ้อง ลงวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๔๔ อันเป็นเวลาภายหลังจากที่ได้มีประกาศเปิดทำการศาลปกครองกลางแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๔ เป็นต้นมา คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองกลาง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงโรงพยาบาลหลังสวนระหว่างบริษัท เค.เอส.โฮมเมคเกอร์ กรุ๊ป จำกัด กับจังหวัดชุมพร เป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ และอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีในคดีนี้เป็นข้อพิพาท อันเนื่องมาจากการปฏิบัติในฐานะผู้รับจ้างกับผู้ว่าจ้างตามสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงโรงพยาบาลอำเภอหลังสวน ซึ่งเป็นสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลย และโดยที่มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาล ปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง จึงมีประเด็นต้องพิจารณาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครอง หรือไม่ มาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้สัญญาทางปกครองมีลักษณะเป็นสัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งต้องเป็นหน่วยงานทาง ปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายให้กระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งจากข้อเท็จจริงในคดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีเป็นราชการบริหารส่วนภูมิภาค ตามมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยในกรณีนี้เป็นสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงโรงพยาบาลชุมชนขนาด ๖๐ เตียง เป็น ๙๐ เตียง โดยมีอาคารผู้ป่วยและส่วนประกอบอื่นๆ ทั้งนี้ การสาธารณสุขเป็นบริการสาธารณะอย่างหนึ่งของรัฐ อาคาร โรงพยาบาลของรัฐซึ่งเป็นถาวรวัตถุ เป็นองค์ประกอบและเครื่องมือสำคัญในการดำเนินการบริการสาธารณะดังกล่าวให้บรรลุผล นอกจากนี้ประชาชนทั่วไปยังสามารถเข้าใช้ประโยชน์ได้โดยตรง อาคารโรงพยาบาลของรัฐจึงเป็นสิ่งสาธารณูปโภคและเนื่องจากวัตถุแห่งสัญญานี้คือการรับจ้างก่อสร้างปรับปรุงโรงพยาบาล กรณีจึงถือได้ว่าเป็นการที่หน่วยงานทางปกครองมอบให้เอกชนเข้าดำเนินการจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค
ดังนั้น สัญญานี้จึงเป็นสัญญาจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคและเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทเกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญานี้ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีเกี่ยวกับสัญญาก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงพยาบาลหลังสวนระหว่างบริษัท เค.เอส.โฮมเมคเกอร์ กรุ๊ป จำกัด โจทก์ กับจังหวัดชุมพร จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลปกครองกลาง
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๙/๒๕๔๕
วันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง
ศาลจังหวัดลพบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดลพบุรีส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจของศาลที่รับฟ้อง และศาลที่รับฟ้อง เห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของอีกศาลหนึ่ง แต่ศาลดังกล่าว เห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๔ ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางขาม หมู่ที่ ๒ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี โดยนายยอด เทศนา และนายสุรชัย บุญครอบ ผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางขาม หมู่ที่ ๒ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี เครื่องหมายประจำตัวหมายเลข ๑ และหมายเลข ๔ ตามลำดับ ปรากฏว่า องค์การบริหารส่วนตำบลบางขามได้ประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้สมัครเครื่องหมายประจำตัว หมายเลข ๒ และหมายเลข ๓ เป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง ผู้ร้องทั้งสองจึงได้ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางขาม หมู่ที่ ๒ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรีต่อศาลจังหวัดลพบุรี อ้างว่า กรรมการตรวจคะแนนกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยไม่ยอมให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน ๑๐ คนใช้สิทธิลงคะแนนอันเป็นการช่วยเหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งอื่น และขอให้ศาลจังหวัดลพบุรีมีคำสั่งว่าไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางขาม หมู่ที่ ๒ ใหม่ ซึ่งต่อมาองค์การบริหารส่วนตำบลบางขาม ผู้คัดค้าน โดยนายอรัญ ทั่งทองแท้ พนักงานอัยการจังหวัดลพบุรี ได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดลพบุรีก่อนวันสืบพยานว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองและขอให้ศาลจังหวัดลพบุรีดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลจังหวัดลพบุรีเห็นว่า กรณีตามคำร้องเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นคดีปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) คดีนี้ จึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง และส่งความเห็นไปให้ศาลปกครองกลางจัดทำความเห็นตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัย ชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลปกครองกลางเห็นว่า ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนตำบลคือ ศาลยุติธรรม เช่นเดียวกับการคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตามแนวคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๑/๒๕๔๔ ลงวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๔ เพราะศาลยุติธรรมเป็นศาลซึ่งดำเนินการพิจารณาคดีแพ่งโดยใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีแพ่งเป็นหลักในการพิจารณา ส่วนศาลปกครองดำเนินการพิจารณาโดยใช้พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามาตรา ๒๓๓ และมาตรา ๒๗๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ที่บัญญัติให้การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาลซึ่งจะต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญตามกฎหมาย และศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดี ที่รัฐธรรมนูญนี้หรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น ตามลำดับ ดังนั้นเมื่อในปัจจุบันยังมิได้มีการยกเลิกหรือแก้ไขปรับปรุงมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ ในเรื่องกระบวนการพิจารณาคดีเป็นอื่น โดยยังคงมีผลใช้บังคับให้ศาลยุติธรรมต้องดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลปกครองกลางจึงไม่มีอำนาจรับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณา
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา ศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง หมายความถึง ศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า การคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีลักษณะเป็นการคัดค้านคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ร้องทั้งสองอ้างว่าคณะกรรมการตรวจคะแนนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่กำหนดไว้ จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) ซึ่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๔๕ วรรคสาม บัญญัติว่า "หลักเกณฑ์และวิธีการสมัครรับเลือกตั้งและการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" แต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือ ผู้บริหารท้องถิ่นใช้บังคับ กรณีจึงเป็นไปตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า "ในระหว่างที่ไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ให้นำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโดยอนุโลม" ดังนั้น การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลจึงต้องนำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ บัญญัติว่า "ภายในสิบห้าวันนับตั้งแต่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าสิบคนก็ดี ผู้สมัครคนใดก็ดี ในเขตเลือกตั้งใด เห็นว่าการเลือกตั้งในเขตนั้นเป็นไปโดยมิชอบ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งเขตเลือกตั้งนั้นอยู่ในเขตอำนาจ เพื่อขอให้สั่งว่าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับเลือกตั้งโดยชอบ และหรือว่าผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ หรือว่าไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ" และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อศาลได้รับคำร้องคัดค้านแล้วให้ดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเร็ว ..." เป็นการบัญญัติให้ศาลชั้นต้นที่พิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเป็นวิธีพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม ซึ่งวิธีพิจารณาคดีถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมาย หากให้ศาลปกครองต้องตัดสินคดีปกครองโดยใช้วิธีพิจารณาความแพ่งแทนที่จะใช้วิธีพิจารณาคดีปกครองย่อมจะไม่สอดคล้องกับระบบและความมุ่งหมายของกฎหมาย ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๓/๒๕๔๔ ถึง ที่ ๗/๒๕๔๔
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
ตำบลบางขาม หมู่ที่ ๒ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ของนายยอด เทศนา และนายสุรชัย บุญครอบ ผู้ร้องทั้งสอง อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลจังหวัดลพบุรี
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๙/๒๕๔๕
วันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง
ศาลจังหวัดลพบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดลพบุรีส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจของศาลที่รับฟ้อง และศาลที่รับฟ้อง เห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของอีกศาลหนึ่ง แต่ศาลดังกล่าว เห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๔ ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางขาม หมู่ที่ ๒ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี โดยนายยอด เทศนา และนายสุรชัย บุญครอบ ผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางขาม หมู่ที่ ๒ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี เครื่องหมายประจำตัวหมายเลข ๑ และหมายเลข ๔ ตามลำดับ ปรากฏว่า องค์การบริหารส่วนตำบลบางขามได้ประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้สมัครเครื่องหมายประจำตัว หมายเลข ๒ และหมายเลข ๓ เป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง ผู้ร้องทั้งสองจึงได้ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางขาม หมู่ที่ ๒ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรีต่อศาลจังหวัดลพบุรี อ้างว่า กรรมการตรวจคะแนนกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยไม่ยอมให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน ๑๐ คนใช้สิทธิลงคะแนนอันเป็นการช่วยเหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งอื่น และขอให้ศาลจังหวัดลพบุรีมีคำสั่งว่าไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางขาม หมู่ที่ ๒ ใหม่ ซึ่งต่อมาองค์การบริหารส่วนตำบลบางขาม ผู้คัดค้าน โดยนายอรัญ ทั่งทองแท้ พนักงานอัยการจังหวัดลพบุรี ได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดลพบุรีก่อนวันสืบพยานว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองและขอให้ศาลจังหวัดลพบุรีดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลจังหวัดลพบุรีเห็นว่า กรณีตามคำร้องเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นคดีปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) คดีนี้ จึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง และส่งความเห็นไปให้ศาลปกครองกลางจัดทำความเห็นตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัย ชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลปกครองกลางเห็นว่า ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนตำบลคือ ศาลยุติธรรม เช่นเดียวกับการคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตามแนวคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๑/๒๕๔๔ ลงวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๔ เพราะศาลยุติธรรมเป็นศาลซึ่งดำเนินการพิจารณาคดีแพ่งโดยใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีแพ่งเป็นหลักในการพิจารณา ส่วนศาลปกครองดำเนินการพิจารณาโดยใช้พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามาตรา ๒๓๓ และมาตรา ๒๗๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ที่บัญญัติให้การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาลซึ่งจะต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญตามกฎหมาย และศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดี ที่รัฐธรรมนูญนี้หรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น ตามลำดับ ดังนั้นเมื่อในปัจจุบันยังมิได้มีการยกเลิกหรือแก้ไขปรับปรุงมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ ในเรื่องกระบวนการพิจารณาคดีเป็นอื่น โดยยังคงมีผลใช้บังคับให้ศาลยุติธรรมต้องดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลปกครองกลางจึงไม่มีอำนาจรับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณา
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา ศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง หมายความถึง ศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า การคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีลักษณะเป็นการคัดค้านคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ร้องทั้งสองอ้างว่าคณะกรรมการตรวจคะแนนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่กำหนดไว้ จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) ซึ่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๔๕ วรรคสาม บัญญัติว่า "หลักเกณฑ์และวิธีการสมัครรับเลือกตั้งและการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" แต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือ ผู้บริหารท้องถิ่นใช้บังคับ กรณีจึงเป็นไปตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า "ในระหว่างที่ไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ให้นำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโดยอนุโลม" ดังนั้น การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลจึงต้องนำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ บัญญัติว่า "ภายในสิบห้าวันนับตั้งแต่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าสิบคนก็ดี ผู้สมัครคนใดก็ดี ในเขตเลือกตั้งใด เห็นว่าการเลือกตั้งในเขตนั้นเป็นไปโดยมิชอบ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งเขตเลือกตั้งนั้นอยู่ในเขตอำนาจ เพื่อขอให้สั่งว่าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับเลือกตั้งโดยชอบ และหรือว่าผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ หรือว่าไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ" และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อศาลได้รับคำร้องคัดค้านแล้วให้ดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเร็ว ..." เป็นการบัญญัติให้ศาลชั้นต้นที่พิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเป็นวิธีพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม ซึ่งวิธีพิจารณาคดีถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมาย หากให้ศาลปกครองต้องตัดสินคดีปกครองโดยใช้วิธีพิจารณาความแพ่งแทนที่จะใช้วิธีพิจารณาคดีปกครองย่อมจะไม่สอดคล้องกับระบบและความมุ่งหมายของกฎหมาย ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๓/๒๕๔๔ ถึง ที่ ๗/๒๕๔๔
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
ตำบลบางขาม หมู่ที่ ๒ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ของนายยอด เทศนา และนายสุรชัย บุญครอบ ผู้ร้องทั้งสอง อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลจังหวัดลพบุรี
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2542 มาตรา 25 วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ.2482 มาตรา 57 และมาตรา 58 วรรคหนึ่ง
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๘/๒๕๔๕
วันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง
ศาลจังหวัดลพบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการฯ
ศาลจังหวัดลพบุรีส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจของศาลที่รับฟ้องและศาลที่รับฟ้องเห็นว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของอีกศาลหนึ่ง แต่ศาลดังกล่าวเห็นว่า คดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๔ ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระเบียน หมู่ที่ ๒ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี โดยนายไพฑูรย์ โยธานัน ผู้ร้อง เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระเบียน หมู่ที่ ๒ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี เครื่องหมายประจำตัวหมายเลข ๘ ปรากฏว่า องค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระเบียนได้ประกาศผลการเลือกตั้งให้ ผู้สมัครเครื่องหมายประจำตัว หมายเลข ๕ และหมายเลข ๓ เป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง ผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องต่อ ศาลจังหวัดลพบุรี คัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระเบียน หมู่ที่ ๒ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี อ้างว่า การวินิจฉัยของกรรมการตรวจคะแนนกรณีวินิจฉัยว่าบัตรเลือกตั้งเป็นบัตรดีหรือบัตรเสียนั้นไม่ถูกต้อง เนื่องจากบัตรเลือกตั้งที่กรรมการตรวจคะแนนวินิจฉัยว่าเป็นบัตรเสียนั้นไม่มีลักษณะเป็นบัตรเสียตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๒ ทำให้ผู้ร้องไม่ได้รับเลือกตั้ง จึงขอให้ศาลจังหวัดลพบุรีมีคำสั่งว่าไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระเบียน หมู่ที่ ๒ ใหม่ ซึ่งต่อมาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระเบียน ผู้คัดค้าน โดยนายอรัญ ทั่งทองแท้ พนักงานอัยการจังหวัดลพบุรี ทนายความผู้คัดค้าน ได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดลพบุรีก่อนวันนัดไต่สวนคำร้องว่า คดีนี้อยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองและขอให้ศาลจังหวัดลพบุรีดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลจังหวัดลพบุรีเห็นว่า คำร้องของผู้ร้องเป็นการกล่าวอ้างว่าการปฏิบัติหน้าที่และคำสั่งของเจ้าพนักงานของรัฐไม่ชอบ มีผลไปในทางเสื่อมเสียสิทธิของผู้ร้อง เป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย มีผลเท่ากับเป็นการโต้แย้งคำสั่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการปกครอง จึงเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง และได้ส่งความเห็น ดังกล่าวไปยังศาลปกครองกลางจัดทำความเห็นตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลปกครองกลางเห็นว่า การคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลให้นำพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาใช้โดยอนุโลม ซึ่งตามมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลที่พิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งดังกล่าว ต้องดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเป็นวิธีพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม ดังนั้น จึงเห็นว่าศาลที่มีอำนาจพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล คือ ศาลยุติธรรม เช่นเดียวกับการคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตามแนวคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๑/๒๕๔๔ ลงวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๔
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา ศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคำร้องคัดค้าน
การเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง หมายความถึงศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า การคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีลักษณะเป็นการคัดค้านคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ร้องอ้างว่า คณะกรรมการตรวจคะแนนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่กำหนดไว้ จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) ซึ่ง พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๔๕ วรรคสาม บัญญัติว่า "หลักเกณฑ์และวิธีการสมัครรับเลือกตั้งและการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" แต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นใช้บังคับ กรณีจึงเป็นไปตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า "ในระหว่างที่ไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นให้นำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโดยอนุโลม" ซึ่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ บัญญัติว่า "ภายในสิบห้าวัน นับตั้งแต่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าสิบคนก็ดี ผู้สมัครคนใดก็ดี ในเขตเลือกตั้งใดเห็นว่าการเลือกตั้งในเขตนั้นเป็นไปโดยไม่ชอบ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งเขตเลือกตั้งนั้นอยู่ในเขตอำนาจ เพื่อขอให้สั่งว่าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับเลือกตั้งโดยชอบ และหรือว่าผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ หรือว่าไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ" และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อศาลได้รับคำร้องคัดค้านแล้ว ให้ดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเร็ว ..." เป็นการบัญญัติให้ศาลชั้นต้นที่พิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลต้องดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเป็นวิธีพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม ซึ่งวิธีพิจารณาคดีถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมาย หากให้ศาลปกครองต้องตัดสินคดีปกครองโดยใช้วิธีพิจารณาความแพ่งแทนที่จะใช้วิธีพิจารณาคดีปกครอง ย่อมจะไม่สอดคล้องกับระบบและความมุ่งหมายของกฎหมาย ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๓/๒๕๔๔ ถึง ๗/๒๕๔๔
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระเบียน หมู่ที่ ๒ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ของนายไพฑูรย์ โยธานัน ผู้ร้อง อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลจังหวัดลพบุรี
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๘/๒๕๔๕
วันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง
ศาลจังหวัดลพบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการฯ
ศาลจังหวัดลพบุรีส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจของศาลที่รับฟ้องและศาลที่รับฟ้องเห็นว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของอีกศาลหนึ่ง แต่ศาลดังกล่าวเห็นว่า คดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๔ ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระเบียน หมู่ที่ ๒ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี โดยนายไพฑูรย์ โยธานัน ผู้ร้อง เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระเบียน หมู่ที่ ๒ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี เครื่องหมายประจำตัวหมายเลข ๘ ปรากฏว่า องค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระเบียนได้ประกาศผลการเลือกตั้งให้ ผู้สมัครเครื่องหมายประจำตัว หมายเลข ๕ และหมายเลข ๓ เป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง ผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องต่อ ศาลจังหวัดลพบุรี คัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระเบียน หมู่ที่ ๒ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี อ้างว่า การวินิจฉัยของกรรมการตรวจคะแนนกรณีวินิจฉัยว่าบัตรเลือกตั้งเป็นบัตรดีหรือบัตรเสียนั้นไม่ถูกต้อง เนื่องจากบัตรเลือกตั้งที่กรรมการตรวจคะแนนวินิจฉัยว่าเป็นบัตรเสียนั้นไม่มีลักษณะเป็นบัตรเสียตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๒ ทำให้ผู้ร้องไม่ได้รับเลือกตั้ง จึงขอให้ศาลจังหวัดลพบุรีมีคำสั่งว่าไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระเบียน หมู่ที่ ๒ ใหม่ ซึ่งต่อมาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระเบียน ผู้คัดค้าน โดยนายอรัญ ทั่งทองแท้ พนักงานอัยการจังหวัดลพบุรี ทนายความผู้คัดค้าน ได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดลพบุรีก่อนวันนัดไต่สวนคำร้องว่า คดีนี้อยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองและขอให้ศาลจังหวัดลพบุรีดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลจังหวัดลพบุรีเห็นว่า คำร้องของผู้ร้องเป็นการกล่าวอ้างว่าการปฏิบัติหน้าที่และคำสั่งของเจ้าพนักงานของรัฐไม่ชอบ มีผลไปในทางเสื่อมเสียสิทธิของผู้ร้อง เป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย มีผลเท่ากับเป็นการโต้แย้งคำสั่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการปกครอง จึงเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง และได้ส่งความเห็น ดังกล่าวไปยังศาลปกครองกลางจัดทำความเห็นตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลปกครองกลางเห็นว่า การคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลให้นำพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาใช้โดยอนุโลม ซึ่งตามมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลที่พิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งดังกล่าว ต้องดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเป็นวิธีพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม ดังนั้น จึงเห็นว่าศาลที่มีอำนาจพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล คือ ศาลยุติธรรม เช่นเดียวกับการคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตามแนวคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๑/๒๕๔๔ ลงวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๔
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา ศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคำร้องคัดค้าน
การเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง หมายความถึงศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า การคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีลักษณะเป็นการคัดค้านคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ร้องอ้างว่า คณะกรรมการตรวจคะแนนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่กำหนดไว้ จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) ซึ่ง พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๔๕ วรรคสาม บัญญัติว่า "หลักเกณฑ์และวิธีการสมัครรับเลือกตั้งและการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" แต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นใช้บังคับ กรณีจึงเป็นไปตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า "ในระหว่างที่ไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นให้นำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโดยอนุโลม" ซึ่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ บัญญัติว่า "ภายในสิบห้าวัน นับตั้งแต่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าสิบคนก็ดี ผู้สมัครคนใดก็ดี ในเขตเลือกตั้งใดเห็นว่าการเลือกตั้งในเขตนั้นเป็นไปโดยไม่ชอบ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งเขตเลือกตั้งนั้นอยู่ในเขตอำนาจ เพื่อขอให้สั่งว่าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับเลือกตั้งโดยชอบ และหรือว่าผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ หรือว่าไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ" และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อศาลได้รับคำร้องคัดค้านแล้ว ให้ดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเร็ว ..." เป็นการบัญญัติให้ศาลชั้นต้นที่พิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลต้องดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเป็นวิธีพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม ซึ่งวิธีพิจารณาคดีถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมาย หากให้ศาลปกครองต้องตัดสินคดีปกครองโดยใช้วิธีพิจารณาความแพ่งแทนที่จะใช้วิธีพิจารณาคดีปกครอง ย่อมจะไม่สอดคล้องกับระบบและความมุ่งหมายของกฎหมาย ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๓/๒๕๔๔ ถึง ๗/๒๕๔๔
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระเบียน หมู่ที่ ๒ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ของนายไพฑูรย์ โยธานัน ผู้ร้อง อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลจังหวัดลพบุรี
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2542 มาตรา 25 วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ.2482 มาตรา 57 และมาตรา 58 วรรคหนึ่ง
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๗/๒๕๔๕
วันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลจังหวัดหนองคาย
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดหนองคายได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒ วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลทั้งสองต่างเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของตน จึงส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เทศบาลเมืองหนองคายเป็นโจทก์ฟ้องนายวีระศักดิ์ พันธ์นาเหนือและนายทวีบุญ อินทราวุธ เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดหนองคาย อ้างว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ดำรงตำแหน่งผู้จัดการสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองหนองคาย จำเลยที่ ๒ ดำรงตำแหน่งปลัดเทศบาลเมืองหนองคายและผู้ตรวจการสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองหนองคาย และจำเลยทั้งสองเป็นคณะกรรมการรักษาเงินของสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองหนองคายอีกด้วย จำเลยทั้งสองมีอำนาจหน้าที่ตามระเบียบการว่าด้วยอำนาจหน้าที่พนักงานสถานธนานุบาลของหน่วยบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๑๗ และระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการควบคุมและดำเนินงานสถานธนานุบาลของหน่วยบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๑๖ แต่จำเลยทั้งสองละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่จนเป็นเหตุให้นางสาวสุกัญญา สนิทภักดี พนักงานบัญชีของสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองหนองคายทุจริตยักยอกเงินของสถานธนานุบาลไปใช้ประโยชน์ส่วนตนหลายครั้ง รวมเป็นเงิน ๑,๒๑๖,๐๐๐ บาท จึงขอให้ศาลจังหวัดหนองคายพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมรับผิดชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๕๑๙,๑๘๕.๗๕ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๗๓๕,๑๘๕.๗๕ บาท จำเลยที่ ๒ ได้ยื่นคำร้องลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๔ ว่า คดีนี้มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องที่จำเลยที่ ๒ ฟ้องโจทก์ต่อศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดำ ที่ ๒๖๙๓/๒๕๔๔ และศาลปกครองกลางรับฟ้องไว้แล้ว เมื่อโจทก์มายื่นฟ้องจำเลยที่ ๒ ที่ศาลจังหวัดหนองคายอีก จึงเป็นกรณีที่ศาลตั้งแต่สองศาลขึ้นไปได้รับฟ้องคดีเรื่องเดียวกันไว้ตามมาตรา ๑๒ ประกอบกับมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งจำเลยที่ ๒ เห็นว่า คดีนี้ไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดหนองคาย แต่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองกลาง จึงขอให้ศาลจังหวัดหนองคายรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่เกิดจากการกระทำหรือละเว้นการกระทำตามหน้าที่แล้วก่อให้เกิดความเสียหาย อยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า คดีนี้ โจทก์ซึ่งเป็นหน่วยบริหารราชการส่วนท้องถิ่นและเป็นผู้จัดตั้งควบคุมดูแลสถานธนานุบาล ตามพระราชบัญญัติเทศบาล(ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๑๗ และระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการควบคุมและดำเนินงานสถานธนานุบาลของหน่วยราชการบริหารส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๑๖ จึงเป็นหน่วยงานของรัฐตามนัยของมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดเทศบาลเมืองหนองคาย จำเลยทั้งสองจึงเป็นเจ้าหน้าที่ตามความหมายของมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยอ้างว่า จำเลยทั้งสองซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการรักษาเงินของสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองหนองคาย มีหน้าที่ควบคุมและตรวจสอบการปฏิบัติงานของพนักงานบัญชีของสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองหนองคายให้ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบการว่าด้วยอำนาจหน้าที่พนักงานสถานธนานุบาลของหน่วยบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๑๗ แต่ได้ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว จนเป็นเหตุให้สถานธนานุบาลเทศบาลเมืองหนองคายได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดในเหตุละเมิดดังกล่าวตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๑๐ นั้น พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๗๖ บัญญัติว่า "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาลกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาลด้วยกัน ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หรือเนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ" กรณีจึงเป็นคดีพิพาทระหว่างราชการส่วนท้องถิ่นกับเจ้าหน้าที่ของราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเนื่องมาจากการกระทำหรือละเว้นการกระทำที่เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามนัยมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีที่เทศบาลเมืองหนองคายฟ้องนายวีระศักดิ์ พันธ์นาเหนือ และนายทวีบุญ อินทราวุธ เรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมาย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ซึ่งในคดีนี้ ได้แก่ศาลปกครองกลาง
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๗/๒๕๔๕
วันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลจังหวัดหนองคาย
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดหนองคายได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒ วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลทั้งสองต่างเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของตน จึงส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เทศบาลเมืองหนองคายเป็นโจทก์ฟ้องนายวีระศักดิ์ พันธ์นาเหนือและนายทวีบุญ อินทราวุธ เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดหนองคาย อ้างว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ดำรงตำแหน่งผู้จัดการสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองหนองคาย จำเลยที่ ๒ ดำรงตำแหน่งปลัดเทศบาลเมืองหนองคายและผู้ตรวจการสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองหนองคาย และจำเลยทั้งสองเป็นคณะกรรมการรักษาเงินของสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองหนองคายอีกด้วย จำเลยทั้งสองมีอำนาจหน้าที่ตามระเบียบการว่าด้วยอำนาจหน้าที่พนักงานสถานธนานุบาลของหน่วยบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๑๗ และระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการควบคุมและดำเนินงานสถานธนานุบาลของหน่วยบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๑๖ แต่จำเลยทั้งสองละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่จนเป็นเหตุให้นางสาวสุกัญญา สนิทภักดี พนักงานบัญชีของสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองหนองคายทุจริตยักยอกเงินของสถานธนานุบาลไปใช้ประโยชน์ส่วนตนหลายครั้ง รวมเป็นเงิน ๑,๒๑๖,๐๐๐ บาท จึงขอให้ศาลจังหวัดหนองคายพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมรับผิดชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๕๑๙,๑๘๕.๗๕ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๗๓๕,๑๘๕.๗๕ บาท จำเลยที่ ๒ ได้ยื่นคำร้องลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๔ ว่า คดีนี้มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องที่จำเลยที่ ๒ ฟ้องโจทก์ต่อศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดำ ที่ ๒๖๙๓/๒๕๔๔ และศาลปกครองกลางรับฟ้องไว้แล้ว เมื่อโจทก์มายื่นฟ้องจำเลยที่ ๒ ที่ศาลจังหวัดหนองคายอีก จึงเป็นกรณีที่ศาลตั้งแต่สองศาลขึ้นไปได้รับฟ้องคดีเรื่องเดียวกันไว้ตามมาตรา ๑๒ ประกอบกับมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งจำเลยที่ ๒ เห็นว่า คดีนี้ไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดหนองคาย แต่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองกลาง จึงขอให้ศาลจังหวัดหนองคายรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่เกิดจากการกระทำหรือละเว้นการกระทำตามหน้าที่แล้วก่อให้เกิดความเสียหาย อยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า คดีนี้ โจทก์ซึ่งเป็นหน่วยบริหารราชการส่วนท้องถิ่นและเป็นผู้จัดตั้งควบคุมดูแลสถานธนานุบาล ตามพระราชบัญญัติเทศบาล(ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๑๗ และระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการควบคุมและดำเนินงานสถานธนานุบาลของหน่วยราชการบริหารส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๑๖ จึงเป็นหน่วยงานของรัฐตามนัยของมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดเทศบาลเมืองหนองคาย จำเลยทั้งสองจึงเป็นเจ้าหน้าที่ตามความหมายของมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยอ้างว่า จำเลยทั้งสองซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการรักษาเงินของสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองหนองคาย มีหน้าที่ควบคุมและตรวจสอบการปฏิบัติงานของพนักงานบัญชีของสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองหนองคายให้ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบการว่าด้วยอำนาจหน้าที่พนักงานสถานธนานุบาลของหน่วยบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๑๗ แต่ได้ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว จนเป็นเหตุให้สถานธนานุบาลเทศบาลเมืองหนองคายได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดในเหตุละเมิดดังกล่าวตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๑๐ นั้น พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๗๖ บัญญัติว่า "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาลกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาลด้วยกัน ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หรือเนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ" กรณีจึงเป็นคดีพิพาทระหว่างราชการส่วนท้องถิ่นกับเจ้าหน้าที่ของราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเนื่องมาจากการกระทำหรือละเว้นการกระทำที่เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามนัยมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีที่เทศบาลเมืองหนองคายฟ้องนายวีระศักดิ์ พันธ์นาเหนือ และนายทวีบุญ อินทราวุธ เรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมาย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ซึ่งในคดีนี้ ได้แก่ศาลปกครองกลาง
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๖/๒๕๔๕
วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแขวงพระนครเหนือ
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และวรรคสาม ซึ่งเป็นกรณีศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาล
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๔ นายวัลลภ นาคพุก โดยนางกนิษฐา พราหมณ์เสน่ห์ ผู้รับมอบอำนาจ ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และร้อยตำรวจเอก ชัยวัฒน์ อินทร์เทศ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลวิภาวดี ต่อศาลปกครองกลาง อ้างว่าการออกหมายเรียกของร้อยตำรวจเอกชัยวัฒน์ ที่สั่งให้นายวัลลภไปพบ ณ สถานีตำรวจนครบาลวิภาวดี ในวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๔ เวลา ๑๒.๐๐ นาฬิกา เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากในหมายเรียกมิได้แจ้งเหตุแห่งการออกหมายว่าจะเรียกไปสอบปากคำในคดีอาญาเรื่องใดตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๕๓ และมีข้อความอันมีลักษณะเป็นการข่มขู่ให้เกิดความกลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่เสรีภาพและทรัพย์สิน ซึ่งอาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๒ และมาตรา ๑๕๗ ประกอบกับการสอบปากคำไม่ได้กระทำในเวลาอันสมควร ไม่เป็นกลาง และกระทำไปโดยจูงใจให้รับสารภาพว่านายวัลลภเป็นผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ อันขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๔๓ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๓๓ และมาตรา ๒๓๔ ซึ่งการไปให้ปากคำตามหมายเรียกดังกล่าวทำให้นายวัลลภขาดรายได้จากการประกอบอาชีพทันตแพทย์ ณ โรงพยาบาลแพทย์รังสิต ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ในวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๔ เป็นจำนวนเงิน ๕,๐๐๐ บาท จึงขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจากการขาดรายได้ ในวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๔ เป็นจำนวนเงิน ๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๔ จนถึงวันชดใช้เสร็จ และขอให้ศาลมีคำสั่งระงับหรือเพิกถอนการออกหมายเรียกที่มีขึ้นในครั้งหลังด้วย ในระหว่างพิจารณา ศาลปกครองกลางเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะรับไว้พิจารณาได้ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลปกครองกลางจึงส่งความเห็นไปให้ศาลแขวงพระนครเหนือจัดทำความเห็นตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแขวงพระนครเหนือเห็นว่า คำฟ้องของผู้ฟ้องคดีแบ่งเป็น ๒ ส่วน คือส่วนที่ขอให้เพิกถอนหมายเรียกและส่วนที่เรียกค่าเสียหาย ซึ่งศาลแขวงพระนครเหนือเห็นว่า ส่วนแรกไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงพระนครเหนือที่จะพิจารณาสำหรับในส่วนที่สองคือ ส่วนที่เรียกค่าเสียหายนั้น เห็นว่า อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงพระนครเหนือ
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การฟ้องขอให้ระงับหรือเพิกถอนหมายเรียกของพนักงานสอบสวนในคดีอาญาและเรียกค่าเสียหายเกี่ยวกับการนี้ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า ในการดำเนินกิจการหรือการกระทำต่าง ๆ ของรัฐ ทุกระบบ จะต้องถูกตรวจสอบได้โดยศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง ยกเว้นแต่เป็นเรื่องที่โดยสภาพแล้วไม่อาจที่จะตรวจสอบได้ เช่น การกระทำทางนิติบัญญัติ การกระทำในทางตุลาการและการกระทำของรัฐบาลที่เป็นงานด้านนโยบายหรืองานด้านการเมืองหรือนโยบายต่างประเทศหรือในความสัมพันธ์กับฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นต้น สำหรับศาลปกครองมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการกระทำทางปกครองซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๗๖ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ และมาตรา ๙ บัญญัติให้ศาลปกครองมีเขตอำนาจในการพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีที่มีการฟ้องว่า หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการในการใช้อำนาจทางปกครอง หรือดำเนินกิจการทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือในคดีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ในทางปกครองตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร หรือในคดีที่มีการฟ้องเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเกิดจากการใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือละเลยต่อหน้าที่ในทาง ปกครองตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้า หรือเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองอันเป็นการตรวจสอบการกระทำทางปกครอง ส่วนศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวงที่ไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๗๑ ซึ่งได้แก่ คดีแพ่ง คดีอาญา ในส่วนคดีอาญานั้น ศาลและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่การลงโทษผู้กระทำความผิดทางอาญา การที่ผู้ฟ้องคดีได้ฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจอันถือได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า ออกหมายเรียกตนให้มาให้การในฐานะพยานคดีอาญาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเรียกค่าเสียหายจากการขาดรายได้เพราะต้องไปให้ปากคำตามหมายเรียกดังกล่าว และขอให้ศาลมีคำสั่งระงับหรือเพิกถอนการออกหมายเรียกที่มีขึ้นในครั้งหลังด้วยนั้น เห็นได้ว่าผู้ฟ้องคดีมุ่งประสงค์เรียกค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการออกหมายเรียกที่ผู้ฟ้องคดีเข้าใจว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นประการแรก ซึ่งการออกหมายเรียกดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นขั้นตอนการดำเนินการของพนักงานสอบสวนที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดให้อำนาจไว้เป็นการเฉพาะโดยตรง และอยู่ในอำนาจการควบคุมตรวจสอบของศาลยุติธรรม ทั้งไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ดังนั้น แม้การออกหมายเรียกดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผู้ฟ้องคดีโดยตรง แต่ก็เป็นการใช้อำนาจของพนักงานสอบสวนตามขั้นตอนที่กำหนดไว้เป็นการเฉพาะในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งอยู่ภายใต้การตรวจสอบของศาลยุติธรรม ด้วยเหตุนี้ การเรียกค่าเสียหาย อันเนื่องมาจากการออกหมายเรียกดังกล่าว จึงอยู่ภายใต้การตรวจสอบของศาลยุติธรรมเช่นกัน อนึ่ง ประเด็นเรื่องเรียกค่าเสียหายนี้ ทั้งศาลปกครองกลางและศาลแขวงพระนครเหนือเห็นพ้องต้องกันว่า คำฟ้องส่วนนี้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม กรณีจึงมิใช่เป็นการขัดแย้งกันในเรื่องอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยชี้ขาด
สำหรับการขอให้ระงับหรือเพิกถอนหมายเรียกนั้น เมื่อการออกหมายเรียกเป็นการใช้อำนาจของพนักงานสอบสวนตามขั้นตอนที่กำหนดไว้เป็นการเฉพาะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งอยู่ภายใต้การตรวจสอบของศาลยุติธรรมดังที่ได้กล่าวมาแล้ว จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีฟ้องขอให้เพิกถอนระงับหมายเรียกพยานในคดีอาญา ระหว่าง นายวัลลภ นาคพุก ผู้ฟ้องคดี กับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ร้อยตำรวจเอก ชัยวัฒน์ อินทร์เทศ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ศาลที่มีเขตอำนาจได้แก่ ศาลแขวงพระนครเหนือ
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๖/๒๕๔๕
วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแขวงพระนครเหนือ
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และวรรคสาม ซึ่งเป็นกรณีศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาล
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๔ นายวัลลภ นาคพุก โดยนางกนิษฐา พราหมณ์เสน่ห์ ผู้รับมอบอำนาจ ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และร้อยตำรวจเอก ชัยวัฒน์ อินทร์เทศ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลวิภาวดี ต่อศาลปกครองกลาง อ้างว่าการออกหมายเรียกของร้อยตำรวจเอกชัยวัฒน์ ที่สั่งให้นายวัลลภไปพบ ณ สถานีตำรวจนครบาลวิภาวดี ในวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๔ เวลา ๑๒.๐๐ นาฬิกา เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากในหมายเรียกมิได้แจ้งเหตุแห่งการออกหมายว่าจะเรียกไปสอบปากคำในคดีอาญาเรื่องใดตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๕๓ และมีข้อความอันมีลักษณะเป็นการข่มขู่ให้เกิดความกลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่เสรีภาพและทรัพย์สิน ซึ่งอาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๒ และมาตรา ๑๕๗ ประกอบกับการสอบปากคำไม่ได้กระทำในเวลาอันสมควร ไม่เป็นกลาง และกระทำไปโดยจูงใจให้รับสารภาพว่านายวัลลภเป็นผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ อันขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๔๓ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๓๓ และมาตรา ๒๓๔ ซึ่งการไปให้ปากคำตามหมายเรียกดังกล่าวทำให้นายวัลลภขาดรายได้จากการประกอบอาชีพทันตแพทย์ ณ โรงพยาบาลแพทย์รังสิต ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ในวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๔ เป็นจำนวนเงิน ๕,๐๐๐ บาท จึงขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจากการขาดรายได้ ในวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๔ เป็นจำนวนเงิน ๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๔ จนถึงวันชดใช้เสร็จ และขอให้ศาลมีคำสั่งระงับหรือเพิกถอนการออกหมายเรียกที่มีขึ้นในครั้งหลังด้วย ในระหว่างพิจารณา ศาลปกครองกลางเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะรับไว้พิจารณาได้ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลปกครองกลางจึงส่งความเห็นไปให้ศาลแขวงพระนครเหนือจัดทำความเห็นตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแขวงพระนครเหนือเห็นว่า คำฟ้องของผู้ฟ้องคดีแบ่งเป็น ๒ ส่วน คือส่วนที่ขอให้เพิกถอนหมายเรียกและส่วนที่เรียกค่าเสียหาย ซึ่งศาลแขวงพระนครเหนือเห็นว่า ส่วนแรกไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงพระนครเหนือที่จะพิจารณาสำหรับในส่วนที่สองคือ ส่วนที่เรียกค่าเสียหายนั้น เห็นว่า อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงพระนครเหนือ
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การฟ้องขอให้ระงับหรือเพิกถอนหมายเรียกของพนักงานสอบสวนในคดีอาญาและเรียกค่าเสียหายเกี่ยวกับการนี้ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า ในการดำเนินกิจการหรือการกระทำต่าง ๆ ของรัฐ ทุกระบบ จะต้องถูกตรวจสอบได้โดยศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง ยกเว้นแต่เป็นเรื่องที่โดยสภาพแล้วไม่อาจที่จะตรวจสอบได้ เช่น การกระทำทางนิติบัญญัติ การกระทำในทางตุลาการและการกระทำของรัฐบาลที่เป็นงานด้านนโยบายหรืองานด้านการเมืองหรือนโยบายต่างประเทศหรือในความสัมพันธ์กับฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นต้น สำหรับศาลปกครองมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการกระทำทางปกครองซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๗๖ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ และมาตรา ๙ บัญญัติให้ศาลปกครองมีเขตอำนาจในการพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีที่มีการฟ้องว่า หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการในการใช้อำนาจทางปกครอง หรือดำเนินกิจการทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือในคดีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ในทางปกครองตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร หรือในคดีที่มีการฟ้องเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเกิดจากการใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือละเลยต่อหน้าที่ในทาง ปกครองตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้า หรือเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองอันเป็นการตรวจสอบการกระทำทางปกครอง ส่วนศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวงที่ไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๗๑ ซึ่งได้แก่ คดีแพ่ง คดีอาญา ในส่วนคดีอาญานั้น ศาลและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่การลงโทษผู้กระทำความผิดทางอาญา การที่ผู้ฟ้องคดีได้ฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจอันถือได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า ออกหมายเรียกตนให้มาให้การในฐานะพยานคดีอาญาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเรียกค่าเสียหายจากการขาดรายได้เพราะต้องไปให้ปากคำตามหมายเรียกดังกล่าว และขอให้ศาลมีคำสั่งระงับหรือเพิกถอนการออกหมายเรียกที่มีขึ้นในครั้งหลังด้วยนั้น เห็นได้ว่าผู้ฟ้องคดีมุ่งประสงค์เรียกค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการออกหมายเรียกที่ผู้ฟ้องคดีเข้าใจว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นประการแรก ซึ่งการออกหมายเรียกดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นขั้นตอนการดำเนินการของพนักงานสอบสวนที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดให้อำนาจไว้เป็นการเฉพาะโดยตรง และอยู่ในอำนาจการควบคุมตรวจสอบของศาลยุติธรรม ทั้งไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ดังนั้น แม้การออกหมายเรียกดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผู้ฟ้องคดีโดยตรง แต่ก็เป็นการใช้อำนาจของพนักงานสอบสวนตามขั้นตอนที่กำหนดไว้เป็นการเฉพาะในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งอยู่ภายใต้การตรวจสอบของศาลยุติธรรม ด้วยเหตุนี้ การเรียกค่าเสียหาย อันเนื่องมาจากการออกหมายเรียกดังกล่าว จึงอยู่ภายใต้การตรวจสอบของศาลยุติธรรมเช่นกัน อนึ่ง ประเด็นเรื่องเรียกค่าเสียหายนี้ ทั้งศาลปกครองกลางและศาลแขวงพระนครเหนือเห็นพ้องต้องกันว่า คำฟ้องส่วนนี้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม กรณีจึงมิใช่เป็นการขัดแย้งกันในเรื่องอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยชี้ขาด
สำหรับการขอให้ระงับหรือเพิกถอนหมายเรียกนั้น เมื่อการออกหมายเรียกเป็นการใช้อำนาจของพนักงานสอบสวนตามขั้นตอนที่กำหนดไว้เป็นการเฉพาะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งอยู่ภายใต้การตรวจสอบของศาลยุติธรรมดังที่ได้กล่าวมาแล้ว จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีฟ้องขอให้เพิกถอนระงับหมายเรียกพยานในคดีอาญา ระหว่าง นายวัลลภ นาคพุก ผู้ฟ้องคดี กับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ร้อยตำรวจเอก ชัยวัฒน์ อินทร์เทศ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ศาลที่มีเขตอำนาจได้แก่ ศาลแขวงพระนครเหนือ
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕/๒๕๔๕
วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแขวงดุสิต
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจของอีกศาลหนึ่ง และเมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในอำนาจเช่นกันให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๔ บริษัทบางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร เป็นจำเลยต่อศาลแขวงดุสิต อ้างว่าบริษัทบางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์กระบะคันหมายเลขทะเบียน ลธ ๗๖๘๑ กรุงเทพมหานคร ไว้จากนายอนิรุธ เพ็งนุ่ม โดยมีสาระสำคัญตามเงื่อนไขกรมธรรม์ว่า หากรถยนต์คันที่เอาประกันภัยเกิดเหตุชนหรือถูกชนบริษัทบางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) มีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันหรือแทน ผู้เอาประกันภัย กรุงเทพมหานครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ครอบครองเสาไฟฟ้าส่องทางเดินบริเวณลานจอดรถตลาดนัดสนามหลวง ๒ ธนบุรี แต่ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการปักเสาไฟฟ้า เป็นเหตุให้เสาไฟฟ้าล้มลงมาฟาดรถยนต์คันดังกล่าวได้รับความเสียหาย บริษัทบางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยได้รับผิดชดใช้ค่าซ่อมไปเป็นจำนวนเงิน ๓๔,๔๒๑.๕๕ บาท จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิในอันที่จะเรียกร้องให้กรุงเทพมหานครชดใช้ค่าเสียหายให้กับบริษัทบางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้กรุงเทพมหานครชดใช้ค่าซ่อมรถยนต์เนื่องจากการกระทำละเมิดเป็นเงินจำนวน ๓๔,๔๒๑.๕๕ บาท และดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๔๓ ถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑,๕๑๔ บาท รวมเป็นเงิน ๓๕,๙๓๕.๕๕ บาท และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีจากต้นเงิน ๓๔,๔๒๑.๕๕ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลแขวงดุสิตเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ให้จำเลยรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนและความเสียหายเกิดขึ้นจากความระมัดระวังของเจ้าหน้าที่ของจำเลยตามนัยมาตรา ๘ และมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมจึงไม่รับฟ้อง ให้ยื่นฟ้องต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา
บริษัทบางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) จึงยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๔๔ ศาลปกครองกลางเห็นว่า เรื่องดังกล่าวไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง(๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่ง แต่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมตามนัยมาตรา ๑๐๖ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา เหตุละเมิดคดีนี้เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรหรือไม่ และคดีเกี่ยวกับการกระทำละเมิดดังกล่าวอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ (๙) ประกอบกับข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง สำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ กำหนดให้กรุงเทพมหานครมีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการในเขตกรุงเทพมหานคร ในเรื่องการจัดให้มีตลาดขึ้น โดยความเห็นชอบของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และมาตรา ๘๙ (๑๕) กำหนดให้กรุงเทพมหานครมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการในเขตกรุงเทพมหานครในเรื่องการสาธารณูปโภค หมายถึง การจัดทำบริการสาธารณะที่เป็นการอำนวยประโยชน์แก่ประชาชนในสิ่งอุปโภคที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต เช่น การไฟฟ้า การประปา เป็นต้น เมื่อคำฟ้องอ้างเหตุละเมิดที่เกิดขึ้นว่าเป็นผลอันเนื่องมาจากการปักเสาไฟฟ้าส่องทางไม่ลึกและยึดติดกับพื้นผิวถนนไม่แน่นหนาภายในบริเวณพื้นที่ตลาดนัดสนามหลวง๒ ธนบุรี ซึ่งอยู่ในความดูแลของกรุงเทพมหานคร อันเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อและปราศจากความระมัดระวังของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ในการจัดทำบริการสาธารณะ หน่วยงานทางปกครองจึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นในเหตุละเมิดดังกล่าวตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙ ซึ่งอาจอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือศาลยุติธรรมก็ได้ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๔ ประกอบกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๐๖
ดังนั้น การพิจารณาอำนาจศาลในกรณีนี้จำเป็นต้องพิจารณาอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครอง ซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร อันเป็นการจำกัดประเภทแห่งคดีที่เกิดจากการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง โดยมิได้มุ่งหมายให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ธรรมดาหรือการกระทำละเมิดที่ไม่ได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งในคดีนี้ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมาจากความประมาทเลินเล่อของผู้ถูกฟ้องคดีในการที่ไม่ปักยึดเสาไฟฟ้าให้มีความมั่นคงแข็งแรง อันถือได้ว่าเป็นการกระทำทางกายภาพ กรณีพิพาทนี้จึงมิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรแต่อย่างใด คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมตามนัย คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๑/๒๕๔๕
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีละเมิดระหว่างบริษัทบางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) โจทก์ และกรุงเทพมหานคร จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ ศาลที่มี เขตอำนาจ ได้แก่ ศาลแขวงดุสิต
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕/๒๕๔๕
วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแขวงดุสิต
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจของอีกศาลหนึ่ง และเมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในอำนาจเช่นกันให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๔ บริษัทบางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร เป็นจำเลยต่อศาลแขวงดุสิต อ้างว่าบริษัทบางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์กระบะคันหมายเลขทะเบียน ลธ ๗๖๘๑ กรุงเทพมหานคร ไว้จากนายอนิรุธ เพ็งนุ่ม โดยมีสาระสำคัญตามเงื่อนไขกรมธรรม์ว่า หากรถยนต์คันที่เอาประกันภัยเกิดเหตุชนหรือถูกชนบริษัทบางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) มีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันหรือแทน ผู้เอาประกันภัย กรุงเทพมหานครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ครอบครองเสาไฟฟ้าส่องทางเดินบริเวณลานจอดรถตลาดนัดสนามหลวง ๒ ธนบุรี แต่ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการปักเสาไฟฟ้า เป็นเหตุให้เสาไฟฟ้าล้มลงมาฟาดรถยนต์คันดังกล่าวได้รับความเสียหาย บริษัทบางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยได้รับผิดชดใช้ค่าซ่อมไปเป็นจำนวนเงิน ๓๔,๔๒๑.๕๕ บาท จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิในอันที่จะเรียกร้องให้กรุงเทพมหานครชดใช้ค่าเสียหายให้กับบริษัทบางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้กรุงเทพมหานครชดใช้ค่าซ่อมรถยนต์เนื่องจากการกระทำละเมิดเป็นเงินจำนวน ๓๔,๔๒๑.๕๕ บาท และดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๔๓ ถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑,๕๑๔ บาท รวมเป็นเงิน ๓๕,๙๓๕.๕๕ บาท และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีจากต้นเงิน ๓๔,๔๒๑.๕๕ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลแขวงดุสิตเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ให้จำเลยรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนและความเสียหายเกิดขึ้นจากความระมัดระวังของเจ้าหน้าที่ของจำเลยตามนัยมาตรา ๘ และมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมจึงไม่รับฟ้อง ให้ยื่นฟ้องต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา
บริษัทบางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) จึงยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๔๔ ศาลปกครองกลางเห็นว่า เรื่องดังกล่าวไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง(๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่ง แต่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมตามนัยมาตรา ๑๐๖ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา เหตุละเมิดคดีนี้เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรหรือไม่ และคดีเกี่ยวกับการกระทำละเมิดดังกล่าวอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ (๙) ประกอบกับข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง สำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ กำหนดให้กรุงเทพมหานครมีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการในเขตกรุงเทพมหานคร ในเรื่องการจัดให้มีตลาดขึ้น โดยความเห็นชอบของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และมาตรา ๘๙ (๑๕) กำหนดให้กรุงเทพมหานครมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการในเขตกรุงเทพมหานครในเรื่องการสาธารณูปโภค หมายถึง การจัดทำบริการสาธารณะที่เป็นการอำนวยประโยชน์แก่ประชาชนในสิ่งอุปโภคที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต เช่น การไฟฟ้า การประปา เป็นต้น เมื่อคำฟ้องอ้างเหตุละเมิดที่เกิดขึ้นว่าเป็นผลอันเนื่องมาจากการปักเสาไฟฟ้าส่องทางไม่ลึกและยึดติดกับพื้นผิวถนนไม่แน่นหนาภายในบริเวณพื้นที่ตลาดนัดสนามหลวง๒ ธนบุรี ซึ่งอยู่ในความดูแลของกรุงเทพมหานคร อันเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อและปราศจากความระมัดระวังของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ในการจัดทำบริการสาธารณะ หน่วยงานทางปกครองจึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นในเหตุละเมิดดังกล่าวตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙ ซึ่งอาจอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือศาลยุติธรรมก็ได้ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๔ ประกอบกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๐๖
ดังนั้น การพิจารณาอำนาจศาลในกรณีนี้จำเป็นต้องพิจารณาอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครอง ซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร อันเป็นการจำกัดประเภทแห่งคดีที่เกิดจากการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง โดยมิได้มุ่งหมายให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ธรรมดาหรือการกระทำละเมิดที่ไม่ได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งในคดีนี้ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมาจากความประมาทเลินเล่อของผู้ถูกฟ้องคดีในการที่ไม่ปักยึดเสาไฟฟ้าให้มีความมั่นคงแข็งแรง อันถือได้ว่าเป็นการกระทำทางกายภาพ กรณีพิพาทนี้จึงมิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรแต่อย่างใด คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมตามนัย คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๑/๒๕๔๕
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีละเมิดระหว่างบริษัทบางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) โจทก์ และกรุงเทพมหานคร จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ ศาลที่มี เขตอำนาจ ได้แก่ ศาลแขวงดุสิต
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔/๒๕๔๕
วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองเชียงใหม่
ระหว่าง
ศาลจังหวัดเชียงราย
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองเชียงใหม่ได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในอำนาจ เช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๔ นายเจริญ คำพิชัย กับพวกรวม ๒๕ คน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องวัดพระธาตุเจดีย์หลวงและกรมที่ดิน เป็นจำเลย ต่อศาลจังหวัดเชียงราย อ้างว่า ได้ครอบครอง ทำประโยชน์ในที่ดินแปลงตามระวาง ๕๐๔๙ IV ๑๒๔๐ เลขที่ ๗๓๕ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เนื้อที่รวม ๘ ไร่ ๒ งาน ๑๒ ตารางวา โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดจนถึงปัจจุบันไม่เคยมีใครอ้างสิทธิหรือแย่งการครอบครองแต่อย่างใด ทั้งนายเจริญกับพวกได้ก่อสร้างบ้าน มีเลขที่ตามที่ทางราชการออกให้และอาศัยอยู่ในที่ดินแปลงนี้มาจนถึงปัจจุบัน แต่เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๔๐ วัดพระธาตุเจดีย์หลวงได้ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินแปลงที่นายเจริญกับพวกครอบครองทำประโยชน์ต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย สาขาเชียงแสน โดยอ้างว่าได้ที่ดินมาโดยบุกเบิกครอบครองและทำประโยชน์เป็นที่วัด ที่ประกอบศาสนกิจเรื่อยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๑๘๓๓ โดยไม่ได้แจ้งการครอบครองไว้และมีหลักฐานเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๕๔ บางส่วน (ไม่เต็มแปลง) และเอกสารหลักฐานประวัติความเป็นมาของวัด และต่อมาเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๓ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย สาขาเชียงแสน ได้ออกใบไต่สวนเพื่อรังวัดออกโฉนดที่ดินให้แก่วัดพระธาตุเจดีย์หลวง โดยนายเจริญกับพวกได้คัดค้านการรังวัดออกโฉนดที่ดินแปลงนี้ตลอดมา ต่อมาวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๔๔ สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย สาขาเชียงแสน มีคำสั่งที่ ๑๒/๒๕๔๔ เรื่อง คัดค้านการออกโฉนดที่ดิน แจ้งให้นายเจริญกับพวกทราบว่า สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย สาขาเชียงแสนจะดำเนินการออกโฉนดที่ดินแก่วัดพระธาตุเจดีย์หลวง หากไม่พอใจให้ฟ้องหรือร้องต่อศาลภายในกำหนด ๖๐ วัน นับแต่วันที่ทราบคำสั่งดังกล่าว นายเจริญกับพวกเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการออกใบไต่สวนและโฉนดที่ดินดังกล่าวมิได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนด เพราะวัดพระธาตุเจดีย์หลวงมิได้เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวแต่อย่างใด นายเจริญกับพวกจึงยื่นฟ้องวัดพระธาตุเจดีย์หลวงและกรมที่ดินต่อศาลจังหวัดเชียงรายขอให้เพิกถอนใบไต่สวน และโฉนดที่ดินแปลงตามระวาง ๕๐๔๙ IV ๑๒๔๐ เลขที่ ๗๓๕ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย และออกโฉนดที่ดินแก่นายเจริญกับพวก ศาลจังหวัดเชียงรายเห็นว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลปกครองจึงไม่รับฟ้องจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
นายเจริญกับพวกจึงยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ศาลปกครองเชียงใหม่เห็นว่า การที่ผู้ฟ้องประสงค์ให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงพิพาทนั้น กรณีเป็น คดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินระหว่างเอกชนกับเอกชน ซึ่งเป็นคดีที่การวินิจฉัยขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการครอบครองและการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอันเป็นคดีแพ่งที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลที่มีอำนาจในคดีแพ่ง ณ สถานที่ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ ศาลปกครองไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า การพิจารณาเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน กฎหมายกำหนดให้ต้องฟ้องศาล เมื่อศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งถึงที่สุดประการใดให้เจ้าพนักงาน ที่ดินดำเนินการไปตามนั้น เช่น มาตรา ๖๐ วรรคสาม มาตรา ๖๑ วรรคห้า มาตรา ๖๒ และมาตรา ๖๙ ทวิ วรรคห้าและวรรคหก เป็นต้น ซึ่งการโต้แย้งของนายเจริญกับพวกดังกล่าวเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือสิทธิในทรัพย์สิน จึงต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ทรัพย์สิน โดยในมาตรา ๑๒๙๘ บัญญัติว่า "ทรัพยสิทธิทั้งหลายนั้นท่านว่าจะก่อตั้งได้แต่ด้วยอาศัยอำนาจในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น" การพิจารณาข้อพิพาท เกี่ยวกับสิทธิในที่ดินว่าผู้ใดมีสิทธิดีกว่ากันย่อมอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายอื่นที่บัญญัติในเรื่องนั้นไว้เป็นพิเศษ สำหรับคดีนี้การพิจารณาสิทธิในที่ดินพิพาทต้องพิจารณาประมวลกฎหมายที่ดินประกอบด้วย โดยจะต้องพิจารณาถึงสิทธิครอบครองและการใช้ประโยชน์ในที่ดินของคู่กรณี ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ มิได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน ดังนั้น คดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลจึงอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม เมื่อการขอออกโฉนดมีการโต้แย้งสิทธิ ศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ จึงได้แก่ ศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีที่นายเจริญ คำพิชัย กับพวกรวม ๒๕ คน ฟ้องวัดพระธาตุเจดีย์หลวงและกรมที่ดิน เกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งในกรณีนี้ได้แก่ ศาลจังหวัดเชียงราย
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔/๒๕๔๕
วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองเชียงใหม่
ระหว่าง
ศาลจังหวัดเชียงราย
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองเชียงใหม่ได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในอำนาจ เช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๔ นายเจริญ คำพิชัย กับพวกรวม ๒๕ คน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องวัดพระธาตุเจดีย์หลวงและกรมที่ดิน เป็นจำเลย ต่อศาลจังหวัดเชียงราย อ้างว่า ได้ครอบครอง ทำประโยชน์ในที่ดินแปลงตามระวาง ๕๐๔๙ IV ๑๒๔๐ เลขที่ ๗๓๕ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เนื้อที่รวม ๘ ไร่ ๒ งาน ๑๒ ตารางวา โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดจนถึงปัจจุบันไม่เคยมีใครอ้างสิทธิหรือแย่งการครอบครองแต่อย่างใด ทั้งนายเจริญกับพวกได้ก่อสร้างบ้าน มีเลขที่ตามที่ทางราชการออกให้และอาศัยอยู่ในที่ดินแปลงนี้มาจนถึงปัจจุบัน แต่เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๔๐ วัดพระธาตุเจดีย์หลวงได้ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินแปลงที่นายเจริญกับพวกครอบครองทำประโยชน์ต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย สาขาเชียงแสน โดยอ้างว่าได้ที่ดินมาโดยบุกเบิกครอบครองและทำประโยชน์เป็นที่วัด ที่ประกอบศาสนกิจเรื่อยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๑๘๓๓ โดยไม่ได้แจ้งการครอบครองไว้และมีหลักฐานเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๕๔ บางส่วน (ไม่เต็มแปลง) และเอกสารหลักฐานประวัติความเป็นมาของวัด และต่อมาเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๓ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย สาขาเชียงแสน ได้ออกใบไต่สวนเพื่อรังวัดออกโฉนดที่ดินให้แก่วัดพระธาตุเจดีย์หลวง โดยนายเจริญกับพวกได้คัดค้านการรังวัดออกโฉนดที่ดินแปลงนี้ตลอดมา ต่อมาวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๔๔ สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย สาขาเชียงแสน มีคำสั่งที่ ๑๒/๒๕๔๔ เรื่อง คัดค้านการออกโฉนดที่ดิน แจ้งให้นายเจริญกับพวกทราบว่า สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย สาขาเชียงแสนจะดำเนินการออกโฉนดที่ดินแก่วัดพระธาตุเจดีย์หลวง หากไม่พอใจให้ฟ้องหรือร้องต่อศาลภายในกำหนด ๖๐ วัน นับแต่วันที่ทราบคำสั่งดังกล่าว นายเจริญกับพวกเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการออกใบไต่สวนและโฉนดที่ดินดังกล่าวมิได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนด เพราะวัดพระธาตุเจดีย์หลวงมิได้เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวแต่อย่างใด นายเจริญกับพวกจึงยื่นฟ้องวัดพระธาตุเจดีย์หลวงและกรมที่ดินต่อศาลจังหวัดเชียงรายขอให้เพิกถอนใบไต่สวน และโฉนดที่ดินแปลงตามระวาง ๕๐๔๙ IV ๑๒๔๐ เลขที่ ๗๓๕ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย และออกโฉนดที่ดินแก่นายเจริญกับพวก ศาลจังหวัดเชียงรายเห็นว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลปกครองจึงไม่รับฟ้องจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
นายเจริญกับพวกจึงยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ศาลปกครองเชียงใหม่เห็นว่า การที่ผู้ฟ้องประสงค์ให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงพิพาทนั้น กรณีเป็น คดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินระหว่างเอกชนกับเอกชน ซึ่งเป็นคดีที่การวินิจฉัยขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการครอบครองและการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอันเป็นคดีแพ่งที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลที่มีอำนาจในคดีแพ่ง ณ สถานที่ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ ศาลปกครองไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า การพิจารณาเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน กฎหมายกำหนดให้ต้องฟ้องศาล เมื่อศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งถึงที่สุดประการใดให้เจ้าพนักงาน ที่ดินดำเนินการไปตามนั้น เช่น มาตรา ๖๐ วรรคสาม มาตรา ๖๑ วรรคห้า มาตรา ๖๒ และมาตรา ๖๙ ทวิ วรรคห้าและวรรคหก เป็นต้น ซึ่งการโต้แย้งของนายเจริญกับพวกดังกล่าวเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือสิทธิในทรัพย์สิน จึงต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ทรัพย์สิน โดยในมาตรา ๑๒๙๘ บัญญัติว่า "ทรัพยสิทธิทั้งหลายนั้นท่านว่าจะก่อตั้งได้แต่ด้วยอาศัยอำนาจในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น" การพิจารณาข้อพิพาท เกี่ยวกับสิทธิในที่ดินว่าผู้ใดมีสิทธิดีกว่ากันย่อมอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายอื่นที่บัญญัติในเรื่องนั้นไว้เป็นพิเศษ สำหรับคดีนี้การพิจารณาสิทธิในที่ดินพิพาทต้องพิจารณาประมวลกฎหมายที่ดินประกอบด้วย โดยจะต้องพิจารณาถึงสิทธิครอบครองและการใช้ประโยชน์ในที่ดินของคู่กรณี ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ มิได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน ดังนั้น คดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลจึงอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม เมื่อการขอออกโฉนดมีการโต้แย้งสิทธิ ศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ จึงได้แก่ ศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีที่นายเจริญ คำพิชัย กับพวกรวม ๒๕ คน ฟ้องวัดพระธาตุเจดีย์หลวงและกรมที่ดิน เกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งในกรณีนี้ได้แก่ ศาลจังหวัดเชียงราย
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 60 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๓/๒๕๔๕
วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสวรรคโลก
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และวรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีศาลที่รับฟ้องเห็นเอง ในระหว่างการพิจารณาว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของอีกศาลหนึ่ง แต่ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๔ นายธงชัย โทขุนทด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเทียน เงินมาก ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ ๑ ตำบลคลองยาง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย นายจักรกฤษณ์ ถาวรวิสิตย์ เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน ๖ นายอนันต์ รัตนอุทัยกูล ช่างรังวัด ๔ นายวีระ อุบลนุช ช่างรังวัด ๕ และ นายฤทธิรงค์ ช่วยเพ็ญ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสวรรคโลก รวม ๕ คน เป็นจำเลยต่อศาลปกครองกลาง โดยนายธงชัยอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ ก. หมายเลข ๑๔ ตำบลคลองยาง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย เนื้อที่ ๑๖ ไร่ ๑๐ ตารางวา ซึ่งได้รับมอบมาจากมารดาเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๓๑ และได้ทำประโยชน์ ตลอดจนเสียภาษีบำรุงท้องที่ในที่ดินนี้ตลอดมา แต่เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๓ นายสอน คมขุนทดและนายบุญธรรม สุวรรณรัตน์ ได้โต้แย้งคัดค้านสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดิน ของนายธงชัย และแจ้งให้นายเทียน เงินมาก ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๑ ตำบลคลองยาง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ทำการไกล่เกลี่ยและตรวจสอบพื้นที่จริง แต่เมื่อตรวจสอบแล้วปรากฏว่าที่ดินของนายธงชัยขาดไปไม่ตรงกับ น.ส.๓ ก. จึงได้มีการแจ้งสำนักงานที่ดินจังหวัดสวรรคโลกให้ทำการตรวจสอบและในขณะเดียวกันได้แจ้งนายสมชาย ศรียิ้ม กำนันตำบลคลองยางให้ทำการไกล่เกลี่ยแต่ไม่เป็นผล เมื่อสำนักงานที่ดินจังหวัดสวรรคโลกทำการตรวจสอบแล้วก็ยังปรากฏว่า ที่ดินมีเนื้อที่ขาดไปไม่ตรงกับ น.ส. ๓ ก. ซึ่งนายธงชัยได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ ๑๖ ไร่ ๑๐ ตารางวา มาโดยตลอด นายธงชัยจึงได้ยื่นฟ้องบุคคลต่อไปนี้ต่อศาลปกครองกลางว่า
๑. นายเทียน เงินมาก ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ ๑ ตำบลคลองยาง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัยวางตนไม่เป็นกลางปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง
๒. นายจักรกฤษณ์ ถาวรวิสิตย์ เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน ๖ ต่อเติมเอกสารไม่มีความจริง
๓. นายอนันต์ รัตนอุทัยกูล ช่างรังวัด ๔ ปลอมแปลงเอกสาร
๔. นายวีระ อุบลนุช ช่างรังวัด ๕ ชี้เขตไม่สมบูรณ์
๕. นายฤทธิรงค์ ช่วยเพ็ญ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสวรรคโลก รับรองเอกสาร ไม่ถูกต้อง
อีกทั้งบุคคลทั้งห้าดำเนินงานนานเกินสมควร จึงทำให้นายธงชัยเสียเวลาในการประกอบอาชีพและต้องเสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆ โดยใช่เหตุ และเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่มีใบเสร็จรับรอง จึงขอให้ศาลพิพากษาให้บุคคลทั้งห้าชำระค่าเสียหายจากการกระทำดังกล่าวให้แก่นายธงชัยเป็นจำนวนเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท และมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสวรรคโลกจัดทำ น.ส. ๓ ก. ให้ถูกต้องมีเนื้อที่ ตรงกับการเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามแนวเดิมที่นายธงชัยได้ใช้ประโยชน์มาโดยตลอด ส่วนความผิดอื่น ๆ เช่น การปลอมแปลงเอกสาร ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะดำเนินการใด ๆ เพื่อลงโทษผู้กระทำผิดในระหว่างพิจารณา ศาลปกครองกลางเห็นว่า เมื่อมีการคัดค้านการรังวัดสอบเขตเกิดเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน การชี้ขาดสิทธิในทรัพย์สินจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลปกครองกลางจึงส่งความเห็นไปให้ศาลจังหวัดสวรรคโลกจัดทำความเห็นตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดสวรรคโลกเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีมีเจตนารมณ์ฟ้องขอให้ศาลปกครองมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีเป็นหลักแห่งข้อหา อันเป็นกรณีการเรียกค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) ประกอบกับมาตรา ๗๒ (๓) ส่วนการฟ้องข้อหาอื่น ๆ เป็นกรณีการกล่าวหาเจ้าพนักงานของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๒) และเป็นกรณีเอกชนฟ้องเจ้าพนักงานของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน
มาตรา ๖๙ ทวิ ซึ่งมิใช่การฟ้องโต้แย้งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์เพื่อใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน ศาลยุติธรรม ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องบุคคลทั้งห้าโดยมีข้อหาเกี่ยวพันกันหลายประการซึ่งรวมถึงกฎหมายอาญา แต่ผู้ฟ้องคดีมีความประสงค์ให้ศาลมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าชำระค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการดำเนินงานที่นานเกินสมควร และมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสวรรคโลกจัดทำ น.ส. ๓ ก. ให้ถูกต้องมีเนื้อที่ตรงกับการเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามแนวเดิมที่ผู้ฟ้องคดีได้ใช้ประโยชน์มาโดยตลอดเท่านั้น ดังนั้น ในคดีนี้จึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาดังต่อไปนี้
(๑) การเรียกค่าเสียหาย อันเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม
(๒) การขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำเอกสารให้ถูกต้องตรงกับการเสียภาษีบำรุงท้องที่ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า ในการพิจารณาพิพากษาคดีโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีปกครอง คดีที่มีหลายข้อหาอาจมีลักษณะดังนี้
ก. ข้อหาแต่ละข้อหามีความสำคัญเท่าเทียมกัน ในกรณีนี้ศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความจริงในแต่ละข้อหาโดยไม่เกี่ยวข้องกัน
ข. ข้อหาหนึ่งเป็นหลักส่วนข้อหาอื่นเป็นปัญหาเกี่ยวเนื่องหรือปัญหาลำดับรอง ในกรณีนี้ศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความจริงในข้อหาหลักก่อนจึงจะพิจารณาข้อหาเกี่ยวเนื่องหรือข้อหาลำดับรอง ต่อไปได้
คณะกรรมการพิจารณาประเด็นในคดีนี้แล้วเห็นว่า ทั้งสองประเด็นในคดีนี้ต่างก็เป็นข้อหาหลักที่แยกออกจากกันได้ กล่าวคือ การเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่ ล่าช้าเกินสมควรจากผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าเป็นประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินและความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ไม่เกี่ยวเนื่องกับจำนวนที่ดินที่ขาดไปจากการตรวจสอบหรือการรังวัดที่ดิน การเรียกค่าเสียหายในคดีนี้จึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวเนื่องลำดับรองของปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ซึ่งผู้ฟ้องคดี ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำเอกสารให้ถูกต้อง เมื่อประเด็นพิจารณาทั้งสองต่างมีความสำคัญแยกต่างหากจากกัน ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวเนื่องลำดับรองระหว่างกันและไม่มีผลต่อคำวินิจฉัยที่ต้องเป็นไปในทางเดียวกัน จึงต้องแยกพิจารณาจากกันในศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา
ในประเด็นแรก เมื่อผู้ฟ้องคดีมุ่งประสงค์ในการเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร ซึ่งการพิจารณาว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าหรือไม่ จะต้องเป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ในกรณีนี้ต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายที่ดินประกอบกับพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร คือ ศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง(๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
สำหรับประเด็นที่สอง ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเนื้อที่ ๑๖ ไร่ ๑๐ ตารางวา ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำเอกสารให้ถูกต้องตรงกับการครอบครองและการเสียภาษีบำรุงท้องที่ ในกรณีนี้จำเป็นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน ศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความว่าผู้ฟ้องคดีมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินอย่างไร จำนวนเท่าใด ซึ่งเป็นการพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีที่นายธงชัย โทขุนทด ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ซึ่งในกรณีนี้ ได้แก่ ศาลปกครองกลาง ส่วนการขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำเอกสารให้ถูกต้องตรงกับการครอบครอง ทำประโยชน์และการเสียภาษีบำรุงท้องที่ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งกรณีนี้ได้แก่ ศาลจังหวัดสวรรคโลก
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๓/๒๕๔๕
วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสวรรคโลก
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และวรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีศาลที่รับฟ้องเห็นเอง ในระหว่างการพิจารณาว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของอีกศาลหนึ่ง แต่ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๔ นายธงชัย โทขุนทด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเทียน เงินมาก ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ ๑ ตำบลคลองยาง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย นายจักรกฤษณ์ ถาวรวิสิตย์ เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน ๖ นายอนันต์ รัตนอุทัยกูล ช่างรังวัด ๔ นายวีระ อุบลนุช ช่างรังวัด ๕ และ นายฤทธิรงค์ ช่วยเพ็ญ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสวรรคโลก รวม ๕ คน เป็นจำเลยต่อศาลปกครองกลาง โดยนายธงชัยอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ ก. หมายเลข ๑๔ ตำบลคลองยาง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย เนื้อที่ ๑๖ ไร่ ๑๐ ตารางวา ซึ่งได้รับมอบมาจากมารดาเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๓๑ และได้ทำประโยชน์ ตลอดจนเสียภาษีบำรุงท้องที่ในที่ดินนี้ตลอดมา แต่เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๓ นายสอน คมขุนทดและนายบุญธรรม สุวรรณรัตน์ ได้โต้แย้งคัดค้านสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดิน ของนายธงชัย และแจ้งให้นายเทียน เงินมาก ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๑ ตำบลคลองยาง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ทำการไกล่เกลี่ยและตรวจสอบพื้นที่จริง แต่เมื่อตรวจสอบแล้วปรากฏว่าที่ดินของนายธงชัยขาดไปไม่ตรงกับ น.ส.๓ ก. จึงได้มีการแจ้งสำนักงานที่ดินจังหวัดสวรรคโลกให้ทำการตรวจสอบและในขณะเดียวกันได้แจ้งนายสมชาย ศรียิ้ม กำนันตำบลคลองยางให้ทำการไกล่เกลี่ยแต่ไม่เป็นผล เมื่อสำนักงานที่ดินจังหวัดสวรรคโลกทำการตรวจสอบแล้วก็ยังปรากฏว่า ที่ดินมีเนื้อที่ขาดไปไม่ตรงกับ น.ส. ๓ ก. ซึ่งนายธงชัยได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ ๑๖ ไร่ ๑๐ ตารางวา มาโดยตลอด นายธงชัยจึงได้ยื่นฟ้องบุคคลต่อไปนี้ต่อศาลปกครองกลางว่า
๑. นายเทียน เงินมาก ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ ๑ ตำบลคลองยาง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัยวางตนไม่เป็นกลางปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง
๒. นายจักรกฤษณ์ ถาวรวิสิตย์ เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน ๖ ต่อเติมเอกสารไม่มีความจริง
๓. นายอนันต์ รัตนอุทัยกูล ช่างรังวัด ๔ ปลอมแปลงเอกสาร
๔. นายวีระ อุบลนุช ช่างรังวัด ๕ ชี้เขตไม่สมบูรณ์
๕. นายฤทธิรงค์ ช่วยเพ็ญ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสวรรคโลก รับรองเอกสาร ไม่ถูกต้อง
อีกทั้งบุคคลทั้งห้าดำเนินงานนานเกินสมควร จึงทำให้นายธงชัยเสียเวลาในการประกอบอาชีพและต้องเสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆ โดยใช่เหตุ และเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่มีใบเสร็จรับรอง จึงขอให้ศาลพิพากษาให้บุคคลทั้งห้าชำระค่าเสียหายจากการกระทำดังกล่าวให้แก่นายธงชัยเป็นจำนวนเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท และมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสวรรคโลกจัดทำ น.ส. ๓ ก. ให้ถูกต้องมีเนื้อที่ ตรงกับการเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามแนวเดิมที่นายธงชัยได้ใช้ประโยชน์มาโดยตลอด ส่วนความผิดอื่น ๆ เช่น การปลอมแปลงเอกสาร ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะดำเนินการใด ๆ เพื่อลงโทษผู้กระทำผิดในระหว่างพิจารณา ศาลปกครองกลางเห็นว่า เมื่อมีการคัดค้านการรังวัดสอบเขตเกิดเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน การชี้ขาดสิทธิในทรัพย์สินจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลปกครองกลางจึงส่งความเห็นไปให้ศาลจังหวัดสวรรคโลกจัดทำความเห็นตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดสวรรคโลกเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีมีเจตนารมณ์ฟ้องขอให้ศาลปกครองมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีเป็นหลักแห่งข้อหา อันเป็นกรณีการเรียกค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) ประกอบกับมาตรา ๗๒ (๓) ส่วนการฟ้องข้อหาอื่น ๆ เป็นกรณีการกล่าวหาเจ้าพนักงานของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๒) และเป็นกรณีเอกชนฟ้องเจ้าพนักงานของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน
มาตรา ๖๙ ทวิ ซึ่งมิใช่การฟ้องโต้แย้งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์เพื่อใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน ศาลยุติธรรม ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องบุคคลทั้งห้าโดยมีข้อหาเกี่ยวพันกันหลายประการซึ่งรวมถึงกฎหมายอาญา แต่ผู้ฟ้องคดีมีความประสงค์ให้ศาลมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าชำระค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการดำเนินงานที่นานเกินสมควร และมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสวรรคโลกจัดทำ น.ส. ๓ ก. ให้ถูกต้องมีเนื้อที่ตรงกับการเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามแนวเดิมที่ผู้ฟ้องคดีได้ใช้ประโยชน์มาโดยตลอดเท่านั้น ดังนั้น ในคดีนี้จึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาดังต่อไปนี้
(๑) การเรียกค่าเสียหาย อันเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม
(๒) การขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำเอกสารให้ถูกต้องตรงกับการเสียภาษีบำรุงท้องที่ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า ในการพิจารณาพิพากษาคดีโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีปกครอง คดีที่มีหลายข้อหาอาจมีลักษณะดังนี้
ก. ข้อหาแต่ละข้อหามีความสำคัญเท่าเทียมกัน ในกรณีนี้ศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความจริงในแต่ละข้อหาโดยไม่เกี่ยวข้องกัน
ข. ข้อหาหนึ่งเป็นหลักส่วนข้อหาอื่นเป็นปัญหาเกี่ยวเนื่องหรือปัญหาลำดับรอง ในกรณีนี้ศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความจริงในข้อหาหลักก่อนจึงจะพิจารณาข้อหาเกี่ยวเนื่องหรือข้อหาลำดับรอง ต่อไปได้
คณะกรรมการพิจารณาประเด็นในคดีนี้แล้วเห็นว่า ทั้งสองประเด็นในคดีนี้ต่างก็เป็นข้อหาหลักที่แยกออกจากกันได้ กล่าวคือ การเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่ ล่าช้าเกินสมควรจากผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าเป็นประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินและความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ไม่เกี่ยวเนื่องกับจำนวนที่ดินที่ขาดไปจากการตรวจสอบหรือการรังวัดที่ดิน การเรียกค่าเสียหายในคดีนี้จึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวเนื่องลำดับรองของปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ซึ่งผู้ฟ้องคดี ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำเอกสารให้ถูกต้อง เมื่อประเด็นพิจารณาทั้งสองต่างมีความสำคัญแยกต่างหากจากกัน ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวเนื่องลำดับรองระหว่างกันและไม่มีผลต่อคำวินิจฉัยที่ต้องเป็นไปในทางเดียวกัน จึงต้องแยกพิจารณาจากกันในศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา
ในประเด็นแรก เมื่อผู้ฟ้องคดีมุ่งประสงค์ในการเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร ซึ่งการพิจารณาว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าหรือไม่ จะต้องเป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ในกรณีนี้ต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายที่ดินประกอบกับพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร คือ ศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง(๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
สำหรับประเด็นที่สอง ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเนื้อที่ ๑๖ ไร่ ๑๐ ตารางวา ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำเอกสารให้ถูกต้องตรงกับการครอบครองและการเสียภาษีบำรุงท้องที่ ในกรณีนี้จำเป็นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน ศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความว่าผู้ฟ้องคดีมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินอย่างไร จำนวนเท่าใด ซึ่งเป็นการพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีที่นายธงชัย โทขุนทด ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ซึ่งในกรณีนี้ ได้แก่ ศาลปกครองกลาง ส่วนการขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำเอกสารให้ถูกต้องตรงกับการครอบครอง ทำประโยชน์และการเสียภาษีบำรุงท้องที่ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งกรณีนี้ได้แก่ ศาลจังหวัดสวรรคโลก
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒/๒๕๔๕
วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
ศาลปกครองนครราชสีมา
ระหว่าง
ศาลจังหวัดบัวใหญ่
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองนครราชสีมาได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกันให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัย
ข้อเท็จจริงในคดี
นายไพโรจน์ การบรรจง เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลบัวใหญ่ และนางสาวปวรี ศรัยสวัสดิ์ เป็นจำเลย ต่อศาลจังหวัดบัวใหญ่อ้างว่า เมื่อวันที่ ๒๑ - ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๓ เด็กหญิงภณัฐฎา การบรรจง ถูกงูพิษกัดและมีผู้นำตัวส่งโรงพยาบาลบัวใหญ่ อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ขณะนั้นมีนางสาวปวรี ศรัยสวัสดิ์ ปฏิบัติหน้าที่แพทย์เวรประจำโรงพยาบาล ซึ่งนางสาวปวรีไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการรักษาผู้ป่วยเพื่อช่วยชีวิตตามวิสัยและพฤติการณ์ของแพทย์ ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ กล่าวคือ นางสาวปวรีไม่ได้ฉีดเซรุ่มแก้พิษงูแก่เด็กหญิงภณัฐฎา แต่กลับให้น้ำเกลือและฉีดยาแก้ปวดแทน เป็นเหตุให้เด็กหญิงภณัฐฎาถึงแก่ความตาย อันเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จึงเป็นการกระทำละเมิดโดยตรงต่อโจทก์ซึ่งเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กหญิงภณัฐฎา นายไพโรจน์ การบรรจง จึงได้ยื่นฟ้องกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลบัวใหญ่
ในฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ และนางสาวปวรี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานดังกล่าว ให้รับผิด ในผลการกระทำละเมิดโดยขอให้ชำระค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์ เป็นจำนวนเงิน ๙๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลจังหวัดบัวใหญ่เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องมาจากผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำในการปฏิบัติหน้าที่และจำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครอง คดีโจทก์จึงอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙(๓) จึงมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับฟ้อง และให้โจทก์ไปฟ้องคดียังศาลที่มีเขตอำนาจต่อไป
บิดาของผู้ตายจึงได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองนครราชสีมา เพื่อเรียกค่าเสียหายดังกล่าวจากกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลบัวใหญ่ และนางสาวปวรี ศาลปกครองนครราชสีมาเห็นว่า แม้การให้บริการทางสาธารณสุขจะเป็นบริการสาธารณะที่รัฐจัดให้แก่ประชาชนและในกรณีที่รัฐจัดบริการสาธารณะดังกล่าวเอง แพทย์ประจำซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยก็ตาม แต่การรักษาพยาบาลผู้ป่วยเป็นการปฏิบัติหน้าที่ทั่วไปของแพทย์ซึ่งต้องเป็นตามกรอบหลักเกณฑ์ของจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมที่แพทยสภาซึ่งเป็นองค์กรควบคุมทางวิชาชีพกำหนดไว้ หากรักษาไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว มีสิทธิกล่าวโทษแพทย์ผู้ทำการรักษาพยาบาลต่อแพทยสภาได้ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม และหากแพทยสภา ตรวจสอบพบว่ามีการประพฤติไม่ถูกต้องตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมจริง ก็จะถูกดำเนินการตามมาตรการลงโทษที่กำหนดไว้ ซึ่งมีระดับตั้งแต่ว่ากล่าวตักเตือนจนถึงเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เวชกรรม ดังนั้น จึงเห็นว่ากรณีนี้มิใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้อำนาจตามกฎหมาย ความเสียหาย อันเกิดจากการรักษาพยาบาลไม่ถูกต้องจึงมิใช่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย กฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่นหรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ล่าช้าเกินสมควรตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมที่จะพิจารณาพิพากษาตามมาตรา ๒๗๑ ของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ศาลปกครองนครราชสีมาจึงไม่รับคดีนี้ไว้พิจารณา
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีเกี่ยวกับการเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่เป็นการกระทำทางกายภาพในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้ว เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๗ ประกอบกับพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๒๗ กำหนดให้กระทรวงสาธารณสุขมีฐานะเป็นนิติบุคคล มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการแพทย์ การสาธารณสุข การส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพอนามัย การควบคุมอาหารและยา รวมทั้งสิ่งที่ อาจเป็นพิษหรือเป็นภัยแก่สุขภาพอนามัยและการกำกับ ดูแลและส่งเสริมกิจการกาชาด ซึ่งเป็นการให้บริการสาธารณะประการหนึ่ง โดยมีโรงพยาบาลบัวใหญ่เป็นหน่วยงานในสังกัดและนางสาวปวรี ศรัยสวัสดิ์ ผู้กระทำละเมิดเป็นแพทย์ประจำ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐตามคำนิยามศัพท์แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๔ การที่นางสาวปวรีปฏิบัติหน้าที่แพทย์ประจำโรงพยาบาลบัวใหญ่ในวันเกิดเหตุถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายในการให้บริการสาธารณะเกี่ยวกับการแพทย์การสาธารณสุขเมื่อเหตุละเมิดเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของนางสาวปวรี ซึ่งเป็น เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กรณีจึงเป็นไปตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของ เจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งการละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำไปในการปฏิบัติหน้าที่แต่คดีที่ฟ้องเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐให้ต้องรับผิดทางละเมิดอาจอยูในอำนาจของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครองก็ได้กรณีจำต้องพิจารณาอำนาจของศาลปกครองในการพิจารณาพิพากษาคดีเป็นสำคัญ ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ "ศาลปกครอง มีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย กฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร" อันเป็นการจำกัดประเภทคดีปกครองที่เกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐโดยมุ่งหมายให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ไม่รวมถึงการกระทำละเมิดที่เกิดจากการกระทำทางกายภาพของเจ้าหน้าที่เมื่อการยื่นฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่เป็นการกระทำทางกายภาพในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ คือ การรักษาพยาบาลผู้ป่วยไม่ใช่การฟ้องคดีเนื่องจากผู้ถูกละเมิดยังไม่พอใจในการวินิจฉัยของหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๑ ประกอบกับมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และ ความเสียหายในคดีนี้มิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐ จึงไม่อยู่ในบังคับมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมตามมาตรา ๒๗๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๑/๒๕๔๕
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีละเมิดระหว่างนายไพโรจน์ การบรรจง โจทก์ กระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลบัวใหญ่ และนางสาวปวรี ศรัยสวัสดิ์ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ศาลที่มีเขตอำนาจ ได้แก่ ศาลจังหวัดบัวใหญ่
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒/๒๕๔๕
วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
ศาลปกครองนครราชสีมา
ระหว่าง
ศาลจังหวัดบัวใหญ่
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองนครราชสีมาได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกันให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัย
ข้อเท็จจริงในคดี
นายไพโรจน์ การบรรจง เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลบัวใหญ่ และนางสาวปวรี ศรัยสวัสดิ์ เป็นจำเลย ต่อศาลจังหวัดบัวใหญ่อ้างว่า เมื่อวันที่ ๒๑ - ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๓ เด็กหญิงภณัฐฎา การบรรจง ถูกงูพิษกัดและมีผู้นำตัวส่งโรงพยาบาลบัวใหญ่ อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ขณะนั้นมีนางสาวปวรี ศรัยสวัสดิ์ ปฏิบัติหน้าที่แพทย์เวรประจำโรงพยาบาล ซึ่งนางสาวปวรีไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการรักษาผู้ป่วยเพื่อช่วยชีวิตตามวิสัยและพฤติการณ์ของแพทย์ ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ กล่าวคือ นางสาวปวรีไม่ได้ฉีดเซรุ่มแก้พิษงูแก่เด็กหญิงภณัฐฎา แต่กลับให้น้ำเกลือและฉีดยาแก้ปวดแทน เป็นเหตุให้เด็กหญิงภณัฐฎาถึงแก่ความตาย อันเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จึงเป็นการกระทำละเมิดโดยตรงต่อโจทก์ซึ่งเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กหญิงภณัฐฎา นายไพโรจน์ การบรรจง จึงได้ยื่นฟ้องกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลบัวใหญ่
ในฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ และนางสาวปวรี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานดังกล่าว ให้รับผิด ในผลการกระทำละเมิดโดยขอให้ชำระค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์ เป็นจำนวนเงิน ๙๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลจังหวัดบัวใหญ่เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องมาจากผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำในการปฏิบัติหน้าที่และจำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครอง คดีโจทก์จึงอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙(๓) จึงมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับฟ้อง และให้โจทก์ไปฟ้องคดียังศาลที่มีเขตอำนาจต่อไป
บิดาของผู้ตายจึงได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองนครราชสีมา เพื่อเรียกค่าเสียหายดังกล่าวจากกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลบัวใหญ่ และนางสาวปวรี ศาลปกครองนครราชสีมาเห็นว่า แม้การให้บริการทางสาธารณสุขจะเป็นบริการสาธารณะที่รัฐจัดให้แก่ประชาชนและในกรณีที่รัฐจัดบริการสาธารณะดังกล่าวเอง แพทย์ประจำซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยก็ตาม แต่การรักษาพยาบาลผู้ป่วยเป็นการปฏิบัติหน้าที่ทั่วไปของแพทย์ซึ่งต้องเป็นตามกรอบหลักเกณฑ์ของจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมที่แพทยสภาซึ่งเป็นองค์กรควบคุมทางวิชาชีพกำหนดไว้ หากรักษาไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว มีสิทธิกล่าวโทษแพทย์ผู้ทำการรักษาพยาบาลต่อแพทยสภาได้ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม และหากแพทยสภา ตรวจสอบพบว่ามีการประพฤติไม่ถูกต้องตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมจริง ก็จะถูกดำเนินการตามมาตรการลงโทษที่กำหนดไว้ ซึ่งมีระดับตั้งแต่ว่ากล่าวตักเตือนจนถึงเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เวชกรรม ดังนั้น จึงเห็นว่ากรณีนี้มิใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้อำนาจตามกฎหมาย ความเสียหาย อันเกิดจากการรักษาพยาบาลไม่ถูกต้องจึงมิใช่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย กฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่นหรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ล่าช้าเกินสมควรตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมที่จะพิจารณาพิพากษาตามมาตรา ๒๗๑ ของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ศาลปกครองนครราชสีมาจึงไม่รับคดีนี้ไว้พิจารณา
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีเกี่ยวกับการเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่เป็นการกระทำทางกายภาพในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้ว เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๗ ประกอบกับพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๒๗ กำหนดให้กระทรวงสาธารณสุขมีฐานะเป็นนิติบุคคล มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการแพทย์ การสาธารณสุข การส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพอนามัย การควบคุมอาหารและยา รวมทั้งสิ่งที่ อาจเป็นพิษหรือเป็นภัยแก่สุขภาพอนามัยและการกำกับ ดูแลและส่งเสริมกิจการกาชาด ซึ่งเป็นการให้บริการสาธารณะประการหนึ่ง โดยมีโรงพยาบาลบัวใหญ่เป็นหน่วยงานในสังกัดและนางสาวปวรี ศรัยสวัสดิ์ ผู้กระทำละเมิดเป็นแพทย์ประจำ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐตามคำนิยามศัพท์แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๔ การที่นางสาวปวรีปฏิบัติหน้าที่แพทย์ประจำโรงพยาบาลบัวใหญ่ในวันเกิดเหตุถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายในการให้บริการสาธารณะเกี่ยวกับการแพทย์การสาธารณสุขเมื่อเหตุละเมิดเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของนางสาวปวรี ซึ่งเป็น เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กรณีจึงเป็นไปตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของ เจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งการละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำไปในการปฏิบัติหน้าที่แต่คดีที่ฟ้องเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐให้ต้องรับผิดทางละเมิดอาจอยูในอำนาจของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครองก็ได้กรณีจำต้องพิจารณาอำนาจของศาลปกครองในการพิจารณาพิพากษาคดีเป็นสำคัญ ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ "ศาลปกครอง มีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย กฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร" อันเป็นการจำกัดประเภทคดีปกครองที่เกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐโดยมุ่งหมายให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ไม่รวมถึงการกระทำละเมิดที่เกิดจากการกระทำทางกายภาพของเจ้าหน้าที่เมื่อการยื่นฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่เป็นการกระทำทางกายภาพในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ คือ การรักษาพยาบาลผู้ป่วยไม่ใช่การฟ้องคดีเนื่องจากผู้ถูกละเมิดยังไม่พอใจในการวินิจฉัยของหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๑ ประกอบกับมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และ ความเสียหายในคดีนี้มิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐ จึงไม่อยู่ในบังคับมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมตามมาตรา ๒๗๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๑/๒๕๔๕
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีละเมิดระหว่างนายไพโรจน์ การบรรจง โจทก์ กระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลบัวใหญ่ และนางสาวปวรี ศรัยสวัสดิ์ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ศาลที่มีเขตอำนาจ ได้แก่ ศาลจังหวัดบัวใหญ่
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑/๒๕๔๕
วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแพ่ง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
นายบุญเฮ็ง เพริดพริ้ง และนางบันไลหรือวิไลหรือไล เพริดพริ้ง เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อ ศาลแพ่งว่า เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๓ เวลา ๒๑.๓๐ นาฬิกา นายถาวร ยังถิน พนักงานขับรถยนต์ฝ่ายหมวดตรวจและควบคุม (เก็บขนมูลฝอย) งานรักษาความสะอาด สำนักงานเขตยานนาวา กรุงเทพมหานครได้ขับรถยนต์บรรทุกเก็บขนขยะ คันหมายเลขทะเบียน ๘ ผ - ๘๐๐๑ กรุงเทพมหานคร ตามคำสั่งของกรุงเทพมหานคร ไปตามถนนอาจณรงค์มุ่งหน้าแยกกรมศุลกากร ในช่องเดินรถขวามือ ขณะที่กำลังจะผ่านแยกเข้าชุมชนล็อก ๖ คลองเตย นายถาวรได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวเบี่ยงมาทางด้านขวาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน สุรินทร์ กนม ๙๐๓ ที่นายสมพง เพริดพริ้ง อายุ ๑๙ ปี ขับขี่มาอย่างแรง ทำให้รถจักรยานยนต์ล้มลงและรถยนต์บรรทุกเก็บขนขยะดังกล่าวยังได้ทับร่างนายสมพงจนถึงแก่ความตายแล้วนายถาวรได้ขับรถยนต์หนีไปทางแยกกรมศุลกากร โดยไม่หยุดรถยนต์และให้ความช่วยเหลือนายสมพงแต่อย่างใด นายบุญเฮ็ง เพริดพริ้ง และ นางบันไลหรือวิไลหรือไล เพริดพริ้ง บิดามารดาของนายสมพง ผู้ตาย ได้ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานครในฐานะที่เป็นนายจ้างผู้บังคับบัญชาของนายถาวรต่อศาลแพ่ง เรียกค่าขาดไร้อุปการะจำนวน ๑,๔๐๔,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายในการปลงศพจำนวน ๔๖,๓๓๕ บาท ค่าซ่อมแซมรถจักรยานยนต์จำนวน ๑๖,๑๒๔ บาท รวมเป็นค่าสินไหมทดแทนทั้งสิ้น ๑,๔๖๖,๔๕๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น ศาลแพ่งเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดและฟ้องหน่วยงานของรัฐให้รับผิดในทางละเมิดเป็นกรณีอยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
บิดามารดาของผู้ตายได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนจากกรุงเทพมหานคร ศาลปกครองกลางเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเฉพาะกรณีที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพนักงานขับรถ มิใช่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งของศาลปกครอง หากแต่เป็นคดีแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งของศาลยุติธรรมตามมาตรา ๒๗๑ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีเกี่ยวกับการเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่เป็นการกระทำทางกายภาพในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้ว เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๖ บัญญัติให้กรุงเทพมหานครมีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น และมาตรา ๘๙ (๔) กำหนดให้กรุงเทพมหานครมีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการในการรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นการให้บริการสาธารณะประการหนึ่ง เมื่อนายถาวร ยังถิน ผู้กระทำละเมิดในคดีนี้เป็นลูกจ้างประจำของกรุงเทพมหานคร ตำแหน่งพนักงานขับรถ ฝ่ายหมวดตรวจและควบคุม (เก็บขนมูลฝอย) งานรักษาความสะอาด สำนักงานเขตยานนาวา จึงเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ ตามคำนิยามศัพท์แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๔ การที่นายถาวรขับรถยนต์บรรทุกเก็บขนขยะในวันเกิดเหตุเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ทั้งนี้ เป็นไปตามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง การกำหนดคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งลูกจ้างกรุงเทพมหานคร ลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๓๕ ซึ่งในบัญชีแนบท้ายได้กำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของพนักงานขับรถ ไว้ว่า "ขับรถยนต์ ดูแลรักษาความสะอาด บำรุงรักษา แก้ไขข้อขัดข้องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของรถยนต์ และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ได้รับมอบหมาย" การปฏิบัติหน้าที่ของ นายถาวรตามประกาศดังกล่าวถือได้ว่าเป็นหน้าที่ที่เกิดขึ้นตามกฎหมายในการให้บริการสาธารณะเกี่ยวกับการรักษาความสะอาด เมื่อเกิดเหตุละเมิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของนายถาวร ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กรณีจึงเป็นไปตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งการละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำไปในการปฏิบัติหน้าที่ แต่คดีที่ฟ้องเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐให้ต้องรับผิดทางละเมิดอาจอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครองก็ได้ กรณีจำต้องพิจารณาอำนาจของศาลปกครองในการพิจารณาพิพากษาคดีเป็นสำคัญ ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร" อันเป็นการจำกัดประเภทคดีปกครองที่เกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ โดยมุ่งหมายให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ไม่รวมถึงการกระทำละเมิดที่เกิดจากการกระทำทางกายภาพของเจ้าหน้าที่ เมื่อการยื่นฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่เป็นการกระทำทางกายภาพในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ คือ การขับรถ ไม่ใช่การฟ้องคดีเนื่องจากผู้ถูกละเมิดยังไม่พอใจในการวินิจฉัยของหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๑๑ ประกอบกับมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และความเสียหายในคดีนี้มิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐ จึงไม่อยู่ในบังคับมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมตามมาตรา ๒๗๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีละเมิดระหว่างนายบุญเฮ็ง เพริดพริ้ง และนางบันไลหรือวิไล หรือไล เพริดพริ้ง โจทก์ กรุงเทพมหานคร จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ศาลที่มีเขตอำนาจ ได้แก่ ศาลแพ่ง
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑/๒๕๔๕
วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๔๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแพ่ง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
นายบุญเฮ็ง เพริดพริ้ง และนางบันไลหรือวิไลหรือไล เพริดพริ้ง เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อ ศาลแพ่งว่า เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๓ เวลา ๒๑.๓๐ นาฬิกา นายถาวร ยังถิน พนักงานขับรถยนต์ฝ่ายหมวดตรวจและควบคุม (เก็บขนมูลฝอย) งานรักษาความสะอาด สำนักงานเขตยานนาวา กรุงเทพมหานครได้ขับรถยนต์บรรทุกเก็บขนขยะ คันหมายเลขทะเบียน ๘ ผ - ๘๐๐๑ กรุงเทพมหานคร ตามคำสั่งของกรุงเทพมหานคร ไปตามถนนอาจณรงค์มุ่งหน้าแยกกรมศุลกากร ในช่องเดินรถขวามือ ขณะที่กำลังจะผ่านแยกเข้าชุมชนล็อก ๖ คลองเตย นายถาวรได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวเบี่ยงมาทางด้านขวาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน สุรินทร์ กนม ๙๐๓ ที่นายสมพง เพริดพริ้ง อายุ ๑๙ ปี ขับขี่มาอย่างแรง ทำให้รถจักรยานยนต์ล้มลงและรถยนต์บรรทุกเก็บขนขยะดังกล่าวยังได้ทับร่างนายสมพงจนถึงแก่ความตายแล้วนายถาวรได้ขับรถยนต์หนีไปทางแยกกรมศุลกากร โดยไม่หยุดรถยนต์และให้ความช่วยเหลือนายสมพงแต่อย่างใด นายบุญเฮ็ง เพริดพริ้ง และ นางบันไลหรือวิไลหรือไล เพริดพริ้ง บิดามารดาของนายสมพง ผู้ตาย ได้ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานครในฐานะที่เป็นนายจ้างผู้บังคับบัญชาของนายถาวรต่อศาลแพ่ง เรียกค่าขาดไร้อุปการะจำนวน ๑,๔๐๔,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายในการปลงศพจำนวน ๔๖,๓๓๕ บาท ค่าซ่อมแซมรถจักรยานยนต์จำนวน ๑๖,๑๒๔ บาท รวมเป็นค่าสินไหมทดแทนทั้งสิ้น ๑,๔๖๖,๔๕๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น ศาลแพ่งเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดและฟ้องหน่วยงานของรัฐให้รับผิดในทางละเมิดเป็นกรณีอยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
บิดามารดาของผู้ตายได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนจากกรุงเทพมหานคร ศาลปกครองกลางเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเฉพาะกรณีที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพนักงานขับรถ มิใช่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งของศาลปกครอง หากแต่เป็นคดีแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งของศาลยุติธรรมตามมาตรา ๒๗๑ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีเกี่ยวกับการเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่เป็นการกระทำทางกายภาพในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้ว เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๖ บัญญัติให้กรุงเทพมหานครมีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น และมาตรา ๘๙ (๔) กำหนดให้กรุงเทพมหานครมีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการในการรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นการให้บริการสาธารณะประการหนึ่ง เมื่อนายถาวร ยังถิน ผู้กระทำละเมิดในคดีนี้เป็นลูกจ้างประจำของกรุงเทพมหานคร ตำแหน่งพนักงานขับรถ ฝ่ายหมวดตรวจและควบคุม (เก็บขนมูลฝอย) งานรักษาความสะอาด สำนักงานเขตยานนาวา จึงเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ ตามคำนิยามศัพท์แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๔ การที่นายถาวรขับรถยนต์บรรทุกเก็บขนขยะในวันเกิดเหตุเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ทั้งนี้ เป็นไปตามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง การกำหนดคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งลูกจ้างกรุงเทพมหานคร ลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๓๕ ซึ่งในบัญชีแนบท้ายได้กำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของพนักงานขับรถ ไว้ว่า "ขับรถยนต์ ดูแลรักษาความสะอาด บำรุงรักษา แก้ไขข้อขัดข้องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของรถยนต์ และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ได้รับมอบหมาย" การปฏิบัติหน้าที่ของ นายถาวรตามประกาศดังกล่าวถือได้ว่าเป็นหน้าที่ที่เกิดขึ้นตามกฎหมายในการให้บริการสาธารณะเกี่ยวกับการรักษาความสะอาด เมื่อเกิดเหตุละเมิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของนายถาวร ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กรณีจึงเป็นไปตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งการละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำไปในการปฏิบัติหน้าที่ แต่คดีที่ฟ้องเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐให้ต้องรับผิดทางละเมิดอาจอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครองก็ได้ กรณีจำต้องพิจารณาอำนาจของศาลปกครองในการพิจารณาพิพากษาคดีเป็นสำคัญ ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร" อันเป็นการจำกัดประเภทคดีปกครองที่เกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ โดยมุ่งหมายให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ไม่รวมถึงการกระทำละเมิดที่เกิดจากการกระทำทางกายภาพของเจ้าหน้าที่ เมื่อการยื่นฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่เป็นการกระทำทางกายภาพในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ คือ การขับรถ ไม่ใช่การฟ้องคดีเนื่องจากผู้ถูกละเมิดยังไม่พอใจในการวินิจฉัยของหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๑๑ ประกอบกับมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และความเสียหายในคดีนี้มิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐ จึงไม่อยู่ในบังคับมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมตามมาตรา ๒๗๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีละเมิดระหว่างนายบุญเฮ็ง เพริดพริ้ง และนางบันไลหรือวิไล หรือไล เพริดพริ้ง โจทก์ กรุงเทพมหานคร จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ศาลที่มีเขตอำนาจ ได้แก่ ศาลแพ่ง
นายสันติ ทักราล หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
นายอักขราทร จุฬารัตน นายโภคิน พลกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ พลโท อาชวัน อินทรเกสร
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
นายพรชัย รัศมีแพทย์
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๗/๒๕๔๔
วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลพุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดปัตตานี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๔ ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลไทรทองอำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี โดยนายเจะอูเส็ง สาเลง ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลไทรทอง หน่วยเลือกตั้งที่ ๓ หมู่ที่ ๓ ตำบลไทรทอง เครื่องหมายประจำตัวหมายเลข ๓ ปรากฏว่า องค์การบริหารส่วนตำบลไทรทองได้ประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้สมัครเครื่องหมายประจำตัว หมายเลข ๑ และหมายเลข ๒ เป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง ผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลไทรทองต่อศาลจังหวัดปัตตานี อ้างว่า เจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง คณะกรรมการตรวจคะแนน และ เจ้าหน้าที่คะแนน ประจำหน่วยเลือกตั้งที่ ๓ หมู่ที่ ๓ ตำบลไทรทอง อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี ได้กระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมาย โดยเมื่อเสร็จสิ้นการลงคะแนนแล้วคณะกรรมการตรวจคะแนนได้เปิดหีบบัตรแล้วหยิบบัตรออกมาเปิดอ่านคะแนนทันที โดยมิได้มีการนับบัตรและตรวจบัตรเพื่อวินิจฉัยว่าบัตรเลือกตั้งใดเป็นบัตรเสียแล้วทำการสลักหลังและแยกไว้ และเจ้าหน้าที่คะแนนได้อ่านคะแนนโดยไม่เปิดเผยไม่ได้แสดง บัตรเลือกตั้งให้คณะกรรมการตรวจคะแนนหรือตัวแทนผู้สมัครได้เห็นเพื่อตรวจสอบว่า การอ่านหมายเลขประจำตัวผู้สมัครตรงกับเครื่องหมายประจำตัวผู้สมัครที่ได้ทำไว้ในบัตรเลือกตั้งหรือไม่และการวินิจฉัยบัตรเลือกตั้งว่าบัตรเลือกตั้งใดเป็นบัตรดีหรือบัตรเสีย เจ้าหน้าที่คะแนนเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดเพียงคนเดียว อันเป็นการมิชอบ ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ประกอบกับกฎกระทรวงมหาดไทย ออกตามความในพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ จึงขอให้ศาลมีคำสั่งว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลไทรทองหน่วยเลือกตั้งที่ ๓ หมู่ที่ ๓ ตำบลไทรทอง อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๔ ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดได้รับการเลือกตั้งโดยชอบและจัดให้มี การเลือกตั้งใหม่ ศาลจังหวัดปัตตานีเห็นว่า กรณีเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับหน่วยงานราชการส่วนภูมิภาคหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือกำกับดูแลของรัฐบาล ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง ศาลยุติธรรมไม่อาจรับไว้พิจารณาได้ตามมาตรา ๒๗๑ จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้อง
ผู้ร้องจึงได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเพื่อคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลไทรทอง ซึ่งศาลปกครองกลางเห็นว่า เรื่องดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง เนื่องจากมาตรา ๒๕ วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. ๒๔๘๒ กำหนดให้การพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งเป็นวิธีพิจารณาคดีใน ศาลยุติธรรมจึงเห็นว่าศาลที่มีอำนาจพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลคือศาลยุติธรรม ศาลปกครองกลางไม่มีอำนาจรับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณา
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ ศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง หมายความถึง ศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า การคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีลักษณะเป็นการคัดค้านคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ร้องอ้างว่าคณะกรรมการตรวจคะแนนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่กำหนดไว้ จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) ซึ่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๔๕วรรคสาม บัญญัติว่า "หลักเกณฑ์และวิธีการสมัครรับเลือกตั้งและการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" แต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นใช้บังคับ กรณีจึงเป็นไปตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่งที่บัญญัติว่า "ในระหว่างที่ไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ให้นำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโดยอนุโลม" ดังนั้น การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลจึงต้องนำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ บัญญัติว่า "ภายในสิบห้าวัน นับตั้งแต่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าสิบคนก็ดี ผู้สมัครคนใดก็ดี ในเขตเลือกตั้งใด เห็นว่าการเลือกตั้งในเขตนั้นเป็นไปโดยมิชอบ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งเขตเลือกตั้งนั้นอยู่ในเขตอำนาจ เพื่อขอให้สั่งว่าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับเลือกตั้งโดยชอบ และหรือว่าผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ หรือว่าไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ" และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อศาลได้รับคำร้องคัดค้านแล้วให้ดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเร็ว..." เป็นการบัญญัติให้ศาลชั้นต้นที่พิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลต้องดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเป็นวิธีพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม ซึ่งวิธีพิจารณาคดีถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมาย หากให้ศาลปกครองต้องตัดสินคดีปกครองโดยใช้วิธีพิจารณาความแพ่งแทนที่จะใช้วิธีพิจารณาคดีปกครองย่อมจะไม่สอดคล้องกับระบบและความมุ่งหมายของกฎหมาย ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๑/๒๕๔๔
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลไทรทอง อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี ของนายเจะอูเส็ง สาเลง ผู้ร้อง อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดปัตตานี
(ลงชื่อ) สันติ ทักราล (ลงชื่อ) เฉลิมชัย เกษมสันต์
(นายสันติ ทักราล) (หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) โภคิน พลกุล
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายโภคิน พลกุล)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
สำเนาถูกต้อง
(นางอุษณี ฉันทวรคุณ)
นิติกร 6 ว
๕
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๗/๒๕๔๔
วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลพุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดปัตตานี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๔ ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลไทรทองอำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี โดยนายเจะอูเส็ง สาเลง ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลไทรทอง หน่วยเลือกตั้งที่ ๓ หมู่ที่ ๓ ตำบลไทรทอง เครื่องหมายประจำตัวหมายเลข ๓ ปรากฏว่า องค์การบริหารส่วนตำบลไทรทองได้ประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้สมัครเครื่องหมายประจำตัว หมายเลข ๑ และหมายเลข ๒ เป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง ผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลไทรทองต่อศาลจังหวัดปัตตานี อ้างว่า เจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง คณะกรรมการตรวจคะแนน และ เจ้าหน้าที่คะแนน ประจำหน่วยเลือกตั้งที่ ๓ หมู่ที่ ๓ ตำบลไทรทอง อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี ได้กระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมาย โดยเมื่อเสร็จสิ้นการลงคะแนนแล้วคณะกรรมการตรวจคะแนนได้เปิดหีบบัตรแล้วหยิบบัตรออกมาเปิดอ่านคะแนนทันที โดยมิได้มีการนับบัตรและตรวจบัตรเพื่อวินิจฉัยว่าบัตรเลือกตั้งใดเป็นบัตรเสียแล้วทำการสลักหลังและแยกไว้ และเจ้าหน้าที่คะแนนได้อ่านคะแนนโดยไม่เปิดเผยไม่ได้แสดง บัตรเลือกตั้งให้คณะกรรมการตรวจคะแนนหรือตัวแทนผู้สมัครได้เห็นเพื่อตรวจสอบว่า การอ่านหมายเลขประจำตัวผู้สมัครตรงกับเครื่องหมายประจำตัวผู้สมัครที่ได้ทำไว้ในบัตรเลือกตั้งหรือไม่และการวินิจฉัยบัตรเลือกตั้งว่าบัตรเลือกตั้งใดเป็นบัตรดีหรือบัตรเสีย เจ้าหน้าที่คะแนนเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดเพียงคนเดียว อันเป็นการมิชอบ ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ประกอบกับกฎกระทรวงมหาดไทย ออกตามความในพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ จึงขอให้ศาลมีคำสั่งว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลไทรทองหน่วยเลือกตั้งที่ ๓ หมู่ที่ ๓ ตำบลไทรทอง อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๔ ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดได้รับการเลือกตั้งโดยชอบและจัดให้มี การเลือกตั้งใหม่ ศาลจังหวัดปัตตานีเห็นว่า กรณีเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับหน่วยงานราชการส่วนภูมิภาคหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือกำกับดูแลของรัฐบาล ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง ศาลยุติธรรมไม่อาจรับไว้พิจารณาได้ตามมาตรา ๒๗๑ จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้อง
ผู้ร้องจึงได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเพื่อคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลไทรทอง ซึ่งศาลปกครองกลางเห็นว่า เรื่องดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง เนื่องจากมาตรา ๒๕ วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. ๒๔๘๒ กำหนดให้การพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งเป็นวิธีพิจารณาคดีใน ศาลยุติธรรมจึงเห็นว่าศาลที่มีอำนาจพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลคือศาลยุติธรรม ศาลปกครองกลางไม่มีอำนาจรับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณา
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ ศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง หมายความถึง ศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า การคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีลักษณะเป็นการคัดค้านคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ร้องอ้างว่าคณะกรรมการตรวจคะแนนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่กำหนดไว้ จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) ซึ่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๔๕วรรคสาม บัญญัติว่า "หลักเกณฑ์และวิธีการสมัครรับเลือกตั้งและการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" แต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นใช้บังคับ กรณีจึงเป็นไปตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่งที่บัญญัติว่า "ในระหว่างที่ไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ให้นำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโดยอนุโลม" ดังนั้น การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลจึงต้องนำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ บัญญัติว่า "ภายในสิบห้าวัน นับตั้งแต่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าสิบคนก็ดี ผู้สมัครคนใดก็ดี ในเขตเลือกตั้งใด เห็นว่าการเลือกตั้งในเขตนั้นเป็นไปโดยมิชอบ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งเขตเลือกตั้งนั้นอยู่ในเขตอำนาจ เพื่อขอให้สั่งว่าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับเลือกตั้งโดยชอบ และหรือว่าผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ หรือว่าไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ" และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อศาลได้รับคำร้องคัดค้านแล้วให้ดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเร็ว..." เป็นการบัญญัติให้ศาลชั้นต้นที่พิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลต้องดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเป็นวิธีพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม ซึ่งวิธีพิจารณาคดีถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมาย หากให้ศาลปกครองต้องตัดสินคดีปกครองโดยใช้วิธีพิจารณาความแพ่งแทนที่จะใช้วิธีพิจารณาคดีปกครองย่อมจะไม่สอดคล้องกับระบบและความมุ่งหมายของกฎหมาย ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๑/๒๕๔๔
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลไทรทอง อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี ของนายเจะอูเส็ง สาเลง ผู้ร้อง อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดปัตตานี
(ลงชื่อ) สันติ ทักราล (ลงชื่อ) เฉลิมชัย เกษมสันต์
(นายสันติ ทักราล) (หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) โภคิน พลกุล
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายโภคิน พลกุล)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
สำเนาถูกต้อง
(นางอุษณี ฉันทวรคุณ)
นิติกร 6 ว
๕
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2542 มาตรา 25 วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช 2482 มาตรา 57 และมาตรา 58 วรรคหนึ่ง
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๖/๒๕๔๔
วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๔
เรื่อง เขตอำนาจศาล เกี่ยวกับพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดปัตตานี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองกลาง ได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๔ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ได้มีประกาศอำเภอปะนาเระ กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าน้ำ หมู่ที่ ๕ เขตเลือกตั้งที่ ๕ โดยกำหนดเลือกตั้งในวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๔ และกำหนดระยะเวลาการสมัครรับเลือกตั้งตั้งแต่วันที่ ๑๔ ถึง ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๔๔ มีผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งสิ้นจำนวน 5 คน ซึ่งองค์การบริหารส่วนตำบลท่าน้ำ จะมีสมาชิกได้ ๒ คน โดยนายกระจ่าง ศรีสุวรรณ์ ผู้ร้อง เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเครื่องหมายประจำตัวหมายเลข ๑ ปรากฎว่า เมื่อรวมผลการลงคะแนนเลือกตั้งแล้ว ผู้ร้องได้รับการเลือกตั้งเป็นอันดับที่ ๓ จำนวน ๖๗ คะแนน จึงได้ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งต่อศาลจังหวัดปัตตานี กล่าวหาว่า เจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง คณะกรรมการตรวจคะแนน และเจ้าหน้าที่คะแนน กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยวินิจฉัยว่า บัตรเลือกตั้งที่ทำเครื่องหมายเกินกว่าจำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นบัตรเสียทั้งฉบับ ซึ่งเป็นผลให้ผู้ร้องไม่ได้รับคะแนนเลือกตั้งในส่วนดังกล่าว และได้ขอให้ศาลจังหวัดปัตตานีมีคำสั่งให้นับคะแนนใหม่ และเพิกถอนการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่ตรวจคะแนนประจำหน่วยเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าน้ำ เขตเลือกตั้งที่ ๕หมู่ ๕ ตำบลท่าน้ำ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๔ เพื่อให้ชอบด้วยกฎหมายต่อไป ศาลจังหวัดปัตตานีเห็นว่า ตามคำร้องดังกล่าว เป็นกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับหน่วยงานราชการส่วนภูมิภาค หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง จึงไม่รับคำร้องไว้พิจารณา
ผู้ร้องคดีได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อคัดค้านการเลือกตั้ง สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าน้ำ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี หน่วยเลือกตั้งที่ ๕ หมู่ ๕ ศาลปกครองกลางเห็นว่า ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้ น่าจะเป็นศาลยุติธรรม ศาลปกครองกลางไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา จึงไม่รับคำร้อง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ ศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๘ หมายความถึง ศาลยุติธรรม หรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า การคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในระหว่างที่ไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นให้นำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลโดยอนุโลม" ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการตรากฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นใช้บังคับ ดังนั้น การเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลจึงต้องนำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสภาเทศบาลมาใช้บังคับโดยอนุโลมพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ บัญญัติกระบวนการคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลไว้ใน หมวด ๘ การคัดค้านการเลือกตั้งมาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง มาตรา ๕๗ บัญญัติว่า "...ผู้สมัครคนใดก็ดี ในเขตเลือกตั้งใดเห็นว่าการเลือกตั้งในเขตนั้นเป็นไปโดยไม่ชอบ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งเขตเลือกตั้งนั้นอยู่ในเขตอำนาจ เพื่อขอให้สั่งว่าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับเลือกตั้งโดยชอบ และหรือว่าผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ หรือว่าไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ"มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อศาลได้รับคำร้องคัดค้านแล้ว ให้ดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเร็ว..."การพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าน้ำ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ของผู้ร้อง ที่กล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง คณะกรรมการตรวจคะแนน และเจ้าหน้าที่คะแนน กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยวินิจฉัยบัตรเลือกตั้งที่ทำเครื่องหมายเกินกว่าจำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นบัตรเสียทั้งฉบับ ซึ่งเป็นผลให้ผู้ร้องไม่ได้รับคะแนนเลือกตั้งในส่วนดังกล่าว เป็นการคัดค้านคำสั่งทางปกครองประการหนึ่ง จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) อย่างไรก็ตาม มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ ได้บัญญัติให้ ศาลที่จะพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเป็นวิธีพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บัญญัติกฎหมายยังมิได้ยกเลิกเขตอำนาจของศาลยุติธรรมในคดีนี้ และการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล วิธีพิจารณาคดีถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมาย หากให้ศาลปกครองต้องตัดสินคดีปกครองโดยใช้วิธีพิจารณาความแพ่งแทนที่จะใช้วิธีพิจารณาคดีปกครอง ย่อมจะไม่สอดคล้องกับระบบและความมุ่งหมายของกฎหมาย ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าน้ำ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ของนายกระจ่าง ศรีสุวรรณ์ อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดปัตตานี
(ลงชื่อ) สันติ ทักราล (ลงชื่อ) เฉลิมชัย เกษมสันต์
(นายสันติ ทักราล) (หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) โภคิน พลกุล
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายโภคิน พลกุล)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
สำเนาถูกต้อง
(นางอุษณี ฉันทวรคุณ)
นิติกร 6 ว
4
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๖/๒๕๔๔
วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๔
เรื่อง เขตอำนาจศาล เกี่ยวกับพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดปัตตานี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองกลาง ได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๔ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ได้มีประกาศอำเภอปะนาเระ กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าน้ำ หมู่ที่ ๕ เขตเลือกตั้งที่ ๕ โดยกำหนดเลือกตั้งในวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๔ และกำหนดระยะเวลาการสมัครรับเลือกตั้งตั้งแต่วันที่ ๑๔ ถึง ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๔๔ มีผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งสิ้นจำนวน 5 คน ซึ่งองค์การบริหารส่วนตำบลท่าน้ำ จะมีสมาชิกได้ ๒ คน โดยนายกระจ่าง ศรีสุวรรณ์ ผู้ร้อง เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเครื่องหมายประจำตัวหมายเลข ๑ ปรากฎว่า เมื่อรวมผลการลงคะแนนเลือกตั้งแล้ว ผู้ร้องได้รับการเลือกตั้งเป็นอันดับที่ ๓ จำนวน ๖๗ คะแนน จึงได้ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งต่อศาลจังหวัดปัตตานี กล่าวหาว่า เจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง คณะกรรมการตรวจคะแนน และเจ้าหน้าที่คะแนน กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยวินิจฉัยว่า บัตรเลือกตั้งที่ทำเครื่องหมายเกินกว่าจำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นบัตรเสียทั้งฉบับ ซึ่งเป็นผลให้ผู้ร้องไม่ได้รับคะแนนเลือกตั้งในส่วนดังกล่าว และได้ขอให้ศาลจังหวัดปัตตานีมีคำสั่งให้นับคะแนนใหม่ และเพิกถอนการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่ตรวจคะแนนประจำหน่วยเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าน้ำ เขตเลือกตั้งที่ ๕หมู่ ๕ ตำบลท่าน้ำ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๔ เพื่อให้ชอบด้วยกฎหมายต่อไป ศาลจังหวัดปัตตานีเห็นว่า ตามคำร้องดังกล่าว เป็นกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับหน่วยงานราชการส่วนภูมิภาค หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง จึงไม่รับคำร้องไว้พิจารณา
ผู้ร้องคดีได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อคัดค้านการเลือกตั้ง สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าน้ำ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี หน่วยเลือกตั้งที่ ๕ หมู่ ๕ ศาลปกครองกลางเห็นว่า ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้ น่าจะเป็นศาลยุติธรรม ศาลปกครองกลางไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา จึงไม่รับคำร้อง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ ศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๘ หมายความถึง ศาลยุติธรรม หรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า การคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในระหว่างที่ไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นให้นำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลโดยอนุโลม" ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการตรากฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นใช้บังคับ ดังนั้น การเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลจึงต้องนำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสภาเทศบาลมาใช้บังคับโดยอนุโลมพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ บัญญัติกระบวนการคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลไว้ใน หมวด ๘ การคัดค้านการเลือกตั้งมาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง มาตรา ๕๗ บัญญัติว่า "...ผู้สมัครคนใดก็ดี ในเขตเลือกตั้งใดเห็นว่าการเลือกตั้งในเขตนั้นเป็นไปโดยไม่ชอบ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งเขตเลือกตั้งนั้นอยู่ในเขตอำนาจ เพื่อขอให้สั่งว่าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับเลือกตั้งโดยชอบ และหรือว่าผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ หรือว่าไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ"มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อศาลได้รับคำร้องคัดค้านแล้ว ให้ดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเร็ว..."การพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าน้ำ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ของผู้ร้อง ที่กล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง คณะกรรมการตรวจคะแนน และเจ้าหน้าที่คะแนน กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยวินิจฉัยบัตรเลือกตั้งที่ทำเครื่องหมายเกินกว่าจำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นบัตรเสียทั้งฉบับ ซึ่งเป็นผลให้ผู้ร้องไม่ได้รับคะแนนเลือกตั้งในส่วนดังกล่าว เป็นการคัดค้านคำสั่งทางปกครองประการหนึ่ง จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) อย่างไรก็ตาม มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ ได้บัญญัติให้ ศาลที่จะพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเป็นวิธีพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บัญญัติกฎหมายยังมิได้ยกเลิกเขตอำนาจของศาลยุติธรรมในคดีนี้ และการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล วิธีพิจารณาคดีถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมาย หากให้ศาลปกครองต้องตัดสินคดีปกครองโดยใช้วิธีพิจารณาความแพ่งแทนที่จะใช้วิธีพิจารณาคดีปกครอง ย่อมจะไม่สอดคล้องกับระบบและความมุ่งหมายของกฎหมาย ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าน้ำ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ของนายกระจ่าง ศรีสุวรรณ์ อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดปัตตานี
(ลงชื่อ) สันติ ทักราล (ลงชื่อ) เฉลิมชัย เกษมสันต์
(นายสันติ ทักราล) (หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) โภคิน พลกุล
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายโภคิน พลกุล)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
สำเนาถูกต้อง
(นางอุษณี ฉันทวรคุณ)
นิติกร 6 ว
4
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2542 มาตรา 25 วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช 2482 มาตรา 57 และมาตรา 58 วรรคหนึ่ง
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔/๒๕๔๔
วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล
พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดชัยนาท
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๔ ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโพนางดำตก อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท โดยนายบุญเลิศ ภู่ผึ้ง ผู้ร้อง เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโพนางดำตก หมู่ที่ ๓ (หน่วยเลือกตั้งวัดคงคาราม) ตำบลโพนางดำตก อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท เครื่องหมายประจำตัว หมายเลข ๙ปรากฏว่า องค์การบริหารส่วนตำบลโพนางดำตกได้ประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้สมัครเครื่องหมายประจำตัว หมายเลข ๑และหมายเลข ๒ เป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง ผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโพนางดำตกต่อศาลจังหวัดชัยนาทอ้างว่าคณะกรรมการตรวจคะแนนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งอ่านคะแนนและเขียนคะแนนคลาดเคลื่อนไม่ตรงกับความจริง และมีความสับสนในการขานหรืออ่านคะแนนจากบุคคลอื่นซึ่งมิใช่กรรมการของหน่วยเลือกตั้งทำให้การเขียนคะแนนเกิดความผิดพลาด ประกอบกับกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งได้วินิจฉัยบัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนให้ผู้ร้องเป็นบัตรเสียจำนวนมากอย่างผิดปกติ เป็นผลให้ผู้ร้องไม่ได้รับเลือกตั้ง และขอให้ศาลจังหวัดชัยนาทไต่สวนและมีคำสั่งให้นับคะแนนสำหรับหน่วยเลือกตั้งวัดคงคารามอำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาทใหม่ต่อไป ศาลจังหวัดชัยนาทเห็นว่ากรณีตามคำร้องเป็นคดีพิพาทที่ผู้ร้องอ้างว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมายจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลจังหวัดชัยนาทจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา
ผู้ร้องจึงได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเพื่อคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโพนางดำตก ซึ่งศาลปกครองกลางเห็นว่า เรื่องดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง เนื่องจากมาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับมาตรา ๕๘วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ กำหนดให้การพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลให้พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งซึ่งเป็นวิธีพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม จึงเห็นว่าศาลที่มีอำนาจพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล คือ ศาลยุติธรรม ศาลปกครองกลางไม่มีอำนาจรับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณา
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ ศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓)พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลพุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง หมายความถึง ศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า การคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีลักษณะเป็นการคัดค้านคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ร้องอ้างว่าคณะกรรมการตรวจคะแนนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่กำหนดไว้ จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) ซึ่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๔๕ วรรคสาม บัญญัติว่า "หลักเกณฑ์และวิธีการสมัครรับเลือกตั้งและการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" แต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นใช้บังคับ กรณีจึงเป็นไปตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า "ในระหว่างที่ไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ให้นำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโดยอนุโลม" ดังนั้น การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลจึงต้องนำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ บัญญัติว่า "ภายในสิบห้าวัน นับตั้งแต่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าสิบคนก็ดี ผู้สมัครคนใดก็ดี ในเขตเลือกตั้งใด เห็นว่าการเลือกตั้งในเขตนั้นเป็นไปโดยมิชอบ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งเขตเลือกตั้งนั้นอยู่ในเขตอำนาจ เพื่อขอให้สั่งว่าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับเลือกตั้งโดยชอบ และหรือว่าผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ หรือว่าไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ" และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อศาลได้รับคำร้องคัดค้านแล้วให้ดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเร็ว" เป็นการบัญญัติให้ศาลชั้นต้นที่พิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลต้องดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเป็นวิธีพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม ซึ่งวิธีพิจารณาคดีถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมายหากให้ศาลปกครองต้องตัดสินคดีปกครองโดยใช้วิธีพิจารณาความแพ่งแทนที่จะใช้วิธีพิจารณาคดีปกครองย่อมจะไม่สอดคล้องกับระบบและความมุ่งหมายของกฎหมาย ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๑/๒๕๔๔
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโพนางดำตก อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท โดยนายบุญเลิศ ภู่ผึ้ง ผู้ร้อง อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดชัยนาท
(ลงชื่อ) สันติ ทักราล (ลงชื่อ) เฉลิมชัย เกษมสันต์
(นายสันติ ทักราล) (หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) โภคิน พลกุล
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายโภคิน พลกุล)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เอกลักษณ์ คัด/ทาน
๔
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔/๒๕๔๔
วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล
พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดชัยนาท
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองได้ส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๔ ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโพนางดำตก อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท โดยนายบุญเลิศ ภู่ผึ้ง ผู้ร้อง เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโพนางดำตก หมู่ที่ ๓ (หน่วยเลือกตั้งวัดคงคาราม) ตำบลโพนางดำตก อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท เครื่องหมายประจำตัว หมายเลข ๙ปรากฏว่า องค์การบริหารส่วนตำบลโพนางดำตกได้ประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้สมัครเครื่องหมายประจำตัว หมายเลข ๑และหมายเลข ๒ เป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง ผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโพนางดำตกต่อศาลจังหวัดชัยนาทอ้างว่าคณะกรรมการตรวจคะแนนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งอ่านคะแนนและเขียนคะแนนคลาดเคลื่อนไม่ตรงกับความจริง และมีความสับสนในการขานหรืออ่านคะแนนจากบุคคลอื่นซึ่งมิใช่กรรมการของหน่วยเลือกตั้งทำให้การเขียนคะแนนเกิดความผิดพลาด ประกอบกับกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งได้วินิจฉัยบัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนให้ผู้ร้องเป็นบัตรเสียจำนวนมากอย่างผิดปกติ เป็นผลให้ผู้ร้องไม่ได้รับเลือกตั้ง และขอให้ศาลจังหวัดชัยนาทไต่สวนและมีคำสั่งให้นับคะแนนสำหรับหน่วยเลือกตั้งวัดคงคารามอำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาทใหม่ต่อไป ศาลจังหวัดชัยนาทเห็นว่ากรณีตามคำร้องเป็นคดีพิพาทที่ผู้ร้องอ้างว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมายจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลจังหวัดชัยนาทจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา
ผู้ร้องจึงได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเพื่อคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโพนางดำตก ซึ่งศาลปกครองกลางเห็นว่า เรื่องดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง เนื่องจากมาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับมาตรา ๕๘วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ กำหนดให้การพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลให้พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งซึ่งเป็นวิธีพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม จึงเห็นว่าศาลที่มีอำนาจพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล คือ ศาลยุติธรรม ศาลปกครองกลางไม่มีอำนาจรับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณา
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ ศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓)พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลพุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง หมายความถึง ศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า การคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีลักษณะเป็นการคัดค้านคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ร้องอ้างว่าคณะกรรมการตรวจคะแนนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่กำหนดไว้ จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) ซึ่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๔๕ วรรคสาม บัญญัติว่า "หลักเกณฑ์และวิธีการสมัครรับเลือกตั้งและการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" แต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นใช้บังคับ กรณีจึงเป็นไปตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า "ในระหว่างที่ไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ให้นำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโดยอนุโลม" ดังนั้น การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลจึงต้องนำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลมาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๗ บัญญัติว่า "ภายในสิบห้าวัน นับตั้งแต่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าสิบคนก็ดี ผู้สมัครคนใดก็ดี ในเขตเลือกตั้งใด เห็นว่าการเลือกตั้งในเขตนั้นเป็นไปโดยมิชอบ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งเขตเลือกตั้งนั้นอยู่ในเขตอำนาจ เพื่อขอให้สั่งว่าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับเลือกตั้งโดยชอบ และหรือว่าผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ หรือว่าไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ" และมาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อศาลได้รับคำร้องคัดค้านแล้วให้ดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเร็ว" เป็นการบัญญัติให้ศาลชั้นต้นที่พิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลต้องดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเป็นวิธีพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม ซึ่งวิธีพิจารณาคดีถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมายหากให้ศาลปกครองต้องตัดสินคดีปกครองโดยใช้วิธีพิจารณาความแพ่งแทนที่จะใช้วิธีพิจารณาคดีปกครองย่อมจะไม่สอดคล้องกับระบบและความมุ่งหมายของกฎหมาย ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๑/๒๕๔๔
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโพนางดำตก อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท โดยนายบุญเลิศ ภู่ผึ้ง ผู้ร้อง อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดชัยนาท
(ลงชื่อ) สันติ ทักราล (ลงชื่อ) เฉลิมชัย เกษมสันต์
(นายสันติ ทักราล) (หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) โภคิน พลกุล
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายโภคิน พลกุล)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สมัยรบ สุทธิวาทนฤพุฒิ) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เอกลักษณ์ คัด/ทาน
๔
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542 มาตรา 25 วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช 2482 มาตรา 57 และมาตรา 58 วรรคหนึ่ง
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|